วันอังคารที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2555

กลุ่มทุนนิยมสามานย์ VS กลุ่มนิยมสามานย์ (ไม่มีทุน)




การออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญในขณะนี้ดูเหมือนจะเข้มข้นและอาจนำไปสู่ความรุนแรงจนเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง แต่อีกมุมหนึ่งก็มองว่าอาจเป็นการดิ้นเฮือกสุดท้ายของบรรดาสลิ่มและขาประจำที่พยายามทำให้การเมืองไทยกลับมาอยู่ในวังวนอำนาจเดิมๆที่ต้องอิงอยู่กับพรรคข้าราชการ (อำมาตย์) และกองทัพ
เพราะทั้งพรรคประชาธิปัตย์ กลุ่ม ส.ว.สรรหา กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กลุ่มเสื้อหลากสี และกลุ่มสยามสามัคคี ที่อ้าง 3 ประเด็นหลักในการต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ไม่ว่าจะเป็นหมวดที่เกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ องค์กรอิสระ และกฎหมายที่ขัดกับรัฐธรรมนูญ ซึ่งถ้าห้ามแก้ในทุกหมวดที่กล่าวมา ก็ไม่ต่างอะไรกับออกมาบอกว่าห้ามแก้รัฐธรรมนูญฉบับ “มดลูกเผด็จการ” ที่เป็นมรดกจากคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ที่ยึดอำนาจไปจากประชาชนนั่นเอง
ทั้งที่รัฐธรรมนูญปี 2550 ขัดต่อหลักนิติรัฐและนิติธรรมอย่างชัดเจน อย่างที่นายอุกฤษ มงคลนาวิน ประธานคณะกรรมการอิสระว่าด้วยการส่งเสริมหลักนิติธรรมแห่งชาติ (คอ.นธ.) ชี้ว่ามาตรา 3 ของรัฐธรรมนูญกำหนดว่า องค์กรต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นคณะรัฐมนตรี สภา ศาล และองค์กรอิสระต่างๆ ต้องดำเนินการตามหลักนิติรัฐและนิติธรรม แต่มาตรา 309 กลับประกาศนิรโทษกรรมเหมือนเซ็นเช็คล่วงหน้าว่าการกระทำใดๆของคณะรัฐประหารที่ร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาถือว่าไม่มีความผิด ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต
รัฐสภาวันนี้ไม่ใช่รัฐสภาในระบอบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ แม้จะอ้างว่าได้รับการลงประชามติรับจากประชาชนก็อยู่ภายใต้ปากกระบอกปืน ไม่ใช่เจตจำนงที่แท้จริงของประชาชน เช่นเดียวกับองค์กรอิสระที่มาจากอำนาจเผด็จการ ไม่ใช่มาจากประชาชน
พรรคการเมืองสูญพันธุ์
ขณะที่นายชุมพล ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ในฐานะผู้เสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับพรรคชาติไทยพัฒนา แถลงในสภาว่า 4-5 ปีที่ผ่านมารัฐธรรมนูญปี 2550 ทำให้เกิดความเสียหายต่อกระบวนการยุติธรรมอย่างชัดเจน ไม่ใช่แค่เปิดช่องให้มีการปฏิบัติ 2 มาตรฐานเท่านั้น บางครั้งยังมีการใช้ดุลยพินิจเกินขอบเขตอีกด้วย ทั้งการร่างรัฐธรรมนูญปี 2550 ก็ระบุชัดเจนที่จะบอนไซพรรคการเมือง ทั้งที่มาจากประชาชนและเป็นหัวใจสำคัญของระบอบประชา ธิปไตยที่ทุกประเทศต้องการให้พรรคการเมืองแข็งแกร่ง ไม่ใช่ต้องการทำให้พรรคการเมืองสูญพันธุ์หรือเป็นอัมพาต อย่างรัฐธรรมนูญปี 2550 ที่วันนี้ยุบพรรคการเมืองเป็นว่าเล่น ยกเว้นพรรคประชาธิปัตย์ แต่อาจถูกยุบเมื่อไรก็ได้หากไม่แก้ไขรัฐธรรมนูญ
