วันพฤหัสบดีที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

สส.ปชป.กับบทบาท ถ่อยๆแบบโจรจอมเผด็จการ กร้าวร้าวรุกราน ข่มขู่

ฉาวโฉ่ จนน่าเอือมระอา กิริยาสถุนนักการเมืองไทย


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า
เมื่อเวลา 18.30 น. วันที่ 30 พฤษภาคม บรรยากาศการประชุมสภาผู้แทนราษฎร
เกิดความวุ่นวายขึ้นชนิดถูกค่อนขอดว่าเป็นศึกวันผู้ทรงเกียรติในคอนเซ็ปต์พ.ร.บ.ปรองดอง

ทีมงานขอลำดับเหตุการณ์ตะลุมบอนของส.ส.วุ่นวาย "เก้าอี้ประธานสภาผู้แทนราษฎร" กันอีกครั้ง



ฉาก 1 ระหว่างที่นายประชา ประสพดี ส.ส.สมุทรปราการพรรคเพื่อไทย
กำลังอภิปรายว่า เหตุใดที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์พูดจึงไม่มีเสียงโห่
แต่ทำไมที่คนอื่นพูดจึงมีเสียง “โห่ทำเหี้ยอะไร”

ฉาก 2 นายอภิชาติ สุภาแพ่ง ส.ส.เพชรบุรี พรรคประชาธิปัตย์
ได้ลุกขึ้นประท้วงนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎรทำหน้าที่การประชุมอยู่ในขณะนั้น
และสั่งให้นายประชาถอนคำพูด พร้อมนำเหี้ยออกจากห้องประชุม ซึ่งตนก็รู้แล้วว่าพูดแบบนี้ทำไมถึงถูก

ฉาก 3 นายสมศักดิ์ตัดบทโดยเร่งรัดให้ที่ปะชุมมี
การลงมติว่าจะเลื่อน ร่างพ.ร.บ.ปรองดองขึ้นมาพิจารณาก่อนหรือไม่
จึงทำให้บรรดาส.ส.จากพรรคประชาธิปัตย์เกิดความไม่พอใจและลุกขึ้นมา
และเดินไปยังบัลลังก์ซึ่งเป็นที่นั่งประธาน 

ฉาก 4 นายอภิชาต เดินเข้าไปประชิดตัวนายสมศักดิ์
และยกมือไหว้ 2 ครั้ง ก่อนดึงแขนให้ลุกออกจากเก้าอี้

ฉาก 5 นายพงศ์เวช เวชชาชีวะ ส.ส.จันทบุรี พรรคประชาธิปัตย์
เขย่าเก้าอี้เพื่อให้นายสมศักดิ์ ลุกจากเก้าอี้ด้วยอีกคน

ฉาก 6 เป็นบรรยากาศความวุ่นวาย
เมื่อทั้งส.ส.จากพรรคเพื่อไทยและประชาธิปัตย์ได้เข้ามารุมล้อมนายสมศักดิ์


ฉาก 7 ส.ส.พรรคเพื่อไทย อาทิ
นายพิชิต ชื่นบาน ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย มาโอบตัวเพื่อกันนายสมศักดิ์ไว้


ฉาก 8ส.ส.พรรคเพื่อไทยที่เหลือเป็นจำนวนมาก
ขึ้นมาปกป้องประธานบนบัลลังก์
ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจรัฐสภาต้องเร่งนำตัวนายสมศักดิ์ออกจากห้องประชุมไปอย่างเร่งด่วน
พร้อมสั่งพักการประชุมเป็นเวลา 15 นาที

ฉาก 9 ระหว่างพักการประชุมอยู่นั้น
บรรดาส.ส.พรรคเพื่อไทย และพรรคประชาธิปัตย์
ต่างจับกลุ่มพูดคุยการทำหน้าที่ของประธานสภา

ฉาก 10 ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ นำโดย
นายสาธิต ปิตุเตชะ ส.ส.ระยอง พร้อมด้วยส.ส.พรรค
ได้เดินเข้าไปที่เก้าอี้ของประธานสภา เพื่อไม่ให้ประธานกลับมาทำหน้าที่


ฉาก 11 น.ส.รังสิมา รอดรัศมี ส.ส.สมุทรสงคราม พรรคประชาธิปัตย์
ได้เดินเข้าไปถึงเก้าอี้ประธานและเก้าอี้รองประธานทั้ง 3 ตัว

ฉาก 12 ระหว่างที่ น.ส.รังสิมา กำลังดึงเก้าอี้ตัวที่ 2 นั้น
ปรากฏว่าส.ส.หญิงพรรคเพื่อไทย ที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่ นำโดย
นางเปล่งมณี เร่งสมบูรณ์สุข ส.ส.เลย พรรคเพื่อไทย
ได้เดินเข้ามาเพื่อที่จะแย่งเก้าอี้คืน

ฉาก 13 น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย
ตะโกนก่อนที่จะไปแย่งเก้าอี้ว่า “มากเกินไปหรือเปล่า”

ฉาก 14 มีการยื้อแย่งโดยนางเปล่งมณีและน.ส.ขัตติยา เข้าไปกระชากเก้าอี้
จากน.ส.รังสิมา ก่อน

ฉาก 15 นางกันตวรรณ ตันเถียร กุลจรรยาวิวัฒน์ ส.ส.พังงา พรรคประชาธิปัตย์
ได้เข้าไปช่วยเหลือน.ส.รังสิมา ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจรัฐสภาและส.ส.ชายพรรคประชาธิปัตย์เข้าไปห้าม
ทำให้นางเปล่งมณีหันมาขวางพร้อมโต้เถียงกับนางกันตวรรณ

ฉาก 16 นายพงศ์เวช เวชชาชีวะ ส.ส.จันทบุรี พรรคประชาธิปัตย์
ต้องเข้าไปห้ามนางเปล่งมณี

ฉาก 17 เจ้าหน้าที่ตำรวจสภาและส.ส.พรรคประชาธิปัตย์
พยายามกันกลุ่มบุคคลทั้งหมดออกจากห้องประชุมสภาไปอยู่บริเวณด้านหลังบัลลังก์
ซึ่งเป็นทางออกของประธานสภา ก่อนแยกย้ายไปจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
http://www.go6tv.com/2012/05/blog-post_30.html

ที่มาข่าว http://www.tfn5.info/board/index.php?topic=38597.0

.........................................................................

ไปติดตามชมและอ่านกันเองเลยครับแล้ว จะได้คำตอบ ข้างนอกมีม็อบ พธมที่จัดโดย ปชป.เช่นกัน ข้างในสภา ส.ส.ปชป. ทำตัวเป้นพวกก่อม้อบบุกยึดเก้าอี้ประธานสภา นี่หรือครับ พรรคการเมืองที่บอกว่า เป็นประชาธิปไตย ประชาธิปไตยแบบ ควายๆ น่ะสิครับแบบนี้  ต้นตอแห่งความแตกแยกและความรุนแรง เห็นกันชัดๆว่าใครพวกไหน เป็นคนเริ่ม ไอ้พวกพรรคการเมืองสาวกอำมาตย์...ไอ้พวกม้อบมีเส้น... ถ้าเป็นแบบนี้ เห็นด้วยนะครับถ้าจะแบ่งประเทศกันเลยดีกว่า อยู่ไปก็ยิ่งขัดแย้ง

เปิดคำพิพากษา ผอ.ประชาไท: มาตรฐาน ตัวกลาง-เสรีภาพ-ความมั่นคง


..................................................




ย่อคำพิพากษา
คดีหมายเลขดำที่ อ.๑๑๖๗/๒๕๕๓
                                                            ศาลอาญา
            วันที่ ๓๐ เดือน พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๕

ระหว่าง    พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด                                            โจทก์
            นางสาวจีรนุช   เปรมชัยพร                                                                 จำเลย
เรื่อง      ความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นผู้ให้บริการเว็บไซต์โดยเป็นผู้ดูแลเว็บไซต์ (Web master) ชื่อว่า ประชาไท (www.prachatai.com) จำเลยจงใจสนับสนุนหรือยินยอมให้มีการดำเนินการนำข้อความอันเป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์ ที่มีเนื้อหาเป็นการดูหมิ่นพระมหากษัตริย์  พระราชินี  รัชทายาท อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร จำนวน ๑๐ กระทู้ เข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งอยู่ในความควบคุมของจำเลย ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๑๔ , ๑๕ ประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๙๑
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานโจทย์จำเลยแล้วเห็นว่า ข้อความตามกระทู้ทั้งสิบมีลักษณะเป็นการดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร และมีการนำเข้าสู่ในเว็บบอร์ดของเว็บไซต์ประชาไท แต่โจทย์ไม่มีพยานหลักฐานว่าจำเลยจะเป็นผู้นำข้อความตามกระทู้ทั้งสิบดังกล่าวเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ หรือ จงใจ สนับสนุน ให้มีการกระทำความผิดดังกล่าว ในระบบคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในความควบคุมของจำเลย จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำความผิดฐานนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดๆ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.๒๕๕๐ มาตรา ๑๔ (๓) และฟังไม่ได้ว่าจำเลยจงใจ หรือสนับสนุน ให้มีการกระทำความผิดดังกล่าว ในระบบคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในความควบคุมของจำเลย ส่วนจะเป็นการ ยินยอม ให้มีการกระทำความผิดตามมาตรา ๑๔ ในระบบคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในความควบคุมของจำเลยหรือไม่นั้น เนื่องจากพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๑๕ มิได้บัญญัติไว้โดยชัดแจ้งเกี่ยวกับระยะเวลานับแต่เกิดการกระทำความผิดตามมาตรา ๑๔ ในระบบคอมพิวเตอร์ที่อยู่ความควบคุมของผู้ให้บริการว่า ควรมีระยะเวลานานเพียงใด กับมิได้กำหนดระยะเวลาในการแจ้งเตือนให้ผู้ดูแลเว็บไซต์ดำเนินการแก้ไขกรณีที่มีการนำเข้าข้อความที่ไม่เหมาะสมสู่ระบบอินเตอร์เน็ตของผู้ให้บริการ ซึ่งมีฐานะตัวกลางระหว่างผู้ใช้บริการในเครือข่ายอินเตอร์เน็ต เพื่อให้ผู้ให้บริการเว็บไซต์ดำเนินการปรับปรุงแก้ไขข้อมูลที่ไม่เหมาะสมที่ผู้ใช้บริการโพสต์หรือนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่ผู้ใช้บริการรับผิดชอบดูแลอยู่ หรือระงับการเผยแพร่ข้อมูลดังกล่าวไว้เพียงใด กรณีจะถือว่าผู้ให้บริการยินยอมให้มีการกระทำความผิดตามมาตรา ๑๔ ในระบบคอมพิวเตอร์ ที่อยู่ในความควบคุมของตน และต้องรับผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.๒๕๕๐ โดยทันทีหลังจากมีการนำเข้าข้อความที่ไม่เหมาะสมสู่ระบบอินเตอร์เน็ตของตัวกลางนั้นนับว่าไม่เป็นธรรมแก่ผู้ให้บริการในฐานะตัวกลางระหว่างผู้ใช้บริการในเครือข่ายอินเตอร์เน็ต แต่ผู้ให้บริการเองจะอ้างว่าไม่ทราบว่ามีการกระทำความผิดตามมาตรา ๑๔ ในระบบคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในความควบคุมของตนโดยมิได้คำนึงถึงภาระหน้าที่และความรับผิดชอบในฐานะเป็นผู้ดูแลเว็บไซต์ หรือ Web master ของผู้ให้บริการเองเพื่อให้หลุดพ้นจากความผิดดังกล่าว และทำให้บทบัญญัติตามกฎหมายไม่มีสภาพบังคับนั้น ย่อมไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมายที่บัญญัติไว้ดังกล่าว

