วันศุกร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2555

บิ๊กบัง'เขียนหนังสือ แฉปฏิวัติ'49 จะแจกหลังตัวตาย


"พล.อ.สนธิ" ทำหนังสือแฉ ''ปฏิวัติ49'' หลังตัวตาย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า
ก่อนหน้าที่ พล.อ.สนธิ จะเข้ามาดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคมาตุภูมิ
พล.อ.สนธิ ได้มีการทำพ็อกเกตบุ๊ก จำนวน 6 เล่ม อาทิ
อัตชีวประวัติส่วนตัว
ชีวิตรับราชการทหาร
สถานการณ์ความไม่สงบชายแดนภาคใต้
สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา
และที่สำคัญ คือ
หนังสือที่เกี่ยวกับเบื้องหลังเหตุการณ์ปฏิวัติรัฐประหารเมื่อ 19 ก.ย.49
ซึ่งเป็นเรื่องที่ผู้นำทหารของต่างประเทศให้ความสนใจมาก
โดยปัจจุบันหนังสือทั้ง 6 เล่ม จัดทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว
แต่ยังไม่มีการตีพิมพ์
เนื่องจากเกรงว่าจะส่งผลกระทบต่อบุคคลที่ถูกพาดพิงในหนังสือ
โดยเล่มที่เกี่ยวกับปฏิวัตินี้
พล.อ.สนธิ ต้องการจะให้มีการพิมพ์ภายหลังจากที่ตนเองเสียชีวิตลง
เพื่อเปิดเผยเบื้องหลังเกี่ยวกับการปฏิวัติเมื่อปี 49.
http://www.thairath.co.th/content/pol/247729

"เจ๋ง ดอกจิก" ชี้นักการเมืองใหญ่ระดับชาติเป็นนายทุนใหญ่ค้ายาเสพติด




วันที่ 24 มี.ค. ที่กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสุราษฎร์ธานี ต.ขุนทะเล อ.เมือง จ.สุราษฎร์ธานี นายยศวริศ ชูกล่อมผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย,พล.ต.ต.วิฑูร ธรรมรักษา ผบก.ภ.จว.สุราษฎร์ธานี,นายชะลอศักดิ์ วานิชเจริญ รอง ผจว.สุราษฎร์ธานี ,พ.ต.อ.สนธิชัย อาวัฒนกุลเทพ รอง ผบก.ภ.จว.สุราษฎร์ธานี,และนายจีรศักดิ์ ชัยฤทธิ์ นายอำเภอพนม ร่วมกันแถลงข่าวผลการจับกุมเครือข่ายยาเสพติดในพื้นที่อำเภอพนมจังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้ของกลางยาเสพติดและอาวุธสงครามจำนวนมาก

ประกอบด้วยนายสักรินทร์ หรือชาย ชูประเสริฐ อายุ 38 ปีอยู่บ้านเลขที่ 6 ม.1 ต.บ้านยาง อ.คีรีรัฐนิคม จ.สุราษฎร์ธานี,นายสมรักษ์ แจ่มกลม อายุ 35 ปี อยู่บ้านเลขที่ 140 ม.2 ต.คลองชะอุ่น อ.พนม จ.สุราษฎร์ธานี พร้อมของกลางยาบ้า จำนวน 20 เม็ด , รถยนต์กระบะ เลขที่เบียน บห-3348 สุราษฎร์ธานี ยี่ห้อเชฟโรเลตสีดำ จำนวน 1 คัน , เงินสด จำนวน 20,340 บาท , โทรศัพท์มือถือ 3 เครื่อง

จากนั้นขยายผลนายเมธี หรือบอย อินทร์บำรุง อายุ 29 ปี ขณะเข้าตรวจค้นจับกุม พบกลุ่มวัยรุ่นประมาณ3-4 คนกำลังมั่วสุมเสพยาเสพติดกัน เมื่อเห็นเจ้าหน้าที่จึงได้วิ่งหลบหนี แต่สามารถจับกุมนายเมธีได้ พร้อมของกลางยาบ้าจำนวน 6 เม็ด , ยาไอซ์ 13 ถุง น้ำหนัก 7.68 กรัม ,เสื้อเกราะกันกระสุนสีดำ มีตรา POLICE จำนวน 1ตัว , อาวุธปืนพกแบบคิงคอบบรา ขนาด.22 พร้อมเครื่องกระสุน,อาวุธปืนลูกซองยาวบรรจุ 8นัด จำนวน 1กระบอก , อาวุธปืนลุกซองสั้น ไทยประดิษฐ์ ไม่มีเลขทะเบียน จำนวน 1กระบอกพร้อมเครื่องกระสุน , อาวุธปืนอัดลมติดลำกล้อง พร้อมติดที่เก็บเสียง ไม่ทราบยี่ห้อ จำนวน 1กระบอก , อาวุธปืนยาวอัดลมติดลำกล้อง จำนวน 1 กระบอก, โทรสัพท์มือถือ 5 เครื่อง , เครื่องชั่งยาเสพติดดิจิตอลยี่ห้อ MINGHENG MINISCALE จำนวน 1เครื่อง , อุปกรณ์การเสพยาบ้าและยาไอซ์ จำนวนหนึ่ง

นายยศวริส ชูกล่อม เลขาเลขานุการรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวอีกว่าในจังหวัดสุราษฎร์ธานีและจังหวัดใกล้เคียงมีนักการเมืองใหญ่ระดับชาติเป็นนายทุนให้เครือข่ายยาเสพติดในพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี และยังเป็นเจ้าของซุ้มมือปืนในพื้นที่ด้วยซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่กำลังสืบสวนติดตามคาดว่าจะสามารถกระชากหน้ากากได้ในไม่ช้า


วันที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2555 เวลา 14:15 น.  ข่าวสดออนไลน์

http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNek1qVTNNek00T0E9PQ==&subcatid=



...................................................................................................................................................


โอ้โห นี่บอกกันชัดๆเลยนะครับว่ามีนักการเมืองใหญ่ระดับชาติเป็นนายทุนค้ายา มิน่าล่ะ พวกหมอๆทั้งหลายถีงได้เป็นข่าวกันจังช่วงนี้...




ความลับ ความรู้ ความทรงจำ กรณีปวศ. 19 กันยาฯ โดย ปราปต์ บุนปาน



"คำตอบ" ที่เหมือนไม่ได้ตอบจากปากของ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาแนวทางปรองดองแห่งชาติ และอดีตหัวหน้าคณะรัฐประหารในนาม "คปค." และ "คมช."
ที่มีต่อ "คำถาม" ของ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ บนเวทีเสวนาเพื่อรับฟังรายงานผลวิจัยการสร้างความปรองดองแห่งชาติของสถาบันพระปกเกล้า

เกี่ยวกับเบื้องหลังของ "รัฐประหาร 19 กันยา"
ช่วยเน้นย้ำว่ารัฐประหารดังกล่าว ที่ยังส่งผลพวงมาถึงปัญหาการเมืองไทยในปัจจุบัน

มีสถานะเป็น "ความลับ" ที่เปิดเผยไม่ได้

"แม้ตายแล้วก็เปิดเผยไม่ได้"
(แม้จะแก้เกี้ยวในเวลาต่อมาให้เรื่องราวลดทอนความสลับซับซ้อนลงอย่างไร คนก็ไม่เชื่อว่าไม่มี "ความลับ" ใดๆ ซ่อนอยู่หลังฉากรัฐประหารครั้งนั้น)

มีบางท่านเสนอว่า ประเด็นปัญหาของ "ประวัติศาสตร์ 19 กันยา" มิได้หยุดอยู่ตรงทางแพร่งระหว่างการจะ "จำ" หรือจะ "ลืม"
หากเป็นเรื่องของความ "ไม่รู้"
เมื่อประชาชนเข้าไม่ถึง "ข้อเท็จจริง" หรือไม่รู้ว่า "ความจริง" ข้างหลังรัฐประหาร 19 กันยา คืออะไร?

พวกเขาก็ย่อมตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเลือก "จำ" หรือ "ลืม" เรื่องราวเหล่านั้น แบบไหน อย่างไรดี?
"ความลับ" กรณี 19 กันยา จึงเป็นเรื่องที่ชนชั้นนำในสังคมไทย รวมทั้ง พล.อ.สนธิ ไม่ต้องการให้สาธารณชนได้รับรู้

ราวกับว่าถ้าพวกเขาเข้าถึง "ความรู้" ดังกล่าว สถานะของกลุ่มชนชั้นนำ และความสัมพันธ์ทางอำนาจในสังคมการเมืองของประเทศแห่งนี้ จะถูกกระทบกระเทือน?

แต่ประวัติศาสตร์ก็ไม่ได้มีฐานะเท่ากับการรับรู้ข้อเท็จจริงที่ถูกต้องเป็น "สัจจะสูงสุด" เสมอไป

อาจกล่าวได้ว่าประวัติศาสตร์เต็มไปด้วยความหลากหลาย

รวมทั้งมิได้มีเพียง "ฉบับเดียว"
จึงใช่ว่าเมื่อชนชั้นนำร่วมกันปกปิดข้อเท็จจริงทาง "ประวัติศาสตร์" แบบหนึ่ง

แล้วสามัญชนคนธรรมดาจะไม่สามารถร่วมกันขวนขวายขีดเขียน "ประวัติศาสตร์" ในแบบฉบับของตนเองขึ้นมาได้

"ประวัติศาสตร์" ที่ถูกสร้างโดยคนสามัญนั้น จะ "จริง" จะ "เท็จ" ก็เป็นอีกเรื่อง

และที่สำคัญ ในหลายต่อหลายครั้ง "ความจริง-ความเท็จ" ก็เป็นคนละเรื่องกับ "ความทรงพลัง" ของประวัติศาสตร์ทางเลือกฉบับต่างๆ
หลังปี 2549 เป็นต้นมา ชนชั้นนำไทยแทบทุกคน ทุกกลุ่ม คงตระหนักดีว่า"ประวัติศาสตร์ 19 กันยา" ฉบับสามัญชน มีพลานุภาพน่าเกรงขามอย่างมิอาจดูแคลนได้เพียงใด

จึงไม่รู้ว่า เหล่าผู้มีอำนาจควรหวาดกลัวอะไรมากกว่ากัน ระหว่างการเปิดเผย "ข้อเท็จจริง" เรื่องรัฐประหารจากมุมของพวกตน

หรือจะกลัวความทรงจำเรื่อง 19 กันยา ที่ประชาชนกลุ่มต่างๆ ก่อรูปขึ้นมาด้วยปากและมือของตัวเอง เมื่อ "ข้อเท็จจริงฉบับทางการ" ถูกปกปิดมิให้พวกเขาเข้าถึง

โดยยังไม่ต้องจินตนาการถึงกรณีสุดขั้วที่น่ากลัวยิ่งกว่า 

เช่น "สัจจะความจริง" บางประการที่เคยคิดว่าปิดไว้มิดนั้น ชาวบ้านเขาอาจรับรู้กันหมดเรียบร้อยแล้ว


วันที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2555 เวลา 01:36 น.  ข่าวสดออนไลน์

(ที่มา คอลัมน์สถานีคิดเลขที่ 12 หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ฉบับประจำวันที่ 26 มีนาคม 2555)




 

"วาสนา นาน่วม" เปิด "ลับลวงพรางภาค5" ผ่าแผนต้านปฏิวัติ กางแผนทักษิณกลับไทย และคำทำนายโหรวารินท์



ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่เงียบหายไปเกือบ 2 ปี  วาสนา นาน่วม  ผู้สื่อข่าวสายทหารของหนังสือพิมพ์ บางกอก โพสต์  เจ้าของหนังสือซี่รี่ส์ชุด “ลับลวงพราง” ได้เตรียมเปิดตัวหนังสือเล่มใหม่กับสำนักพิมพ์มติชน “ลับลวงพราง ภาค5” ศึกชิงอำนาจ ผ่าแผนสงครามปฏิวัติ”  ซึ่งจะมีการเปิดตัวที่บูธสำนักพิมพ์มติชน โซนพลาซ่า ในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติระหว่างวันที่ 29 มี.ค.-8 เม.ย. นี้ ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิตติ์

ทั้งนี้หนังสือลับลวงพรางภาค 5 จะแบ่งออกเป็น 4 บท มีความความหนา 495 หน้า พร้อมด้วยการวิเคราะห์ความเป็นมาเป็นไปและเบื้องหลังการเมืองที่เกี่ยวกับกองทัพ มีเนื้อหาโดยย่อดังนี้

บทที่ 1  สงครามเลือกตั้ง สงครามตัวแทน   ที่ชี้ให้เห็นเบื้องหลังว่า ทำไม กองทัพกับพรรคประชาธิปัตย์จึงแพ้การเลือกตั้ง  ทั้งปรากฏการณ์ทหารแตงโม,ไม่กลัวนาย แต่กลัวเมีย และพลาดเพราะ “เนวิน”

บทที่ 2  สงครามกองทัพ  ที่จะเจาะการเมืองภายในของแต่ละเหล่าทัพ และคำตอบจาก ผบ.สส. ผบ.ทบ.ผบ.ทร.และผบ.ทอ. ในประเด็นฮอทต่างๆ  ที่จะทำให้เข้าใจความเป็นไปในกองทัพมากขึ้น ทั้งเรื่องหนักๆและเบาๆ