“สภาพพรรคการเมืองวันนี้เป็นพรรคนอมินีทั้งนั้น กรรมการบริหารก็นอมินี ทุกคนหลบฉากหมด สภาพนักการเมืองตกเป็นของคนสวนบ้าง คนใช้บ้าง เกิดขึ้นได้อย่างไรในเมืองไทย”
ตุลาเพี้ยน เสนาพลาด
ที่สำคัญแม้แต่ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธาน คมช. ที่วันนี้อยู่ในฐานะ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคมาตุภูมิ ก็ยอมรับว่าการทำรัฐประ หาร 19 กันยายน 2549 เพื่อกำจัด พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่ได้แก้ปัญหาวิกฤตบ้านเมือง แม้จะอ้างว่าถ้าไม่ตัดสินใจทำรัฐประหารอาจเกิดความรุนแรงที่คาดไม่ถึงก็ตาม ซึ่งชี้ให้เห็นว่าเหตุผลในการทำรัฐประหารจนถึงการร่างรัฐธรรมนูญปี 2550 ไม่ได้ตอบโจทย์ที่จะทำให้ประชาธิปไตยแข็งแกร่ง แต่ต้องการบอนไซพรรคการเมืองอย่างที่นายชุมพลกล่าว
เช่นเดียวกับนายสุรชาติ บำรุงสุข อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่กล่าวถึงการทำรัฐประหาร 19 กันยาฯว่า ส่วนตัวเรียกว่า “ตุลาเพี้ยน เสนาพลาด” หรือเสนานิยมที่ยึดอำนาจเสร็จ วันนี้ขอเป็นหัวหน้าพรรคการเมือง เรามีนายกฯถูกปลดจากการทำรายการอาหาร แต่ตุลาการกลับไปสอนหนังสือได้ ซึ่งไม่ต่างอะไรกับสภาโจ๊ก สิ่งที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2475-2552 การเมือง ไทยพายเรือในอ่าง การเมืองไทยอยู่ในวังวน 2 สิ่งคือ ร่างรัฐธรรมนูญและฉีกรัฐธรรมนูญ เพียงแต่ไม่รู้ว่า 2 สิ่งนี้จุดเริ่มต้นอยู่ตรงไหน
เหมาเข่ง “ทักษิณ”
เช่นเดียวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญในขณะนี้ที่พรรคประชาธิปัตย์ กลุ่มสลิ่ม และขาประจำ ไม่พยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย แต่ต้องการไม่ให้แก้ไขทั้งที่มาและอำนาจขององค์กรอิสระ และยังไม่ให้แตะต้องกฎหมายใดๆที่เป็นผลพวงหรือตราบาปจากระบอบเผด็จการ โดยเฉพาะมาตรา 309 แต่กลับพยายามบิดเบือนว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 ทั้งหมดก็เพื่อช่วยให้ พ.ต.ท.ทักษิณไม่มีความผิด
อย่างที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สรุปว่า พยายามทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นสุดยอดจักรวาลชีวิต มีอะไรก็ทักษิณ ทั้งๆที่การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องของบ้านเมือง หลายประเทศในโลกเคยบาดหมางรุนแรงจากเรื่องเชื้อชาติและศาสนา ซึ่งเป็นเรื่องละเอียดอ่อนกว่าของไทย ยังหาทางปรองดองกันได้ เพราะทุกคนเปิดใจกว้าง เดินจับมือข้ามความขัดแย้งไปด้วยกัน แต่ของไทยคิดเรื่องผลประโยชน์ทางการเมืองเป็นหลัก ไม่ยอมเปิดใจกว้าง เพื่อหาทางไม่ให้คนที่คิดว่าเป็นปฏิ ปักษ์ทางการเมืองกลับมาเท่านั้น