ศาลเห็นว่าหากจำเลยมีความใส่ใจดูแลและตรวจสอบตามหน้าที่และความรับผิดชอบของจำเลยแล้ว ควรจะใช้เวลาในการตรวจสอบและพบเห็นตลอดจนนำข้อมูลที่ไม่เหมาะสมตามที่บัญญัติในมาตรา ๑๔ ดังกล่าวออกจากระบบคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในความควบคุมของจำเลยภายในระยะเวลาอันสมควรที่อาจจะพึงคาดหมายได้ว่าจำเลยรู้อยู่ว่ามีการนำข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่นำเข้าสู่ระบบโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย เพราะหากปล่อยเวลาให้เนินนานไปกว่านี้อาจมีการนำข้อความที่มีลักษณะเป็นการไม่เหมาะสมเผยแพร่ต่อไปไม่จบสิ้นจนก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ที่เกี่ยวข้องรวมทั้งเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศชาติได้ เมื่อปรากฏว่ากระทู้จำนวน ๙ กระทู้ ตามเอกสารหมาย จ.๒๓ ถึง จ.๓๑ อยู่ในกระดานสนทนาหรือเว็บบอร์ดที่จำเลยเป็นผู้ดูแล เป็นเวลา ๑๑ วัน ๑ วัน ๓ วัน ๒ วัน ๒ วัน ๑วัน ๓ วัน ๒ วัน และ ๑ วัน ตามลำดับ ซึ่งอยู่ภายในกรอบเวลาอันสมควรในการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยในฐานะเป็นผู้ควบคุมเว็บบอร์ด จึงมิอาจฟังได้ว่าจำเลยได้รู้ถึงการนำกระทู้ตามเอกสารหมาย จ.๒๓ ถึง จ.๓๑ ดังกล่าวเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในความควบคุมของจำเลย อันจะถือว่าเป็นการยินยอมให้มีการกระทำความผิดตามมาตรา ๑๔ ในระบบคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในความควบคุมของจำเลย ส่วนกระทู้ตามเอกสารหมาย จ.๓๒ นั้น ปรากฏว่าอยู่ในกระดานสนทนาหรือเว็บบอร์ดที่อยู่ในความควบคุมของจำเลยเป็นเวลาถึง๒๐วัน ซึ่งศาลเห็นว่า  เกินกำหนดเวลาอันควรที่จำเลยจะตรวจสอบพบตลอดจนนำข้อมูลที่ไม่เหมาะสมดังกล่าวออกจากระบบคอมพิวเตอร์ที่จำเลยเป็นผู้ดูแล จึงเป็นการงดเว้นไม่ปฏิบัติหน้าที่ของผู้ให้บริการภายในเวลาอันสมควร กรณีย่อมถือได้ว่าจำเลยให้ความยินยอมโดยปริยาย ในการนำข้อมูลที่ปรากฏในเอกสารหมายเลข จ.๓๒ เข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในความควบคุมของจำเลย เมื่อข้อมูลที่นำเข้าดังกล่าว มีลักษณะเป็นความผิดตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.๒๕๕๐ มาตรา ๑๔(๓) จำเลยในฐานะผู้ให้บริการในการนำเข้าสู่ระบบอินเทอร์เน็ต ย่อมมีความผิดฐานเป็นผู้ยินยอมให้มีการกระทำความผิดตามมาตรา๑๔ ในระบบคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในความควบคุมของจำเลย
ที่จำเลยนำสืบว่าหลังจากรัฐประหารมีผู้เข้าไปแลกเปลี่ยนความคิดเห็นบนเว็บบอร์ดของเว็บประชาไทมากขึ้น จึงได้เพิ่มมาตรการในการควบคุมดูแล โดยให้มีการตรวจสอบข้อมูลโดยเจ้าหน้าที่ของประชาไทกับให้มีอาสาสมัครที่เป็นสมาชิกที่ใช้บริการเว็บบอร์ดประชาไทเข้าไปตรวจสอบข้อมูลที่นำเข้าของเว็บประชาไท เมื่ออาสาสมัครท่านใดตรวจพบว่ามีข้อมูลที่สุ่มเสี่ยงหรือไม่เหมาะสมก็สามารถนำออกได้โดยไม่ต้องได้รับอนุญาตจากจำเลยก่อนนั้น ก็เป็นส่วนหนึ่งของการทำหน้าที่ของจำเลยในฐานะผู้ให้บริการแก่บุคคลอื่นในการเข้าสู่อินเทอร์เน็ท แต่ก็ยังไม่เพียงพอ ภาระหน้าที่ของจำเลยในการควบคุมดูแลมิให้มีการกระทำคงวามผิดตามมาตรา๑๔ ในระบบคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในความควบคุมของจำเลยมีอยู่เช่นใดก็ยังคงมีอยู่เช่นนั้นไม่เปลี่ยนแปลง
และส่วนที่ว่าเว็บไซต์ประชาไทเป็นโครงการหนึ่ง ภายใต้มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน จุดประสงค์เพื่อนำเสนอข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง มุ่งเน้นเรื่องสิทธิมนุษยชนและส่งเสริมประชาธิปไตยนั้น ศาลก็ยอมรับว่า สิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของพลเมืองซึ่งให้การรับรองและคุ้มครองไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกฉบับ เพราะเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นสะท้อนถึงธรรมาภิบาลและความเป็นประชาธิปไตยของประเทศหรือองค์กรนั้นๆ การวิพากษ์วิจารณ์จากประชาชนทั้งด้านบวกและด้านลบแล้ว ย่อมเป็นโอกาสในการนำไปปรับปรุงประเทศ องค์กร และตนเองให้ดียิ่งๆขึ้น แต่เมื่อจำเลยเปิดช่องทางให้มีการแสดงความคิดเห็นในระบบคอมพิวเตอร์ที่จำเลยเป็นผู้ให้บริการและอยู่ในความดูแลของจำเลย จำเลยย่อมมีหน้าที่ในการตรวจสอบข้อคิดเห็นหรือข้อมูลที่อาจกระทบกระเทือนถึงความมั่นคงของประเทศรวมทั้งเสรีภาพของผู้อื่นที่ต้องเคารพเช่นกัน เมื่อปรากฏว่าจำเลยยินยอมให้มีการนำข้อคิดเห็นหรือข้อมูล ตามที่ปรากฏอยู่ในเอกสารหมาย จ.๓๒ ลงในระบบคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในความควบคุมของจำเลยดังที่วินิจฉัยมาข้างต้น จำเลยจึงมิอาจอ้างถึงสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นดังกล่าวเพื่อให้หลุดพ้นจากความรับผิดได้
พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.๒๕๕๐ มาตรา ๑๕ ประกอบมาตรา ๑๔ (๓) ตามฟ้องข้อ ๑.๑๐ ลงโทษจำคุก ๑ ปีและปรับ ๓๐,๐๐๐ บาท ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่ การพิจารณา นับว่ามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ หนึ่งในสาม คงจำคุก ๘ เดือน และปรับ ๒๐,๐๐๐ บาท ไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน เพื่อให้จำเลยมีโอกาสเป็นพลเมืองดีของประเทศชาติ โทษจำคุกจึงให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด ๑ ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๖ ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙, ๓๐ ข้อหาและคำขออื่นให้ยก./
 




อ่านรายละเอียดคดีได้ที่
http://freedom.ilaw.or.th/th/case/112


AttachmentSize
ย่อคำพิพากษาคดีจีรนุช หน้า1.pdf611.65 KB
ย่อคำพิพากษาคดีจีรนุช หน้า2.pdf768.62 KB
ย่อคำพิพากษาคดีจีรนุช หน้า3.pdf807.97 KB
ย่อคำพิพากษาคดีจีรนุช หน้า4.pdf370.33 KB

วันอังคารที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

“เป็น “ฝ่ายค้าน” ไปนานๆ นะ...ไอ้พวกเอ็ง!!!”


วาทตะวัน สุพรรณเภษัช


        มเคยเล่าให้ท่านผู้อ่านฟัง ถึงเรื่องการที่รัฐบาลปัจจุบันแก้ปัญหา ที่เราเคยมีกับเพื่อนบ้านรอบประเทศ จนลุล่วงอย่างมีประสิทธิภาพยิ่ง สามารถคลี่คลายความขัดแย้งชายแดน ซึ่งนาย มาร์ค มุกควาย กับพรรคโลซกได้ก่อไว้ ตั้งแต่ครั้งร่วมมือกับทหาร แย่งอำนาจเข้ามาเป็นรัฐบาล
        จนถึงขั้น...ยิงปืนใหญ่ ถล่มใส่กันแบบไม่ยั้ง!
        เหตุการณ์ร้ายแรงที่ชายแดน ด้านตะวันออกของประเทศ ทำให้พี่น้องชาวไทยเดือดร้อนวุ่นวาย ต้องบาดเจ็บล้มตาย พลัดที่นาคาที่อยู่ แถมบางหมู่บ้านต้องมุดลงรูลงท่อ หลบลูกระเบิดกันวุ่นวาย รัฐต้องจ่ายเงินทำสงครามไป อีกหลายพันล้านบาท
        นี่ยังไม่นับ การสูญเสียเครื่องบินรบ ตระกูล F ซึ่งราคาแพงมากไปอีกสองลำ ท่ามกลางเสียร่ำลือว่า เป็นเพราะ..
        หลบ ป.ต.อ.เขมร จนชนกันเอง ชิบหายไปทั้งสองลำ!
        ใช่แต่แค่นั้นนะ...
        ส.ส.พรรคโลซก ยังยกพวกบุกรุกเข้าไป ในดินแดนกัมพูชา จนถูกจับกุมได้ ซึ่งทำให้ไทยต้องตกเป็นรองเขมร ในการเจรจาความเมืองในเวลาต่อมา เหตุเพราะมีคนไทยไปถูกจับ เป็น “ตัวประกัน” ค้ำอยู่นั่นเอง
        ยิ่งไปกว่านั้น...
        แม้อดีต ส.ส.กลับบ้านได้อย่างสะบักสะบอม โดยทิ้งให้นักเคลื่อนไหวสาย เถนรักษ์ “ผีบุญ” แห่งอาศรมสันติกะโหลก ที่เข้าไปในดินแดนเขมร พร้อมกับไอ้ส.ส.พรรคดักดานตัวแสบ อย่างไม่สนใจใยดี
        มิหนำซ้ำ ยังต้องรับโทษ “จำคุก” อีกด้วย!!
        โชคดีที่ประเทศไทย ได้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี ได้ทันท่วงที เพราะเพียงเธอดำรงตำแหน่งไม่กี่วัน เหตุการณ์ชายแดนด้านเขมร ได้คลี่คลายลงอย่างรวดเร็วอย่างเหลือเชื่อ
       
น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก!         ทหารไทยสามารถถอนกำลัง ออกจากการประจันหน้ากับกองทัพเพื่อนบ้าน ทั้งตัวนายและไพร่พล ได้กลับไปอยู่กับลูกเมียที่บ้านเพราะ สถานการณ์กลับคืนไปเป็นปกติดังเดิมแล้ว
        นี่คือสิ่งที่ไอ้ “รัฐบาลพรรคโลซก” มันไม่มีวัน ทำได้อย่างเด็ดขาด!
        สำหรับชายแดนทางด้านพม่า  ผมได้เขียนบทความ “ไอ้พวก ‘เงี่ยน’ ปฏิวัติ...พวกกู ไม่กลัว พวกมึง!!!”  (http://vattavan.com/detail.php?cont_id=349) เอาไว้ว่า
        ...‘แม่สอด’ ที่ปิดมากว่า 2 ปี ในยุครัฐบาลกาลีนั้น แค่นายกฯปูเข้ารับตำแหน่ง แค่สามเดือนเท่านั้น ด่านเปิดเรียบร้อยแล้ว คนไทยชายแดนหน้าตามีเลือดฝาด แจ่มใสไปตามๆกัน
        การค้าขายระหว่างกันที่ด่านสำคัญนี้ น.ส.พ. “ไทยรัฐ” ประมาณการว่าไม่ต่ำกว่า 1 แสนล้านบาทต่อปี นอกจากนั้น ยังมีการพิจารณาระหว่างสองประเทศ ถึงการเปิดด่านตามช่องทางอื่นๆอีกด้วย

       
ชาวบ้านร้านตลาดตามแนวชายแดน พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ช่างแตกต่างจากตอนไอ้พรรคกาลี มันบริหารบ้านเมืองยิ่งนัก เพราะไอ้รัฐบาลเวรตะไลนั่น มันทำให้บ้านเมืองของเรา         ต้องตกที่นั่งร้อนระอุ มิได้สร่างซาเลยทีเดียว!
        นี่เป็นผลงานชัดเจน ของรัฐบาลนายกปู แต่ก็น่าแปลกที่ผลงานดีมากๆทางด้านต่างประเทศ แต่รัฐบาลของนายกฯปู...         กลับเผยแพร่ความสำเร็จนี้ น้อยเหลือเกิน!         พี่น้องประชาชนคนไทย ไม่ค่อยทราบกัน กลับไปจำความหวาดกลัวนโยบายอัปรีย์ของรัฐบาลพรรคกาลีได้ เพราะเป็นที่รู้กันไปทั่วว่า ไอ้รัฐบาลโลซกนั้น มันเอาแต่...        “ทะเลาะกับเขมร เขม่นพม่า ด่าญวน กวนส้นตีนลาว”        รัฐบาลของนายกฯปู สามารถทำให้ชายแดนของประเทศ ที่รุ่มร้อนมานานหลายปี กลับสู่ความสงบสุขได้ ภายในระยะเวลาแสนสั้น         ผู้คนอนุโมทนา!         เมื่อทำสิ่งดีๆอย่างนั้นแล้ว รัฐบาลเองต้องรู้จักคัดเอาผลงานดีๆ ไปป่าวประกาศให้ผู้คนเขารู้กันให้ทั่ว แต่นี่กลับนิ่งเงียบ ปล่อยให้ไอ้พวกกาลี มันตีกินเอาข้างเดียว
        แค่ให้นายกฯปู ไปเดินตลาดแม่สอด คุยกับพ่อค้าแม่ขาย  ไต่ถามสารทุกข์สุขดิบ เท่านี้สื่อก็ตีข่าวกันกระฉ่อนแล้ว
        แนะนำกันไว้...แค่นี้แหละ!!
        นั่นคือ สิ่งที่ผมเขียนถึงอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก มาหลายสัปดาห์มาแล้ว
        าถึงวันนี้ แม้นายกฯปูยังไม่ทันจะไปเยี่ยมแม่สอด ตามคำแนะนำของผม แต่อานิสงส์ที่เธอทำให้ชายแดนเปิดได้ เป็นผลให้กลางเดือนที่ผ่านมา เมื่อมีการเลือกตั้ง อบจ.จังหวัดตาก ซึ่งเป็นจังหวัดที่พรรคฝ่ายค้านดักดาน มี ส.ส. ยึดครองไว้ถึง 3 คน เต็มตามอัตราศึก นั้น
        ผลการเลือกตั้ง กลับพลิกความคาดหมายไป อย่างน่าตื่นเต้น เพราะ...
        พรรคเจ้าถิ่นกลับเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ คนของพรรค “เพื่อไทย” อย่างราบคาบ ซึ่งเป็นลางร้ายของพรรคประชาธิเปรต ในการเลือกตั้งครั้งหน้า เห็นทีจะต้องสูญเสียฐานกำลังสำคัญ ที่เหลือโด่เด่อยู่เพียงจังหวัดเดียว ทางภาคเหนือตอนล่าง
        ยิ่งไปกว่านั้น ปัญหาความไม่ทุจริตโปร่งใส ของพรรคประชาธิเปรตเริ่มส่งกลิ่นเน่าเหม็นอย่างรุนแรง เพราะโครงการที่พรรคนี้เป็นหัวเรือในการดำเนินการ หรือมีส่วนพัวพัน ทั้งระดับชาติหรือระดับท้องถิ่นอย่าง กทม. กำลังขยายภาพ “ความชั่วร้าย” ออกมา
        ให้ประชาชนเห็นต่อเนื่อง ทีละเรืองสองเรื่อง!
        คนสำคัญของพรรคกาลี ที่มีรายชื่อจะขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคแทน นายมาร์ค มุกควาย อย่าง นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ก็เสียศูนย์ไป เหตุเพราะต้องลาออกจากตำแหน่ง ผู้ว่ากทม.ฯ สมัยที่ 2 เพราะเรื่องทุจริตในหน่วยงานแห่งนี้
     