บทที่ 3 มหาสงครามปฏิวัติ  เปิดเผยแผนการต้านปฏิวัติของ ฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณ และนายทหาร ตท.10 โดย ตอนหนึ่งระบุว่า  ตท.10 เป็นรหัสพินาศ  ที่แม้จะเคยเป็นผู้แพ้ แต่ก็กลับมาเป็นผู้ชนะ แต่ก็อาจกลับไปเป็นผู้พ่ายแพ้อีกครั้ง  รวมทั้งเปิดตัวแกนนำตท.10 คนสำคัญที่เป็นขุนพลข้างกาย พ.ต.ท.ทักษิณ

บทที่ 4 สงครามป้องราชบัลลังก์  ที่เน้นบทบาทของ  ผบ.สส.และ ผบ.ทบ. และกองทัพ ในการปกป้องสถาบัน ท่ามกลางการเมืองและกระแสล้มล้างสถาบันอันเชี่ยวกราก

เนื้อหาตอนหนึ่งในหนังสือระบุว่า  พล.อ.พัลลภ  ปิ่นมณี ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี  ซึ่งเคยอยู่ฝั่ง คมช.ไปร่วมวางแผนกัน 7 คนที่บ้าน ปีย์ มาลากุลฯ ย่านสุขุมวิท เพื่อวางแผนปฏิวัติ 19 กย.2549 เปิดเผยว่า มีความพยายามจากกลุ่มเดิม ในการที่จะปฏิวัติรัฐประหารล้มรัฐบาลพรรคเพื่อไทย เป็น คมช.ภาค2

"ก็เป็นพวกกลุ่มเดิม นั่นแหละ ที่ผมเคยไปร่วมประชุมวางแผนปฏิวัติ ตอน คมช.นั่นแหล่ะ พวกนี้เขายังไม่ยอมหยุด จะพยายามล้มรัฐบาลด้วยวิธีการเดิมๆในอดีต แต่ถ้าไม่สำเร็จ ก็ต้องให้ทหารปฏิวัติ"พล.อ.พัลลภ เตือน

"พวกนั้นเขายังอยู่กันครบนะแต่ละคน รอจ้องอยู่ทั้งนั้น อาจจะมี คมช.อีกครั้ง เพราะทีมงานที่เคลื่อนไหววางแผนกันอยู่ก็พวกเดิมๆทั้งนั้น แต่ถ้าจะกล้าปฏิวัติหรือเปล่า ก็ลองดู" พล.อ.พัลลภ กล่าว


ในเล่มนี้ ยังมีการเปิดเผยแผนการต้านปฏิวัติของ ฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณ และ ตท.10  อย่างละเอียด  ที่จะมีการใช้กำลัง 3ส่วนคือ  คนเสื้อแดง  ตำรวจ และทหารแตงโม  ในส่วนของคนเสื้อแดงมีการฝึกการต้านปฏิวัติ การต่อสู้กับรถถัง การใช้วินมอเตอร์ไซค์ต้านปฏิวัติ  โดยที่ กอ.รมน.กำลังจับตาหมู่บ้านคนเสื้อแดง ในอิสานและเหนือ ว่ามีการปลูกฝังอุดมการณ์การเมืองและการฝึกใช้อาวุธหรือไม่

ฝ่ายทหารที่เป็นสายเสื้อแดงยังมีการตั้งวอร์รูม เพื่อไว้ต่อต้านการปฏิวัติในจุดต่างๆ   เพื่อไว้ใช้เป็นเซฟท์เฮ้าส์และที่รวมตัวหากมีการปฏิวัติเกิดขึ้น  ทั้งที่ สนามบินดอนเมือง  ทุ่งสีกัน กลาโหม เมืองทองธานี และที่สนามบินสุวรรณภูมิ  รวมทั้งบทบาทของ นายฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา และ พล.ท.ฮุนมาเน็ต บุตรชายในการช่วยต้านปฏิวัติ

ในขณะเดียวกัน เนื้อหาในหนังสือยังเปิดเผย วอร์รูมลับ ใน ร.1รอ. ซึ่งเป็นบ้านหลังใหม่ของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่สร้างใกล้เสร็จแล้ว  โดยถูกจับตามองว่า มีการสร้างห้องประชุมที่มีอุปกรณ์ที่ทันสมัยในการสื่อสาร สามารถเป็นที่ประชุมสั่งการได้ตลอด 24ชม.

นอกจากนี้ยังระบุถึงคำสัมภาษณ์ของ อ.วารินทร์  บัววิรัตน์เลิศ  โหรคมช.แห่งเชียงใหม่ ซึ่งเคยร่วมชี้แนะเรื่องการปฏิวัติ 19กย.2549 ให้ พล.อ.สนธิ บุญยะรัตกลิน  ผบ.ทบ.มาแล้ว


โดยโหรคมช.กล่าวตอนหนึ่งว่า พล.อ.ประยุทธ์ ผบ.ทบ. จะเป็นนายทหารกู้ชาติ  เนื่องจาก ในชาติปางก่อน พล.อ.ประยุทธ์ เกิดเป็นหนึ่งในทหารเอก ของ พระองค์ดำ สมเด็จพระนเรศวรมหาราชฯ ซึ่งสอดคล้องกับ ความเชื่อส่วนตัวของ พล.อ.ประยุทธ์  เองที่นับถือ สมเด็จพระนเรศวรฯอย่างมาก

"พล.อ.ประยุทธ์ ถือเป็นความหวังของคนไทย ในการที่จะนำพาชาติรอด และจะเป็นนายทหารที่กู้ชาติ" อาจารย์ วารินทร์ กล่าว

"อย่าให้พูดชัดๆแบบนั้นเลย แต่ พล.อ.ประยุทธ์  จะได้นำกู้ชาติ และเป็นคนที่รักษาชาติ และรักษาราชบัลลังก์ แน่นอน” อาจารย์ วารินทร์ กล่าว  โดยเลี่ยงที่จะบอกว่า เห็นภาพการปฏิวัติหรือไม่ แต่ตอนนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องทำหน้าที่ในการช่วยเหลือรัฐบาล ช่วยเหลือนายกรัฐมนตรีหญิง ไปก่อน

"แล้วผมจะบอก เมื่อใกล้ถึงวันนั้น" อาจารย์ วารินทร์ระบุ

สำหรับ ลับลวงพราง ภาค 5 นี้ ยังมีการเปิดเผย เบื้องหลังการหลุดเก้าอี้ รมว.กลาโหม ของ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา ด้วย

ที่สำคัญคือการเปิดเผยแผนการกลับประเทศของพ.ต.ท.ทักษิณ โดยมีการระบุว่าพ.ต.ท.ทักษิณได้พยายาม"เคลียร์"ในหลายทิศทาง รวมทั้งกับทางกองทัพ ทั้งด้วยตัวเองและผ่านตัวแทน โดยยืนยันว่า จะไม่แก้แค้นแต่จะปรองดองและอยู่กันแบบให้เกียรติซึ่งกันและกัน

นอกจากนี้มีการระบุด้วยว่า นายทหาร ตท.10 เพื่อน พ.ต.ท.ทักษิณ  เตรียมแผนการกลับประเทศ ด้วยการให้บินลงที่สนามบินเชียงใหม่ บ้านเกิด  อันถือเป็นการกลับบ้านเกิด  ไม่ลงที่สุวรรณภูมิ ด้วย 2 เหตุผล คือ 1.เพื่อแก้เคล็ด จากการกลับประเทศครั้งก่อนเมื่อปี 2551  มาจูบแผ่นดิน หรือแผ่นซีเมนต์ที่สุวรรณภูมิ  แต่ก็ต้องหนีออกนอกประเทศอีกครั้ง  จึงจะลงที่เชียงใหม่ ซึ่งถือเป็นการกลับบ้านเกิดจริง

ข้อ2 เป็นเรื่องความปลอดภัย เนื่องจาก กลัวจะถูกลอบสังหาร  เพราะที่สุวรรณภูมิดูแลยาก แต่ที่สนามบินเชียงใหม่ เป็นพื้นที่เสื้อแดง  จึงมีแผนใช้คนเสื้อแดงที่มารอต้อนรับ เป็นเกราะในการป้องกัน พ.ต.ท.ทักษิณ

ส่วนในเรื่องสงครามป้องราชบัลลังก์ นั้น วาสนาได้เขียนถึงบทบาทของ บิ๊กเจี๊ยบ พล.อ.ธนะศักดิ์  ปฏิมาประกร  ผบ.สส.กับ บิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ในการเป็น ขุนศึกค้ำราชบัลลังก์ ในฐานะที่เป็นนายทหารสายวัง ที่ถูกวางตัวมาเป็นผู้นำกองทัพพร้อมกัน เพื่อพร้อมรับสถานการณ์วิกฤตทางการเมือง






มติชนออนไลน์ :http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1332668372&grpid=01&catid=&subcatid=








วันพฤหัสบดีที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2555

โอ๊ย!…เหี้ยขึ้นหอนเห่าคน บนหลังคา!!



วาทตะวัน สุพรรณเภษัช


        ขียนเรื่องการบ้านการเมือง ให้แฟนๆได้อ่านกันทุกๆสัปดาห์นั้น ผมโดนตั้งข้อสังเกต จากสาววัยงามคนหนึ่ง ซึ่งเป็นแฟนคอลัมน์นี้อย่างเหนียวแน่นคน ว่า
        “ทำไมคุณพี่จึงชอบใช้คำว่า ‘เหี้ย’ หรือไม่ก็ ‘พวกเหี้ย’ อยู่บ่อยๆ มีความประทับใจอะไร เป็นพิเศษหรือคะ?  
        โดนเข้าทักอย่างนี้ เลยต้องตรวจดู จึงได้พบว่าจริง เพราะตัวเองนำเอาชื่อสัตว์เลื้อยคลานพันธ์นี้ เข้ามาเกี่ยวข้อง โดยนำมาเป็นส่วนหนึ่งของชื่อคอลัมน์ เช่น

        1. คอลัมน์ชื่อ “ทำเนียบเหี้ย” ซึ่งผมเขียนแนะนำรัฐบาลโลซก ซึ่งขณะนั้นพวกเขากำลังสาละวนกับการ ‘ปรับฮวงจุ้ย’ ที่ทำงานนายกฯ โดยมีการนำรูปสัตว์มายืนประจำทำเนียบ แทนตัวสัตว์ในเทพนิยาย ที่เรียกกันว่า “นรสิงห์” ซึ่งเจ้าของบ้านท่านเดิม คือ เจ้าพระยารามราฆพ ใช้เป็นสัตว์สัญลักษณ์ของบ้าน และใช้ “นรสิงห์” เป็นชื่อบ้านด้วย
        ต่อมาทางราชการซื้อบ้าน “นรสิงห์” ไปใช้เป็นทำเนียบรัฐบาล ได้เปลี่ยนชื่อบ้านเสียใหม่หรูหราว่า “ไทยคู่ฟ้า” หรือ
        “ทำเนียบไทยคู่ฟ้า”         สัตว์ที่ผมแนะนำ ให้ นายอภิแสบ ภักดีโพเดียม หัวหน้ารัฐบาลโลซกในขณะนั้น นำมาทดแทน “นรสิงห์” ไม่ใช่อื่นไกล คือ ตัว “เหี้ย” นั่นเอง และบอกด้วยว่า
        ผู้คนจะได้เรียกทำเนียบ ที่หัวหน้าพรรคดักดาน วิ่งราวอำนาจเข้าไปนั่งเป็นนายกฯ แบบค้านสายตาประชาชนในตอนนั้น ว่า
        “ทำเนียบเหี้ย”  (
http://vattavan.com/detail.php?cont_id=254)        ผมมีเหตุผลอย่างไร ถึงได้แนะนำให้หัวหน้าพรรคดักดาน ตั้งชื่อพิลึกพิลั่นอย่างนั้น
        ท่านที่สนใจ ต้องคลิกเข้าไปอ่านกัน!