“1 ใน 4 เหตุผลที่ คมช. ยึดอำนาจในขณะนั้นคือ พ.ต.ท.ทักษิณทุจริตคอร์รัปชัน ก็ตั้ง คตส. (คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ) ขึ้นมาตรวจสอบว่าทุจริตจริงหรือไม่ ซึ่ง คตส. ต้องมีหน้าที่ชี้ว่าทุจริตหรือไม่ ถ้าชี้ว่าสุจริต เหตุผลในการยึดอำนาจก็ตกไป เท่ากับทำลายความชอบธรรมในการยึดอำนาจ ฉะนั้นจึงเห็นได้ว่าเมื่อ คมช. ยึดอำนาจแล้วก็มีผู้รับเหมาแบ่งงานกันทำ รับเหมาร่างรัฐธรรมนูญ รับเหมาจัดการ พ.ต.ท.ทักษิณก็ทำ รับเหมาในการวางแผนสืบทอดอำนาจก็ว่ากันไป เขาจึงเรียกว่ามีผู้รับเหมาทำบันได 4 ขั้นให้กับ คมช. ในเวลานั้น ฉะนั้นสถานการณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณเกิดขึ้นจากตรงนั้น แตกต่างจากกระบวนการยุติธรรมโดยปรกติ แล้วเราจะยอมให้กลไกระบอบเผด็จการมาสร้างสิ่งที่ล้ำค่าในประวัติศาสตร์ทางการเมือง แล้วต้องปกปักรักษาไว้ หรือจะทำให้ทุกสิ่งที่ระบอบเผด็จการสร้างถูกคลี่คลายสลายลงด้วยประชาธิปไตยและให้บ้านเมืองเดินหน้าต่อไป เชื่อว่าประชาชนมีวิจารณญาณ แต่บางฝ่ายไม่มีอะไรนอกจากวิญญาณพยาบาทเท่านั้นเอง”
“เฉลิม” อย่าเยอะ!
อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าพรรคเพื่อไทยเองก็ต้องการให้ พ.ต.ท.ทักษิณกลับประเทศอย่างวีรบุรุษ ไม่ใช่เป็นนักโทษ นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งเดินทางไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณที่ฮ่องกงเมื่อวันที่ 12 มีนาคมที่ผ่านมา ยอมรับว่า พ.ต.ท.ทักษิณอยากกลับประเทศไทย โดยเร็ว ส่วนจะเป็นเมื่อใดนั้นไม่มีใครทราบ เพราะ ต้องดูเงื่อนไขและปัจจัยหลายอย่าง แต่ไม่ใช่เพราะ การแก้รัฐธรรมนูญอย่างที่พรรคประชาธิปัตย์นำมาเป็นเงื่อนไขทางการเมืองในขณะนี้
โดยเฉพาะท่าทีของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ที่แสดงบทบาทเป็น “หัวหมู่ทะลวงฟัน” ยืนยันว่าจะนำ พ.ต.ท.ทักษิณกลับบ้านในปีนี้ให้ได้ จน น.ส.ยิ่งลักษณ์ต้องลดกระแสการโจมตีจากฝ่ายตรงข้ามว่าคงเป็นไปไม่ได้ก็ตาม แต่นักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยและคนเสื้อแดงจำนวนไม่น้อยตั้งคำถามว่า ร.ต.อ.เฉลิมเคลื่อนไหว ตามกระบวนการกฎหมายและรัฐสภาอย่างเงียบๆได้หรือไม่ เพราะขณะนี้ไม่ใช่บรรยากาศการเลือกตั้ง แต่เป็นการต่อสู้เพื่อให้บ้านเมืองเป็นประชาธิป ไตยและมีเสรีภาพ