   คนที่พรรคโลซกจะยกหัวหน้า อย่าง “บัง” อภิรักษ์ฯ ได้เข้าสู่กระบวนการพิจารณา ของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ไปเรียบร้อยแล้ว!         ดูไปแล้ว พรรคประชาธิเปรตนอกจากจะไม่ก้าวหน้าไปในทางดีแล้ว ยังกำลังจะ...
        หล่นไปสู่ “หุบเหว” แห่งความเสื่อมโทรมอีกด้วย!
        อยากจะเรียน ท่านผู้อ่านว่า
        ประชาชนชาวตากนั้น เขาเล็งเห็นแล้วว่า ตลอดระยะเวลาที่พรรคประชาธิเปรตมีอำนาจอยู่นั้น ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
ทรุดโทรมลงในทุกๆด้าน เพราะพรรคดักดานนี้ ใช้นโยบายที่ผมเคยเขียนเอาไว้ว่า
       
...เที่ยวพาลรีพาลขวาง หันไป “โกรธเขมร เขม่นพม่า ด่าญวน กวนส้นตีนลาว” ชวนทะเลาะกับเขา รอบโลก
        จนไม่มีใครอยากคบ!....

        ...ท่านผู้อ่าน คงเห็นภาพชัดเลย!!
        ด้วยเหตุนี้เอง พี่น้องชาวตากเขาได้รับความเดือดร้อน เพราะชายแดนปิด ทำมาค้าขายไม่ได้ แต่พอคุณปูเธอเข้ามาเป็นนายกฯเท่านั้น หนทางที่เคยตีบตัน กลับไหลลื่น เปิดโล่ง ทุกอย่างกลายเป็นทางสะดวกโยธินบูรณะ ไปเสียทั้งหมด
        การทำมาค้าขายชายแดน เจริญรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว นี่เองเป็นเหตุผลให้ ผู้คนในเมืองตาก ที่เป็นฐานสำคัญของพรรคประชาธิเปรต หันมาสนับสนุนพรรคเพื่อไทย จนชนะในการเลือกตั้ง ชนิดหักปากกาเซียนการเมือง ในการเลือกตั้งนายกฯ อบจ.
        ที่ชาวตากเปลี่ยนใจ กลับมามอบ “ชัยชนะ” ให้พรรคเพื่อไทยนั้น แสดงว่า... 
       
เรื่องปากเรื่องท้องนั้น สำคัญขนาดพลิกผลการเลือกตั้งได้เลย!        ยิ่งไปกว่านั้น...
        ที่ผู้คนไม่ค่อยทราบนัก นั่นคือ นอกจากการเปิดด่านชายแดนแล้ว ความมีเสน่ห์ในการเจรจาความเมือง ของนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ยังปักทรวงผู้นำพม่า ถึงกับยกเลิกการกีดกันสินค้าสำคัญ 15 รายการ เช่น
        ผงชูรส น้ำหวาน/เครื่องดื่ม(Soft drink) ขนมปังกรอบทุกชนิด (Biscuits) หมากฝรั่ง ขนมเค้ก ขนมเวเฟอร์ ช็อกโกแลต อาหารกระป๋อง (เนื้อสัตว์ และผลไม้) เส้นหมี่ทุกชนิด เหล้า เบียร์ บุหรี่ ผลไม้ทุกชนิด ผลิตภัณฑ์พลาสติกผงชูรส เครื่องกระป๋อง บะหมี่สำเร็จรูป เครื่องดื่มชูกำลัง เป็นต้น
        สินค้าเหล่านี้ สร้างประโยชน์โพดผลให้แก่พ่อค้าชาวไทย เงินทองจะหลั่งไหลเข้าประเทศอีกมากมาย เพราะมีพลเมืองพม่าอีกหนึ่งประเทศเต็มๆ จะมาเป็นลูกค้าสินค้าเครื่องบริโภค ที่ผลิตโดยบริษัทไทย
        ที่น่าตื่นเต้นมากคือ เพียงประกาศยกเลิกการกีดกันสินค้าสำคัญ แค่วันแรกเท่านั้น
       
สินค้าเกลี้ยงงงงงงงงงง....ตลาดแม่สอดเลย!         ใช่แต่ตลาดแม่สอดเท่านั้น เมืองชายแดนอื่นที่ติดต่อกับพม่า ไม่ว่าจะเป็นแม่สาย เชียงราย สินค้าที่ได้รับการยกเลิกการนำเข้าจากเพื่อนบ้าน เกลี้ยงร้านค้า หมดทั้งตลาด ไม่ได้ต่างจากด้านแม่สอดเลย
        เห็นความสำเร็จของ “นายกฯปู” กันหรือยัง!!!
        เมื่อวันอังคารที่ 22 พ.ค.2555 นายสมเกียรติ อ่อนวิมล ได้ออกมาเล่าในรายการ “เช้าทันโลก” ทาง FM 96.5MHz (คลื่นของ อ.ส.ม.ท. ที่ผมให้ราคา เป็นแค่ “เนชั่ว” สาขา 2) ว่า
        ทางบริษัทสหพัฒน์ฯ ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนหลักของพันธมิตร และพรรคดักดาน ได้ไปต้มบะหมี่มาหมาแจกเด็กๆ หระว่างการแนะนำอาหารอาเซียนในประเทศพม่า
        ฟังแล้ว...ผมอยากจะบอกว่า
        แม้บริษัทสหพัฒน์ฯจะแสดงทีท่า “ไม่เป็นมิตร” กับรัฐบาลพรรคเพื่อไทยและนายกฯปู อีกทั้งผู้บริหารยังถล่มรัฐบาลนายกฯปูทางสื่อเสื้อเหลือง และสื่อตรงข้ามรัฐบาลมาโดยตลอด แต่นายกฯปูก็ไม่ได้ถือสา หรือตอบโต้แต่อย่างใด และหลังจากการยกเลิกการกีดกันสินค้าไทย บริษัทกลับได้รับประโยชน์จากความสามารถของรัฐบาลที่เขาไม่ชอบ อย่างเต็มที่
        นี่ถ้าหากรัฐบาลดักดาน ที่พวกเขาโปรดปราน ยังอยู่ในอำนาจ สินค้าของสหพัฒน์ฯ โดยเฉพาะบะหมี่ที่มีคุณค่าทางอาหารน้อยเต็มที จะไม่มีโอกาสเข้าไปขาย ในดินแดนเมียนมาร์ เป็นอันขาด
        จริงหรือเปล่าล่ะ!?
        ที่คนในวงการค้าขาย ต้อง “ทึ่ง” หนักยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อคราวนายกฯปูบินไปเจรจาทางการค้า กับที่ราชอาณาจักรบาห์เรนและประเทศการ์ตาร์ เสน่ห์ของนายกฯชาวเจียงใหม่
        ก็แผลงฤทธิ์อีกครั้ง!
content/picdata/367/data/photo_10.jpg
        คราวนี้ทำให้ตลาดค้าไก่ของไทยเรา เหมือนได้รับการประพรมด้วยน้ำพระพุทธมนต์ศักดิ์สิทธิ์ จาก สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) เพราะโลกอาหรับได้ยกเลิกข้อห้าม การนำเข้าเนื้อไก่ไทย ไปเรียบร้อยแล้ว...
       
สาธุ...สาธุ...สาธุ!         ต่อจากนี้ไปเราจะได้เห็นคนเลี้ยงไก่ พ่อค้าไก่ ตื่นจากสลบไสล และยิ้มระรื่นกันได้ทั่วหน้า
        เงินทองไหลมาเทมาอีก...เป็นพัน เป็นหมื่นล้าน!!
        ถ้าไอ้พรรคโลซกยังเป็นรัฐบาลอยู่ อย่างดีที่พวกมันจะทำได้ ก็คงแค่คอยจับ “ไก่หลง” บ้าง “ไก่ตาฟาง” บ้าง ที่พลัดเข้ามาค้าขายกับไทยแลนด์เท่านั้น
        เพราะ...
        ไอ้พรรคเวรพรรคกรรมนั่น ค้าขายไม่เป็น แค่ขายกาแฟในพรรคยังเจ๊ง ยิ่งเรื่องค้าขายกับต่างประเทศแล้ว เป็นเรื่องที่อิมพอสสิเบิลเป็นไปไม่ได้เลย
        สันดานไอ้พวกนี้มันเสีย ค้าขายกับใครเขาไม่ได้หรอกครับ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องค้าขายแดนไกล กะอีแค่ค้ากับประเทศบ้านใกล้เรือนเคียง เขาก็ยังเมิน เพราะรำคาญที่มันพาลหาเรื่องทะเลาะกับเพื่อนบ้านเขาร่ำไป นั่นเอง
        ผมถึงย้ำกับท่านผู้อ่าน หลายครั้งหนแล้วว่า...
        ไอ้พรรคเปรตนี่...มัน “ระยำ” สุดๆจริงๆ!!!
        วามสำเร็จของนายกฯปู ทำให้พรรคฝ่ายค้านต้องเจ๊กอั้กอีกครั้ง เมื่อ IMF แถลงชมนโยบายการเงินและการคลังแบบผ่อนคลาย ของรัฐบาลไทยชุดปัจจุบัน ว่า
        มีความเหมาะสมแล้ว สำหรับในภาวะที่เศรษฐกิจโลกอ่อนแอ และแรงกดดันเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ ซึ่งในภาวะเช่นนี้ คณะกรรมการบริหาร IMF สนับสนุนการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ของรัฐบาลนายกฯปูเต็มที่
        เป็นที่น่าตื่นเต้นยินดีเหลือเกิน ที่ IMF ได้ประเมินศักยภาพทางเศรษฐกิจแล้ว เห็นว่าไทยฟื้นตัวเร็วเกินคาด แถมยังคาดว่า
        ปีนี้ พ.ศ.2555 นี้ GDP ของไทย จะโต 5.5% ส่วนปีหน้า พ.ศ.2556 จะโตต่อเนื่อง เพิ่มขึ้นอีกเป็น 7.5% ก้าวหน้ามากกว่าอีกหลายๆชาติ ดูตารางเปรียบเทียบ ที่ผมแสดงเอาไว้ข้างล่างนี้ก็แล้วกันครับ
content/picdata/367/data/photo_11.jpg
        ท่านผู้อ่าน ที่เคารพรักครับ
        บัดนี้ ท่านคงจะเห็นได้ว่า มีหลักฐานยืนยันอย่างแจ้งชัด จากทั้งในและนอกประเทศ ว่า
        ประเทศไทยของเรานั้น กำลังมีความเจริญก้าวหน้า ไปมากกว่าตอนที่รัฐบาลโลซก ปกครองบ้านเมืองของเรามากมายหลายเท่านัก
        ขอเพียงให้พี่น้องประชาชน ให้กำลังใจ พร้อมกับสนับสนุน นายกฯปู และรัฐบาล “พรรคเพื่อไทย” ให้ได้บริหารประเทศนานๆต่อไปเท่านั้น บ้านเมืองของเราก็จะก้าวหน้าต่อไปได้อย่างดี เพราะ
        รัฐบาลนี้เขามีสติปัญญา ไม่เหมือนรัฐบาลของพรรคกาลี!
        ดังนั้น เลือกตั้งคราวหน้าหรือคราวไหนก็ตาม พวกเราผองไทย ต้องร่วมมือร่วมใจ ไม่เลือกไอ้พรรคกาลี ให้มันกลับมามีอำนาจ สร้างความทุกข์ยากให้กับบ้านเมืองของพวกเราอีกต่อไป
        อย่างเด็ดขาด!
        ทิ้งให้มันยืนค้าน นั่งค้าน ตีลังกาค้าน ติดต่อไปอีก สัก 40 ปี ก็แล้วกัน!!
        ช่วยกันตะโกนบอกพวกมันดังๆ ด้วยนะครับ ว่า
        “เป็น “ฝ่ายค้าน” ไปนานๆ นะ...ไอ้พวกเอ็ง!!!”              
...555...
...........
ท้ายบท www.vattavan.com ยังไม่สามารถจัดการนำความเห็น ที่แฟนๆโพส ขึ้นท้ายบทความได้ตามปกติ
        ดังนั้น จึงต้องใช้วิธี นำความเห็นที่ท่านโพส มาขึ้นท้ายบทความสัปดาห์ถัดไปอีกระยะ และที่ท่านเห็นต่อไปนี้ คือความเห็นจากสัปดาห์ก่อนตอน  
       