        2. ไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ผมได้ย้อนความหลังของหนังสือ ‘รัดทำมะนวย ฉบับหัวคูณ’ เพื่อให้ท่านผู้อ่านที่พลาด ไม่ได้อ่านหนังสือเล่มดังกล่าวทราบว่า
        รัฐธรรมนูญอัปรีย์ฉบับ 2550 นั้น มีที่มาที่ไปอย่างไร พวกสมาชิกสภารัฐประหารอ้างว่า จะช่วยกันร่างให้เป็น ‘หงส์’ แต่ทำไมในที่สุดแล้ว
        มันถึงกลายเป็น ‘เหี้ย’ ได้อย่างไรกัน!?        นี่เอง ที่ทำให้ผมโกรธจัด ต้องลุกขึ้นมา ต่อว่าต่อขาน รัฐธรรมนูญกาลีฉบับนั้นว่า มันเป็น ‘รัดทำมะนวย ฉบับหัวคูณ’ ท่านที่อยากรู้ ต้องตามไปอ่านกันใน
        “จะเอาไข่หงส์ แต่ได้ไข่เหี้ย”         (
http://vattavan.com/detail.php?cont_id=343)
        3. ล่าสุดซึ่งได้ผ่านสายตาท่านไปหมาดๆ คือบทความที่คนอ่านแล้วชอบ คือ ‘ทฤษฎีสมคบคิด’ ของ…ไอ้พวกเหี้ย!!!          http://vattavan.com/detail.php?cont_id=352
        นี่เป็นอีกหนึ่งบทความ ที่ชี้ให้เห็นว่ากันจะจะ ว่า
        ผมเรียกไอ้พวกกาลี ที่คบคิดกันก่อกบฏ ล้มล้างนายกฯ ทักษิณ โดยเรียกเหมารวมแบบยกชุดว่า เป็น “ไอ้พวกเหี้ย” นั้น มีที่มาที่ไปอย่างไร?
        คอลัมน์หลังนี้ ได้รับความสนใจจากผู้คน มีการนำไปเผยแพร่ในเว็บไซด์ต่างๆ จนกระทั่งคนเขียนเอง ยังรู้สึกแปลกใจ

        ก่อนหน้าที่ผมจะเขียนเรื่องเหี้ย ลงใน www.vattavan.com นั้น ผมเคยเขียนคอลัมน์ ชื่อ “เหี้ยส่องกระจก” ลงในเว็บ ‘ผู้จัดการ’ มาก่อน ในคอลัมน์ “กาแฟขม ขนมหวาน” เมื่อผมเล่านิทานแบบชาดก ให้ท่านผู้อ่านฟัง แต่คอลัมน์นี้ทาง ‘ผู้จัดการ’ ไม่ได้เก็บไว้ เพราะเขาเก็บข้อเขียนของผม เอาไว้เพียง 200 ตอนหลัง เท่านั้น ไม่เหมือนเว็บ http://www.vattavan.com/ ที่เก็บข้อเขียนของผมเอาไว้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์
        ท่านผู้อ่านนึกจะอ่าน หรือใช้เป็นข้อมูลเมื่อใด ก็สามารถค้นคว้าได้อย่างสะดวก

        วันนี้ จึงขอถือโอกาสนำเรื่อง “เหี้ยส่องกระจก” มาเล่าสู่กันฟังอีกครั้ง สำหรับท่านที่พลาดไป
        เรื่องเป็นอย่างนี้ครับ

        รุงสาระขันขัน อันเป็นเมืองหลวงของประเทศสาระขันขัน ก็มีสวนสัตว์ใหญ่โตเหมือนกับกรุงเทพฯบ้านเรา และที่ประชุมสภา กรุงสาระขันขันยังตั้งไม่ห่างจากสวนสัตว์เท่าไรนัก        เวลาพวกสมาชิกสภากรุงสาระขันขันมาประชุม สัตว์ก็เห็นพวกเขา และสมาชิกก็เห็นสัตว์ เหมือนเพื่อกัน เพราะไม่รู้สึกแปลกหน้า แต่สัตว์จะเห็นแปลกหน่อย ก็ตรงที่หน้าประตูใหญ่ตรงทางเข้าของสภา มีกระจกบานใหญ่ตั้งอยู่        ก่อนที่สมาชิกสภาเมืองจะเข้าประชุม พวกสัตว์จะเห็นสมาชิกแต่ละคน ยืนส่องกระจก คล้ายจะสำรวจความเรียบร้อยตัวเองก่อนเข้าประชุม
        ทันทีที่ส่องกระจก เกือบทุกคนแสยะยิ้ม และเดินอกตั้ง คอแข็ง เชิดหน้า เดินกางข้อ เข้าสภาไป
        มีสมาชิกสภาเมืองเพียงจำนวนน้อยนิดเท่านั้น นับดูได้ไม่กี่คน ที่เดินมาส่องกระจกบานนี้แล้ว ก็เดินจากไปด้วยอาการสงบ สำรวมเป็นปกติดี เหมือนตอนเดินเข้าประตู ไม่มีกริยา
เดินหน้าเชิด ปั้นปึ่ง เป็นกริยาที่ชาวบ้าน เรียกว่า “เบ่ง” อย่างพวกแรก
        พวกสัตว์ทั้งหลาย มองเห็นอาการแตกต่างของผู้คน ก้อยากรู้ว่า
        ทำไมพวกนี้ถึงยิ้มอย่างภูมิฐาน และทำไมข้อของพวกนี้จึงกางออก แสดงกริยาเหมือนกันไปเสียเกือบหมดทุกคน

        ในสวนสัตว์นั้น มีเหี้ยอยู่หนึ่งตัว แต่มันไม่ถูกกักขังเหมือนสัตว์อื่น ไม่รู้ว่าหลุดรอดมาจากที่ใด แต่อาศัยอยู่ในสวนสัตว์นั้นด้วย และมันมีอิสระไปไหนมาไหนได้ อีกทั้งยังมีความคล่องแคล่ว ปราดเปรียว ในการหลบหลีกผู้คน ทำให้อยู่รอดและหากินได้ อย่างมีความสุขตลอดมา
        ความสงสัยของหมู่สัตว์มากขึ้นทุกที เหี้ยจึงได้รับการร้องขอจากเพื่อนส่ำสัตว์ ขอให้ช่วยหาทาง ไปลองส่องกระจกที่หน้าสภาดูหน่อย แล้วมาบอกพรรคพวกเพื่อนสัตว์ว่า เห็น
อะไร ที่ทำให้คนเกือบทั้งหมด ที่เดินเข้าไปในสภา
        เกิดอาการ “เบ่ง” อย่างนั้นได้!?
        เหี้ยของเราเป็นสัตว์ไม่ขัดเพื่อนอยู่แล้ว รับอาสาจะไปให้ จึงหาทางมุดลอดจากท่อระบายน้ำ เข้าไปในเขตของสภา
        พอเดินผ่านหน้ากระจก เหี้ยส่องกระจกแล้ว ถึงกับผงะด้วยความตกใจสุดขีด


        เพราะภาพที่ปรากฏให้เห็นในกระจก...เป็นอย่างนี้!        เพื่อนสรรพสัตว์จ้องมองดูเหี้ย ที่เดินกลับออกมาจากสภา เข้ามาสวนสัตว์ ทุกตัวได้เห็นภาพเหี้ยเดินแสยะยิ้ม เชิดหน้า ข้อกาง ส่ายอาดๆเข้ามา เหมือนพวกสมาชิกสภาเมืองไม่มีผิด ส่ำสัตว์ทั้งหลายจะถามอะไร มันก็ไม่ยอมตอบ
        นับแต่นั้นมา เหี้ยตัวนี้ เดินข้อกาง ไม่ยอมหุบ เชิดหน้า แหกปากยิ้มแสยะ อย่างน่าชิงชังตลอดเวลา
        ไม่ยอมพูดจากับเพื่อน ส่ำสัตว์ทั้งหลาย อีกต่อไป!!!
        าดกฉบับ ‘วาทตะวัน’ ตอนนี้ ผู้เขียนได้นำไปเป็นชื่อหนังสือ ที่รวบรวมคอลัมน์ที่เขียนเอาไว้ ทั้งคอลัมน์ “เหี้ยส่องกระจก” ด้วย ต่อมาได้นำมาเป็นชื่อหนังสือ ซึ่งแฟนๆได้กรุณาซื้อหาไปอ่านกันมากมาย
        รูปหน้าปกหนังสือ นั้น เป็นที่ประทับใจของผู้คน เพราะผู้ออกแบบใช้แนวคิดแบบการ์ตูนของผม แต่เขาสามารถทำปกออกมาได้สวยงาม เป็นรูปเหี้ยตัวนูน มองจ้องดูตัวเอง ที่
กลายเป็น “เทวดา” ในกระจก อย่างประหลาดใจ และเป็นเหตุให้ไอ้เหี้ยมันหลงผิด คิดว่าตัวเองเป็น
      

  เทวดา!        เรื่องไอ้พวกเหี้ยที่คิดว่าตัวเองเป็นเทวดา บ้านเราดูจะมีมากเอาการอยู่นะครับ!!
content/picdata/356/data/photo9_14.jpg

        ผมรู้สึกแปลกใจกับยอดขายหนังสือเล่มนี้ ทั้งๆที่ไม่ได้วางตลาด เพราะตอนพิมพ์ออกมานั้น พรรคดักดานดันเข้ามาสู่อำนาจพอดิบพอดีดี เลยต้องขายเองด้วยวิธีพิเศษ และการสั่งทางเว็บไซด์ ซึ่งก็ได้พิสูจน์ว่า 

        เรื่องการวางจำหน่าย ไม่ใช่ทางบังคับเสมอไป!!!  



        คงจะเข้าใจดีเหี้ยขึ้น!

        คนไทยเรานั้น ถือว่าเหี้ยเป็นสัตว์อัปมงคล เพราะมันไม่ได้กินของตายอย่างเดียว เหมือน “นกแร้ง” แต่บางครั้งของสดมันก็กินด้วย โดยเฉพาะการเข้าไปลักกินเป็ด-ไก่ ตามเล้าของชาวบ้าน ทำให้ผู้คนที่เป็นเจ้าของขัดเคืองมัน 

        การที่มีเหี้ยเข้ามาในบ้านนั้น ที่สำคัญคือ เจ้าของบ้านไม่รักษาความสะอาด ปล่อยให้มีขยะสิ่งของสกปรก รวมทั้งสัตว์ตาย เอาไว้ในบ้าน จนเหี้ยต้องเข้ามาทำความสะอาดให้

        หี้ยนั้นผูกพันกับเรื่องความเป็น ‘อัปมงคล’ มาแต่โบราณ แม้กระทั่งเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน ยังมีการขับเสภาตลกที่เกี่ยวกับลางร้าย ที่เกิดขึ้นบ้านขุนแผน ดังนี้

        “ครานั้นขุนแผนแสนสนิท
        เรืองฤทธิ์ราวีจะมีไหน
        เมื่อถึงคราวจะมีเหตุเภทภัย
        ก็เกิดลางร้ายใหญ่หลายประการ
        ผึ้งมาจับกรูบูรพทิศ
        วิปริตมากมายหลายสถาน
        เห็ดขึ้นกลางเตาเท่าลำธาร
        เต่าก็คลานขึ้นไปขี้บนที่นอน
        แมวออกลูกห้าตัวหัวเป็นเต่า
        หมามีเขาขึ้นที่หน้าคล้ายกาสร
        รุ้งกินน้ำในกระถางอ่างมังกร


        เหี้ยขึ้นหอนเห่าคนบนหลังคา...”

       
 บทเสภานี้ คงมีนานกว่าอายุของกรุงรัตนโกสินทร์ เพราะเกิดมาแต่สมัยอยุธยา แต่ดูถ้อยคำที่ใช้ ได้บอกเรื่องราวที่คนไทยเชื่อถือ ว่า
        สิ่งที่ลางบอกเหตุร้าย หรือที่เคยไทยถือว่า เป็นอัปมงคลนั้น มีหลายอย่างด้วยกัน
        พออธิบายได้ว่า


        1. ถ้าผึ้งป่าหรือผึ้งหลวง มาทำรังหรือจับในบ้าน ตรงด้านบูรพาทิศ เจ้าของบ้านจะโชคไม่ดี หรือมีเคราะห์ หากไปจับด้านตรงข้าม คือทิศตะวันตก จึงจะเป็นมงคล

        2. เห็ดขึ้นกลางเตาหุงข้าว ซึ่งตรงนี้ความจริงแล้วไม่น่าแปลกเท่าใด เพราะสปอร์นของเห็ดชอบที่ตรงมีขี้เถ้า ถ้ามันปลิวและขี่เถ้านั้นถูกทิ้งไว้ให้เย็นและมีความชื้น เห็ดก็ขึ้นได้ แต่คนไทยถือว่าเป็นเรื่องอัปมงคล เพราะเห็ดนั้นปกติจะงอกในที่ชื้นร่มเย็น ดันโผล่มากลางเตา ที่น่าจะทั้งร้อนและแห้ง
        โบราณถือว่า เป็นเรื่องวิปริต และเป็นอัปมงคล!


        3. เรื่อง “แมวห้า-หมาหก” นั้น เป็นคำพูดติดปากคนไทย เพราะถ้าเจ้าของบ้านเป็นสามัญชนคนธรรมดา หากคอบครองหมาและแมวมีจำนวนตามนี้ ก็ดูจะมากเกินไป เพราะคนไทยเรานั้น เลี้ยงสัตว์เอาไว้เพื่อทำประโยชน์ ไม่ได้เลี้ยงให้เสียข้าวสุกเปล่าๆ เช่น แมวก็เอาไว้จับหนู ส่วนหมานั้นเอาไว้เฝ้าบ้าน หากมีจำนวนมากเกินไปก็สิ้นเปลืองมากไป ซึ่งไม่เป็นมงคล

        4. รุ้งกินน้ำในบ้าน นี่ไม่ค่อยได้เห็น ถ้าบ้านไม่มีบ่อหรือคูน้ำ แต่หาก ‘หัวรุ้ง’ ดันตกลงไปบ่อหรือคูน้ำในบ้าน หรือแม้แต่ในอ่างน้ำหรือกระถางก็ตามที ที่เรียกว่า
        “รุ้งกินน้ำ”         คนไทยถือว่าเป็นเรื่องวิปริต หรือเป็นอุบาทว์ เพราะไม่มันค่อยเกิดขึ้นนั่นเอง

        สำหรับเรื่อง “เหี้ย” นั้น ความเป็นอัปมงคล ได้อธิบายความไปแล้ว แต่สำหรับตัวผมเองนั้น คุ้นเคยกับเหี้ยมาแต่ครั้งยังเป็นเด็ก อยู่ในโรงเรียนประจำ วชิราวุธ วิทยาลัย 
        โรงเรียนของผมกว้างขวางมาก เนื้อที่มากกว่าหนึ่งร้อยสามสิบไร่ ด้านถนนราชวิถี ที่อยู่ติดกับสวนสัตว์ ‘เขาดินวนา’ มีเพียงถนนคั่นกลางกันไว้ ตอนเป็นเด็ก ผมกับเพื่อนจึงคุ้น
เคยกับเขาดินมาก 