โดยเฉพาะการออกมาประณามเรื่องการแก้ไขมาตรา 112 ซึ่ง ร.ต.อ.เฉลิมไม่เห็นด้วย แต่ก็ไม่จำเป็นต้องออกมาแสดงท่าทีแข็งกร้าว เหมือนต้องการกระทืบกลุ่มนิติราษฎร์และกลุ่มที่เคลื่อนไหวให้แก้ไขมาตรา 112 ทั้งที่ไม่ได้เสียหายอะไรเลยหาก ร.ต.อ.เฉลิมไม่พูด เพราะท่าทีดังกล่าวของ ร.ต.อ.เฉลิมทำให้พรรคเพื่อไทยถูกมองในแง่ลบว่าพยายามจะเกี๊ยะเซียะกับกลุ่มอำมาตย์แล้วถีบหัวส่งประชาชนที่สนับสนุนพรรคเพื่อไทย
ไม่กลัว “ทักษิณ”
กลุ่มสลิ่มและขาประจำไม่ว่าจะเป็นพรรคประชาธิปัตย์ กลุ่มพันธมิตรฯ กลุ่มเสื้อหลากสี และกลุ่มสยามสามัคคี จึงใช้เป็นเงื่อนไขปลุกระดมและโจมตีรัฐบาลยิ่งลักษณ์ พรรคเพื่อไทย และคนเสื้อแดงว่าเป็นร่างทรงของ พ.ต.ท.ทักษิณ จึงพยายามทำทุกรูปแบบเพื่อให้ พ.ต.ท.ทักษิณพ้นผิดและกลับประเทศ
อย่างที่ พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม ส.ว. สรรหา และอดีตหัวหน้า คมช. หนึ่งในแกนนำ “กลุ่มสยามสามัคคี” ให้สัมภาษณ์ผ่านเว็บไซต์ “ไทยอินไซเดอร์” โดยเชื่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณวาง แผนแก้รัฐธรรมนูญเพื่อรวบอำนาจเบ็ดเสร็จและกลับมาโดยไม่มีความผิด
“เราไม่ได้กลัวทักษิณหรอก เรากลัวว่าจะมีคนที่มีเงินจำนวนมหาศาลมาใช้เงินเพื่อลบล้างความผิดของตัวเองได้ ถ้าเป็นลักษณะนี้ประเทศไทยจะอยู่ได้อย่างไร ในเมื่อคนมีเงินแล้วมีอภิสิทธิ์เหนือคนอื่น ที่อ้างๆกันว่าอยากได้มาตรฐานเดียว แล้วอย่างนี้มาตรฐานเดียวหรือเปล่า ทำให้คนมีเงินไม่ต้องติดคุก คนมีเงินสามารถเอาเงินไปเป็นนายทุนพรรคการเมือง ได้ ส.ส. จำนวนมากแล้วมาออกกฎหมายให้ไม่ต้องติดคุก ถ้าเป็นอย่างนั้นคนมีเงินก็สามารถซื้อประเทศไทยได้ สามารถมีอำนาจปกครองประเทศไทยได้ เมื่อเป็นลักษณะนี้ประเทศชาติก็คงเป็นภาพที่น่ากลัวอย่างยิ่ง”
พล.อ.สมเจตน์ระบุว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ไม่ได้แตกต่างไปจากการปฏิวัติรัฐประหารที่เมื่อทำการสำเร็จก็ฉีกรัฐธรรมนูญทิ้ง และเลวร้ายไม่ต่างกับ “ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง” โดยกลุ่มสยามสามัคคีจะไม่ออกมาชุมนุมอย่างที่ผ่านมา แต่จะเดินสายรณรงค์ให้ความรู้กับประชาชนว่าจะเกิดความเสียหายร้ายแรงกับประเทศชาติอย่างไร
“แล้วสิ่งที่คุณใช้ประชาธิปไตยไปฆ่าประชา ธิปไตย แล้วฉีกรัฐธรรมนูญทิ้ง ดีกว่าการปฏิวัติรัฐประหารแล้วฉีกรัฐธรรมนูญทิ้งอย่างไร”
พันธมิตรฯเท่านั้นที่เป็นที่พึ่ง
การเคลื่อนไหวของกลุ่มสยามสามัคคีจึงเป็นไปตามแนวทางของกลุ่มพันธมิตรฯที่ประกาศจะเดินสายรณรงค์ปฏิรูปทั่วประเทศ หลังจากตั้งคณะกรรมการรณรงค์เพื่อการปฏิรูปประเทศไทย (ครปร.) โดยมีหน้าที่วางแผนการรณรงค์ทั่วประเทศ ซึ่งเหมือนการเดินสายปลุกระดมเพื่อให้ทุกอย่าง “สุกงอม” เหมือน 5 ปีที่ผ่านมา เพื่อล้มรัฐบาลยิ่งลักษณ์และระบอบทักษิณ ซึ่งนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ ระบุว่าเป็น “ทุนนิยมสามานย์” และการสู้ครั้งนี้จะสู้เพื่อชัยชนะอย่างเดียว ไม่ใช่สู้เพื่อเปลี่ยนขั้วรัฐบาล บ้านนี้เมืองนี้จะไปได้ต้องไม่มีนักการเมืองบัดซบ