ลับ-ลวง-เลอะ-เละ-แหล!! (พัชระ สารพิมพา อ่านซะ!!!)        (http://vattavan.com/detail.php?cont_id=365)
ความคิดเห็นที่ 1     แล้วพัชระ อาจจะต้อง "ร้อง ครวญ คราง" ด้วยครับท่านวาทตะวัน  โดยคุณ วาดฝัน ตะวันคลางแคลง  125.24.12.XXX
ความคิดเห็นที่ 2    
อ้าว...ตัว "เต้าข่าว" หน้าตาอย่างนี้เองแฮะ
โดยคุณ จอมเต้า  101.109.210.XXX 
ความคิดเห็นที่ 3     เสียดายที่พัชระเป็นคนอุดร จบ ป.โท แต่ตายังไม่สว่างเหมือนคนส่วนใหญ่ของจังหวัด โดยคุณ suda  110.168.112.XXX  
ความคิดเห็นที่ 4    
ควรปรับเปลี่ยนบุคคลากรที่มีแนวคิดไม่ดีกับรัฐบาลทั้ง ช่อง 9 ช่อง 11 ให้ไปอยู่ที่ช่องเนชั่ว ช่องเหลืองอ๋อย หรือช่องบลูสเกิ๊ต น่าจะดีกว่าครับ  โดยคุณ คนร้อยเอ็ด  1.4.128.XXX
ความคิดเห็นที่ 5    
ได้อ่านคอลัมน์ของท่านวาทตะวันวันนี้แล้ว หายหงุดหงิดใจไปพอสมควร เพราะไม่มีใครจะไปหืออือกับสื่อได้ ถ้าไม่ใช่สื่อด้วยกันเอง พวกทำตัวเป็นเทวดาหรือเป็นอภิสิทธิ์ชนอยู่เสมอ คือสื่อบางพวกบางคนนี่แหละ ผมเคยมีประสบการณ์ทั้งโดยตรงและโดยอ้อมกับบุคคลในคราบสื่อมาพอสมควร ไม่ค่อยพบพวกที่พอจะเชิดชูได้ จึงค่อนข้างมีทัศนคติในทางลบกับสื่อ แด่ก็ยกย่องสื่อที่ทำหน้าที่อย่างเป็นกลาง (แม้ในความเป็นจริงจะไม่มีก็ตาม) เคยเลิกเสพข่าวสารไปพักใหญ่เพราะความบิดเบี้ยวของสื่อ แต่ก็ต้องกลับมาเลือกเสพอีกครั้งเมื่อมีข่าวการตรวจสอบ-การร้องเรียนเพื่อความถูกต้องในกรณีต่าง ๆ ของประเทศ โดยมีสื่อช่วยขุดคุ้ยและกัดไม่ปล่อย ซึ่งจะทำให้ประเทศสะอาดขึ้น นี่เป็นจุดแข็งและอิทธิพลของสื่อที่ใช้แล้วจะมีแต่คนโมทนาสาธุ ส่วนการใช้อิทธิพลเพื่อการอื่น ขอสาปส่ง ท่านวาทฯสะกิดแรง ๆ อย่างนี้คงช่วยให้พวกที่กำลังจะไปไกลสุดกู่ได้หันกลับมามองตัวเองหรือสะดุดหยุดคิดบ้าง
โดยคุณ คิดทางลบกับสื่อมานาน  124.120.189.XXX 
ความคิดเห็นที่ 6    
อ่านแล้วคล้อยตามและมึความสุขมาก อีนายพัชระ สารพิมพม หน้ามันก็คล้ายกับอีนายคางคก ในสภานั่นแหละ เวลาพูดคล้ายกับลิ้นคับปาก ชอบแสดงความโกหกเหมือนกลุ่มเนชั่วทุ ๆ คน แต่แปลกคุณวาสนา ฯ นี่แหละเพราะเหตุใดจึงทำรายการร่วมกับนายคนนี้ได้หรือเพราะเงิน สะใจที่คุณจักรพรรณ ยมจินดา ลาออกจาก อ.ส.ม.ท ไปเสียเถิดถ้าจิตสำนึกหรือความอดทนมีเพียงเท่านี้ อยากให้คุณปลื้ม หรือ คุณ บ.ก ประชาไท(คุณชูวัส ฯ)ก็ได้ มาเป็นผอแทนก็ดี อาจารย์เห็นด้วยกับผมหรือเปล่า 
โดยคุณ
suaksai@thaimail.com  101.108.215.XXX
ความคิดเห็นที่ 7    
"ไอ้หน้าชนเขื่อน สาขา 2" ตัวนี้ มันจอมตีกิน อวดรู้จริงๆ มันคงนึกว่าคนฟังเขาโง่
โดยคุณ X Ray  125.27.51.XXX  
ความคิดเห็นที่ 8     เลิกฟังมานานแล้วตั้งวาสนาเขียนหนังสือเล่มล่าสุด  โดยคุณ Kowfangnasok@hotmail.com 10.49.233.XXX  
ความคิดเห็นที่ 9     ว่างๆก็คอมเมนต์ยัยนังสมจิตต์ นักข่าวสายกองทัพบกช่อง7 สักหน่อยประไร เพราะคำถามเธอนั้นมันเอียงสุดขั้วอย่างเห็นได้ชัด แม้กระทั่งน้ำเสียงที่เธอสัมภาษณ์นายมาร์คสุดหล่อของเธอ
น้นช่างหวาน หยดย้อยเสียนี่กระไร แต่ถ้าเป็นนายกปูหรือซีกรัฐบาล น้ำเสียงดั่งกับว่าไม่รู้พยาบาทมาตั้งแต่ชาติปางไหน
นักข่าวพันธุ์นี้เรียกว่าอะไรดี
โดยคุณ แข้งดำ  110.49.224.XXX 
ความคิดเห็นที่ 10 
พัชระ สารพิมพา ไม่ใช่ guru แต่เป็น "กูรู้" อย่างที่ว่า เป็น "กูรู้" เพราะ "กูอยู่ในรู" ไม่ยอมออกจากรู มามองโลกข้างนอกว่าเปลี่ยนแปลงไปแค่ไหนแล้ว 
โดยคุณ เอียงมิเอียงแล้วแต่จะโปรด  125.24.199.XXX 

        (คอลัมน์ประจำสัปดาห์ “เป็น “ฝ่ายค้าน” ไปนานๆ นะ...ไอ้พวกเอ็ง!!!” ออนไลน์ วันเสาร์ ที่ 26 พฤษภาคม 2555)

ใครกันแน่ที่ล้มเจ้า ตอบความ "สื่อมวลชั่ว"


อ้างถึงกระทู้ >> http://www.tfn5.info/board/index.php?PHPSESSID=6782775a72262d8aeebcd233730dee05&topic=28578.msg184173#msg184173



  xxx12แล้วจะมาตอบทีละข้อแบบจัดหนักปานกลาง นะครับ


อ้างอิง : http://www.tnews.co.th/html/read.php?hot_id=139#.T8L52lK-Udw
          : http://www.konthaiuk.eu/forum/index.php?topic=3148.0
          : http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=vinitsiri&month=08-2011&date=22&group=134&gblog=219
          : http://forum.serithai.net/viewtopic.php?f=2&t=9088
          : http://www.chaoprayanews.com/2011/01/26/%E2%80%9C%E0%B8%82%E0%B8%9A%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E2%80%9D-%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1/
          : http://www.whoweeklymagazine.com/horoscope_content_detail.php?t=celeb&t1=horoscope_celeb&id=47
          : http://nonlaw.7forum.net/t276-topic






อ้างถึง
xxx12
   

  ใน ความคิดเห็นที่ 5 โดย : กำดัน 

                         ข้อที่อ้ายจัฐไรรุ่งศิลายกมา มีข้อโต้แย้งดังนี้



1. เสรีภาพส่วนบุคคล
บทความมีเนื้อหาละเมิดสิทธิเสรีภาพคนอื่นครับ คือยุให้ใช้กำลังกับกลุ่มคนเสื้อหลากสี
... โดย : กำด้น


ตอบ 1  อันนี้ชัดเจนนะครับ ว่าใครยุยงให้คนไทยฆ่ากันเอง ... รุ่งศิลา

** ปล. จัญไร เขียนแบบนี้นะครับ แปล   ว. เลวทราม, เป็นเสนียด, ไม่เป็นมงคล, จังไร ก็ว่า
ทำไมการศึกษาภาษาไทย ถึงอ่อนแอจัง เขียนยังไม่ค่อยถูก การอ่านจะแตกฉานเข้าใจความได้หรือครับ


อ้างถึง
xxx12
4. สิทธิและเสรีภาพในการประกอบอาชีพ
มีข้อแม้ว่าเป็นอาชีพสุจริตนะครับ ถ้าเป็นอาชีพรับจ้างโฆษณาให้คนมาฆ่ากันเอง อันนี้ไม่เข้าข่ายเพราะผิดกฏหมาย ... โดย : กำด้น

   สำนักข่าว t-news ของ สนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม หรือ สนธิญาณ หนูแก้ว ได้ออกมาเปิดสกู๊ปทาง
โทรทัศน์ช่อง 11 ให้ร้ายว่าเสื้อแดงเคลื่อนไหวล้มสถาบันเบื้องสูง

พร้อมกันนั้นที่ เวบไซต์ t-news ก็ขึ้นข้อความ
บนหัวเวบว่า "ขบวนการล้มเจ้าแฝงปลุกระดม เครือข่ายทักษิณพร้อมทำสงคราม" พร้อมกับมีรูปประกอบ

จุดเริ่มต้นของ "สนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม" ในการเป็นเจ้าของธุรกิจสื่อคือการได้ทำงานกับ "จิรายุ อิศราง
กูร ณ อยุธยา"
สมัยนั้น "จิรายุ" เป็น รมช.อุตสาหกรรม รัฐบาลเปรม (ปี 2526) ต้องการแก้ปัญหาชาวไร่อ้อย
กับโรงน้ำตาล จึงดึง กลุ่มสนธิญาณ มาช่วยงาน กลุ่มสนธิญาณเป็นนักศึกษารามฯ ที่ทำกิจกรรมทางสังคม
รมช.จิรายุ จึงให้ไปทำงานกับชาวไร่อ้อย

ต้อย สนธิญาณ เล่าให้นิตยสาร Who? Magazine ฟังถึงชีวิตเขาจากกุ๊ยมาเป็นนักข่าวรวยระดับ100 ล้านใน
วันนี้ ก็เพราะได้ไปมีความสัมพันธ์กับ ดร.จิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระ
มหากษัตริย์ และบุญชัย เบญจรงคกุล อดีตนายใหญ่ยูคอม เจ้าของDTAC คู่แข่งคู่กัดมือถือของทักษิณ ชินวัตร

หลังจากไปเรียนรู้วิชาการทำข่าวในช่อง 3 สนธิญาณ ก็ดึงบริษัท ในเครือทรัพย์สินฯ มาร่วมทำสำนักข่าวINN
บุกเบิกข่าวร้อนทางวิทยุ

ในซีรีส์ชุด "ลากไส้สื่อเหี้ย" นั้น
ผู้เขียนคือคุณ "รักในหลวงห่วงลูกหลาน" กล่าวในเชิงตั้งข้อสงสัยว่า สนธิญาณ หนูแก้ว ดูจะมี "ภารกิจลับ"
ในการใช้สื่อวิทยุของเขาที่ได้ทุนจาก สำนักงานทรัพย์สินฯ ในการเปิดข่าวสกัดไม่ให้ ณรงค์ วงศ์วรรณ ก้าวขึ้น
เป็นนายกรัฐมนตรี และ "บิ๊กสุ" ได้เสียสัตย์เพื่อชาติเป็นายกฯ นำไปสู่การประท้วงขับไล่สุจินดาออก จากนั้นเขาก็
เป็นคนวิ่งเต้นเส้นสายให้ อานันท์ ปันยารชุน ขึ้นเป็น นายกรัฐมนตรีพระราชทานรอบ 2 และเขาเข้าไปประมูล
สถานีโทรทัศน์ itv จาก รัฐบาลอานันท์ได้ แต่หุ้นส่วนแตกคอกันเสียก่อน