        ในวชิราวุธฯนั้น มีสระน้ำใหญ่โต ขุดเป็นรูปแผนที่ประเทศไทย ความใหญ่โต พอๆกันกับบ่อน้ำในสวนสัตว์เขาดิน แถมยังเชื่อมถึงกันทางท่อระบายน้ำอีกด้วย


        ดังนั้น สระน้ำในโรงเรียนของผม จึงมีปลาชุมชุมเหมือนเขาดิน แถมยังมีกุ้งก้ามกรามตัวโตๆเบ้อเริ่มเทิ่มอีกด้วย ผมกับเพื่อนๆเคยตกมาย่างกินก็หลายครั้ง

        นอกจากนั้นยังมีสัตว์อื่น มาปรากฏให้เห็นเป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็นเต่าหรือตะพาบ แถมยัง “เหี้ย” อวดโฉมให้เห็นสม่ำเสมอ จนคุ้นเคยกันดี แต่บางครั้งก็เกิดเรื่องน่าเศร้า
สำหรับพวกมัน
        สาเหตุมาจากเด็กสมัยผม ชอบฟังละครวิทยุเรื่องดัง ชื่อ “ล่องไพร” ของนักประพันธ์ใหญ่ คือคุณ น้อย อินทนนท์ ในตอนนั้น ซึ่งมีอิทธิพลอย่างมาก ทำให้เด็กหลายคนในยุคผม ใฝ่ฝันอยากเป็นนายพรานใหญ่ จะได้ถือปืนยาวออกไปล่าสัตว์แบบ “ศักดิ์ สุริยัน” พระเอก “ล่องไพร” ในนวนิยายดังของคุณน้อยฯ

        จึงไม่แปลกใจ ที่เด็กในรุ่นผม อยากเป็นพรานล่าสัตว์จนตัวซี้ตัวสั่น พอเห็นเหี้ยพลัดหลงขึ้นมาจากบ่อน้ำ พรานรุ่นเยาว์ก็เอาไม้ไล่ตีจนตาย เอาซากมันมาผ่าสำรวจเครื่องในกัน
        เด็กที่อยู่ในขบวนการไล่ตีเหี้ยรุ่นผมนั้น พอโตขึ้นแล้ว บางคนกลับกลายเป็น ‘นักอนุรักษ์สัตว์’ ที่มีชื่อเสียง จนผู้คนรู้จักกันดี เช่น พิสิษฐ์ ณ พัทลุง ผู้ก่อตั้ง มูลนิธิสัตว์ป่าและ
พันธุ์พืช เป็นต้น
        ความจริงในกรุงเทพเรานั้น หากในบ้าน วัด โรงเรียนฯลฯ หรือสถานที่อื่นใด ที่อยู่ใกล้แม่น้ำ หรือมีสระน้ำขนาดใหญ่ เรามักจะพบเห็นเหี้ยได้เสมอ
        ตอนผมเป็นเด็ก พ่อและแม่ผมชอบพาครอบครัวเรา ไปปิกนิกกันในสวนลุมพินี โดยนำอาหารไปรับประทาน ส่วนมากก็เป็นข้าวห่อใบบัว ประเภทข้าวผัดน้ำพริก ข้าวผัดปลา
สลิดฯลฯ นอกจากนั้นก็เป็นแซนวิช แล้วพ่อแม่ก็นอนบนเสื่อกระจูด ดูลูกๆก็วิ่งเล่นกัน
        จำได้ดีว่า เคยเห็นเหี้ยเดินส่ายอาดๆในสวนลุมฯ หลายครั้งหลายหน!         โตเป็นผู้ใหญ่ ทำงานแล้ว ผมไปวิ่งที่สวนลุมฯเป็นประจำ เพราะสวนสาธารณะเก่าแก่นี้ ตั้งอยู่บนทางผ่านไปที่ทำงาน และอยู่ห่างจากบ้านผมแค่กิโลเมตรเศษ
        จึงมีโอกาสได้พบเห็นบรรดาเหี้ย เดินเล่นอย่างไม่กลัวคนในสวยบ่อยครั้ง!

        ในสวนลุมมีอาคารหลังหนึ่ง ชื่อ “อาคารลุมพินีสถาน” สถานที่แห่งนี้ อยู่ในความทรงจำสำหรับหนุ่มสาวยุคผม เพราะเป็นที่ตั้งของฟลอร์เต้นรำ บางทีก็เรียกอย่างไม่เป็นทางการว่า
        “เวทีลีลาศสวนลุมพินี”         เวทีสวนลุมฯแห่งนี้ เคยเป็นที่หนุ่มสาวมาชุมนุมเต้นรำกัน มีความพิเศษตรงที่ นอกจากเป็นฟลอร์ลีลาศที่กว้างขวางแล้ว ยังเป็นที่จัดงานต่างๆ เช่น งานฉลองปริญญา โดยมีวงดนตรีขนาดใหญ่ไปเล่น ซึ่งเจ้าประจำสำหรับงานใหญ่ไม่ใช่วงไหน แต่เป็นวงดนตรี “สุนทราภรณ์” นั่นเอง
        วงดนตรีสำคัญของชาติวงนี้ มาบรรเลง ณ เวทีสวนลุมฯอย่างสม่ำเสมอ ต่อเนื่องเป็นเวลายาวนาน เพื่อให้คนที่มางานรื่นเริง ได้เต้นรำตามจังหวะดนตรีอันไพเราะสนุกสนานกัน
จนเป็นที่จดจำของผู้คนในยุคนั้น
        เมื่อบ้านเมืองของเราเปลี่ยนแปลงไป มีสถานที่ใหม่ๆเกิดขึ้นมาก รสนิยมของผู้คนเปลี่ยนตามไปด้วย คนรุ่นใหม่ย้ายไปจัดงานที่อื่นมากขึ้น แต่นานๆครั้ง ก็มีการจัดลีลาศที่เวทีแห่งนี้ 
        ทางกรุงเทพมหานคร ได้สร้างอนุสาวรีย์ ครูเอื้อ สุนทรสนาน ตั้งอยู่เด่นเป็นสง่าอยู่หน้าฟลอร์สวนลุมฯ เพื่อเป็นการรำลึกถึง และให้เกียรติกับครู ซึ่งเป็นศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ของชาติ
ไทยเรา
        นักเต้นรำรุ่นเก่าอย่างผม ทั้งชายและหญิง ที่ยังมีผูกพันกับสถานที่แห่งนี้ เวลาพบหน้าพบตา คุยความหลังกันทีไร


        สนุกทุกที...เช่น

        เรื่อง ‘คุณเหี้ย’ ที่เราเคยเห็นในสวนลุมฯ สมัยพรรคพวกผม ยังเป็นหนุ่มเป็นสาวกัน นั้น
        บางวันเป็นเพราะอยากฟังดนตรี หรืออย่างไรไม่ทราบได้ บรรดา ‘พวกเหี้ย’ ทั้งหลาย พากันเดินพาเหรดขึ้นไป เดินลอยหน้าลอยตา บนฟลอร์สวนลุมฯ ไม่เกรงอกเกรงใจผู้ใด
เล่นเอาผู้คนตั้งใจจะมาเต้นรำสมัยนั้น

        แตกตื่น...กันไปเลย!

        มาถึง พ.ศ.นี้ คนไทยไม่เกรง ‘เหี้ย’ จะบุกขึ้นไปบนเวทีลีลาศสวนลุมฯ กันอีกแล้ว เพราะต่อให้พวกมันขึ้นไปเต้นระบำ ร้องรำทำเพลงทุกวันศุกร์ หรือจะไปสุมกบาลเม้าท์กันเป็นฝูง ตั้งแต่วันจันทร์-ยันวันอาทิตย์ ก็คงไม่มีใครสนใจ
        ขอแต่เพียง อย่าถึงกับ...

        ขึ้นไปหอนเห่าคนบนหลังคา ให้เป็นกาลีบ้าน-กาลีเมือง เท่านั้น...ก็คงพอกระมัง!!!?
...555...
.......................
 บทความประจำสัปดาห์  โอ๊ย!…เหี้ยขึ้นหอนเห่าคนบนหลังคา!! ออนไลน์ วันเสาร์ ที่ 24 มีนาคม 2555)

http://www.vattavan.com/detail.php?cont_id=356



 
 
เพราะมันชอบกินของเน่าของสกปรก คนไทยถือว่าเป็นเรือง “อัปมงคล” แต่ความจริงแล้ว เป็นเพราะ...        เจ้าของบ้านเป็นคนขี้เกียจ และสกปรกนั่นเอง!
 
        เรื่องของ “เหี้ย” นั้น ในความเห็นส่วนตัวแล้ว ผมเห็นว่ามันมีประโยชน์ เพราะเป็นสัตว์ที่ทำความสะอาดให้ลำน้ำ คล้ายภารโรงเพราะมันจะกำจัดเศษซากสิ่งต่างๆ ที่อยู่ตาม
ท้องน้ำ ทำให้สิ่งของที่ผู้คนทิ้งไป ไม่เน่าเสีย จนกลายเป็นภาระในด้านสิ่งแวดล้อม
        ใครอยากเห็นเหี้ยกำจัดสิ่งโสโครกอย่างไร ลองไปที่ร้าน “ทองชุบ” อำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี ซึ่งเป็นแพอยู่ริมแม่น้ำ
        ระหว่างรับประทานกุ้งเผาแสนอร่อย ท่านจะเห็นฝูงเหี้ย ขึ้นมากินเศษซากอาหาร ที่ผู้คนหยิบโยนให้แล้ว 

เปิดคิวคดีเหยื่อปืนเม.ย.-พ.ค.53

น.  
ากเหตุการณ์สลายการชุมนุมเมื่อเดือนเม.ย.-พ.ค.2553 มีผู้เสียชีวิตจำนวน 91 ศพ 

ผลการสอบสวนที่ยืดเยื้อมานาน สุดท้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจบช.น.และอัยการสรุปผลการสืบสวนสอบสวนคดีชันสูตรพลิกศพและส่งสำนวนให้ศาลอาญาพิจารณานัดวันไต่สวนแล้วจนถึงขณะนี้ทั้งสิ้น 18 คดีซึ่งพยานหลักฐานบงชี้ว่าอาจเกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ ประกอบด้วย

คดีที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 10 เม.ย. เมื่อเจ้าหน้าที่ปะทะกับคนเสื้อแดง บริเวณสี่แยกคอกวัว อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย จนถึงเหตุการณ์วันปะทะเดือด 19 พ.ค.บริเวณสี่แยกราชประสงค์ 

นายวสันต์ ภู่ทอง อายุ 39 ปี ชาวสมุทรปราการ ซึ่งเข้าร่วมชุมนุมกับคนเสื้อแดง และถูกสไนเปอร์ยิงกระสุนเข้าศีรษะระหว่างถือธง จนเสียชีวิต ขณะเกิดเหตุเจ้าหน้าที่เข้าสลายการชุมนุมของคนเสื้อแดง บริเวณแยกคอกวัว กทม. เมื่อวันที่ 10 เม.ย.2553 

ขณะที่ นายฮิโรยูกิ มูราโมโตะ ชาวญี่ปุ่นช่างภาพสำนักข่าวรอยเตอร์ ถูกยิงด้วยกระสุนอาก้า เอเค 47 เข้าที่หน้าอก เสียชีวิตเมื่อวันที่ 10 เม.ย. 2553 เวลา 21.00 น. ด้านหน้าโรงเรียนสตรีวิทยา ถนนดินสอ แขวงบวรนิเวศ เขตพระนคร กรุงเทพฯ

นายทศชัย เมฆงามฟ้า วัย 44 ปี พร้อมครอบครัวเข้าร่วมชุมนุมกับกลุ่มนปช. อาศัยอยู่ที่แขวงสวนจิตรลดา เขตดุสิต กรุงเทพฯ ถูกยิงที่หน้าอกทะลุหัวใจ เสียชีวิตบริเวณหน้าโรงเรียนสตรีวิทยา เมื่อวันที่ 10 เม.ย.2553

นายมานะ อาจราญ พนักงานดูแลบำรุงรักษาสัตว์สวนสัตว์ดุสิต ถูกยิงตายในสวนสัตว์ดุสิต เมื่อวันที่ 10 เม.ย.2553 ซึ่งเป็นวันแรกที่เจ้าหน้าที่รัฐปะทะกับม็อบ โดยทหารชุดหนึ่งเข้าไปประจำการอยู่ในสวนสัตว์ดุสิต และนายมานะ ถูกยิงเสียชีวิตขณะที่เพิ่งเลิกงานกำลังจะเดินทางกลับบ้านตอนดึก

พลทหารณรงค์ฤทธิ์ สาละ ถูกยิงเสียชีวิต เมื่อวันที่ 28 เม.ย.2553 บน ถ.วิภาวดีรังสิต เขตดอนเมือง กทม. ขณะขี่จักรยานยนต์กับพวกเพื่อมาสมทบกับทหาร-ตำรวจที่ตั้งแถวป้องกันกลุ่มผู้ชุมนุมเดินทางผ่านมาทาง ถ.วิภาวดีฯโดยมีพยานยืนยันว่าเห็นเจ้าหน้าที่ยิงปืนเข้าใส่กลุ่มรถจักรยานยนต์ที่แล่นเข้ามา