“เมื่อ 8 ปีที่แล้วที่สู้กับทักษิณ ตอนนี้ก็ยังเป็นอยู่อย่างเดิม เคยพูดว่าสถาบันกษัตริย์อยู่ในอันตราย มีแต่พวกเราพันธมิตรฯเท่านั้นที่เป็นที่พึ่ง ส่วนทหารก็เป็นที่พึ่งไม่ได้ มีแต่คอยรับผลประโยชน์จากการเมือง ผมยืนยันว่ารัฐบาลนี้ยังมีแนวคิดที่จะล้มสถาบัน การไม่แก้มาตรา 112 แค่สับขาหลอก แต่หลอกพวกเราไม่ได้ นอกจากหลอกควายทหารบางตัว พอเขาบอกไม่แก้ 112 ก็หลั่นล้าๆ การแก้ไขรัฐธรรมนูญก็มุ่งให้ทักษิณพ้นผิด”
เช่นเดียวกับ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯ ที่ประกาศว่าพร้อมจะชุมนุมใหญ่ แต่จะชุมนุมแค่ครั้งเดียวและเอาชนะให้ได้ โดยไม่กลัวบางคนที่ขู่ว่าจะเอาคน 500,000 คนออกมาต่อ ต้าน “เราไม่กลัว อย่ามาขู่ เราพร้อมที่จะออกมาเพื่อ การปฏิรูปครั้งใหญ่ ให้สังคมไทยอยู่ได้อย่างยั่งยืนต่อไป”
ส่วนนายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ แกนนำพันธมิตรฯ กล่าวว่า โดยส่วนตัว 8 ปีที่สู้กับระบอบ ทักษิณมานั้นไม่ได้อะไรเลย นอกจากพิสูจน์ว่าเหลือแต่พันธมิตรฯที่เป็นทองเนื้อแท้ที่จะยืนหยัดต่อสู้อย่างยืดเยื้อยาวนานต่อไป “เราล้มระบอบทักษิณ ก็ได้รัฐบาลอภิสิทธิ์ ซึ่งมันไม่ไหว ความหวังต่อจากนี้คือการให้ปัญญาประชาชน เป็นภารกิจที่ยิ่งใหญ่ คือต้องปฏิรูปครั้งใหญ่อย่างเดียว แต่ไม่สนว่าจะเอาใครมา”
นักการเมืองเท่านั้นที่บัดซบ?
การต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่การต่อสู้ในสภาระหว่างพรรคเพื่อไทยกับพรรคประชาธิปัตย์เท่านั้น แต่ยังเป็นต่อสู้นอกสภาที่อาจชี้เป็นชี้ตาย 2 ขั้วอำนาจคือ “ขั้วทักษิณ” ที่มีรัฐบาลยิ่งลักษณ์ พรรคเพื่อไทย และคนเสื้อแดงเป็นแกนหลัก กับ “ขั้วอำมาตย์” ที่มีแนวร่วมเฉพาะกิจที่ประกอบด้วยพรรคประชาธิปัตย์ กลุ่มพันธมิตรฯ กลุ่มสยามสามัคคี และกลุ่มเสื้อหลากสี โดยประณามอีกฝ่ายว่าเป็น “กลุ่มทุนนิยมสามานย์”
อย่างที่ นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ มองว่าความขัดแย้งของสังคมไทยในขณะนี้เป็นการต่อสู้ระหว่างประชาธิป ไตย 2 กลุ่มคือ ประชาธิปไตยที่มองในเรื่องการยกฐานะการเลือกตั้งให้เป็นที่ยอมรับ เพราะปฏิเสธ การรัฐประหาร อีกส่วนหนึ่งคือประชาธิปไตยที่ยังมีจิตสำนึกแบบเจ้าคนนายคน หรือศัพท์สมัยใหม่เรียกว่า “จิตสำนึกแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์” ทั้งที่ความจริงการเมืองตั้งแต่ปี 2475 เป็นต้นมาเป็นการแก่งแย่งอำนาจกันระหว่างกลุ่มทุน ไม่ว่าทุนเก่าหรือทุนใหม่ ไม่ใช่เรื่องการต่อสู้ของสี การเมืองไทยจึงเหมือน “ทฤษฎีแท่งไอติม” ที่โยนเศษเนื้อเศษกระดูกให้กับประชาชนเท่านั้น