การกลับมาของ สนธิญาณ หนนี้ในการใช้ สื่อช่อง 11 โจมตีว่า เสื้อแดงจะล้มสถาบัน และ ประกาศโจมตีทาง
เวบไซต์ t-news ของเขาจึงน่าจับตามองว่าต้อยสนธิญาณได้รับภารกิจลับระดับสูงอะไรมาอีกหรือไม่?
                                  โดย ..ทีมข่าวไทยอีนิวส์ 25 สิงหาคม 2552

ตอบ 4 ...  ชัดเจนนะครับสำหรับ อาชีพรับจ้างโฆษณาให้คนมาฆ่ากันเอง  ... รุ่งศิลา


อ้างถึง
xxx12
5.เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของบุคคลและสื่อมวลชน
เอ้า TNEWS ก็มีเสรีภาพที่จะเอามาตีแผ่หนิ ผิดตรงไหน ... โดย : กำด้น


ที่ สื่อมีส่วนในการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ใน รวันดา มี คนโดนฆ่าตาย 800,000-1,071,000 คน ในช่วงเวลา
แค่ 100 วัน
เท่านั้น

สาเหตุหนึ่ง มาจากสื่อเลวชั่ว มีส่วนเขียนสื่อ เสี้ยมสร้างความโกรธแค้นให้คนในชาติ โกรธเกลียดกัน
เป็นเหตุให้เกิดการอารมณ์คุมแค้น ของ ชนในชาติ แต่ละฝ่าย นำมาสู่การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ในประเทศ รวันดา

  การฆ่าเริ่มต้นขึ้นจากการยุยงของสื่อวิทยุ (ทำนองวิทยุบางคลื่นของไทยขณะนี้ ที่ขยันสร้างความเกลียดชัง
กระจายไปทั่วสังคม) คนบ้านใกล้กันที่เคยอาศัยเป็นเพื่อนบ้านกัน ก็จับมีดขึ้นมาฆ่ากัน ศพตายเกลื่อนลานบ้าน
หากสถานการณ์ทางการเมืองของประเทศไทย พัฒนาไปแบบนี้ มีโอกาสนองเลือด แบบรวันดา แน่นอน หาก
ทหาร และ พวกอำมาตยาธิปไตยทั้งหลาย ยังคิดที่จะ กดสังคมไว้ด้วยกำลัง

สื่อในประเทศ คือตัวการส่งเสริมความชิงชัง เพิ่มเต็มความโกรธแค้นระหว่างสองชนเผ่ายังมีส่วน
สำคัญในการเติมเชื้อปะทุความรุนแรงที่พัฒนามาเป็น สงครามกลางเมืองในประเทศบุรุนดี ตั้งแต่ พ.ศ. 2536
(1993) มาจนถึงเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2548 (2005) อีกด้วย

การฆ่ามีเป้าหมายไปที่ ชายชาวทุ๊ชซี tutsi  ทุกคน ตั้งแต่เด็กตัวเล็กๆถึงชายชรา ด้วยเหตุผล
ว่าคนพวกนี้อาจกลายไปเป็นกลุ่ม กบฏ RPF ได้ ส่วนผู้หญิงถูกนำมาข่มขืน และพวกที่รอดตายจำนวน 2
ใน 3 ก็ถูกทิ้งไว้กับโรคเอดส์
นอกจากนั้น ชาวฮูตูที่รักสันติ ก็ถูกฆ่าด้วยเช่นกัน โดยคาดว่ามี ชาวทุ๊ชซี ถูกฆ่า
ตายประมาณ 750,000 คน และชาวฮูตูผู้รักสันติถูกฆ่าตายประมาณ 50,000 คน

หลังเกิดเหตุ รวันดาประสบปัญหาทั้งทางเศรษฐกิจและสังคมจนถึงปัจจุบันซึ่งถูกจัดอันดับให้เป็นประเทศที่ยากจน
เป็นอันดับ 3 ของโลก และได้มีการลงโทษผู้ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์รุนแรงครั้งนั้นติดต่อกันมายาวนาน

ซึ่งที่น่าตกใจอีกอย่างก็คือในเดือนมกราคมที่ผ่านมา การตัดสินผู้กระทำผิดยังไม่จบสิ้น  โดยเพิ่งจะมีการประกาศ
อย่างเป็นทางการว่า ชาวรวันดา 1 ล้านคน คิดเป็น 1 ใน 8 ของประชากรทั้งประเทศ จะต้องขึ้นศาลทีละคน
เนื่องจากมีส่วนพัวพันกับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ครั้งนั้น และมีคนประมาณ 8 แสนคนติดคุกอยู่ โดยเชื่อกันว่าคงจะ
มีหลายคนที่เสียชีวิตไปก่อนได้รับการตัดสิน

เหตุการณ์ปัจจุบันยังคงต้องเรียกว่าคุกรุ่น เพราะชาวทุ๊ชซี หลายคนยังมีความเชื่อว่าการจะอยู่รอดก็คือต้องปราบ
ปรามชาวฮูตู ส่วนชาวฮูตู(Hutu) ก็เชื่อว่าพวกเข้าคงโดนประทับตราบาปจากเหตุการณ์นั้นไปอีกนาน โดยไม่มีใคร
สนใจความยากแค้นของเขาในสมัยที่รัฐบาล ทุ๊ชซี (Tutsi) ปกครองประเทศเลย จึงเป็นไปได้ว่าอาจยังมีเหตุการณ์
เลวร้ายเกิดขึ้นอีกในอนาคต

และศาลได้ตัดสินให้ สื่อชั่วเลว มีความผิดติดคุก กันระนาวทั่วหน้า



ตอบ 5 ...  ให้อ่านเป็นอุทาหรณ์ไว้  สำหรับ "สื่อมวลชั่ว" ทั้งหลาย   ... รุ่งศิลา


       
บทความ ศาสตราวุธรุ่งศิลา

วันอาทิตย์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

แอมเนสตี้ฯ เปิดตัวรายงานสถานการณ์สิทธิมนุษยชนทั่วโลก

 
25 พฤษภาคม 2555  โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
ที่มา ประชาไท

วันนี้เวลา 9.30 น. แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทยได้จัดแถลงข่าวเปิดตัวรายงานสถานการณ์สิทธิมนุษยชนทั่วโลก ประจำปี 2555 ของ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ณ โรงแรมรอยัล เบญจา ซึ่งงานดังกล่าวจะจัดขึ้นพร้อมกันทั่วโลก รายงานฉบับนี้ได้รวบรวมสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนตลอดปี 2554 โดยให้ทั้งภาพรวมของห้าภูมิภาคและข้อมูลของแต่ละประเทศจากทั้งหมด 155 ประเทศและดินแดน รายงานชี้ให้เห็นว่าการเรียกร้องสิทธิมนุษยชนยังดำเนินต่อไปอย่างเข้มแข็งใน ทุกมุมโลก  สำหรับประเทศไทยมีหลายประเด็นที่น่าห่วงใยเช่น การขัดแย้งกันด้วยอาวุธภายในประเทศ การลอยนวลพ้นผิด เสรีภาพในการแสดงออก  ผู้ลี้ภัยและผู้อพยพเข้าเมือง และโทษประหารชีวิต

แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล (สากล) ซึ่งได้ดำเนินการให้การศึกษา สร้างความเข้าใจ และรณรงค์ในประเด็นสิทธิมนุษยชนมาอย่างยาวนาน ได้ส่งจดหมายถึงรัฐบาลไทยเรียกร้องให้รัฐให้ความสำคัญในการเคารพสิทธิมนุษย ชนและเห็นคุณค่าของทุกชีวิตอย่างเท่าเทียมกัน  โดยแนะรัฐบาลไทยควรพิจารณาและปฏิบัติตามหลักสิทธิมนุษยชนสากลดังนี้
  

กฎหมายด้านความมั่นคงในประเทศ

  •  ปฏิรูปหรือยกเลิกกฎหมายฉุกเฉินที่ไม่สอดคล้องต่อพันธกรณีของประเทศไทยตาม กฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ โดยเฉพาะกฎหมายที่จำกัดสิทธิที่จะมีเสรีภาพปลอดพ้นจากการควบคุมตัวโดยพลการ เสรีภาพในการแสดงความเห็น การรวมตัวและการชุมนุมโดยสงบ และเสรีภาพในการเดินทาง
  •   ยุติการจับกุมและควบคุมตัวโดยพลการและประกันว่าผู้ถูกควบคุมตัวทุกคนจะได้ รับการนำตัวเข้าสู่การไต่สวนของคณะตุลาการอย่างเป็นอิสระโดยทันที โดยเป็นองค์คณะที่มีคุณสมบัติในการพิจารณาความชอบด้วยกฎหมายของการควบคุมตัว บุคคล

 กฎหมายจำกัดเสรีภาพในการแสดงความเห็น

  • แก้ไขกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเพื่อให้สอดคล้องกับกฎหมายและมาตรฐาน ระหว่างประเทศ โดยให้ยกเลิกข้อบัญญัติที่อนุญาตให้บุคคลใดๆ สามารถฟ้องร้องบุคคลอื่นในข้อหาละเมิดกฎหมายหมิ่นฯ และให้ชะลอการใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ระหว่างที่รอการแก้ไขกฎหมายดังกล่าว
  • ยุติการเซ็นเซอร์เว็บไซต์โดยอ้างว่าเป็นไปเพื่อคุ้มครองกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
  • ให้ยกเลิกข้อกล่าวหาใดๆ ที่มีต่อจีรนุช เปรมชัยพร บรรณาธิการข่าวออนไลน์สำหรับความเห็นที่มีผู้โพสต์ในเว็บบอร์ดที่เธอเป็นผู้ ดูแล และยกเลิกข้อกล่าวหาต่อบุคคลอื่นๆ ทั้งหมดที่ถูกตั้งข้อกล่าวหาเพียงเพราะต้องการแสดงความเห็นของตนอย่างสงบและ สันติ

 โทษประหาร

  • กำหนดให้มีข้อตกลงยุติการประหารชีวิตโดยทันที โดยมีเจตจำนงที่จะยกเลิกโทษประหารในทางกฎหมายในท้ายที่สุด
  • ให้มีการเปลี่ยนการลงโทษประหารชีวิตมาเป็นการลงโทษด้วยการจำคุกตลอดชีวิต
  •  ให้ประเทศไทยให้สัตยาบันรับรองพิธีสารเลือกรับฉบับที่สองของกติการะหว่าง ประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (Second Optional Protocol to the International Covenant on Civil and Political Rights)

 การทรมานและการปฏิบัติอื่นๆ ที่โหดร้าย

  •  กำหนดข้อบัญญัติตามกฎหมายในประเทศให้สอดคล้องกับข้อบัญญัติในอนุสัญญาต่อ ต้านการทรมานขององค์การสหประชาชาติ โดยเฉพาะการกำหนดฐานความผิดด้านการทรมานอย่างชัดเจนตามนิยามที่กำหนดใน อนุสัญญา
  •  ให้สอบสวนรายงานการทรมานและการปฏิบัติอื่นๆ ที่โหดร้ายที่กระทำโดยเจ้าหน้าที่ทหารและบุคคลอื่นๆ ทั้งนี้เพื่อนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ 

การขัดแย้งกันด้วยอาวุธในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย

  • ดำเนินการสอบสวนโดยทันที อย่างมีประสิทธิภาพ และอย่างไม่ลำเอียงกรณีการสังหารที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายทุกกรณี โดยเฉพาะในส่วนที่เจ้าหน้าที่ความมั่นคงมีส่วนเกี่ยวข้อง และให้นำตัวผู้ถูกกล่าวหาเข้ารับการไต่สวนตามกระบวนการยุติธรรมที่ได้ มาตรฐานสากลของความเป็นธรรม ไม่ให้สั่งลงโทษประหารชีวิต
  • ยุติการสนับสนุนและการให้เงินอุดหนุนการจัดซื้ออาวุธขนาดเล็ก และให้เข้มงวดต่อการบังคับใช้ระเบียบที่เกี่ยวกับการครอบครองอาวุธปืน
  • ให้มีการแก้ไขเนื้อหาของกฎอัยการศึกอย่างกว้างขวาง หรือให้ยกเลิกไป
  • ในการนำมาตรการฉุกเฉินมาใช้นั้น ให้ใช้ตามหลักกฎหมายและมาตรฐานสิทธิมนุษยชนสากลอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งให้แก้ไขข้อบัญญัติในพรก.ฉุกเฉินฯ ที่ไม่สอดคล้องกับหลักกฎหมายและมาตรฐานดังกล่าว รวมทั้งการแก้ไขมาตรา 17 ที่มีข้อยกเว้นไม่ให้ฟ้องร้องดำเนินคดีต่อเจ้าพนักงานในสภาพการณ์ทั่วไป
  • ประกันว่าผู้ที่ถูกควบคุมตัวตามสถานที่ต่างๆ และตามค่ายทหารสามารถเข้าถึงทนายความ ญาติพี่น้อง และได้รับการรักษาพยาบาลอย่างเหมาะสม และมีการอนุญาตให้หน่วยงานสิทธิมนุษยชนที่เป็นอิสระเข้าเยี่ยมสถานควบคุมตัว ทุกแห่ง
  • ให้หาทางสืบหาและแจ้งให้ทราบถึงที่อยู่ของทนายสมชาย นีลไพจิตรและบุคคลอื่นที่ถูกบังคับให้สูญหาย เพื่อประกันว่าจะมีการนำตัวผู้ที่รับผิดชอบต่อการสูญหายมาลงโทษ
  • ให้สัตยาบันรับรองต่ออนุสัญญาสากลว่าด้วยการคุ้มครองมิให้บุคคลสูญหาย (International Convention for the Protection of All Persons from Enforced Disappearance) และดำเนินการที่จำเป็นเพื่อบังคับใช้อนุสัญญาในระดับประเทศโดยทันทีหลังมี การให้สัตยาบัน

วิกฤตทางการเมือง

  •  ให้ประกันว่าจะมีการสอบสวนข้อร้องเรียนว่ามีการละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยเจ้า หน้าที่ฝ่ายความมั่นคง อย่างรอบด้านและอย่างเป็นอิสระ และให้มีการนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ และในระหว่างการสอบสวน ให้สั่งพักราชการบุคคลใด ๆ ที่ต้องสงสัยว่าเกี่ยวข้องกับการละเมิดดังกล่าว
  • ให้ประกันว่าผู้เสียหายจากการละเมิดสิทธิมนุษยชนและครอบครัวได้รับการเยียวยาช่วยเหลืออย่างเต็มที่

ผู้ลี้ภัยและผู้เข้าเมือง

  •  ให้เคารพต่อหลักการไม่ส่งกลับ (non-refoulement) และประกันว่าจะไม่มีการขับไล่ ส่งกลับ หรือบังคับให้เดินทางกลับไปยังประเทศหรือดินแดนกรณีที่มีความเสี่ยงว่าต้อง กลับไปเผชิญการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่ร้ายแรง โดยเฉพาะในประเทศพม่าหรือลาว
  •  ให้มีการสอบสวนกรณีการบังคับขับไล่ชาวโรฮิงญา และประกันว่ามีการนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ และให้มีการดำเนินการที่จำเป็นเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้มีการบังคับขับไล่เช่น นี้อีกในอนาคต
  •  ให้เคารพต่อพันธกรณีที่ต้องอนุญาตให้ผู้แสวงหาที่พักพิงสามารถเข้าถึง กระบวนการแสวงหาที่พักพิงอย่างจริงจัง และให้ได้รับการติดต่อกับ UNHCR และประกันว่าบุคคลที่หลบหนีจากภัยคุกคามจะได้รับการคุ้มครองระหว่างประเทศ
  •  ให้ยุติการควบคุมตัวผู้ลี้ภัยอย่างไม่มีเวลากำหนดและโดยพลการ และยุติการควบคุมตัวผู้ลี้ภัยในสภาพที่แออัดเป็นเวลานาน
  •  ให้สัตยาบันรับรองอนุสัญญาว่าด้วยสถานะของผู้ลี้ภัย 1951 และพิธีสาร 1967 (1951 Convention Relating to the Status of Refugees and its 1967 Protocol)
  •  ให้ปฏิบัติตามพันธกรณีที่มีต่อกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศที่ เกี่ยวข้องกับคนงานพลัดถิ่น เพื่อประกันว่าคนงานเหล่านี้ได้รับค่าแรงที่เป็นธรรมและได้รับผลตอบแทนที่ เท่าเทียมจากการทำงาน มีสภาพการทำงานที่ปลอดภัยและถูกสุขลักษณะ มีโอกาสได้พักผ่อน ทำกิจกรรมสันทนาการ และมีการจำกัดชั่วโมงทำงานอย่างชอบด้วยเหตุผล
  •  ให้ยุติการละเมิดใดๆ ที่กระทำต่อคนงานพลัดถิ่น ทั้งการค้ามนุษย์และการรีดไถ

 
 
 

วันเสาร์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

"ประยุทธ์" โต้ "แม่น้องเกด" ทหารไม่จำเป็นต้องขอโทษ ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น ย้ำกองทัพดูแล ปชช.โดยไม่เลือกสี



มติชนออนไลน์
วันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2555 เวลา 12:14:18 น
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1337922874&grpid=&catid=01&subcatid=0100

เมื่อเวลา 08.00 น. วันที่ 25 พฤษภาคม ที่กองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ม.2 รอ.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีมารดาน้องเกดจะมายื่นหนังสือให้กองทัพบกขอโทษจากเหตุการณ์การกระชับพื้นที่กลุ่มคนเสื้อแดงว่า ขอโทษเรื่องอะไร ตนเคยขอโทษแสดงความเสียใจไปแล้ว แต่ไม่ใช่จะให้มารับผิดคงคนละเรื่องกัน ตนก็แสดงความเสียใจกับทุกคนที่เสียชีวิต ซึ่งทหารก็มี แล้วใครจะมาขอโทษทหารอยากถามว่า มีหรือไม่ ดังนั้นก็ต้องให้ความเป็นธรรมกับทั้ง 2 ฝ่าย ตนคิดว่าอย่าเอา 2 เรื่องมาปนกัน เรื่องหนึ่ง คือการเยียวยา ซึ่งตนทราบดีว่าทุกคนเดือดร้อน วันที่ออกมารับเงินเยียวยาก็ยังร้องห่มร้องไห้กันเพราะต้องดูแลครอบครัว ขอให้เป็นบทเรียนว่ามันไม่ใช่สิ่งที่ควรจะเกิดขึ้น ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นอยู่แล้ว โดยเฉพาะทหารก็ไม่อยากให้เกิดขึ้น ไม่ว่าจะพาดพิงใครก็ตามไม่อยากให้มีใครเกิดขึ้น ดังนั้น ต้องไปคิดทบทวนว่ามันเกิดขึ้นเพราะอะไร แล้วทำอย่างไรจะได้ไม่เกิดขึ้นอีก

"สิ่งที่รัฐบาลเยียวยาไปแล้วเป็นนโยบายของฝ่ายบริหาร หากกฎหมายให้ทำได้ก็ทำไป ผู้ที่ได้ประโยชน์คือผู้ที่บาดเจ็บและเสียชีวิต ก็ไปทบทวนกันเองว่ามันถูกหรือผิด มันได้หรือไม่ได้ แต่ประเด็นสำคัญคืออย่าให้เกิดขึ้นอีก ตั้งแต่ผมอยู่ในกองทัพมาก็ไม่เคยเห็นใครเขาสั่งให้ไปฆ่าประชาชน หรือใช้คำว่าไปปราบ ไปล้อมปราบ คำพวกนี้เลิกพูดเสียที ขอร้องกัน ถึงเวลากองทัพก็ไปดูแลประชาชนทุกคน ไม่ได้เลือกสี เพราะทุกคนคือประชาชนคนไทยทั้งประเทศ และเป็นญาติพี่น้องของทหารทั้งสิ้น แต่ทหารจำเป็นต้องมีระเบียบวินัย เมื่อต้องทำหน้าที่เขาก็ต้องทำให้ดีที่สุด นั่นคือความเป็นทหาร ดังนั้นสิ่งที่จะทำให้เกิดความรุนแรง ให้เกิดความแตกแยกต้องไปแก้กันที่กระบวนการอื่น สิ่งที่ผมพูดไปหลายครั้งแล้วว่าการเยียวยาการดูแลผู้ได้รับผลกระทบต่างๆ ก็เป็นสิ่งที่ดี เพราะคนเหล่านี้เป็นคนยากจนทั้งสิ้น แต่ไม่ใช่ว่ากองทัพโดยผมจะต้องออกมาขอโทษ เพราะผมแสดงความเสียใจสำหรับผู้เสียชีวิตไปแล้ว ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น นอกนั้นก็เป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรม" พล.อ.ประยุทธ์ระบุ

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ส่วนกรณีที่ภรรยาของ พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม เคยยื่นหนังสือเพื่อทวงถามความคืบหน้าของคดีนั้น ขณะนี้ส่วนที่เกี่ยวข้องกำลังดำเนินการอยู่ ตอนนี้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ก็ตอบมาแล้วว่าเขากำลังดำเนินการอยู่ ซึ่งเป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรม ตนไม่สามารถจะไปก้าวล่วงได้ ต้องรู้จักเคารพในกติกาบ้าง ทหารเคารพกติกาตลอด ดังนั้น ทุกคนต้องมองด้วยใจเป็นธรรมว่าบทบาทของกองทัพอยู่ตรงไหน ทหารคือข้าราชการส่วนหนึ่งซึ่งต้องปฏิบัติตามระเบียบวินัย ทำหน้าที่ให้ดีที่สุด เมื่อใดที่เกิดปัญหาขึ้นก็มาว่ากัน มาแก้ไขกัน ดังนั้นอย่าเอาทุกเรื่องมาปนกันมันก็ยุ่งไปหมดแล้วก็แก้ไม่ได้สักเรื่อง ขอให้เคารพในกฎหมายและกติกา ที่ผ่านมาจะเห็นว่ากองทัพไม่เคยมีสิ่งที่เป็นความขัดแย้งออกมาเลย เพราะเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบ เป็นกฎหมาย เป็นวินัย ต่างคนต่างให้เกียรติซึ่งกันและกันในการทำหน้าที่ ไม่ว่าจะเป็นกองทัพหรือกระทรวงใด ก็ยังทำงานกันทุกกระทรวงเหมือนเดิม ดังนั้นทหารเป็นของประชาชนอย่าแบ่งทหารออกไปให้เกิดความแตกแยกกับคนอื่นกับประชาชน เมื่อใดก็ตามที่ทหารกับประชาชนแยกกันแล้ว ตนบอกไว้เลยว่าประเทศชาติอยู่ไม่ได้ ดังนั้นใครทำก็จำไว้ด้วย
.............................................................................................



***ประเด็นคำพูด***จาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

1.... ตั้งแต่ผมอยู่ในกองทัพมาก็ไม่เคยเห็นใครเขาสั่งให้ไปฆ่าประชาชน หรือใช้คำว่าไปปราบ ไปล้อมปราบ คำพวกนี้เลิกพูดเสียที.......

ถามกลับ -  แล้วที่เป็นข่าวออกไปทั่วโลกนั้น ภาพทหารที่ออกมาไล่ยิงประชาชนนอนตายเกลื่อนถนน ท่านผู้ตอบหูหนวกตาบอดถูกต้อง

2.....ดังนั้นทหารเป็นของประชาชนอย่าแบ่งทหารออกไปให้เกิดความแตกแยกกับคนอื่นกับประชาชน เมื่อใดก็ตามที่ทหารกับประชาชนแยกกันแล้ว ตนบอกไว้เลยว่าประเทศชาติอยู่ไม่ได้ ดังนั้นใครทำก็จำไว้ด้วย

ถามกลับ - ทหารล่ะคิดแบ่งแยกออกจากประชาชนและแบ่งแยกประชาชน หรือเปล่า ..ถ้าตอบว่าไม่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็เป็น 1 ในขุนพลที่ร่วม ปฏิวัติยึดอำนาจเมื่อ 19 กันยายน 2549 แบบนี้ก็แสดงถึงความเรื่องข้างหรือเปล่า หรือจะบอกว่าที่ทำไปนั้น ทำตามหน้าที่ ทำตามคำสั่ง ผู้บังคับบัญชา   **เพราะเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบ เป็นกฎหมาย เป็นวินัย ** ใช่ไหมครับ ถ้าใช่ กองทัพไทยน่าจะย้อนกลับไป ใช้ ช้าง ม้า วัว ควาย เป็นพาหนะ เหมือนในอดีต น่าจะดีกว่านะครับ

3........กลับไปที่ ข้อ 1.... ตั้งแต่ผมอยู่ในกองทัพมาก็ไม่เคยเห็นใครเขาสั่งให้ไปฆ่าประชาชน หรือใช้คำว่าไปปราบ ไปล้อมปราบ คำพวกนี้เลิกพูดเสียที

ถามกลับ - การที่มีนายทหารที่เคยเป็นโฆษก ศอฉ. เคยแถลงข่าว และให้การกับ ดีเอสไอ ไว้ว่า ทหารทำตามคำสั่งนั้น ศอฉ. นั้น ก็เป็นการให้การเท็จใช่ไหมครับ ..และถ้าบอกว่า ตั้งแต่ผมอยู่ในกองทัพมาก็ไม่เคยเห็นใครเขาสั่งให้ไปฆ่าประชาชน  ... ถ้าอย่างนั้นสิ่งที่ทหารทำลงไป ตั้งแต่ เหตุการณ์ เมษายน 2552 และ เมษายน-พฤษภาคม 2553   ก็แสดงว่า รับสารภาพแล้วใช่ไหมครับ ว่า ทหารออกคำสั่งเองให้ล้อมปราบล้อมฆ่าประชาชน  ....ที่กล่าวมา มีทั้งภาพและวีดีโอ ที่ศื่อทั่วโลกนำเสนอ


4........กลับไปที่ ข้อ 2.... เมื่อใดก็ตามที่ทหารกับประชาชนแยกกันแล้ว ตนบอกไว้เลยว่าประเทศชาติอยู่ไม่ได้ ดังนั้นใครทำก็จำไว้ด้วย

ถามกลับ - เมื่อใดก็ตามที่ทหารกับประชาชนแยกกันแล้ว ... ผมก็อยากรู้นักว่าใครกันแน่ที่จะอยู่ไม่ได้ ประเทศชาติอยู่ได้แน่เพียงแต่จะอยู่ในรูปแบบใด ประชาชนคงอยู่คู่ประเทศชาติเสมอ ..แต่ทหารถ้าไม่มีกองทัพที่ ผบ.ทบ. คิดแบบนี้ ประชาชนก็สามารถสร้างกองทัพและสรรหา ผบ.ทบ. ทหารคนใหม่ได้ ใครที่เป็นพวก ผบ.ทบ. คนนี้ทุกเหล่าทัพ ถ้าคิดว่า ประชาชนไม่ยอมรับไม่เข้า อยากอยู่อย่างสบายใจ แสดงความรับผิดชอบอบ่างจริงใจ อย่าอ้างหน้าที่และความรับผิดชอบเลยครับ ...ลาออกไปเลยครับ   ..ผมอยากรู้ว่า ถ้าไม่มีพวกท่านแล้ว หากมีใครคนใหม่ๆที่เข้ามา จะทำหน้าที่ได้ไหม ถ้าออกมาบอกว่า ยังทำหน้าที่ไม่จบ ก็แสดงว่า สำคัญตัวเองมากไปหรือเปล่า หรือ มีเหตุผลอื่นๆ




วันอังคารที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

คอลัมน์ชาวดินออนเน็ต....ณ เขตอภัยทาน

คอลัมน์ชาวดินออนเน็ต

ขอร่วมรำลึกถึงคนที่ถูกยิงตายในวัดปทุมวนารามตายที่วิณญาณยังไม่ได้รับความเป็นธรรม

เพราะคนที่สั่ง คนที่ฆ่า พวกมันยังยังลอยนวลอยู่เหนือกฏหมาย

และขอให้กำลังแม่น้องเกด ผู้ที่ผมถือว่าเป็นแม่ดีเด่นแม่ที่ยอดเยี่ยมใน 2 ปี ที่ผ่านมาที่ได้ต่อสู้ทวงความเป็นธรรมให้น้องเกดผู้เป็นลูกสาว

รวมทั้งให้กำลังใจพ่อแม่พี่น้องลูกเมียของผู้ที่เสียชีวิตในวัดปทุมวนารามทุกๆท่าน  เพราะสิ่งที่ผมทำได้ก็แค่นี้ครับไม่มีเงินเงินหมื่นเงินแสนจะช่วยเหลือใครได้เลย เพราะแค่เงินพันเงินร้อยก็ยังหาไม่ได้คล่องนัก





*** ณ  เขตอภัยทาน ***



ภาพความโหดร้าย          ที่หลายสิบล้านคนไทยโศกเศร้า

ในวันพุธที่สิบเก้า             เดือนพฤษภา  สองห้าห้าสาม

เกิดการฆ่าหมู่                   อยู่ที่วัดปทุมวนาราม

คนหลายพันถูกคุกคาม       กายใจบอบช้ำสุดระกำกล้ำกลืน


มีป้ายหน้าวัด                  บอกชี้ชัดว่าเขตอภัยทาน

แต่กลายเป็นทุ่งสังหาร         สร้างความหวาดหวั่นตลอดทั้งคืน

เมืองไทยเมืองพุทธ            แต่หยุดปัญหาด้วยกระสุนปืน

คนที่ตายไม่อาจฟื้น            ฆาตกรชื่นมื่นยืนเย้ยอยู่ในสังคม


** เขตอภัยทาน     เขตอภัยทาน      เขตอภัยทาน **

เขตอภัยทาน   มีพยาบาลถูกยิงดิ้นล้ม

เขตอภัยทาน   มีราษฎรถูกเข่นฆ่าขู่ข่ม

วิณญาณคนตาย...ยังคงร้องระงม    ทุกข์ตรมอยู่ในเขตอภัยทาน


มันช่างปวดร้าว          ที่บ้านเมืองเรากฏหมายป่นปี้

คนไทยถูกฆ่าเป็นผี          สิทธิเสรีถูกย่ำแหลกราน

เห็นกันเต็มตา     ว่าใครคนฆ่าใครคนสั่งการ

อำนาจอยู่ในมือมาร          ไล่ฆ่ารุกรานไม่เว้นในวัดวาอาราม


........เขตอภัยทาน..เขตอภัยทาน...เขตอภัยทาน...เขตอภัยทาน...เขตอภัยทาน..เขตอภัยทาน..เขตอภัยทาน...เขตอภัยทาน...เขตอภัยทาน...เขตอภัยทาน...เขตอภัยทาน...เขตอภัยทาน...เขตอภัยทาน...เขตอภัยทาน...เขตอภัยทาน....เขตอภัยทาน...เขตอภัยทาน...เขตอภัยทาน...เขตอภัยทาน...เขตอภัยทาน...เขตอภัยทาน....


โดย
                              
ยรรยง  ลูกชาวดิน
29 พ.ค.53

จากวัดปทุมวนารามสู่กลางทุ่งนาแห่งหนึ่งระหว่างหลบภัยไปจากเมืองกรุง






วันอังคารที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ระยำจริงจิ๊ง ไอ้พวก ‘ประชาธิเปรต’ เนี่ยะ!!!

วาทตะวัน สุพรรณเภษัช
      

  มเป็นแฟนที่ติดตามข่าวคราวของคุณ อองซาน ซูจี มายาวนาน นึกชมน้ำใจในความกล้าหาญ เสียสละ ของวีรสตรีชาวพม่าท่านนี้ และเคยเขียนถึงหลายครั้ง แต่ที่มีผู้ติดตามอ่านมากเกือบ 7 พันคน คือบทความชื่อ 
        ‘ดอกไม้เหล็ก’ แห่งอิระวดี - ‘ดอกทองกาลี’ แห่งเจ้าพระยา!          (http://vattavan.com/detail.php?cont_id=269)

        คำว่า ‘ดอกไม้เหล็ก’ แห่งอิระวดี นั้น ท่านผู้อ่านคงเดาได้ว่าจะต้องเป็น อองซาน ซูจี เป็นแน่แท้ แต่อาจมีผู้สงสัยว่า แล้ว ดอกทองกาลี’ แห่งเจ้าพระยา!  คือใครกันแน่?
        ทำไมถึงต้อง ยกให้เธอว่า เป็นผู้หญิง
        “ดอกทอง”
        ตรงนี้ต้องขอบอกว่า ลุ่มน้ำเจ้าพระยาของเรานั้น ก็เฉกเช่นบ้านเมืองอื่น ที่ “ดอกทอง” บานสะพรั่ง แต่สุวรรณบุบผาดอกไหนเล่า ที่เมื่อเธอขึ้นมามีอำนาจ เป็นใหญ่เป็นโตในแผ่นดิน แล้วถูกเลื่องลือให้ฉายาอย่างนั้น
        จะเป็นใครกันแน่?
        ท่านที่ยังไม่ได้อ่าน ต้องเข้าไปดูคำเฉลย ที่ผู้เขียนได้ระบุตัวตนเธอเอาไว้แล้ว
        ต้องขอบคุณที่มีผู้นำบทความนี้ ไปเผยแพร่ในที่ต่างๆกัน หลายเว็บไซด์ด้วย

content/picdata/364/data/photo6.jpg
       
วันนี้ ต้องพูดถึงคุณ อองซาน ซูจี อีกครั้ง เพราะเมื่อผมเห็นภาพสตรีเหล็กคนนี้ เดินเข้ารัฐสภาประเทศเมียนมาร์ หรือที่เราเรียกติดปากว่า “พม่า” แล้ว เกิดอาการ...
        ขนลุก!        
การปรากฏกายของเธอ ด้วยการเดินตัวตรง เชิดหน้า อกผึ่ง ผ่านเหล่าแม่ทัพนายกองของพม่านั้น เปรียบดั่งนางพญาสีหราช จ่าฝูงสิงโตผู้เป็นใหญ่ แห่งบรรดาสรรพสัตว์ทั้งหลาย กำลังเยื้องกรายผ่านฝูง “หมาใน” ไม่มีผิด
        แม่คุณเอ๋ย...ช่างงามสง่า ทระนงองอาจยิ่งนัก เป็นบุญตาที่ได้เห็นจริงๆเชียว!
       
เมื่อนางพญาสิงห์ อองซาน ซูจี ชนะการเลือกตั้งซ่อม และกำลังจะนำสมาชิกพรรค เข้าสู่รัฐสภาของพม่า เธอทำให้ผู้คนในแดนหม่องต่างต้องใจหายใจคว่ำกันอีกครั้ง เนื่องจากสตรีขวัญใจชาวพม่า ปฏิเสธที่จะไม่เข้าร่วมประชุมสภา
       

ทั้งนี้เพราะ...
        เธอไม่พอใจ “คำปฏิญาณตน” ตามที่ระบุในรับธรรมนูญหมาดๆของพม่า และขอให้แก้ไขเปลี่ยนแปลงถ้อยคำปฏิญาณตนเสียใหม่ จากคำว่า “พิทักษ์” รัฐธรรมนูญ มาเป็นคำว่า “เคารพ” รัฐธรรมนูญ เท่านั้น

        เหตุการณ์ระทึกนั้น ได้คลี่คลายลง เพราะ อองซาน ซูจี หลีกเลี่ยงความขัดแย้ง ด้วยการยอมไปกล่าวคำปฏิญาณตนในรัฐสภา ท่ามกลางเสียงถอนหายใจ อย่างโล่งอกของชาวพม่า
        อย่างไรก็ตาม ปฏิกิริยาของเธอ ทำให้ชาวโลกได้เห็นอย่างมีนัยยะสำคัญว่า แม้จะมีสัญญาณประชาธิปไตยในพม่า แต่นางพญาสิงห์อย่าง อองซาน ซูจี ได้แสดงการคัดค้านเอาไว้ เป็นหลักเป็นฐานอย่างมีนัยยะสำคัญเรียบร้อยแล้ว 
       
นั่นหมายความ ว่า
        อองซาน ซูจี ได้แสดงให้โลกเห็นแล้วว่า รัฐธรรมนูญของพม่า ยังไม่มีความเป็นประชาธิปไตย เยี่ยงนานาอารยะประเทศ และเธอทิ้งหลักฐานฟ้องโลกเอาไว้ ด้วยท่าทีไม่ยอมรับแม้กระทั่งการปฏิญาณตน ซึ่งเป็นบทแรกของการทำหน้าที่สมาชิกสภา        ตรงนี้เอง...ต่างกับบ้านเรานัก!
       

ารคัดค้านเรื่อง “คำปฏิญาณ” ของ “ดอกไม้เหล็กแห่งอิระวดี” อย่าง อองซาน ซูจี ทำให้ผมนึกถึงเรื่อง “คำปฏิญาณ” ที่ตัวเองเขียนไว้ตั้งแต่สิบปีที่แล้ว ในคอลัมน์ “กาแฟขม...ขนมหวาน” ตอนที่ 54 ซึ่งเผยแพร่ในเว็บไซด์ http://www.manager.co.th/ เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2545 
       

ผมเล่าเอาไว้ว่า
        ...สหรัฐอเมริกานั้น รัฐธรรมนูญเป็นของศักดิ์สิทธิ์อย่างแท้จริง เพราะประเทศของเขานั้น ตั้งขึ้นมาบนดินแดนใหม่ เมื่อ ประกาศตนเป็นเอกราชแล้ว ไม่มีสถาบันใดที่จะเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของประชาชนได้ จึงได้ร่างรัฐธรรมนูญเป็นหลักในการปกครองประเทศ ที่ทุกคนต้องเคารพ และปฏิบัติตามบทบัญญัติที่วางไว้โดยรัฐธรรมนูญอย่างเคร่งครัด         เมื่อศาลสูงของประเทศสหรัฐ ได้วินิจฉัยปัญหาข้อขัดแย้งทางรัฐธรรมนูญแล้ว ทุกอย่างยุติลงอย่างเด็ดขาดโดยสมบูรณ์
        ฉะนั้น ผู้ที่เข้ารับตำแหน่งสำคัญภาครัฐ ในสหรัฐอเมริกา ต้องปฏิญาณตนว่า จะต้องจงรักภักดีต่อรัฐธรรมนูญ เพราะกฎหมายของรัฐธรรมนูญของเขา บัญญัติเอาไว้ชัดเจนในเรื่องนี้ โดยผมจะยกเอาคำสาบาน ต่อพระคัมภีร์ไบเบิล ของผู้เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีมาให้ท่านดู ดังต่อไปนี้
        (The Presidential Oath of Office
        The oath to be taken by the president on first
entering office is specified in  Article II, Section 1, of the Constitution :)
        “I do solemnly swear (or affirm) that I will faithfully execute the office of President of the United States, and will to the best of my ability, preserve, protect, and defend the Constitution of the United States . ”
        ชัดเจนว่าผู้ที่จะเข้าดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ต้องรักษา ปกป้อง และต่อสู้ป้องกันรัฐธรรมนูญ อย่างเต็มกำลัง!
        รัฐธรรมนูญไทยนั้น มีบทบัญญัติให้ผู้มีตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญบางตำแหน่ง ต้องถวายสัตย์ปฏิญานตนก่อนเข้ารับตำแหน่ง ต่อองค์พระประมุขของชาติ ว่า
        “ข้าพเจ้า (ชื่อผู้ปฏิญาณ) ขอปฏิญาณว่า จะจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ (พระปรมาภิไธย) และจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ของของประเทศและประชาชน ทั้งจะรักษาไว้ และปฏิบัติตามซี่งรัฐธรรมนูญโดย ทุกประการ”
        แค่นี้เราก็เห็นชัดแล้วว่า คำปฏิญาณของเรานั้นความเข้มข้นในส่วนที่เกี่ยวข้องรัฐธรรมนูญนั้น น้อยกว่าฝ่ายอเมริกันมาก               อีกทั้งรัฐธรรมนูญของเรา ก็ไม่ได้บัญญัติให้ ทหาร ตำรวจ พลเรือน กล่าวคำปฏิญาณ เช่นเดียวกับผู้มีตำแหน่งกำหนดตามรัฐธรรมนูญ หากแต่ทหาร ตำรวจ จะถวายคำสัตย์ปฏิญาณต่อองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หรือธงไชยเฉลิมพลตามแบบธรรมเนียมของทหาร ตำรวจ ส่วนข้าราชการพลเรือนนั้นไม่ต้องทำเลย      
        แต่คนอเมริกันต้องทำ!
        อยากจะชี้ให้ท่านผู้อ่านเห็นข้อแตกต่างสำคัญ ที่ผมสังเกตเห็นนานมาแล้ว นั่นคือ
        คนต่างด้าวที่ได้รับสัญชาติไทยเพราะ การโอนชาติ หรือเข้าถือสัญชาติตามสามี (ไม่มีการเข้าถือสัญชาติไทยตามภริยา) นั้น 

        เมื่อมีการประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว คนต่างด้าวที่ได้รับสัญชาติไทย จะต้องไปที่กองตำรวจสันติบาล เจ้าหน้าที่ตำรวจอาจเป็นแค่ จ่ากองร้อย หรือนายร้อยเด็กๆ จะพาไปทำความเคารพพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และธงชาติไทย ในที่ทำการของสันติบาล แล้วให้ผู้ที่จะได้รับการโอนสัญชาติ กล่าวคำปฏิญาณว่า        จะจงรักภักดีต่อชาติและพระมหากษัตริย์ ตามคำบอกนำโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งไม่มีเรื่องรัฐธรรมนูญรวมอยู่ด้วยเลย จากนั้นก็จะได้รับเอกสารราชการ เพื่อไปแจ้งนายทะเบียนท้องถิ่นเพื่อแก้ไขสัญชาติในทะเบียนบ้าน เป็นสัญชาติไทย เป็นอันเสร็จพิธี      
        ดูไปก็เรียบๆ ไม่ค่อยจะมีความขลัง และศักดิ์สิทธิ์ เท่าที่ควร      
        คราวนี้หันไปดู สหรัฐอเมริกากันบ้าง...
        สหรัฐอเมริกาถือว่าเรื่องนี้สำคัญอย่างยิ่ง คนต่างด้าวที่จะได้เป็นอเมริกันชน ต้องสาบาน ต่อหน้าผู้พิพากษา กระทำกันในศาลแห่งมลรัฐ และในคำสาบานนั้นก็มีข้อความเหมือนกับของประธานาธิบดีสาบาน คือ               ต้องรักษา ปกป้อง และต่อสู้ป้องกัน รัฐธรรมนูญของสหรัฐ!      
        นี่เอง เป็นการฉีดโอสถของความรักชาติ เข้าไปในสายเลือดของอเมริกันชน!      
        แต่...รัฐธรรมนูญของสหรัฐก็ไม่ได้เป็นของทิพย์ ของเทวดา ที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ การแก้ไข หรือที่เรียกว่า Amendment เกิดขึ้นหลายครั้ง เมื่อสมาชิกรัฐสภาเห็นว่า
        จำเป็นต้องเปลี่ยน เพื่อให้สอดคล้องกับภาวะของบ้านเมือง และโลก!
        นั่นเป็นเรื่อง “คำปฏิญาณ” ที่ผมเคยเขียนเอาไว้ เมื่อกว่าสิบปีมาแล้ว แต่เรากลับมามองเรื่อง ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน จะเห็นได้ว่า
        เมื่อทหารไทยภายใต้การนำของ พล.อ.สนธิ “ไอ้บัง กบฏ” บุณยะรัตกลิน ทุบรัฐธรรมนูญปี พ.ศ.2540 ที่พี่น้องประชาชนคนไทยได้ร่วมกันร่างขึ้นมา จนแตกละเอียดไม่เป็นชิ้นดี ด้วยการทำ “รัฐประหาร” เมื่อ 19 ก.ย.2549 นั้น
        ได้ทำความ “ฉิบหาย” ให้บ้านเมืองของเรา จนถึงทุกวันนี้!         เศรษฐกิจของประเทศต้องถดถอย ความแตกแยกอย่างหนัก เกิดขึ้นในประเทศที่รักของเรา และไทยต้องสูญเสียความเป็นผู้นำ ในประเทศกลุ่มอาเซียนไป แบบกู่ไม่กลับ มิหนำซ้ำประเทศไทยของเรา ได้กลายเป็น...         “ประเทศเจ้าปัญหา” ของอาเซียนไปแล้วด้วย!        ผมเองนั้น ได้เห็นความเลวระยำ ในสิ่งที่ “ไอ้บัง กบฏ” กับพวกมันสร้างขึ้น ตั้งแต่เข้ามายึดอำนาจในบ้านเมืองของเรา และผมเรียก “กฎหมาสูงสุด” ที่พวกมันร่วมร่างกันขึ้นมา เพื่อบีบหัวกบาลพี่น้องประชาชนคนไทย อย่างเย้ยหยันว่า
        “รัดทำมะนวย...ฉบับหัวคูณ”        ไม่ยอมเรียกว่า “รัฐธรรมนูญ” เด็ดขาด!
        พอหนังสือ “รัดทำมะนวย...ฉบับหัวคูณ” ออกสู่สายตาพี่น้องประชาชน มีไอ้พวกเลียตูดรัฐประหาร ออกมาต่อว่าต่อขาน กล่าวหาว่าผม “ดูถูก” กฎหมายสูงสุดของประเทศ ที่ผ่านสภาระยำหมาของพวกมันไปแล้ว
        แม้กระทั่ง “ไอ้หน้าแหลมฟันดำ” มันยังเสือกผสมโรง “ขู่” ด้วยว่า จะไปแจ้งความดำเนินคดีกับ “วาทตะวัน” แต่ผมด่ามันกลับไปแบบเช็ดเม็ด แถมยังเปิดเผยด้วยว่า
        ไอ้หน้าแหลมกาลีตัวนี้นั้น มันเป็นพวก “เซ็กจัด-บ้ากาม” เคยล่วงละเมิดทางเพศหญิงสาว หลายครั้งหลายหน ด้วยการข่มขืนข้าราชการเด็กๆ ในสภาคลอนแคลนแห่งชาติ จนเป็นที่รู้กันไปทั่ว แต่ในตอนนั้นเด็กสาวที่น่าสงสาร ที่ต้องตกเป็นเหยื่อกามของมัน ไม่กล้าไปแจ้งความ เพราะกลัวอิทธิพลของของไอ้เฒ่าเซ็กวิปริตตัวนี้ นั่นเอง         มันเลยเงียบไป...ไม่กล้าตอแยกับผมอีก!
        น่าแปลกใจมาก ที่สมาชิก “สภาท่าจะบ๊อง” ในตอนนี้บางส่วน กางขาผวาปีกปกป้องรัดทำมะนวยฯ ที่คณะรัฐประหารสร้างขึ้น โดยไม่ยอมให้มีการแก้ไข เหมือนไม่ยอมหลุดจากความเป็นทาสรัฐประหาร
        ผมไม่รู้ว่า หัวไอ้พวกนี้ ทำด้วยอะไรกันแน่ แต่รู้ว่าไอ้ที่บรรจุอยู่ในกะโหลกของพวกมัน
        ต้องเป็น “ขี้” แน่ๆ!
        ยิ่งไปกว่านั้น ไอ้ สอ.สอ.บุญยวบฯ แห่งแก๊งประชาธิเปรต ยังไม่สาแก่ใจ ถึงขั้นต้องแหกปากร้องตะโกนสรรเสริญ “ลัทธิเผด็จการ” ถึงในสภา ด้วยการร้องตะโกนว่า
        Hein Hitler!
        คำว่า Hein เป็นภาษาเยอรมัน ภาษาปะกิตใช้ Hail ซึ่งแปลว่า การโห่ร้อง อวยชัย ต้อนรับ เช่น อเมริกันมีเพลงสำหรับประธานาธิบดี ชื่อ Hail to the Chief ที่แพร่หลาย และคุ้นหูผู้คนเพราะเปิดเสมอ ยามประธานาธิบดีสหรัฐออกมาปรากฏกาย ต่อหน้าสาธารณชน
        ท่านผู้อ่าน ที่เคารพครับ…
        ตั้งแต่อดีตกาลนานมาแล้ว เมื่อประเทศสาระขันขัน เขาจัดให้มีเลือกตั้งเมื่อใด นักการเมืองแห่งแก๊งกาลี ต่างขมีขมันพากันหาเสียง เข้าสู่ “สภา” ตามระบอบประชาธิปไตยเมื่อนั้น
        แต่...
        เมื่อเหตุการณ์ผันแปร พวกทหารเข้ามายึดอำนาจบ้านเมือง ได้ แล้วประกาศยุบสภา ไอ้นักการเมืองแก๊งโสโครก มันไม่ได้ใส่ใจ ปกป้องระบอบประชาธิปไตยแม้แต่น้อยนิด ต่างเตลิดกันไปทางใครทางมัน         ฉะนั้น ระหว่างการปกครองของพวกทหาร ชาวบ้านจึงไม่เคยเห็นหน้าไอ้พวกนี้ ร่วมในการต่อสู้ เรียกร้องสิทธิเสรีภาพของพลเมืองเลย         เราจึงได้เห็นพวกมันเอาเวลา ระหว่างที่ทหารยึดบ้านเมือง ไปขายยาอม ขายหมากหอม รับจ้างวิ่งความ (ไม่ได้ “ว่าความ”) เปิดเต็นท์ขายรถมือสอง เล่นมโนราห์ฯลฯ ทำมาหากินไปตามเรื่องของพวกมัน
        เพื่อรอเวลา “ฟ้าการเมือง” เปิดขึ้นมาใหม่! 
        ระหว่างนั้น ไอ้ที่ว่างมากนัก ก็ “เล่น” เมียเพื่อนร่วมพรรค ไปพลางๆ โดยไม่สนใจเสียงนินทา ก่นด่า จากผู้คนเอาซะเลย!!
        ครั้นเมื่อมีการ “ตีเกราะเคาะกะลา” เลือกตั้งกันเมื่อใด ไอ้
จกเปรตพวกนี้ พากันกระวีกระวาด โผล่หน้าออกมาให้เห็น รีบกลับมาหาเสียง เพื่อจะเข้าไป “ทำมาหาแดก” ในสภารอบใหม่กันอีก
        มันเป็นอย่างนี้....ครับท่าน!
        ยามนี้พี่น้องเพื่อนร่วมชาติ ต้องการรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนขึ้นมาใหม่ เพื่อสลัดคราบไคลของการรัฐประหาร แต่บรรดาพลพรรคของไอ้แก๊งนรกแตก มันออกอาการขัดขวาง และสำแดงฤทธิ์เดช ประกาศเจตนา ที่จะพิทักษ์ “รัดทำมะนวย ฉบับหัวคูณ” ที่ไอ้พวกทหารเผด็จการ มันยัดเยียดให้ผู้คนในบ้านเมือง แบบสุดลิ่มทิ่มประตู
        ชาวบ้านมองดูพฤติกรรม ในสภาสาระขันขันแล้ว พากันส่ายหน้า พากันวิพากษ์วิจารณ์ว่า
        ไอ้พวกเวรตะไลแก๊งนี้ มัน ‘สิ้นคิด’ ทำได้แม้กระทั่งตะโกนสรรเสริญ จอมเผด็จการอย่าง “ฮิตเลอร์” ที่หาชีวิตไม่แล้ว เพราะตายโหงตายห่าไปแล้ว นานเกินกว่าอายุพรรคกาลีของพวกมันด้วยซ้ำ!!


        ระยำจริงจิ๊ง ไอ้พวก ‘ประชาธิเปรต’ เนี่ยะ!!!


*********


ท้ายบท ท่านผู้ออกความเห็น ในคอลัมน์สัปดาห์ที่แล้ว
        “วอชด๊อก-วอชแด๊ก!” (กลัวอะไรกับมัน...ไอ้พวกขี้แพ้!!)         (
http://vattavan.com/detail.php?cont_id=363)