นายชาติชาย ชาเหลา หนึ่งในผู้ชุมนุมถูกยิงตายเมื่อวันที่ 13 พ.ค.2553 ระหว่างเดินถ่ายวิดีโอบริเวณริมถนนพระราม 4 ตรงข้ามสวนลุมพินี

นายบุญมี เริ่มสุข อายุ 71 ปี ถูกยิงเมื่อวันที่ 14 พ.ค. 2553 บริเวณทางเท้าข้างร้านอาหารระเบียงทอง เขตปทุมวัน กทม. โดยไม่ได้เกี่ยวข้องกับการชุมนุม เนื่องจากไปกินอาหารที่ร้านดังกล่าว พอเดินออกมาก็ถูกยิงได้รับบาดเจ็บ รักษาตัวอยู่นาน 2 เดือนก่อนจะเสียชีวิต 

นายชาญณรงค์ พลศรีลา ถูกยิงเมื่อวันที่ 15 พ.ค.2553 บริเวณ ถ.พญาไท เขตราชเทวี กทม. ขณะใช้หนังสติ๊กยิงต่อสู้กับเจ้าหน้าที่

ด.ช.คุณากร ศรีสุวรรณ หรือ น้องอีซา อายุ 14 ปี ถูกยิงเข้าหลังทะลุท้อง และ นายพัน คำกอง ถูกยิงต้นแขนซ้ายกระสุนตัดเส้นเลือดใหญ่ 

เหตุเกิดที่ซอยโรงหนังโอเอ ถนนราชปรารภ เมื่อวันที่ 15 พ.ค.2553 โดยทั้งสองรายไม่ได้เข้าร่วมชุมนุม แต่ถูกกระสุนพลาดไปโดนจนเสียชีวิต

นายเกียรติคุณ ฉัตร์วีระสกุล และนายประจวบ ประจวบสุข ตายในเหตุการณ์เดียวกัน คือการปะทะกันบริเวณใต้ทางด่วนพระราม 4 เมื่อวันที่ 16 พ.ค.2553

คดีฆ่าหมู่ 6 ศพในวัดปทุมวนารามราชวรวิหาร เขตอภัยทาน ถูกยิงเสียชีวิตเมื่อเย็นวันที่ 19 พ.ค.2553 ได้แก่

นายรพ สุขสถิตย์ อายุ 66 ปี เป็นคนขับรถลีมูซีนส่งผู้โดยสารที่สนามบินสุวรรณภูมิ เข้าร่วมชุมนุมกับคนเสื้อแดงบริเวณสี่แยกราชประสงค์ แต่มาถูกยิงเสียชีวิตภายในวัดปทุมฯโดยเป็นศพสุดท้ายที่ตกค้างอยู่ภายในสถาบันนิติเวช ร.พ. ตำรวจ เนื่องจากเจ้าหน้าที่ระบุชื่อผิดเป็น นายวิชัย มั่นแพ อายุ 30 ปี จนเกิดความสับสน

น.ส.กมนเกด อัคฮาด ซึ่งเป็นพยาบาลอาสาประจำเต็นท์หน้าวัดปทุมวนาราม ถูกยิงด้านหลังกระสุนทะลุฝังศีรษะ 1 นัด นายมงคล เข็มทอง อายุ 37 ปี เจ้าหน้าที่อาสาสมัคร มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ถูกยิงหน้าอกขวา 1 นัด นายอัครเดช ขันแก้ว ผู้ช่วยพยาบาลภายในเต็นท์ ถูกยิงต้นแขนขวาทะลุโหนกแก้มขวา 1 นัด โดยทั้ง 3 ไม่เกี่ยวข้องกับการชุมนุม พยายามเข้าไปช่วยเหลือผู้บาดเจ็บโดยไม่เลือกฝ่าย แต่กลับถูกรัวยิงจนเสียชีวิตคาเต็นท์พยาบาลที่อยู่ในวัด

นายสุวัน ศรีรักษา ทำงานเป็นช่างก่อสร้างและเป็น 1 ในการ์ดนปช. ถูกยิงหน้าอกซ้าย 1 นัด 

นายอัฐชัย ชุมจันทร์ วัย 28 ปี บัณฑิตนิติ ศาสตร์จากรั้วรามคำแหง เข้าชุมนุมทำหน้าที่ช่วยดูแลแจกอาหาร ประจำหน้าเวทีราชประสงค์ ซึ่งขณะเดินออกมาจากรั้วประตูวัดปทุมวนาราม ถูกยิงด้วยอาวุธสงคราม เข้าด้านหลังทะลุหน้าอก 1 นัด ที่บริเวณเหนือราวนมข้างซ้าย กระสุนทะลุปอด เสียชีวิต


ที่มาข่าวจาก ข่าวสดออนไลน์ วันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2555 เวลา 09:59 น. 



วันอังคารที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2555

มองประเด็นเดือด"ใครสั่งปฏิวัติ"




เวทีปรองดองทำท่าจะเป็นสนามมวยสร้างวิกฤตรอบใหม่
เมื่อ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนา ตั้งคำถามถึงผู้อยู่เบื้องหลังรัฐประหาร 19 ก.ย.49 กับ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ประธานกรรมาธิการปรองดอง ในฐานะอดีตประธาน คมช. 
การเปิดประเด็นดังกล่าว ทั้งที่เหตุการณ์ล่วงเลยมาเกือบ 6 ปี จะมีผลต่อการสร้างบรรยากาศความปรองดองในขณะนี้หรือไม่ รวมถึงถ้ารู้ความจริงที่เกิดขึ้นแล้ว จะเกิดประโยชน์ต่อประเทศในทางใด
นักวิชาการและผู้ที่เกี่ยวข้องทางการเมือง แสดงความเห็นไว้อย่างน่าสนใจ


จาตุรนต์ ฉายแสง 
อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย 

ขึ้นอยู่กับฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องว่าจะตอบคำถาม อธิบาย หรือทำอย่างไรกับเรื่องนี้ เนื่องจากมีประชาชนสนใจ ติดใจว่าใครทำอะไรไปบ้าง รวมทั้งความจริงในช่วงนั้นคืออะไร ซึ่งหลายประเทศก็ตั้งคำถาม

พล.ต.สนั่นจะตั้งคำถามกับพล.อ.สนธิก็ไม่แปลก เพราะสังคมอยากรู้ หากรู้แล้วจะทำอย่างไรต่อไป นำไปสู่การลงโทษ ขอโทษหรือให้อภัยก็เป็นอีกเรื่อง 

แต่หลังเกิดเหตุรัฐ ประหารปี཭ การลงโทษคงไม่ใช่ประเด็นอีกต่อไป เพราะเกิดการนิรโทษกรรมตัวเองกันไปเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นหากความจริงปรากฏก็เหลือเพียงแค่การขอโทษ และการให้อภัยทางการเมืองเท่านั้น 

แต่บังเอิญว่าความจริงเรื่องนี้ไม่ปรากฏ ดูจากการตอบคำถามของพล.อ.สนธิที่ว่าถึงตายก็ตอบไม่ได้ว่าใครสั่งการ เมื่อคนที่รู้เรื่องดีที่สุดไม่ตอบ คงไม่สำคัญอีกแล้วว่าใครเป็นคนสั่งการหรืออยู่เบื้องหลัง

แต่ประเด็นสำคัญคือ จะทำอย่างไรให้สังคมเกิดความเข้าใจมากขึ้นในการปฏิเสธและเห็นความเลวร้ายของการรัฐประหารที่สร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงกับประเทศ 

รวมทั้งให้ผู้ที่สั่งการอยู่เบื้องหลังเกิดความสำนึกว่า ทำความเสียหายให้กับบ้านเมืองยับเยิน จากนี้ไปจะไม่ทำแบบนี้อีก 

การสร้างความปรองดองในขณะนี้ ที่มีหน่วยงานทำวิจัยและทำข้อเสนอออกมาเพื่อหาทางออก กลับถูกมองว่าเป็นพวกมีสังกัดหรือฝักใฝ่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอีก ทำให้การหาทางออกยังยากอยู่ 

ดังนั้น มีอยู่ 2 ทางคือ 1.เริ่มจากฝ่ายที่จะไม่ได้ประโยชน์ เช่น กลุ่มเสื้อแดงซึ่งถูกกระทำ เห็นถึงความจำเป็นและประโยชน์ของการปรองดอง โดยยอมหรือให้อภัยรัฐบาลที่สั่งฆ่าประชาชน เป็นต้น 

และ 2.ทำให้สังคมหรือผู้ที่เห็นความสำคัญของการแก้ปัญหาช่วยกันออกเป็นฉันทามติหรือกระแสสังคม ให้คู่ขัดแย้งยอมถอย ยอมที่จะไม่ได้ประโยชน์ หรือยอมที่จะต้องเสียอะไรบ้างเพื่อหาทางออก 

เพราะหากปล่อยให้คู่ขัดแย้งเดินเรื่องกันไปตามลำพัง จะเกิดความขัดแย้งแบบไม่สิ้นสุด 

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคงไม่ได้ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กลับบ้านเร็วขึ้น พ.ต.ท.ทักษิณจะกลับไทยได้หรือไม่ ขึ้นกับหลายปัจจัยและหลายฝ่ายบนกติกาที่เป็นธรรม

รวมทั้งสังคมเกิดความปรองดองในระดับหนึ่งด้วย 

--------------

พล.อ.อ.วีรวิท คงศักดิ์
ส.ว.สรรหา อดีตรองผบ.สส.

ไม่ว่าสังคมจะเปิดประเด็นเบื้องหลังมือที่มองไม่เห็นนี้เมื่อใด หากเป็นจริงก็ยังคงคำตอบเดิมอยู่ แต่ทำไมคราวนี้เขากลับเปลี่ยนคำตอบที่มีมา 5-6 ปี จึงเป็นที่สงสัยของสังคมขึ้นมาอีก 

พล.ต.สนั่นตั้งคำ ถามแบบนี้ถือเป็นสิทธิ์ในฐานะผู้ติดตามเรื่อง คงรู้ว่าปัญหาที่สังคมยังคาใจอยู่เกิดจากอะไร อยากทำให้การเดินหน้าสู่ความปรองดองง่ายขึ้น

แต่หากคิดในแง่ของทหารที่มักยึดคติไม่ฆ่าน้อง ไม่ฟ้องนาย ไม่ขายเพื่อน เลยไม่ยอมเปิดปากก็เป็นได้

ผมไม่คิดว่าจะมีผู้ใหญ่คนใดมาสั่งการให้เขายึดอำนาจ เพราะถือเป็นเรื่องความเสี่ยงรายบุคคล แม้จะมีแบ๊กหรือไม่ก็ล้วนเป็นเรื่องผิดกฎหมายบ้านเมืองทั้งสิ้น 

เราอาจจินตนาการกันไปเองว่า เรื่องเป็นเช่นนั้นเช่นนี้ หรือยึดความคิดบนพื้นฐานความจำที่เคยมีมา ทำให้คิดว่าเรื่องนี้จะต้องมีใครสนับสนุน การที่สังคมคิดอย่างนี้เพราะไม่เคยรับรู้ความจริง 

ฉะนั้นการสร้างความปรองดองคือ การออกมาพูดความจริงของทุกฝ่าย ใช้ความกล้าหาญกล้าพูดว่าเคยตัดสินใจอะไรผิดพลาด ขอโทษต่อสังคม พร้อมยอมรับโทษบ้าง สังคมคงให้อภัยและพร้อมประนี ประนอม 

ไม่ใช่มัวขัดแย้งกันไม่มีวันจบ ทุกคนต้องกลับไปทบทวนบทบาทของตัวเองว่าทำอะไรผิดบ้าง ไม่มีใครทำผิดหรือถูกไปทุกอย่างได้หมด ขอให้ยอมรับด้วยความจริงใจ ประเทศจะสู่สันติภาพได้มากขึ้น 

อย่ามัวแต่ไปโทษใครจ้างมาถาม ใครจ้างมาทำ เพราะนั่นไม่ใช่ทางออกของประเทศ 

--------------

เอกพันธุ์ ปิณฑวณิช 
ศูนย์ศึกษาและพัฒนาสันติวิธี ม.มหิดล

การทราบความจริงในบางกรณีอาจทำให้สังคมคลี่คลาย แต่บางกรณีก็อาจทำให้สังคมแตกแยกมากขึ้น กรณีนี้พล.อ.สนธิ ยังไม่ได้ตอบว่าเป็นใคร หรือถ้ามี ควรจะเป็นใคร 

เราอาจคิดกันมากไปว่ามีคนอยู่เบื้องหลัง หากพล.อ.สนธิออกมายอมรับแล้วสังคมจะเชื่อหรือไม่ ถ้าบอกไม่มี สังคมก็จะบอกว่าโกหก 

แต่ถ้าพล.อ.สนธิกล่าวว่าใครอยู่เบื้องหลัง อาจเป็นประโยชน์สำหรับคนในสังคม ต่อการนำไปวิเคราะห์ปัจจัยที่แท้จริงของสิ่งที่เกิดขึ้น

ขณะนี้สังคมส่วนใหญ่ใช้วิธีคาดเดา สร้างเรื่องเกี่ยวกับคนที่อยู่เบื้องหลังให้ดูเหมือนนิยายมากกว่าความจริง การเอาความจริงมาช่วยกันคลี่คลายข่าวลือทั้งหลายน่าจะเป็นสิ่งที่ดี

แต่ถ้าคำตอบไม่ตรงกับความเชื่อที่แต่ละคนคิดไว้ แล้วจะยอมรับกับความจริงได้หรือไม่ 

คำตอบทุกอย่างมีผลต่อการปรองดองหมด แต่การปรองดองไม่ใช่แค่การลืมว่าเคยเกิดอะไรขึ้น หรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งชนะแล้วอีกฝ่ายต้องยอมรับ 

การปรองดองต้องมีคนที่ผิดในบางเรื่อง แต่คนที่ถูกกระทำต้องพร้อมให้อภัย การปรองดองถึงจะก้าวไปข้างหน้าได้ ส่วนคนที่ให้อภัยจะได้ประโยชน์มากกว่าคนที่ถูกให้อภัย เหมือนยกความโกรธ ความขุ่นเคืองออกไปจากอก 

แต่เป็นการยากสำหรับคนที่ถูกกระทำ คงไม่สามารถทำให้การปรองดองพลิกผันไปได้ไกล เนื่องจากการปฏิวัติเกิดขึ้นไปแล้ว และคงเป็นปมไปอีกนาน หรือหากให้ลืมก็คงเป็นไปไม่ได้ 

การคลี่คลายปมเวลานี้ต้องดูด้วยว่ามีความสำคัญมากน้อยแค่ไหน

ผลจากคำถามและคำตอบของพล.ต.สนั่น และพล.อ.สนธิ คงไม่ทำให้การปรองดองล้มเหลวหรือเสียหายเลยทีเดียว บังเอิญว่า 2 คนมีอำนาจและมีความสำคัญในทางการเมือง สังคมจึงต้องจับตาดู 

แต่ถ้าไม่มีการสืบประเด็นนี้ต่อ และไม่ถูกดึงมาเป็นประเด็นหลัก ความสนใจอาจพุ่งไปที่ประเด็นอื่น อาทิ การปรองดอง การใช้อำนาจรัฐในทางที่ผิด การปะทะกันของม็อบ ความยุติธรรมในสังคมไทย เรื่องสองมาตรฐาน

ตรงนี้อาจทำให้การปฏิวัติรัฐประ หารกลายเป็นเพียงประเด็นรองเท่านั้น

การนิรโทษกรรมและอภัยโทษมีความต่างกัน การอภัยโทษหมายถึง คดีที่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมโดยตัดสินไปแล้วว่ามีความผิด ผู้ต้องหามารับโทษจึงจะมีการอภัย โทษได้ แต่การนิรโทษกรรมหมายถึง การลบความผิดทั้งหมด 

ฝ่ายที่สนับสนุนก็อยากให้เริ่มต้นนับหนึ่งกันใหม่ แต่ฝ่ายที่คัดค้านมองว่าสิ่งที่กระทำไปแล้ว คนผิดควรได้รับโทษ ทัณฑ์ ดังนั้น ทั้งการนิรโทษกรรมและอภัยโทษ อาจต้องพิจารณากันหนักมาก

เพราะสิ่งที่กระทำไปมีหลายเรื่องและหลากหลาย เราควรให้ความสำคัญกับกระบวนการยุติธรรมในการร่างกฎหมายให้เป็นกฎกติกาที่ชัดเจน 

ไม่ใช่แค่การเลือกปฏิบัติว่าจะละเว้นโทษให้ใครหรือกรณีใด หากสังคมยอมรับและรู้สึกว่าเหมาะสมก็จะไม่เกิดความขัดแย้ง

ปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งของการปรองดอง ไม่ได้หมายความว่าคนในสังคมต้องรักและต้องชอบพอกันทั้งหมด แต่ความปรองดองที่แท้จริงคือ คนในสังคมพร้อมจะอยู่ร่วมกันได้

แม้จะรู้สึกถึงความเป็นศัตรู ไม่ชอบหน้ากัน แต่ต้องมีวิธีการทำสังคมให้อยู่ร่วมกันได้
ที่มา : ข่าวสดออนไลน์  วันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2555 เวลา 11:20 น. 
 http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNek1qY3pOVGN3T1E9PQ%3D%3D&sectionid



ยังไม่สว่าง



มนุษย์เราเคยเถียงกันเรื่องโลกกลมหรือโลกแบน ถึงขั้นฆ่ากันตายมาแล้ว เพราะในยุคหนึ่งคนส่วนใหญ่เชื่อว่าโลกแบน แต่มีคนเพียงน้อยนิดที่เชื่อและแพร่ขยายความคิดว่าโลกใบนี้ของเรามันกลม
เหตุที่คนส่วนใหญ่เชื่อว่าโลกแบนเพราะมองไปทางไหนก็เห็นแผ่นดินราบเรียบสุดลูกหูลูกตา แม้จะมีภูเขาขวางกั้นสายตาอยู่บ้าง แต่หลังเขาแผ่นดินก็ราบเรียบเหมือนเดิม
ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพราะโลกใหญ่โตมโหฬาร แต่มนุษย์เราตัวเล็กนิดเดียว มองอะไรได้ไกลสุดเพียงร้อยกว่ากิโลเมตรเท่านั้นเอง
มายุคสมัยนี้คนส่วนใหญ่ได้เรียนรู้ว่าโลกกลม แต่เชื่อหรือไม่ว่า ยังมีคนอีกส่วนหนึ่งที่ตะแบงคิดว่าโลกมันไม่ได้กลม และยังคิดอะไรสวนทางกับความจริงที่ได้ผ่านการพิสูจน์มาแล้ว
ในเมืองไทยเราเวลานี้ คนส่วนใหญ่คิดว่าเราควรปรองดองสมานฉันท์กัน เพราะความขัดแย้งแตกแยกที่เกิดขึ้นภายหลังการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันายน 2549 ได้ผ่านการพิสูจน์มาแล้วว่า...
มีแต่สร้างความฉิบหายให้เกิดแก่ประเทศชาติและประชาชน มันควรจะหยุดกันได้แล้ว ไม่งั้นเราจะต้องฆ่าฟันกันอีกและจำนวนคนตายจะไม่จำกัดอยู่แค่ 92 ศพ บาดเจ็บ 2,000 ถูกจับเข้าคุก 500
แต่จะตายกันเป็นหมื่นเป็นแสนแบบเดียวกับที่เคยเกิดในอัฟริกา ที่สงครามกลางเมืองทำให้มีคนตายไปเป็นล้าน หรืออย่างที่ซีเรียก็มีคนถูกฆ่าไปแล้วเป็นหมื่น โดยยังไม่มีวี่แววว่าจะยุติลงเมื่อใด
ความพยายามสร้างความปรองดองเกิดขึ้นโดยรัฐสภาตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญขึ้นคณะหนึ่งมี พล.อ.สนธิ บุญยรัตน์กลิน อดีตหัวหน้าคณะรัฐประหาร 19 กันยา เป็นประธาน กรรมการประกอบด้วยพรรคการเมืองทุกพรรคและภาคส่วนต่างๆในสังคม
แรกเริ่มเดิมทีก็ทำท่าจะสามัคคีปรองดองกันดี แต่พอมีการนำเสนอแนวทางของสถาบันพระปกเกล้าว่า...เราควรจะทำอะไรและปรองดองกันแบบไหน มันก็ทำท่าว่าวงจะแตก
โดยพรรคประชาธิปัตย์และเครือข่ายพันธมิตรต่างออกมาคัดค้านอย่างไม่ลดราวาศอก พวกเขายืนกรานว่า...จะต้องให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ต้องคิดคุกมันจึงจะเกิดการปรองดอง
เป็นหนทางเดียวเท่านั้น!
นักวิชาการบางคนที่อ้างว่า “เชิดชูบูชาประชาธิปไตย” แต่ปิดปากเงียบเรื่องการรัฐประหารและการปราบปรามเข่นฆ่าประชาชนกลางเมืองหลวง
ได้ออกมาชูคอเรียกร้องหาการสมานฉันท์ปรองดอง โดยมีเงื่อนไขให้ พ.ต.ท.ทักษิณ พิทักษ์รักษาระบอบยุติธรรม ด้วยการยอมมาติดคุกเสียก่อน
สิ่งที่คิดว่ากำลังจะมีแสงสว่างที่ปากอุโมงค์จึงหายวับไปกับตา และเห็นชัดเจนว่า จนถึงวันนี้ พระอาทิตย์ยังไม่โผล่พ้นขอบฟ้าและยังไม่สว่าง
หน้าที่ของคนไทยเวลานี้ จึงไม่ใช่มองหาการปรองดอง แต่ต้องมองหาความจริงว่า ทำไมคนพวกนี้จึงยังตะแบงคิดว่า “โลกแบน”
พวกเขาคิดเองหรือมีใครสั่งให้พวกเขาคิด?
เพราะในอดีตนั้น เคยมีคนเชื่อว่าคนบางคนเป็นวีรชน 14 ตุลา แต่ในความเป็นจริงมันตรงข้าม
เพราะคนๆ นั้นแท้ที่จริงแล้วในเหตุการณ์ 14 ตุลา เขาเป็นตัวแทนของ จอมพลถนอม กิตติขจร ไปเจรจาให้ เสกสรรค์ ประเสริฐกุล สลายการชุมนุม
วีรชน 14 ตุลา กับกาฝาก 14 ตุลามันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง











http://bangkok-today.com/node/12485



ระเบิดพลีชีพ

การบูร 23 มี.ค. 2555 9:49 น


แล้ว “หนูติ่ง” มัลลิกา บุญมีตระกูล สาวปากไว ก็พาพลพรรคประชาธิปัตย์ หัวคลุมปี๊บ
เล่น ว.๕ ชั้น ๖ กระทรวงแรงงาน ของ “ท่านเผดิมชัย สะสมทรัพย์” รมว.แรงงาน เรียกผลประโยชน์ คนนักรบแรงงานไปอิสราเอล กินหัวคิวกันอื้อซ่า
แต่กับปาก “อิตซ์ฮัก โชฮัม” เอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำประเทศไทย ..ยุคพรรคเพื่อไทย รวมเบ็ดเสร็จ ทั้งตั๋วเครื่องบิน และค่าธรรมเนียมต่างๆ จ่ายเพียง ๖๙,๐๐๐ บาท เท่านั้นคุณขา
ฉะนั้น,ที่ “หนูติ่ง” มัลลิกา ว่ายุคประชาธิปัตย์ จ่ายค่าไปค้าแรงงานที่อิสราเอล ๘๐,๐๐๐ บาท จึงสูงกว่า “รัฐบาลปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นกอง
หมายเล่นงาน “นายกฯปู”ให้ดิ้น...กลายเป็นสาวไส้ให้กากิน?..หมดสิ้นเชียวแหละพี่น้อง

๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐

น้ำมันเถื่อน

ที่ภาคใต้ มีนักการเมืองหนุนหลัง กันเกลื่อน
“นายกฯปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และ “บิ๊กเหลิม ดาวเทียม” ร.ต.อ.ดร.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ ช่วยดูให้ที
มีการลำเลียงน้ำมันเถื่อน ขึ้นที่ชายฝั่งจังหวัดสตูล ขายไปทั่วภาคใต้ในขณะนี้
ทำที่ว่าเป็นการลำเลียง ยางดิบจากชาวสวนยางพาราไปส่งโรงงาน แต่ที่แท้แล้ว เป็นการจัดส่งน้ำมันเถื่อนไปสู่ลูกค้า ทำให้ชาติเสียประโยชน์อย่างใหญ่หลวง เสร็จสรรพ
ส่วนนักการเมืองที่ดีแต่โม้..ล้วนหน้ามะพลับหลังตะโก..ค้าน้ำมันตัวโต กันจั๋งหนับ

๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐

เท็จไม่แจ้ง..จริงไม่ยืนยัน

ว่ากันถึง คนผมหยิก หน้าก้อ คอสั้น ที่ตั้งตัวเป็นอริกับ “อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร”..เพราะเขาไม่ช่วยเหลือ คดีหนีความผิดเลี่ยงภาษี จึงประกาศเป็นศัตรูกับท่าน
น่าสงสาร “ทักษิณ ชินวัตร” ไม่ช่วยมันโกง มันจึงอหังการ บอกขอเป็นศัตรู
“นายผมหยิก หน้าก้อ คอสั้น” ทำธุรกิจจัดสรรบ้านและที่ดิน แต่เลี่ยงภาษีไม่จ่ายเงินแผ่นดิน...มาขอให้ “ทักษิณ”ช่วย แต่เขาเมิน ..เพราะใครเป็นตัวขี้โกง “ทักษิณ” ไม่ช่วยดอกหนู
“ทักษิณ” ไม่คบค้าสมาคม กับคนโกงชาติคนโกงแผ่นดิน..ในที่สุด ก็โดนคนเลวตามเล่นงาน อย่างไม่ลดละ
ตอนนี้คนเล่นงานทักษิณมันเจ็บ...ถูกถอนเขี้ยวถอนเล็บ...เก็บฉากไปนั่งรอติดคุก แล้วหละ

๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐

มองเส้นทางอนาคต

การันตีได้ว่า “บิ๊กอ็อฟ” พล.ต.อ.เพรียวพันธุ์ ดามาพงศ์ ผบ.ตร. นับวันฟอร์มยิ่งสด
เกียรติคุณเพียบพร้อมไปหมด, หากจะเป็น “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย” ในฐานะ “มท.๑” ไม่น่าจะบกพร่อง
ท่านทำงานเก่ง แบบคนมีกึ๋นมีสมอง
เมื่อ “บิ๊กอ๊อฟ” ต้องลุกจากเก้าอี้ไป ..ให้มอง “บิ๊กจูดี้” พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ นายตำรวจใหญ่ ที่ทำงานเข้าขากับ “รัฐบาลปู” เป็นอย่างดี จะมาเป็น “ผบ.ตร.”ที่ยิ่งใหญ่
ท่านพงศพัศเป็นทองเนื้อแท้..จะทำบ้านเมืองมีขื่อมีแป..ไม่แพ้แก็งค์ข้างถนนต่อไป

๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐

ไวปานกามนิตหนุ่ม

คดีที่ดินรัชดา ที่ “ทักษิณ ชินวัตร” ตกเป็นจำเลย ลงโทษรวดเร็ว เห็นแล้วก็กลุ้ม
แต่คดีฆ่าประชาชนตาย ๙๑ ศพ...ผ่านไปช้าๆ อย่างเต่าคลาน.. หลายคนบอกว่าผิดหวัง
อยากเห็นทุกอย่าง ตัดสินด้วยความรวดเร็วมั่ง
ได้แต่ปลอบใจ ผู้รักประชาธิปไตย..จะกินอาหารให้อร่อย ต้องคอยใจเย็น ๆ ..ขณะนี้คดีฆ่าประชาชน เริ่มเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ที่ให้ความเที่ยงธรรม เป็นของแท้
ใครที่สั่งฆ่าประชาชนไปเป็นกุรุส...ตอนนี้น้ำเริ่มผุด...มันคงโดนถูกกุดหัวแน่..แน่






http://www.bangkok-today.com/node/12489



ประชาธิปไตยเป็น 'สิ่งแปลกปลอม' ที่นำเข้าจากต่างประเทศ(?)

นักปรัชญาชายขอบ

“ผมคิดว่าปัญหาในบ้านเรา ตั้งแต่ความคิดเรื่องประชาธิปไตย สิทธิเสรีภาพ ความรับผิดชอบ รัฐธรรมนูญ และอะไรหลายอย่างที่เราเสนอกันนั้น เป็นสิ่งแปลกปลอมที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ...ผมเปรียบเทียบง่ายๆ ว่า ถ้าเป็นเมล็ดพันธุ์ที่แปลกปลอมจากที่อื่นเอาใช้บ้านเราไม่ได้ผล โดยเฉพาะช่วงหลังเป็นจีเอ็มโอเยอะ ผมเป็นพวกมาร์กซิสต์เก่า เพราะเคยเข้าป่า ไม่วางใจพวกต่างชาติมากๆ เพราะฉะนั้น พวกจีเอ็มโออันตรายมาก และขอร้องชาวต่างชาติว่าอย่าสรุปความคิดเป็นของท่านเอง”
ธีรยุทธ บุญมี
(http:www.matichon.co.th./play_clip.php?newsid=1332495112)


ยอมรับว่าพยายามอ่านแล้วผมก็ไม่เข้าใจว่า ธีรยุทธกำลังบอกอะไร หรือจะเสนออะไร

ถ้าบอกว่าประชาธิปไตย สิทธิเสรีภาพเป็น “สิ่งแปลกปลอม” ที่นำเข้าจากต่างประเทศ ก็ต้องหมายความว่าศาสนาพุทธ คริสต์ อิสลาม หรือแม้แต่คณิตศาสตร์ก็เป็น “สิ่งแปลกปลอม” สำหรับสังคมไทยด้วย เพราะเป็นสิ่งที่เรานำเข้าจากต่างประเทศด้วยเช่นกัน
แต่ความจริงคือ อะไรที่เป็นของสากล เช่น ประชาธิปไตย สิทธิเสรีภาพ สิทธิมนุษยชน คณิตศาสตร์ ถ้ามันเป็นของสากลมันก็เป็นของมนุษยชาติทั้งหมด ไม่มีใครจะอ้างสิทธิว่าเป็นความคิดของประเทศตนที่เหมาะกับพระเทศของตนเท่านั้น หรือว่าเป็น “สิ่งแปลกปลอม” สำหรับประเทศไทย หรือประเทศใดๆ ในโลก


ธีรยุทธยังพูดอีกว่า “ผมคิดว่าโครงสร้างการเมืองทุกที่เป็นผลผลิตของท้องถิ่น เป็นการเสนอให้เราได้คิดแบบสองส่วน ส่วนหนึ่งมองแบบโครงสร้างทางสังคมที่เป็นความจริง สร้างวัฒนธรรมต่างๆ อีกอันหนึ่งอาจจะมองเป็นแบบโพสต์โมเดิร์นก็ได้ มีวาทกรรมเกิดขึ้นในแต่ละช่วงแต่ละสมัย เปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว ฉะนั้น เป็นทั้งโอกาสและไม่ใช่โอกาสที่จะเอาแนวคิดสังคมใหม่ๆ มาเสริมในบ้านเรา”
คำถามคือ อะไรคือสิ่งที่เรียกว่าประชาธิปไตย สิทธิ เสรีภาพ หรือโครงสร้างการเมืองที่เป็นความจริงเฉพาะของสังคมไทย หรือวัฒนธรรมไทยซึ่ง “ดีกว่า” แนวคิดประชาธิปไตย สิทธิ เสรีภาพแบบสากล ที่เราจะต้องสร้างขึ้นมาจาก “ท้องถิ่น” ของเรา หากเราเห็นว่าของสากลมันแปลกปลอมสำหรับเรา
บางทีสิ่งเราเรียกกันว่า “ความเป็นไทย”  “เอกลักษณ์ไทย” หรือ “ลักษณะพิเศษของสังคมไทย” นั่นต่างหากที่เป็น “สิ่งแปลกปลอม” ต่อวิถีชีวิตตามเป็นจริงในสังคมไทยปัจจุบัน เช่น การรักนวลสงวนตัว แต่งก่อนยู่ ระบบอาวุโส การรู้จักที่สูงที่ต่ำ การยกย่อง “คนดี” ที่ซื่อสัตย์ไม่โกงแต่ไม่เคารพรัฐธรรมนูญและหลักการประชาธิปไตย การเรียกร้อง “การเมืองที่มีจริยธรรม” แต่ให้คงไว้ซึ่ง “ระบบอำนาจที่วิพากษ์วิจารณ์ตรวจสอบไม่ได้” ซึ่งขัดต่อหลักจริยธรรมสากลคือหลักสิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาค
สิ่งเหล่านี้เป็นต้น ล้วนแต่เป็น “สิงแปลกปลอม” ไม่กลมกลืนกับวิถีชีวิตจริงของผู้คนในสังคมไทย และ “แปลกประหลาด” ในสายตาสังคมโลกทั้งสิ้น!
หรือพูดให้เห็นภาพตามข้อเท็จจริงเลยก็คือ “ลักษณะเฉพาะ” ของความเป็นไทยในทางการเมืองอย่างที่พูดกันว่า “ประชาธิปไตยแบบไทยๆ” ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ว่า “เสียงส่วนใหญ่อาจผิดได้” อย่างที่ฝ่ายไม่เชื่อถือ “การเลือกตั้ง” พยายามตอกย้ำ แต่ปัญหาจริงๆ อยู่ที่การดึงดันว่า “เสียงส่วนน้อยต้องถูกเสมอ” เช่น


<!--[if !supportLists]--><!--[if !supportLists]-->
- เสียงส่วนน้อยยืนยันว่า การอ้างสถาบันกษัตริย์ต่อสู้ทางการเมืองเป็นสิ่งที่ชอบธรรม ก็ต้องชอบธรรม



<!--[if !supportLists]--><!--[if !supportLists]-->
- เสียงส่วนน้อยยืนยันว่า รัฐประหารถูกต้อง ก็ต้องถูกต้อง


<!--[if !supportLists]--><!--[if !supportLists]-->
- เสียงส่วนน้อยยืนยันว่า การเอาผิดนักการเมืองด้วยกระบวนการที่สืบเนื่องจากรัฐประหารถูกต้อง ก็ต้องถูกต้อง


<!--[if !supportLists]--><!--[if !supportLists]-->
- เสียงส่วนน้อยยืนยันว่า การนิรโทษกรรมฝ่ายทำรัฐประหารเป็นสิ่งที่ทำได้ ก็ต้องทำได้



<!--[if !supportLists]--><!--[if !supportLists]-->
- เสียงส่วนน้อยยืนยันว่า การนิรโทษกรรมนักการเมืองที่ถูกทำรัฐประหารเป็นสิ่งที่ทำไม่ได้ ก็ต้องทำไม่
ได้

<!--[if !supportLists]--><!--[if !supportLists]-->
- เสียงส่วนน้อยยืนยันว่า การพูดความจริงเบื้องหลังรัฐประหารไม่ได้ ก็ต้องไม่ได้

   ฯลฯ

ถามว่า “ประชาธิปไตยแบบไทยๆ” ดังกล่าวนี้เป็น “สิ่งแปลกปลอม” หรือไม่?
พูดถึงวาทกรรม “ประชาธิปไตยเป็นสิ่งแปลกปลอมที่นำเข้าจากต่างประเทศ” ของธีรยุทธแล้ว ทำให้เห็นภาพความคิดที่เน้นชุมชนเข้มแข็ง สังคมเข้มแข็ง พลเมืองเข้มแข็งที่ตอนนี้นำมาตอกย้ำใหม่อย่างคล้องจองกัน คือความคิดเรื่อง “สังคมสมานุภาพ” ของคุณหมอประเวศ วะสี ดังที่เขากล่าวตอนหนึ่งว่า

อำนาจในสังคม มี 3 อำนาจใหญ่ ได้แก่ พลังอำนาจรัฐ พลังอำนาจทุน ซึ่งใหญ่โตมาก และพลังงานอำนาจทางสังคม ซึ่งเล็กมาก จุดสำคัญในการลดความเหลื่อมล้ำคือการสร้างพลังอำนาจทางสังคมให้เสมอกับ 2 อำนาจแรก แล้วทำงานเชื่อมโยงกัน
และหากเป็นเช่นนั้นได้ก็จะเกิดสังคมที่เรียกว่า "สังคมสมานุภาพ" คือสังคมที่อานุภาพต่างๆ เสมอกัน เพราะฉะนั้น แม้เราจะพยายามภาครัฐหรือทุนให้เก่งหรือมีสมรรถนะ แต่ถ้าภาคสังคมไม่เสมอกัน สังคมก็จะไม่ได้ดุล เกิดความไม่เป็นธรรมมาก
แนวทางสำคัญในการสร้างสังคมสมานุภาพต้องเอาวัฒนธรรมเข้ามาช่วย โดยวิธีที่เรียกว่า "ชุมชนจัดการตนเอง" เพราะการปกครองประเทศที่รวมศูนย์อำนาจที่ส่วนกลาง นับเป็นหลุมดำในประเทศไทย ก่อปัญหาร้อยแปด ทำให้ชุมชนท้องถิ่นอ่อนแอ มีคอรัปชั่น เกิดรัฐประหารได้ง่าย(http:www.matichon.co.th./play_clip.php?newsid=1332585834)


ซึ่งผมแปลกใจมากที่คุณหมอไม่ได้พูดถึง “อำนาจที่ตรวจสอบไม่ได้” ซึ่งใหญ่โตกว่าอำนาจทุนมาก แปลกใจเพราะว่า คุณหมอเป็นคนเสนอทฤษฎี “ความจริงองค์รวม” ที่เน้นการมองให้เห็นความจริงทั้งหมด ไม่ควรมองแบบ “แยกส่วน” และให้เห็นความสัมพันธ์เป็นเหตุปัจจัยแก่กันของความจริงทั้งหมดตามกฏอิทัปปัจจยตา แต่ทำไมคุณหมอถึงจงใจ “แยกส่วน” มองเฉพาะ 3 อำนาจเท่านั้น
แล้วที่ว่า “การปกครองประเทศที่รวมศูนย์อำนาจที่ส่วนกลาง นับเป็นหลุมดำในประเทศไทย...” นั้น ถามว่า รูปแบบการรวมศูนย์อำนาจเช่นนี้ คือมรดกตกทอดจากระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไม่ใช่หรือ
 “ระบบอำนาจที่ตรวจสอบไม่ได้” ต่างหากที่รวมศูนย์ทั้งการปลูกฝังอุดมการณ์ ปรัชญาความเชื่อ ระบบคิด การคิดแทนผ่านหน่วยงานราชการ ระบบการศึกษา สื่อมวลชน ฯลฯ
ภายใต้ระบบเช่นนี้ ประชาชนไม่สามารถปกป้องรัฐบาลที่ตนเลือก และกำกับให้รัฐบาลที่ตนเลือกทำตามเจตนารมณ์ที่ต้องการให้สังคมเป็นประชาธิปไตยด้วยซ้ำ เช่น การเรียกร้องให้รัฐบาลและผู้แทนปวงชนออกกฎหมายปฏิรูประบบที่ตรวจสอบไม่ได้ให้ตรวจสอบได้ตามหลักการประชาธิปไตยสากล ฉะนั้น “ภาคสังคม” จะเข้มแข็งได้อย่างไร?


หรือถ้าภาคสังคมเข้มแข็ง พลเมืองเข้มแข็งในความหมายว่ามีวัฒนธรรมประชาธิปไตยที่ตระหนักในสิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาคมากขึ้น ก็จะมีปัญหาว่า ความเข้มแข็งเช่นนี้จะไปกันได้อย่างไรกับ “ระบบอำนาจที่วิพากษ์วิจารณ์ตรวจสอบไม่ได้” (จะเป็นไปได้หรือที่ความเข้มแข็งทางวัฒนธรรมประชาธิปไตยของสังคมและพลเมืองจะไม่ขัดแย้งกับ“ระบบอำนาจที่วิพากษ์วิจารณ์ตรวจสอบไม่ได้”)
ฉะนั้น แนวคิดสังคมเข้มแข็ง พลเมืองเข้มแข็งของธีรยุทธ และแนวคิด “สังคสมานุภาพ” ของคุณหมอประเวศ ที่ปฏิเสธการรวมศูนย์อำนาจไว้ที่ส่วนกลาง เรียกร้องการกระจายอำนาจถึงระดับชุมชน หรือการสร้าง “ประชาธิปไตยจากระดับชุมชน” แต่ไม่ได้เรียกร้อง “อย่างจริงจัง” ให้แก้ปัญหาความไม่เป็นประชาธิปไตยระดับชาติ คือการปฏิรูป “ระบบอำนาจที่ตรวจสอบไม่ได้” ให้ตรวจสอบได้ จึงเป็นแนวคิดที่ขัดแย้งในตัวเอง และไม่มีทางที่แนวคิดเช่นนี้จะสร้างสังคมให้มี “สมานุภาพ” หรือ “มีอานุภาพเสมอกัน” ได้จริง


จะว่าไปแล้วทั้งสองแนวคิดนี้ก็เป็น “แนวคิดประชาธิปไตยแบบไทยๆ” อันเป็น “สิ่งแปลกปลอม” อย่างหนึ่งใน “ยุคเปลี่ยนผ่าน” (transition) ที่สังคมไทยต้องการแก้ปัญหา “ความไม่เป็นประชาธิปไตย” ในทางหลักการและอุดมการณ์ระดับชาติอย่างยิ่ง!















สถานการณ์ความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับ ม.112 ประจำสัปดาห์ 15 - 21 มี.ค. 2555



‘คณะนักเขียนแสงสำนึก’ ย้ายงานรอบสาม ไปจัดอนุสรณ์ ‘14 ตุลา’ แทน

15 ก.พ. 55 - สืบเนื่องจากการจัดงาน “แขวนเสรีภาพ” ของคณะนักเขียนแสงสำนึก ในอาทิตย์ที่ 18 ก.พ. ที่จะถึงนี้ ซึ่งเดิมกำหนดสถานที่ไว้เป็น ณ หอศิลป์กรุงเทพฯ และภายหลังเมื่อไม่ได้รับอนุญาต จึงได้ประกาศว่าย้ายมาจัดที่ตึกเทวาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยนั้น
ทาง “วาด รวี” หนึ่งในคณะผู้จัดงานเปิดเผยวันนี้ว่า หลังจากที่ทางตัวแทนของกลุ่มได้ติดต่อจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเพื่อขออนุญาตจัดงานอภิปรายทางวิชาการในช่วงเช้าของวันนี้ ทั้งต่อคณะอักษรศาสตร์และคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พบว่า กลับประสบความติดขัดและได้รับแจ้งว่าไม่ได้รับอนุญาตให้จัดงานอภิปรายทางวิชาการดังกล่าวเช่นเดียวกัน
ทางคณะผู้จัดงาน จึงตัดสินใจย้ายการจัดงาน “แขวนเสรีภาพ” ไปจัดที่บริเวณอาคารด้านหน้าของอนุสรณ์สถาน 14 ตุลา บริเวณสี่แยกคอกวัว ถนนราชดำเนินแทน

(ประชาไท, 15-3-2555)



ศาลกีฎาไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวนายอำพล หรือ อากงเอสเอ็มเอส ชี้เป็นคดีร้ายแรง หวั่นผู้ต้องหาหลบหนี

15 ก.พ. 55 - นายอานนท์ นำภา ทีมทนายความที่รับผิดชอบคดี นายอำพล หรือคดีอากง เอสเอ็มเอส ได้โพสข้อเกี่ยวกับความคืบหน้าคดีอากง เอสเอ็มเอส ผ่านเว็บไซต์เฟซบุ๊ก โดยมีใจความว่า
ผลการยื่นกีฎาขออนุญาตปล่อยตัวชั่วคราวนายอำพล (ขอสงวนนามสกุล) หรือคดีอากง เอสเอ็มเอส โดยศาลกีฎาไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวนายอำพล หรือ อากงเอสเอ็มเอส
เนื่องจากศาลพิเคราะห์แล้ว เห็นว่าพฤติการณ์แห่งคดีและเหตุผลคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นแล้วเห็นว่าเป็นคดีร้ายแรง ประกอบกับศาลชั้นต้น พิพากษาจำคุกจำเลยถึง 20ปี หากได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว เชื่อว่าจำเลยจะหลบหนี
ส่วนที่จำเลยอ้างว่า เจ็บป่วยนั้น ศาลเห็นว่าจำเลยมีสิทธิที่จะได้รับการรักษาพยาบาลจากหน่วยงานของรัฐ จึงไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวจำเลยระหว่างการอุทธรณ์คดี
ทั้งนี้คดีของนายอำพล หรืออากง เป็นคดีตามความผิดในประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 จากข้อหาว่า อากง ใช้โทรศัพท์มือถือส่วนตัวพิมพ์ อันเป็นการจาบจ้วงสถาบันเบื้องสูง และส่งไปยังโทรศัพท์มือถือของนายสมเกียรติ ครองวัฒนสุข ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งเป็นเลขานุการส่วนตัวของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี เหตุเกิดเมื่อวันที่ 9,11และ 22พ.ค.53

(VoiceTV, 15-3-2555)

ศาลไม่อนุญาตประกันตัวดาตอร์ปิโดคดีหมิ่น

16 ก.พ. 55 - ศาลอาญารัชดา อ่านคำสั่งของศาลอุทธรณ์เรื่องขอปล่อยตัวชั่วคราว ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 7 เป็นโจทก์ฟ้อง น.ส.ดารณี ชาญเชิงศิลปกุล หรือ ดา ตอร์ปิโด แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช.เป็นจำเลย ฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ที่ศาลมีคำพิพากษาลงโทษจำคุกเป็นเวลา 15 ปี โดยญาติของ น.ส.ดารณี ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์ เป็นจำนวน 1,440,000 บาท เพื่อขอให้ปล่อยชั่วคราวในระหว่างอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิเคราะห์แล้วเห็นว่า คดีนี้ศาลชั้นต้น ลงโทษจำคุกจำเลยมีกำหนด 15 ปี จำเลยเคยยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว ต่อศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ มาแล้วหลายครั้งแต่ศาลไม่อนุญาต จำเลยมายื่นคำร้องในครั้งนี้อีก ทั้งพฤติการณ์แห่งคดี ประกอบกับ พยานหลักฐานที่ศาลชั้นต้น ได้มีการพิจารณามาแล้ว รับว่าร้ายแรง หากให้ปล่อยชั่วคราวในระหว่างอุทธรณ์ จำเลยอาจหลบหนีได้ ไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว ให้ยกคำร้อง แจ้งเหตุผลการไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวให้จำเลยทราบโดยเร็ว

(ไอเอ็นเอ็น, 16-3-2555)


'สุรพงษ์' ยืนยันรัฐไม่ละเลยคนจาบจ้วงสถาบัน

19 มี.ค. 55 - เมื่อเวลา 10.30 น. ที่รัฐสภา มีการประชุมวุฒิสภา โดยมีนายนิคม ไวยรัชพานิช รองประธานวุฒิสภา เป็นประธานการประชุม เพื่อพิจารณากระทู้ด่วนเรื่องการบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ในต่างประเทศ โดยนายประสงค์ นุรักษ์ ส.ว.สรรหา กล่าวว่า ได้รับเรื่องร้องเรียนจากคนไทยที่อยู่ในต่างประเทศ โดยเฉพาะในรัฐแคลิฟอร์เนียกว่า 1,500 คน ว่า ขณะนี้น่ากังวลอย่างยิ่ง มีคนไทยในต่างประเทศดำเนินการหลายรูปแบบ และกระทำต่อเนื่อง โดยเฉพาะการสื่อสารทางอินเทอร์เน็ตที่เป็นการทำร้าย ทำลายสถาบันและองค์พระมหากษัตริย์ ทั้งที่เป็นคนไทยแท้ๆ แต่ไปอาศัยอยู่ในต่างประเทศบางกลุ่มให้ร้ายรุนแรง ทั้งการเขียน การเจรจาสื่อสาร และการใช้ภาพที่เป็นการจาบจ้วง รัฐบาลจะดำเนินการอย่างไรต่อบุคคลและกลุ่มบุคคลดังกล่าวที่ทำผิดกฎหมาย ฐานบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ มีการให้นโยบายแก่เจ้าหน้าที่ไทยในต่างประเทศอย่างไร รวมถึงมีการให้ข้อมูลที่ถูกต้องแก่ต่างชาติและคนไทยในต่างประเทศด้วยหรือไม่ ที่ผ่านมามีการใช้ช่องว่างกฎหมายเป็นคนสัญชาติไทยแต่เปลี่ยนเป็นสัญชาติอเมริกัน ใช้พาสปอร์ตอเมริกันเดินทางเข้ามาในไทย กระทำการต่างๆ ตนอยากให้หน่วยงานรัฐของไทยใช้เครื่องตรวจสอบลายนิ้วมือแบบที่ทางสหรัฐอเมริกาใช้ จะรู้ทันทีว่าบุคคลเหล่านี้เป็นใคร แม้จะเปลี่ยนสัญชาติไปแล้ว และตนยินดีที่จะช่วยรัฐบาลหากกระทรวงการต่างประเทศยินยอมทำหนังสือมอบหมายให้ตนไปไล่สอบในเมืองต่างๆ
นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศ กล่าวว่า ยืนยันว่าตลอด 7 เดือนที่ผ่านมา รัฐบาลยึดมั่นทำตามนโยบายที่แถลงไว้จริงจัง โดยเฉพาะการดำเนินการเพื่อเทิดทูนและพิทักษ์รักษาพระเกียรติของพระมหากษัตริย์และสถาบัน กระทรวงการต่างประเทศได้ติดตาม ชี้แจง ตอบโต้การกระทำหรือรายงานข่าวในต่างประเทศที่คลาดเคลื่อน ก่อให้เกิดความเข้าใจผิดหรือการสร้างความเสียหายต่อสถาบัน หากปรากฏมีบุคคลชาวไทยในต่างประเทศมีพฤติกรรมเข้าข่ายหมิ่นหรือจาบจ้วง ทางสถานเอกอัครราชทูต คณะผู้แทนถาวร หรือสถานกงสุลใหญ่ ที่มีเขตอาณาครอบคลุมพื้นที่ที่เข้าข่ายสิ่งเหล่านี้ จะตรวจสอบข้อเท็จจริง และรายงานให้กระทรวงการต่างประเทศทราบ ส่วนกรณีที่ทำผิดนอกอาณาจักร สำนักงานอัยการสูงสุดจะเป็นเจ้าพนักงานสอบสวน และเป็นผู้รับผิดชอบคดีตามกฎหมาย เมื่อเรื่องเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมาย ถ้ามีความผิดก็ต้องรับโทษไปตามกระบวนการ ส่วนการให้นโยบายแก่เจ้าหน้าที่รัฐในต่างประเทศ เราใช้แนวทางน้ำดีไล่น้ำเสีย โดยการประสานความร่วมมือทุกหน่วยงาน เผยแพร่ข้อมูลเชิงบวกเกี่ยวกับสถาบันให้แก่กลุ่มเป้าหมาย ซึ่งแนวทางนี้เราเชื่อว่าเป็นแนวทางที่ยั่งยืนได้ส่วนการดำเนินการต่อชุมชนไทย ใช้การจัดกิจกรรมมวลชนสัมพันธ์ เพื่อเปิดช่องทางให้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูล ระหว่างข้าราชการและชุมชนไทย โดยเชื่อว่าจะเป็นวิธีชี้แจงให้ข้อมูลที่ถูกต้องแก่คนไทยในต่างประเทศได้ดี


(ไทยรัฐ, 19-3-2555)


"สุรชัย แซ่ด่าน-ดา ตอร์ปิโด" พร้อม 6 ผู้ต้องขังคดี ม.112 ส่งจม.ถึงนายกฯ ช่วยดำเนินการขออภัยโทษ

20 มี.ค. 55 - เว็บไซต์ข่าวประชาไท รายงานว่า รายงานข่าวแจ้งว่า ผู้ต้องขังคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ มาตรา 112 ที่คดีเด็ดขาดแล้วรวม 8 คน ร่วมกันเขียนจดหมายจากเรือนจำถึงนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพื่อเรียกร้องให้ดำเนินการเรื่องขอพระราชทานอภัยโทษแก่พวกเขา โดยระบุว่า "บัดนี้พวกข้าพเจ้าทั้งหมดรู้สึกสำนึกผิดด้วยความเสียใจยิ่ง ต่อการกระทำที่ผิดพลาด จึงไม่ขอต่อสู้คดี ยอมรับสารภาพให้ศาลตัดสินใจลงโทษจนคดีถึงที่สุด และใช้สิทธิ์ยื่นเรื่องราวขอพระราชทานอภัยโทษ จึงร้องทุกข์ต่อท่านนายกรัฐมนตรี ได้โปรดพิจารณาดำเนินการช่วยเหลือพวกข้าพเจ้าให้ได้รับพระราชทานอภัยโทษ หลุดพ้นจากความทุกข์ทรมานด้วยเถิด”

(ประชาไท, 20-3-2555)
http://www.prachatai.com/journal/2012/03/39808