แม้การแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้จะมาพร้อมกับการส่งสัญญาณการปรองดองจากแดนไกลว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะได้กลับบ้านเสียที แต่กลับกลายเป็นเชื้อเพลิงชั้นดีให้มีการปลุกระดมให้เกิดการต่อสู้ครั้งสุดท้ายของ 2 ขั้วอำนาจที่เต็มไปด้วยความอคติและเกลียดชังที่จมปลักอยู่กับที่โดยไม่ได้ก้าวข้ามอะไรทั้งสิ้น
การต่อสู้ของพันธมิตรฯมักจะเริ่มต้นด้วยการปลุกระดมว่าเป็น “สงครามครั้งสุดท้าย”, “ไม่ชนะไม่เลิก” แต่ลงท้ายด้วยการรัฐประหารหรือแอบอิงอำนาจตุลาการภิวัฒน์ทั้งสิ้น
ประเทศไทยวันนี้จึงเหมือนการต่อสู้ระหว่าง “กลุ่มทุนนิยมสามานย์” กับ “กลุ่มนิยมสามานย์ (ไม่มีทุน)” เท่านั้น
ภาพที่ออกมาก็เพื่อประกาศให้โลกรู้ว่าเมืองไทยมีแต่นักการเมืองเลวและโคตรเลวเท่านั้น ไม่มี “คนธรรมดา” ที่เป็น “คนดี” เหลืออยู่อีกแล้ว
มีเพียง “เทวดา” เท่านั้นที่ดีที่สุด
ระบอบการปกครองที่ดีเลิศและเหมาะสมที่ สุดสำหรับคนไทยจึงเป็นอื่นไปไม่ได้นอกจาก “ระบอบ เทวดา” นั่นเอง!


ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 7 ฉบับที่ 351 วันที่ 17 - 23 มีนาคม พ.ศ. 2555 หน้า 18 - 19 คอลัมน์ เรื่องจากปก โดย ทีมข่าวรายวัน
.
.................................................................................


ในโลกนี้เชื่อกันสิ่งที่มองไม่เห็นตัวนั้นยังสามารถติดต่อกับสิ่งมีชีวิตได้ โดยการ เข้าองค์ทรงเจ้าหรืออาก่ารผีเข้า เข้าผี ผีสิง หรือการสิงสถิต อยู่ในที่แห่งหนึ่ง เมื่อมีการเข้าสิงหรือสิงสถิตแล้ว มักจะเรีอกร้องขออะไรจากคนปกติที่มีชีวิตให้ทำให้ได้ โดยมีรางวัลคือความเจริญรุ่งเรือง ที่คิดที่ขอตามความต้องการด้วยการอธิฐานเอาเอง

คนที่ตายไปแล้ว เรียกกันง่ายว่า ผี และในความเชื่อของคนไทย ผี อยู่มากมายหลายประเภท


"เทวดา  ผีฟ้า ผีปอบ ผีกระหัง ผีตายโหง ผีตานี ผีเจ้าที่ และอีก ฯลฯ ยิ่งหนังไทยเดี๋ยวสร้างหนังผีขึ้นมามากมาย

วิธีการกราบไหว้บูชาก็สารพัดรูปแบบตามความเชื่อ ตามตำนานความเป็นมา


แต่สิ่งที่มีชีวิตอยู่บนโลกนี้ยังมีคนที่อ้างตนว่าเป็นเทพเป็นเทวดาอยู่อีกหรือ  หรือเป็นเพียงการเปรียบเทียบประชดประชันความเหลื่อมล้ำทางสังคมเท่านั้น... .ถ้าเป็นเช่นนั้น สังคมนี้ควรเร่งพัฒนาสิทธเสรีภาพและความเสมอภาคให้เกิดขึ้นโดยเร็ว   มิฉะนั้น พวกผีห่าซาตาน ผีฟ้า ผีปอบ ผีกระหัง ผีตายโหง ผีตานี ผีเจ้าที่ ทั้งหลายที่มันอาศัยสิงสถิต
ในร่างของคนในสังคมนี้ จะแสดงอิทธิฤทธิ์ชี้เป็นชี้ตาย ร้องขอในสิ่งที่ต้องการ หากใครไม่ทำตามก็อาจจะทำให้เกิดมีคนเจ็บ คนตาย ขึ้นมาอีก  .....



ไม่มีความคิดเห็น: