วันเสาร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ย้อนดูปูมประวัติ "พล.ท.พีระพงษ์ มานะกิจ" เมื่อ "นายทหารทวนกระแส" ได้รับเลือกเป็นว่าที่ "กสทช."




เป็นที่สะกดใจชวนให้อ่านอีกครั้ง เมื่อชาวเฟซนำข่าวอดีตนายทหารคนนี้มาลงอีกครั้งหลังมีการก่อตั้งกองทัพประชาชนโดยกลุ่มนายทหารแก่ ที่ประกาศจะล้มล้างรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง

พล.ท.พีระพงษ์ เคยอภิปรายในงานวันรพีว่า รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ต้องรับผิดชอบต่อกรณีการส่งทหาร
เข้าไปแก้ปัญหาการชุมนุมในเหตุการณ์เดือนเมษายน-พฤษภาคม 2553 เพราะทหาร ทำตามหน้าที่ แต่เป็นรัฐบาลที่ไม่ใช้ "การเมือง" แก้ปัญหา "การเมือง" ทว่ากลับใช้ "กำลัง" และ "กฎหมาย" ไปจัดการปัญหา "การเมือง" แทน

พร้อมแสดงความเห็นว่า สำหรับการสลายการชุมนุมครั้งที่ไม่มีคำขอโทษแต่มีแค่คำว่าเสียใจดังกล่าว "หากผมเป็นรัฐบาลแล้วเกิดเหตุแบบนั้นก็ลาออกไปแล้ว"

ฝันสุดท้ายเจ้าชายแช่แข็ง




โฉมหน้าเสนาธิการแช่แข็ง แม่ทัพโค่นระบอบทักษิณ
กะเทาะน้ำแข็งแล้ว พล.ร.อ.ชัย สุวรรณภาพ เปิดตัว "คณะเสนาธิ การร่วม" แห่ง "กองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ"

น้ำแข็งที่หมายมาดจะแช่แข็งประเทศไทยไว้ แต่กลับกลายเป็น "กลุ่มองค์การพิทักษ์สยาม" ที่ถูกแช่นิ่งไว้พักหนึ่ง

กระทั่งมีน้ำมาเลี้ยงนั่นแล้ว จึงคืนชีพ

อดีตรองผบ.สส. ระบุว่า สถานการณ์บ้านเมืองปัจจุบันอยู่ในภาวะวิกฤตอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน

สำคัญ "ถูกครอบงำด้วยระบอบทักษิณ"

จึงจัดตั้งกองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณขึ้น

อ้าง ภารกิจ 1.เป็นศูนย์กลางการประสานงาน องค์กร กลุ่ม เครือข่าย พรรคการเมืองต่างๆ ที่มีเป้าหมายร่วมกันในการโค่นระบอบทักษิณให้สิ้นซากไปจากแผ่นดินไทย

2.จัด ตั้งและขยายมวลชนผู้รักชาติ รักสถาบันพระมหากษัตริย์ รักประชาธิปไตย หวงแหนแผ่นดิน ให้สามัคคีรวมตัวกันมากขึ้น เป็นมวลมหาประชาชนในทุกจังหวัด

3.จัดตั้งกองกำลังปกป้องประชาชนในทุกจังหวัด

แล้วประกาศชื่อคณะเสนาธิการ ร่วม พล.อ.ปรีชา เอี่ยมสุพรรณ พล.อ.ชูเกียรติ ตันสุวัฒน์ พล.อ.ท.วัชระ ฤทธาคนี พิเชฐพัฒนโชติ และไทกร พลสุวรรณ

เรียกร้อง 7 ข้อต่อรัฐบาล ขีดเส้นตาย 7 วัน

ถ้าไม่ จะนัดชุมนุมในวันที่ 4 สิงหาคม

"มติชนสุดสัปดาห์" ฉบับเปิดโฉม หน้าเสนาธิการแช่เข็ง

พาดปก "ฝันสุดท้าย เจ้าชายแช่แข็ง"

สิ้นเสียงคณะเสนาธิการร่วม จึงคล้ายกับว่า สุเทพ เทือกสุบรรณ จะกลายเป็นหมอดูแม่นๆ

จึงคล้ายกับว่า กลุ่มหน้ากากขาว รวมถึงแนวร่วมคนไทยหัวใจรักชาติ รักษาแผ่นดิน จะอบอุ่นยิ่ง

แต่คำเตือนกันก็ดังมา

โปรดระวังมหกรรมแช่แข็งหมู่ (อีกครั้ง)
ปล. น่ากลัวจุงเบย


......
Kanitha Black Springs
 
 

วันศุกร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

สาส์นถึงแดงทั้งแผ่นดิน..กวป..ภปช..กลุ่ม29มค..คนวันเสาร์..เตรียมพร้อมสิงหาปกป้องรัฐสภา


สาส์นถึงแดงทั้งแผ่นดิน..บ้านเมืองวิกฤต..ปกป้องรัฐสภาเตรียมพร้อมปราบกบฏ
 
 ....สิ่งที่รัฐบาลวิตกกังวลและเกรงกลัวในขณะนี้ 1......วิตกกังวลและเกรงกลัวว่าทหารจะไม่ยอมสนับสนุนในยาม ........สถานการณ์บ้านเมืองเข้าขั้นวิกฤตและจราจล......

2......วิตกกังวลและเกรงกลัวต่อองค์กรตุลากานสานชั่วจะ .........ยุบพรรค..ปลดนายกฯและเกิดสูญญากาศ กกต

3.......วิตกกังวลและเกรงกลัวต่อฝ่ายค้านในการเดินเกมใช้วิชามาร .........เพื่อโค้นล้ม รฐบ ทุกวิถีทาง...โดยมีองค์กรตุลากานสานชั่ว .........ให้การหนุนหลังตลอดเวลา..

4.......วิตกกังวลและเกรงกลัวต่อเจ้าหน้าที่รักษากฏหมายจะรับมือ .........กับพวกโจรกบฏไม่ได้...ในยามวิกฤตจราจล..

5.......วิตกกังวลและเกรงกลัวประการสุดท้ายนี้น่าคิดคือ .........ถ้าการใช้มวลชนเสื้อแดง...เมื่อมีชัยเกิดขึ้นจะไม่สามารถ .........ควบคุมมวลชนได้อีกต่อไป...รัฐฯจะสูญเสียอำนาจเบ็ดเสร็จไป .........จึงหลีกเลี่ยงการใช้มวลชนมาตลอด...โดยยอมเสี่ยงที่จะไป .........คบค้าจับมือกับพวกทหาร...แทนการใช้มวลชนเป็นกำแพงเหล็กสู้

......เพราะฉะนั้นแดงภาค ปชช แดงอิสร แดงเสรีชน..แดงก้าวหน้าและแดงทุกแดง...คงจะรอต่อไปไม่ได้อีกแล้ว...นโยบาย 2 ขาที่บอกว่าสวยหรูระหว่าง นปช. กับ รบ แท้ที่จริงคือขาเดียวกันเมื่อ รฐบ ไม่สั่ง นปช ก็ไม่กล้าขยับเสมือนขาที่พิการหยุดแน่นิ่ง

..............เรามวลชนคนเสื้อแดงต้องตัดสินใจปกป้องระบอบ ปชต
ด้วยกันเอง...พึ่งพากันเอง...เป็นหน่วยย่อยๆเป็นดาวกระจาย
รวมพลังสามัคคี....เริ่มตั้งแต่เปิดสภาฯเดือนสิงหานี้เป็นต้นไป
โดยเข้าปกป้องรัฐสภา...ให้ผ่านร่างแก้ไขกฏหมาย พรบ ให้ได้ทั้งหมด
โดยใช้ชีวิตเป็นเดิมพัน....อย่าได้หวั่นเกรงพวกโจรกบฏแม้แต่น้อย
เพราะหนักว่านี้ที่ ราชประสงค์ เรายังเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายกับพวกทะเหี้ยมาแล้ว เป็น 100 ชีวิตเรายังแลกได้....กับการปกป้องรัฐสภาเพื่อรักษาไว้ซึ่งด้วยระบอบ ปชต อีกครั้งแล้วทำไมพวกเราจะทำไม่ได้ครับพี่น้องเลิกพูดเสียที่ว่าจะเข้าทางมัน....หัดใช้สมองเสียบ้างถ้ามันเป็นกบฏก็เข้าทางเรา.....หมู่บ้านปราบกบฏเสื้อแดงทั้งแผ่นดินเขาเตรียมพร้อมจะเข้าทำการกวาดล้างปราบกบฏให้สินซากกันเสียที......

 ........เราขอร้องไปยัง รฐบ ปชช ว่าท่านไม่ต้องประกาศสถานการณ์
ฉุกเฉินใดๆทั้งสิ้น....เหมือนปี 2551 ที่ท่านประกาศไปนั้นเท่ากับไป
ทำลายมวลชน นปก ทันที..ที่ไม่สามารถอยู่ปกป้อง รฐบ ของ
นายกสมัครได้...แต่กลับไม่สามารถไปบังคับใช้กับ พธม ที่ล้อมทำเนียบในขณะนั้นได้จน รบ ของนายกสมัคร ต้องล้มลงอย่างไม่เป็นท่า...
อย่างนี้เขาเรียกว่าโง่ที่..เตะหมูเข้าปากหมา......ก็อย่าทำโง่ๆ
ซ้ำอีกก็แล้วกัน...อะไรมันจะเกิดก็ต้องเกิด....เป็นหน้าที่ของ ปชช
ที่เขาจะตัดสินกันเอง.....ทะเหี้ยอย่าเข้ามาเสือก...

....ขอให้แดงทั้งหลาย...ขณะนี้ให้รอสัญญาณการเคลื่อนพลจาก
กวป ก่อน.....เรา ปชช ไทยมีหน้าที่ปกป้อง ปชต และรัฐบาล ปชช
ไม่เกี่ยวข้องกับพรรคการเมืองใดๆทั้งสิ้น..ขอให้ระดมเวทีปราศรัยทุกเวทีที่แดงทุกแดงมีอยู่....ใครรักเวทีไหนก็ไปเวทีนั้น...จะได้มีแดงหลากหลายเข้าร่วมชุมนุม......แดงทุกแดงจะต้องเป็นหัวหอกแกนนำในการต่อสู้เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจที่จะเป็นกันชนปกป้องพวกเราอยู่จะมีขวัญกำลังใจที่จะปกป้องชาติบ้านเมืองด้วยกัน...เป็นการเสี่ยงเกินไปที่จะใช้เจ้าหน้าที่ตำรวจเพียงอย่างเดียวดังเช่น 30 พค 2555 เจ้าหน้าฯต้องวิ่งหนี พธม เพราะเกรงกลัวพ่อแม่มันซึ่งใหญ่มากๆ...เห็นแล้วน่าอนาถใจจริงๆ.........ไอ้พวกโจรกบฏมันได้เริ่มก่อตัวและประกาศอย่างเป็นทางการว่าจะเป็นกองทัพ ปชช เพื่อล้มล้าง รฐบ ปชต. อย่างแน่นอน....มันกบฏเห็นกันชัดๆอย่างนี้แต่ รฐบ กลับนิ่งเฉยไม่สามารถจัดการตามกฏหมายได้......มีแต่ภาคประชาชนคนเสื้อแดงเท่านั้น...ที่จะเข้าร่วมปราบปรามกบฏโจรชั่วเหล่านี้ให้สิ้นซาก...สงครามครั้งสุดท้าย....ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้...........

หมู่บ้านแดงทั้งแผ่นดิน..เตรียมพร้อมปราบกบฏได้แล้วครับท่านทั้งหลาย.................

  





กลุ่มสื่อวิทยุประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (กวป.) วันที่ 26 ก.ค. 56 นัดพี่น้องทวงคำตอบที่ศาลปกครอง


ฉบับ ที่ 1 2 ก.ค. 56
กลุ่มสื่อวิทยุประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (กวป.)
เรียน คณะตุลาการศาลปกครอง
เรื่อง วินิจฉัยโครงการบริหารจัดการน้ำ3.5แสนล้านบาทของรัฐบาล
เนื่องด้วยทางกลุ่มสื่อวิทยุประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กวป.และประชาชน มีความสงสัยในคำวินิจฉัยของท่าน ในกรณีที่ท่านวินิจฉัยโครงการบริหารจัดการน้ำ3.5แสนล้านบาทของรัฐบาล เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2556 นั้นต้องทำประชาวิจารณ์ ก่อนจึงจะสามารถ ทำโครงการต่อไปได้ โดยที่ถือว่าเป็นคำวินิจฉัยชี้ขาด ทางกลุ่มสื่อวิทยุประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กวป. และประชาชนจึงขอตั้งคำถามต่อคำวินิจฉัยของท่าน ดังนี้
1. รัฐบาลมาจากการเลือกตั้งโดยถูกต้องจากประชาชนและเป็นเสียงข้างมากที่ได้มา โดยสุจริตตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จึงถือได้ว่าเป็นมติของประชาชนชาวไทย ให้รัฐบาลบริหารประเทศโดยชอบธรรม การวินิจฉัยของศาลปกครองถือว่าละเมิดสิทธิของประชาชนหรือไม่
2. หากต้องทำประชาวิจารณ์ตามคำวินิจฉัยของศาลปกครอง ซึ่งต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 3 เดือน หรือต้องเสียเวลาในการทำโครงการล่าช้าไปอีก หากเกิดอุทกภัยร้ายแรงเหมือนปี พ.ศ. 2554 หรือเกิดภัยแล้งขาดแคลนน้ำเนื่องจากฝนทิ้งช่วง ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ประเทศ ศาลปกครอง หรือรัฐบาล
3. ในฐานะที่ศาลปกครองเป็นผู้วินิจฉัย กรณีโครงการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท แล้วทำให้ประเทศเกิดความเสียหายตามข้อ 2 ประชาชนสามารถเอาผิดกับศาลปกครอง หรือกับตุลาการที่อ่านคำวินิจฉัยได้หรือไม่
4. ในกรณีคำวินิจฉัยของศาลปกครองส่งผลต่อความเสียหายของประเทศดังเช่นที่กล่าว มาตาม ข้อ 1. 2.3. ขอให้ศาลปกครองช่วยชี้แจงต่อประชาชนชาวไทย ทั้งประเทศเพื่อคลี่คลายความสงสัยของประชาชน ต่อไป

จึงเรียนมาเพื่อโปรดชี้แจง
กลุ่มสื่อวิทยุประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (กวป.)

นาย ชาญ ไชยะ กรรมการบริหาร กวป.
นาย ศรรักษ์ มาลัยทอง โฆษก กวป.
วันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ฉบับที่ 2 10 ก.ค. 56
กลุ่มสื่อวิทยุประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (กวป.)

เรียน คณะตุลาการศาลปกครอง
1. จากการที่ทางกลุ่มสื่อวิทยุประชาชนเพื่อประชาธิปไตยและประชาชน ได้ร้องขอต่อคณะตุลาการศาลปกครองที่มีคำวินิจฉัยต่อโครงการบริหารจัดการน้ำ ของรัฐบาล 3.5แสนล้านตั้งแต่วันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ.2556 จนมาถึงบัดนี้ วันที่10กรกฎาคม พ.ศ.2556 ซึ่งถึงกำหนดเวลาที่ร้องขอไปยังคณะตุลาการศาลปกครอง ครบ 7วัน จึงมาทวงถามคำตอบ ตามสิทธิของประชาชน หวังเป็นอย่างยิ่ง ว่าคณะตุลาการศาลปกครองจะสามารถให้คำตอบที่เป็นธรรมกับประชาชนทั้งประเทศได้ หากทางคณะตุลาการศาลปกครองไม่ออกมาชี้แจ้ง นั่นแสดงว่าคำวินิจฉัยนั้นไม่สามารถกระทำได้จริง และยังไม่ใช่ทางออกที่จะแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำได้ ฉะนั้นทาง กลุ่มสื่อวิทยุประชาชนเพื่อประชาธิปไตยและประชาชน จึงขอประณามการวินิจฉัยอันก่อให้เกิดความเสียหายต่อประเทศและประชาชน ซึ่งคำวินิจฉัยไม่ได้คำนึงถึงความเดือดร้อนของประชาชนอันเป็นประสพนิกรใต้ พระบรมโพธิ์สมภารขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และยังถือว่าเป็นการเตะถ่วงความเจริญของประเทศ และจะดำเนินการเพื่อทำการร้องเรียนไปยังหน่วยงานต้นสังกัดต่อไป
จึงเรียนมาเพื่อทราบ
กลุ่มสื่อวิทยุประชาชนเพื่อประชาธิปไตยและประชาชน
นาย ชาญ ไชยะ กรรมการบริหาร กวป.
นาย ศรรักษ์ มาลัยทอง โฆษก กวป. วันที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

พรุ่งนี้เจอกันครับ (26/7/13)
 
 
 





วันพฤหัสบดีที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

“อลงกรณ์” งัดข้อ "มาร์ค" - เตรียมชงร่างนิรโทษกรรมเข้าประชุม ปชป.



“อลงกรณ์” งัดข้อ "มาร์ค" - เตรียมชงร่างนิรโทษกรรมเข้าประชุมปชป.

สอนอย่าคิดเล็กคิดน้อย เลิกตาขาวตกหลุมพรางฝั่งตรงข้าม แจงเป็นพรรคใหญ่อยู่ร่วมในเหตุขัดแย้ง ควรเสนอร่างสมานแผลให้ประเทศ เตือนอย่าเก่งแต่วิพากษ์วิจารณ์

เมื่อ 23 ก.ค. ผู้สื่อข่าว "ข่าวสด" รายงานว่า ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ภาคกลาง ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่เตรียมเสนอร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) นิรโทษกรรม ผู้ชุมนุมทางการเมือง ตั้งแต่ปี2548 ฉบับพรรคประชาธิปัตย์ว่า ตนจะเสนอรายละเอียดร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรม ทั้งหมด 8มาตรา ซึ่งคาดว่า จะแล้วเสร็จภายใน 2-3 วันนี้ เพื่อให้ที่ประชุมส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ พิจารณาในวันที่ 30 กรกฎาคม โดยตนจะยึดสาระสำคัญของร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรม ฉบับประชาชน เป็นหลัก แต่จะมีการปรับปรุง ในเรื่องของเงื่อนเวลา ให้พิจารณาจากปี 2548 และประเภทความผิดที่จะได้รับนิรโทษกรรม จะต้องไม่กระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และการทุจริต คอร์รัปชั่น ขณะที่ผู้สั่งการ แกนนำ หรือผู้จงใจกระทำความผิดกฎหมายอาญา ในลักษณะมุ่งต่อทรัพย์สิน หรือมุ่งทำลายทรัพย์สินของเอกชน ราชการ และมุ่งต่อชีวิตของคนอื่น จะไม่ได้รับการนิรโทษกรรม แต่ขอให้มีการนิรโทษกรรมในส่วนของประชาชน และผู้ปฏิบัติงานตามกฎหมาย ฉะนั้นถ้ามีความชัดเจนเช่นนี้ คงไม่มีเหตุผลใดที่จะเคลือบแคลงหรือไม่ไว้วางใจ

“ผมจะเสนอกฎหมาย ในฐานะที่เป็นส.ส.พรรค และคงจะมีเพียงร่างเดียวที่จะขอให้เป็นร่างของพรรค และหากที่ประชุมพรรคไม่เห็นด้วย ผมก็จะพิจารณาอีกครั้งว่า จะเสนอด้วยตัวเองเข้าสู่สภาหรือไม่ เพราะการที่มีร่างกฎหมายฉบับประชาชนขึ้นมา สะท้อนว่า 4-5 ร่างที่อยู่ในสภา ไม่ตอบโจทย์การแก้ปัญหาของประชาชน และการที่ผมเสนอมาในช่วงนี้ เพราะเป็นช่วงที่เหมาะสม ที่ควรจะมีร่างที่เป็นที่ยอมรับของคนทุกฝ่าย โดยเฉพาะกลุ่มที่ได้รับผลกระทบโดยตรงคือ ญาติวีรชนที่ได้รับผลกระทบทางการเมืองในปี 53 ซึ่งชัดเจนว่า สาระมุ่งไปที่การนิรโทษกรรมประชาชน ดังนั้นในฐานะที่เราเป็นพรรคการเมืองใหญ่ และเป็นพรรคที่มีส่วนร่วม ในเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองในหลายปีที่ผ่านมา จึงควรมีร่างกฎหมายที่ชัดเจนบ นหลักของนิติรัฐ นิติธรรม ไม่เลือกปฏิบัติ และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ ก็ประกาศไม่ขอรับการนิรโทษกรรม จึงถือเป็นจุดแข็ง ในการนำเสนอกฎหมายว่าไม่ได้ทำเพื่อตนเอง”นายอลงกรณ์ กล่าว

เมื่อถามว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้แสดงจุดยืนแล้วว่า จะไม่เสนอร่างกฎหมายของพรรคเข้าพิจารณา นายอลงกรณ์ กล่าวว่า ก็ถือเป็นความเห็นของนายอภิสิทธิ์ แต่ส.ส.มีสิทธิที่จะเสนอในที่ประชุมพรรค วันนี้เราต้องมองข้ามการเมือง จะคิดเล็กคิดน้อย เล่นแง่ทางการเมืองไม่ได้ หรือกลัวตกหลุม กลายเป็นเครื่องมือของคนนั้นคนนี้ หากเรายอมรับว่า มีปัญหาการเมืองต่อเนื่องมาร่วม 10ปี พรรคประชาธิปัตย์ ต้องหาทางออกให้กับประเทศ และดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม ไม่ใช่เพียงแค่วิพากษ์วิจารณ์ เพราะเราเป็นพรรคการเมืองใหญ่ จึงถึงเวลาที่บทบาทหน้าที่ของเราต้องเปลี่ยนแปลง และถึงเวลาแล้วที่เราต้องลบลอยบาดแผล หากเราไม่สมานแผลแล้วจะเดินหน้าไปได้อย่างไร และเชื่อว่า ทางนี้จะเป็นทางรัดที่เร็วกว่า ซึ่งการจะนิรโทษกรรมมีทางเดียวคือ ต้องผ่านกฎหมายจากสภา ทั้งนี้ตนขอเรียกร้องให้พรรคเพื่อไทย เสนอร่างพ.ร.บ. นิรโทษกรรม ด้วย เพื่อแสดงความจริงใจในการสร้างความปรองดอง



จักรภพ โพสต์ข้อความ ต้นเหตุทำน้ำท่วมโคราช-จันทบุรี


วันที่ 24 ก.ค.2556 ในหน้าเพจเฟซบุ๊ก ของนายจักรภพ เพ็ญแข อดีตแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการ หรือ นปช. ได้มีการแสดงความเห็นถึงเหตุการน้ำท่วมในพื้นที่อีสานใต้ และพื้นที่ในภาคตะวันออกของไทย โดยระบุว่า

เห็นข่าวน้ำท่วมฉับ พลันที่โคราชและจังหวัดอื่นๆ ในเขตอีสานใต้ เลยลงมาจนถึงบางจังหวัดในภาคตะวันออก โดยเฉพาะจันทบุรีและตราด เนื่องมาจากพายุเข้าจนฝนตกต่อเนื่องมาหลายวัน ทำให้ผมนึกถึงอำนาจรัฐที่ถูกจำกัดโดยตุลาการศาลปกครองสูงสุดในเรื่องการ จัดการน้ำ

แล้วสะท้อนใจว่านี่แหละสภาพที่แท้จริงของรัฐไทยในปัจจุบัน ที่พยายามยื้อยุดเป็นรัฐบาลกันอยู่ ก็เพื่อตอบโจทย์เล็กๆ ทางการเมืองและแบ่งอำนาจของเจ้าของประเทศเขามาส่วนหนึ่งเท่านั้นเอง อำนาจรัฐที่มีในมือจึงไม่เพียงพอต่อการทำงานใหญ่ รวมทั้งการวางระบบจัดการน้ำขนาดใหญ่ที่ต้องการทำอะไรหลายอย่าง
ตั้งแต่การสกัดกั้นน้ำเกินไปจนถึงการจัดการน้ำขาด (น้ำท่วม-น้ำแล้ง) รัฐบาลจึงได้แต่ขุดลอกคลองและแหล่งน้ำกระจ๊อกกระแจ๊กไปเรื่อยๆ เหมือนรอเวลาที่จะเกิดเหตุอุทกภัยใหญ่ในเขตเศรษฐกิจของประเทศอีกครั้งหนึ่ง แล้วค่อยหาทางเอาตัวรอดทางการเมืองกันอีกรอบในตอนนั้น
อย่าลืมนะครับว่าเวลาที่ผู้สั่งการเรื่องน้ำของรัฐไทยเขาให้ลูกสมุนที่ ส่งมานั่งคัดท้ายเรืออยู่ในคณะกรรมการระดับชาติ หรือใช้ “มือที่มองไม่เห็น” อื่นๆ ที่อยู่ในกลไกราชการเพื่อบีบบังคับรัฐบาลให้ทำในเรื่องที่เขาต้องการและ ยับยั้งมิให้ทำในสิ่งที่เขาไม่ต้องการนั้น รัฐบาลคือผู้รับหน้าเสื่อแทนเขาทั้งหมด
พอประชาชนเกิดเดือดร้อนขึ้นมา เขาไม่ได้มองลึกลงไปถึงสาเหตุเบื้องหลังหรอกครับ พี่น้องเขาซัดรัฐบาลตรงๆ เลยทีเดียว ซึ่งก็ถือว่าเป็นธรรม เพราะรัฐบาลทำท่าใหญ่โตเป็นผู้บริหารประเทศ โดยไม่ส่งสัญญาณเลยสักแอะเดียวว่า ตัวเองได้ถูกยึดอำนาจบริหารรัฐกิจ (ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของอำนาจรัฐ) ไปโดยกลไกแบบตุลาการศาลปกครองสูงสุดไปเรียบร้อยแล้ว
เมื่อไม่รู้จักบ่น ไม่อุทธรณ์ (ต่อสังคม) และไม่อธิบายให้มวลชนทั่วประเทศเข้าใจในเบื้องลึกเบื้องหลัง ปัญหาใดๆ ที่ตัวเขา (เจ้าของประเทศ) เป็นคนก่อขึ้น ก็กลายมาเป็นปัญหาของเรา (รัฐบาลเลือกตั้ง) ไปโดยปริยาย

ผมเสียดายเหตุการณ์แบบนี้ ที่รัฐบาลน่าฉวยโอกาสอธิบายความให้ชัดเจนล้วงลึก เพื่อให้พี่น้องประชาชนได้รู้ว่า รัฐบาลที่เขาเลือกเข้ามาด้วยเสียงข้างมากมีอำนาจเพียงบางส่วนเท่านั้น ในกรณีการจัดการน้ำถึงขนาดไม่เพียงพอต่อการจัดระบบขนาดใหญ่ที่จำเป็นต่อการ แก้ไขปัญหาในปัจจุบันและอนาคตด้วยซ้ำไป

ในฐานะที่ผมเคยดูแลงานในฐานะโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและการประชา สัมพันธ์และสื่อของรัฐในความรับผิดชอบของรัฐมนตรีมาช่วงหนึ่ง ผมขอแนะนำอะไรผ่านไปทางนี้สักนิด เมื่อแรกนึกว่าจะนั่งเฉยๆ เพราะไม่อยากให้เกิดความระคายเคืองในใจว่าไปยุ่มย่ามกับเขา
แต่รัฐบาลในนาทีนี้ได้กลายเป็นเป้าหมายที่ฝ่ายตรงข้ามวางแผนทำลายอย่าง เป็นระบบไปแล้ว ถ้าอยู่เฉยก็จะอาจพังกันทั้งหมดได้ สิ่งแรกก่อนที่เราจะประชาสัมพันธ์ หรือใช้สื่อของรัฐทำสิ่งใดก็ตาม เราต้องตรวจสอบก่อนอื่นว่าอำนาจสูงสุดในรัฐบาลที่คอยชี้นำ ทิศทางในเรื่องนี้อยู่ที่ใคร
ดูจากตำแหน่งหน้าที่ก็ไม่แน่นัก บางคนมีตำแหน่งโต้งๆ ว่ากำกับสื่อของรัฐ แต่เอาเข้าจริงแล้ว ไม่ได้กำกับอะไรเลย ยกเว้นแต่ตัวเอง ก็มีบ่อย เราจึงต้องดูบทบาทและอำนาจจริงในรัฐบาลนี้ว่าอยู่ที่ใด ผมคิดว่าศูนย์กลางปัจจุบันในเรื่องนี้คงอยู่ที่ คุณสุรนันทน์ เวชชาชีวะ ผู้เป็นเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และมีอำนาจเหนือกว่าเลขาธิการนายกรัฐมนตรีหลายคนในช่วงที่ผ่านมา
คุณสุรนันทน์เคยเป็นโฆษกพรรคไทยรักไทยและเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายก รัฐมนตรีผู้กำกับสื่อของรัฐมาก่อน ย่อมจะเข้าใจดีว่าต้องสั่งงานอย่างไร ตอนไหน และตรงไหน ผมมั่นใจในแง่นี้อย่างเต็มที่ แต่ปัญหากลับอยู่ที่ยุทธศาสตร์การประชาสัมพันธ์ของรัฐบาลมากกว่า

รัฐบาลขณะนี้หลอกตัวเอง หรือเปล่าก็ไม่รู้ว่า การเมืองไทยอยู่ในสภาพปกติ รัฐบาลยิ่งลักษณ์กำลังขับเคลื่อนรัฐนาวาไปได้เรื่อยๆ จนครบวาระและอาจจะได้รับเลือกตั้งใหม่เพื่อต่ออำนาจไป ผมเชื่อว่ามวลชนประชาธิปไตยล้วนอยากบอกว่ารัฐบาลทั้งนั้นว่า เหตุการณ์ในบ้านเมืองไม่เป็นปกติเลยในทุกๆ ด้าน
เพียงจะนิรโทษกรรมให้พี่ น้องมวลชนผู้ใช้สิทธิของเขาในการประท้วงตามรัฐธรรมนูญ โดยไม่ต้องคิดนิรโทษกรรมให้แก่ผู้นำหรือแกนนำทางการเมือง ยังเจอทั้งสันดอนและสันดานเผด็จการทั้งที่มาตรงๆ และที่แฝงเร้นอยู่ขนาดนี้ การแก้ไขรัฐธรรมนูญยังไม่กล้าขยับไปวาระสามทั้งๆ ที่เรามีเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรโดยอ้างว่ากลัวไปล่มในส่วนของวุฒิสภา
จนตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ (ของเขา) เข้ามายึดอำนาจเรื่องนี้จากเราไป ครั้นจะหันมาทำงาน โดยบอกแบบพระเอกละครไทยว่าขอรับใช้ประชาชนโดยไม่สนใจการเมือง ซึ่งฟังดูดีและเป็นสาระของรัฐบาลประชาธิปไตยอยู่มาก ก็มาเจอกับปัญหาอย่างระบบน้ำและตุลาการศาลปกครองสูงสุด ที่มายึดอำนาจการบริหารงานของเราไปด้วย


เมื่อรัฐบาลทำงานในระดับโครงสร้างของประเทศไม่ได้ แถมอำนาจของประชาชนก็ยังถูกกดขี่จนต่ำเตี้ยกว่าระดับพื้นดิน โดยไม่มีเค้าลางเลยว่าสถานการณ์จะดีขึ้นเมื่อใด นี่คือวิกฤติการณ์แล้วล่ะครับ เพียงแต่มันไม่ได้แสดงตัวปุบปับเหมือนประสบอุบัติเหตุ แต่เริ่มภาวะ “ตายช้า”
นั่นคือเขาเป็นผู้สร้างกรอบหรือกั้นคอกให้รัฐบาลอยู่ในนั้น โดยไม่ยอมให้ขยายอำนาจของรัฐบาล และของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศในแง่ใดได้เลย ขณะเดียวกันก็คอยสร้างอุปสรรคในการทำงานจนทำงานไม่ได้ผลลุล่วง เพราะรู้ว่าหากงานการไม่สำเร็จและ ข่าวสารทยอยออกมาในทางลบ
เช่น โครงการรับจำนำข้าว โครงการระบบน้ำ เป็นต้น พี่น้องประชาชนทั่วประเทศ ทั้งที่รักและไม่รักเรา ก็จะเริ่มเกิดความรู้สึกเบื่อหน่าย หงุดหงิด และอาจกลายเป็นความไม่พอใจหรือโกรธแค้นรัฐบาลได้ในที่สุด การต้อนเราให้จนมุมทั้งสองทางนั้นเป็นภาวะที่เราต้องแหวกวงล้อม ออกไปให้ได้
อย่าไปยอมรับ และอย่าถูกหลอกเอาง่ายๆ เสมอว่าเราต้องยอมเพราะกำลัง “หาทางคืนดี” กัน ความขัดแย้งในบ้านเมืองตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๔๘ เป็นต้นมา ไม่ใช่ความขัดแย้งระดับธรรมดา แต่เป็นความขัดแย้งในผลประโยชน์ที่ขัดกันระหว่างชาวบ้านกับชาวเมือง แม้แต่การเลือกตั้งก็ยังช่วยแก้ไขปัญหาไม่ได้ทั้งหมด

ไม่มีทางที่จะลงเอยกันได้ในสมการ ปัจจุบัน แต่ต้องเปลี่ยนตัวเลขบางตัวในสมการปัจจุบันเสียก่อนจึงจะแก้ไขได้ ซึ่งเวลาอาจช่วยเราได้ ในระหว่างการรอคอยนี้เอง เราต้องสื่อสารกับมวลชนทั่วประเทศว่า เราเป็นรัฐบาลยามวิกฤติ (crisis government) การทำงานทุกอย่างของรัฐบาลต้องมีลักษณะเร่งรัดและหาทางบังคับผลให้เกิดขึ้น อย่างรวดเร็ว
ต้องสร้างความพอใจให้กับประชาชน ส่วนใหญ่อย่างรวดเร็ว ต้องชี้ทางแก้ไขวิกฤติการเมืองอย่างรวดเร็ว และอย่าเผลอคิดว่าการอยู่เฉยจะทำให้ฝ่ายตรงข้ามเขาเฉยตามเราไปด้วย พูดตรงๆ แล้วเราไม่ต้องกลัวความขัดแย้งหรือความร้อนระอุทางการเมืองอีกแล้ว ทำอะไรก็ทำไปเลยครับ ยังไงมันก็ต้องเผชิญหน้ากันอยู่แล้ว
ก็ให้เผชิญหน้าในช่วงที่เรากุม บังเหียนของบ้านเมือง (ถึงแม้จะเพียงส่วนหนึ่ง) เสียเลยอาจจะดีกว่า พูดเช่นนี้อาจจะถูกค่อนว่าซาดิสต์ อยากเห็นบ้านเมืองลุกเป็นไฟหรือ แต่คนที่เขาติดตามเหตุการณ์มาอย่างใกล้ชิดเขาจะรู้ดีว่า ไฟมันไหม้อยู่แล้ว และยังลุกลามอยู่ตลอดเวลาด้วย

เราเสียอีกที่ไม่ยอมเอาน้ำไปดับไฟที่จุดโดยฝ่ายเขา แถมเผลอเอาน้ำไปดับไฟในใจของมวลชนฝ่ายประชาธิปไตยจนแทบจุดไม่ติดเสียอีก โดยการปะเหลาะว่าสถานการณ์เรียบร้อยดีแล้ว โปรดอย่าเคลื่อนไหวอะไรกันเลย ใกล้ตายขึ้นมาอีกเมื่อไหร่ค่อยเรียกหากันอีกครั้ง (ฮา)
น้ำท่วมที่อีสานใต้และภาคตะวันออกคราวนี้ รัฐบาลจึงทำอะไรได้น้อยกว่าหน่วยราชการเสียอีก หน่วยราชการปัจจุบันมีระบบงบประมาณที่คล่องตัวกว่าฝ่ายการเมืองมากนะครับ ทำไมไม่แก้ไขตรงนั้นกันก็ไม่รู้ รัฐมนตรีมีอำนาจเป็นเจ้ากระทรวง แต่บางทีก็เหมือนเจว็ด เพราะมีอำนาจด้านเงินทองและระเบียบต่างๆ น้อยกว่าปลัดกระทรวงและอธิบดีเสียอีก
ไม่ต้องพูดถึงองค์กรอิสระของรัฐ ซึ่งเหมือนกับดวงดาวที่โคจรรอบโลกได้โดยไม่อยู่ในแรงดึงดูดของใครเลย ทั้งหมดนี้แสดงความเลอะเทอะของระบบไทยทั้งนั้น
คนเก่งๆ มีก็เอามาใช้ทำงานในเรื่องนี้หน่อยครับ ให้มันรู้ไปว่าพอไม่มีคนอย่าง วิษณุ เครืองาม และ บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ที่คอยเอาใจฝ่ายอำมาตย์ศักดินาและฝ่ายประชาชนไปพร้อมกันแล้ว รัฐบาลถึงกับหาอำนาจรัฐไม่เจอเอาเลยทีเดียว.

........
 

นปช.หวั่นม็อบ อพส.ล้อมสภา เตรียมส่งมวลชนยึดพื้นที่



นายชินวัฒน์ หาบุญพาด สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เปิดเผยว่า ในวันที่ 1 ส.ค. ซึ่งเป็นวันแรกของการเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรสมัยสามัญทั่วไป กลุ่มคนเสื้อแดงไม่ต่ำกว่าหมื่นคน จากชมรมคนรักแท็กซี่ ภาคีพลังประชาชน (ภปช.) และเสื้อแดงทั่วประเทศมารวมตัวบริเวณหน้ารัฐสภา เพื่อปกป้องรัฐบาล สส. ให้สามารถทำงานและออกกฎหมายได้

ทั้งนี้ เนื่องจากกลุ่มกองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ หรือกลุ่มองค์การพิทักษ์สยาม (อพส.) ประกาศจะชุมนุมหน้ารัฐสภาในวันที่4 ส.ค.56 โดยเรียกร้องให้รัฐบาลทำตาม 6 ข้อเรียกร้องถือว่าไม่ชอบธรรม

“การออกกฎหมายหรือกู้เงินใดๆ เป็นหน้าที่ของ สส.และเสียงส่วนใหญ่ในสภา ไม่ใช่นายกรัฐมนตรี จึงยอมรับไม่ได้ ซึ่งคนเสื้อแดงจะชุมนุมยืดเยื้อไปจนกว่าสภาจะพิจารณาทุกอย่างเสร็จสิ้น”นายชินวัฒน์ กล่าว

ด้านนายไทกร พลสุวรรณ เสนาธิการร่วมกองทัพประชาชนฯ กล่าวว่า หากรัฐบาลไม่ทำตามข้อเสนอภายในวันที่ 27 ก.ค. ก็จะแถลงถึงแนวทางเคลื่อนไหวในวันที่ 4 ส.ค.นี้ อย่างไรก็ดี วันที่ 25 ส.ค. จะเปิดตัวแนวร่วมทั้งทหารและตำรวจนอกราชการกว่า 30 คน ซึ่งจะมาเป็นกองกำลังปกป้องประชาชน และขอยืนยันว่าไม่เคยมีเงินทุน 3,000 ล้านบาท ตามที่บางฝ่ายระบุ เพราะที่ผ่านมาก็ไม่เคยใช้เงินจ้างใครเข้าร่วมชุมนุม

ขณะที่ พล.ต.ต.วัลลภ ประทุมเมือง ผบก.น.6 เรียกร้องให้ 2 ผู้ต้องหา ที่ทำร้าย ด.ต.ศุภกฤต ลิ้มลิขิตอักษร และ ด.ต.พิสิษฐ์ สะอาดเอี่ยม ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ดูแลความปลอดภัยกลุ่มหน้ากากขาว มาพบหนักงานสอบสวนภายใน 3 วัน หากไม่ทำตามจะขออนุมัติหมายจับจากศาลต่อไป

การเมืองสามานย์ไร้จุดยืน




ในที่สุดขบวนประชาธิปไตยประชาชนทั้งขบวนก็พากันเดินวนเวียนอยู่ในเขาวงกตแห่งความขัดแย้งระหว่างขั้วอำนาจทางการเมือง...

แล้วพากันละทิ้งเนื้อหาที่แท้จริงของการปฏิวัติประชาธิปไตยจนแทบจะสิ้นเชิง

เลนินจึงเสนอว่าในการปฏิวัติ "ต้อง" มีนักปฏิวัติอาชีพ (นักปฏิวัติที่ทำงานเต็มเวลา ที่นำโดยสมาชิกพรรคบอลเชวิก) นักปฏิวัติอาชีพมีชีวิตในระดับที่ "มีชีวิตอยู่ได้" จากการสนับสนุนของสมาชิกทั่วไป ที่สนับสนุนการปฏิวัติแต่ไม่อาจเข้าร่วมได้โดยตรงในระยะที่กระแสปฏิวัติยังไม่ขึ้นสู่กระแสสูงอย่างแท้จริ

"นักปฏิวัติอาชีพ" ต่างจาก "มือปืนรับจ้าง" หรือ "นอมินี" การเมืองแบบสามานย์ที่สู้แล้ว "ตั้งตัวได้" ลูกเมียไม่เดือดร้อน

"นักปฏิวัติ" คือ คนที่พร้อมจะเป็นวีรชนประชาชน ไม่ใช่วีรชนเอกชนที่ใครๆก็รู้จัก หากคือ "นักรบนิรนาม" ที่แท้จริง ที่จำเป็นต้องมีการจัดตั้งกันขึ้นเป็นหน่วย มีการศึกษาทบทวน ตรวจสอบความคิดในการปฏิวัติในหมู่มิตรสหายเป็นระยะ ตามหลักการ "มีดต้องหมั่นลับ จึงจะรักษาคมเอาไว้ได้"




 
22 พฤษภาคม 2555, 

พิทักษ์สยามลั่นขวางสภาถก พ.ร.บ.นิรโทษฯ-เสื้อเหลืองขอหารือท่าที


สำนักข่าวอิศรา:


พิทักษ์สยามลั่นขวางสภาถก พ.ร.บ.นิรโทษฯ-เสื้อเหลืองขอหารื
อท่าที

รองประธาน อพส.ลั่นขวางสภาฯ ถก พ.ร.บ.นิรโทษฯ เตรียมหารือวิธีม็อบต้าน 4 ส.ค.นี ด้าน พธม.ขอกำหนดท่าทีก่อน-ประธาน นปช.จี้พิจารณาเร็วที่สุด ห้ามดองในชั้น กมธ.
จากกรณีที่แกนนำพรรคเพื่อไทย (พท.) และคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร (วิปรัฐบาล) ออกมาแถลงข่าวในช่วงเช้าวันนี้ (24 ก.ค.2556) ว่าทันทีที่สภาผู้แทนราษฎรเปิดประ ชุมสมัยสามัญทั่วไป ในเดือน ส.ค.2556 นี้่ จะพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ฉบับของนายวรชัย เหมะ ส.ส.สมุทรปราการ พท. ที่อยู่ในระเบียบวาระเพื่อพิจารณาที่ 1 ทันที ซึ่งคาดว่าจะพิจารณาได้ในวันที่ 7 ส.ค.2556 โดยไม่มีการเลื่อนร่างกฎหมายอืนขึ้นมาพิจารณาก่อน

นางธิดา ถาวรเศรษฐ์ ประธานกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวว่า ตนรู้สึกดีใจแทนคนเสื้อแดงทั้งหมด เพราะแม้สิ่งที่เราเรียกร้องคือให้ รัฐบาลออก พ.ร.ก.นิรโทษฯ แต่ในเมื่อสภาฯ จะพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษฯ ฉบับของนายวรชัย ก็ไม่เป็นไร เพราะมีเนื้อหาใกล้เคียงกัน ทั้งนี้แม้ส่วนตัวอยากให้พิจารณาร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวให้เสร็จภายใน 7 วัน แต่ในเมื่อมันมีขั้นตอนอยู่ก็ไม่เป็นไร ขอให้เสร็จเร็วที่สุดเท่าที่เป็นได้ และอย่าไปดองในชั้นกรรมาธิการนานเกินไป

”คนค้านมันมีแน่นอน แต่มันไม่ได้อะไรเลย พวกคนเสื้อเหลืองความจริงก็อยากได้นิรโทษฯ แต่พอแกนนำไม่ได้ด้วย ก็เลยไม่อยากเอา” นางธิดากล่าว

ด้าน พล.ร.อ.ชัย สุวรรณภาพ รองประธานองค์การพิทักษ์สยาม (อพส.) กล่าวว่า เรายอมไม่ได้ที่จะให้มีการนิรโทษฯ ให้คนทำผิด คนเผาบ้านเผาเมือง ฆ่าทหาร มีความผิดทางอาญาจะปล่อยให้พ้นผิดได้อย่างไร ทุกคนต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม เพื่อหาคนทำผิด

“มานิรโทษฯกันแล้วถ้าออกมาทำผิดอีก ก็นิรโทษฯกันอีก มันก็ไม่จบไม่สิ้น ต้องมีบทลงโทษเป็นบทเรียนกันบ้าง ทั้งนี้เราจะกำหนดท่าทีกันในการชุมนุมวันที่ 4 ส.ค.2556 นี้ ว่าจะเราเคลื่อนไหวเกี่ยวกับ พ.ร.บ.นิรโทษฯอย่างไร เพราะนี่คือเรื่องใหญ่ที่เราต้องขัดขวางให้ได้” พล.ร.อ.ชัยกล่าว

ด้านนายปานเทพ พัวพงษ์พันธุ์ โฆษกกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) กล่าวว่า จุดยืนของ พธม.คือไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับการตรากฎหมายแบบนี้ เราอยากให้ทุกคนพิสูจน์ตัวเองตามกระบวนการยุติธรรม พธม.ก็เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม พท.หวังจะเอา พธม.พ่วงเข้าไปด้วยเพื่อความชอบธรรม แต่เราไม่เอา ทั้งนี้ แกนนำพธม.จะประชุมกำหนดท่าทีกันอีกครั้งว่าจะออกมาชุมนุมหรือไม่ เพราะการพิจารณาพ.ร.บ.นิรโทษฯยังมีอีกหลายวาระ.
 
 .....................................








วันอาทิตย์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ระบอบทักษิณ ที่มีกลุ่มคนบางพวกออกมาต่อต้าน

 อ่านข่าว>>> "กองทัพ ปชช.โค่นระบอบทักษิณ" แถลงข่าวเรียกร้องรัฐบาล 6 ข้อ นัดชุมนุม 4 ส.ค. นี้     

          

ย้อนรอย ......  รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2540 นี้ถือเป็นรัฐธรรมนูญที่ริเริ่มขึ้นโดยพรรคชาติไทย นายบรรหาร ศิลปอาชานายก รัฐมนตรีได้แต่งตั้งคณะกรรมการปฏิรูปการเมืองเข้ามาดำเนินการและได้ตั้งคณะ กรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมา และมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ จำนวน 99 คน โดย 76 คนเป็นตัวแทนของแต่ละจังหวัด และอีก 23 คนมาจากผู้เชี่ยวชาญหรือผู้มีประสบการณ์ ซึ่งถือว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่มาจากการเลือกตั้งฉบับเดียวของประเทศไทยภายใต้การปกครองระบบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

 

พรรคไทยรักไทย  ที่ฝ่ายอำมาตย์เผด็จการและคนในพรรคประชาธิปัตย์กล่าวหาเรียกว่าระบอบทักษิณ 

  หลังจากที่จดทะเบียนก่อตั้งเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2541 เป็นพรรคการเมืองแรกที่ก่อตั้งขึ้นภายใต้ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 โดยมีผู้ร่วมก่อตั้ง 23 คน นำโดย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร

 

การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2544 เป็นการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2544 โดยสาเหตุมาจากที่ นายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรี ได้ประกาศยุบสภา เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2543 นับว่าเป็น การเลือกตั้ง ส.ส. ครั้งแรกในระบบใหม่ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 ซึ่งแบ่งเป็นระบบบัญชีรายชื่อ 100 คน และแบบแบ่งเขตเลือกตั้งอีก 400 คน ภายใต้การกำกับดูแลและจัดการเลือกตั้งของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต.
การเลือกตั้งในครั้งนี้เป็นการเลือกตั้งครั้งแรกที่มีการพิจารณาเรื่อง ร้องเรียนผลการเลือกตั้ง ก่อนประกาศรับรอง และมีการประกาศให้จัดการเลือกตั้งใหม่ โดยการรับรองผลการเลือกตั้ง>>>คลิ๊กอ่านเพิ่มเติม (พันตำรวจโท ทักษิณ ดำรงตำแหน่งจนครบวาระสี่ปี นับเป็นนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งดำรงตำแหน่งจนครบวาระเป็นคนแรกในประวัติศาสตร์)

 

การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2548 ในประเทศไทย มีขึ้นเมื่อวันอาทิตย์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548 โดยสาเหตุมาจาก นายกรัฐมนตรี พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีครบวาระ 4 ปี และต้องพ้นจากตำแหน่งตามวาระ โดยมีพรรคไทยรักไทยของนายกรัฐมนตรี พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร ที่รวมสมาชิกจากพรรคต่าง ๆ ได้แก่ พรรคความหวังใหม่, พรรคชาติพัฒนา, พรรคกิจสังคม, พรรคเสรีธรรม และพรรคเอกภาพ เข้ากับพรรคไทยรักไทย ซึ่งได้หมายเลข 9 ใช้สโลแกนหาเสียงว่า "4 ปีซ่อม 4 ปีสร้าง" และได้รับการเลือกตั้งเกินครึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎรพรรคไทยรักไทยมีสมาชิกพรรคที่แจ้งต่อนายทะเบียนพรรคการเมือง ณ วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2548 ถึงประมาณ 14 ล้านคน (14,394,404 คน) 

ในการเลือกตั้งทั่วไป เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2549 พรรคไทยรักไทย ได้คะแนนในระบบบัญชีรายชื่อถึง 18,993,073 เสียง พรรคไทยรักไทย เป็นพรรคการเมืองแรก ที่ได้รับการเลือกตั้งเกินครึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร์ ในการเลือกตั้งทั่วไป พ.ศ. 2548 โดยได้รับการเลือกตั้งถึง 376 ที่นั่ง จากจำนวนที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎร 500 ที่นั่ง เอาชนะพรรคคู่แข่งคือ พรรคประชาธิปัตย์ที่ได้เพียง 96 ที่นั่ง ทำให้เป็นพรรคการเมืองแรกที่สามารถจัดตั้ง รัฐบาลพรรคเดียวภายใต้การปกครองระบบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข


นโยบายจากพรรคไทยรักไทย 2544-2549

1.จัดระเบียบสังคม สถานบริการ
2.จัดระเบียบจราจร-หักคะแนน ยกเลิกใบอนุญาตตลอดชีพ
3.จัดระเบียบมอเตอร์ไซค์รับจ้าง
4.จัดระเบียบแรงงานต่างด้าว ขึ้นทะเบียนแรงงานเถื่อนให้ถูกกฏหมาย
5.โครงการ ประดับธงชาติไทย แต่งเพลงชาติใหม่
6.ต่อยอดการพัฒนา มาตรฐาน Thailand Brand (สานต่อนโยบายรัฐบาลก่อน)
7.ปราบปรามผู้มีอิทธิพล มาเฟีย
8.สงครามยาเสพติด
(ดำเนินนโยบายปราบปรามยาเสพติดอย่างเด็ดขาด คือการดูแลแก้ปัญหายาเสพติดตลอด 24 ชั่วโมง ไม่ใช่เป็นเรื่องการฆ่าตัดตอน)

 9.ยกเลิกหนี้ IMF
10.พักชำระหนี้เกษตรกร

11.กองทุนหมู่บ้าน
12.SML / SME
13.หน่วยราชการ one stop service
14.ผู้ว่า CEO
15.ฑูต CEO
16.โครงการ National Museum (ต้นแบบคือ Smithsonian)
17.สำนักงานศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ TCDC
18.อุทยานการเรียนรู้ TK PARK
19.กรุงเทพเมืองแฟชั่น
20.ครัวไทยสู่ครัวโลก

21.ศูนย์กลางสุขภาพของโลก
22.แปลงสินทรัพย์เป็นทุน (แนวคิด เดอ โซโต้ )
23.หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ OTOP
24.กองทุนวายุภักดิ์
25.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ 30 บาท รักษาทุกโรค
26.Event-ลดราคารถไฟฟ้า 15 บาทตลอดสาย
27.Event-เชิญนักคิด ปาฏกฐาThailand's Competitivenessโดย Michael E. Porter 4พค46
28.Event-โครงการอบรมข้าราชการระดับสูง เชิญนักวิชาการต่างประเทศมาสอน
29.Event-ความร่วมมืออุตสาหกรรมไอที รัฐบาลไทยกับไมโครซอฟท์ ปาฐกฐาโดย Bill Gates มิย.48
30.โครงการ นายกทักษิณแนะนำ หนังสือดีที่คนไทยควรอ่าน

31.แผนศึกษา รถไฟฟ้ากรุงเทพและปริมณฑล 10 สาย 370 กิโลเมตร
32.โครงการก่อสร้างสนามบินแห่งชาติ สุวรรณภูมิ ศูนย์กลางการบินอาเซียน
33.โครงการก่อสร้างทางรถไฟ/รถไฟฟ้า Airport Link
34.โครงการสุวรรณภูมิมหานคร
35.โครงการทางยกระดับแหลมผักเบี้ย
36.โครงการเสนอจัดเอเชี่ยนเกมส์
37.โครงการไนท์ซาฟารี
38.โครงการกระเช้าลอยฟ้า ดอยหลวงเชียงดาว
39.จัดระเบียบเกมส์ออนไลน์
40.บ้านเอื้ออาทร

41.นักบินเอื้ออาทร
42.คอมพิวเตอร์เอื้ออาทร
43.แท๊กซี่เอื้ออาทร
44.ประกันชีวิตเอื้ออาทร
45.จักรยานเอื้ออาทร
46.นโยบายปรับปรุงโครงสร้างภาษี ปรับฐานภาษีเงินได้ +ลดภาษีลูกกตัญญู
47.แนวคิดการพัฒนาตลาดพันธบัตรร่วมเอเชีย Asian Bond
48.โครงการ Detroit of Asia ศูนย์กลางผลิตชิ้นส่วนยานยนต์เอเซีย
49.โครงการอุทยานซอฟท์แวร์
50.ผลักดัน ให้เกิด ASEAN+3 อาเซียน+จีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น

51.ความร่วมมือแห่งเอเซีย Asia Cooperation Dialogue (ACD)
52.Event ใหญ่ ประชุม APEC 2003
53.โครงการร่วมมือ พันธมิตรท่องเที่ยวภูมิภาคอาเซียน
54.Unseen Thailand
55.ปฏิรูประบบสอบวัดผลความรู้เข้ามหาวิทยาลัย ONET-ANET
56.โครงการเงินทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา
57.นโยบายรับนักศึกษา หารายได้พิเศษ ปิดเทอม --- บริษัทต้องรับนักศึกษาฝึกงาน
58.โครงการพัฒนาส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทย์+เทคโนฯ (พสวท.)
59.หนึ่งโรงเรียน หนึ่งทุน ODOS (ทุนหวย)
60.หนึ่งโรงเรียน หนึ่งนวัตกรรม

61.โครงการบูรณาการการศึกษา แนวคิด Child Center
62.โครงการพัฒนานักออกแบบ และันักอนิเมชั่นไทย
63.โครงการ สินค้าเกษตรแลกเปลี่ยนรัฐต่อรัฐ
64.FTA จีน ญี่ปุ่น สหรัฐ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อินเดีย
65.โคล้านตัว
66.กล้ายางล้านต้น
67.ปล่อยเงินกู้รัฐบาลพม่า 4000 ล้าน
68.ส่งทหารไทยไปรักษาสันติภาพที่ประเทศอิรัก
69.โครงการ ทำระบบสื่อสาร CDMA
70.Privatization แปรรูปรัฐวิสาหกิจ ปตท ทอท กสท องค์การโทรศัพท์

71.ตลาดหลักทรัพย์ MAI
72.ตลาดสินค้าเกษตร AFET
73.ตลาดตราสารอนุพันธ์ TFEX
74.คณะกรรมการบรรษัทภิบาลแห่งชาติ
75.ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
76.สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.)
77.สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
78.อินเตอร์เน็ตความเร็วสูง ทุกตำบล
79.หนึ่งอำเภอ หนึ่งโรงเรียนในฝัน www.labschools.net
80.ศูนย์ส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษแห่งชาติ NGT www.ngt.go.th

81.จัดระเบียระบบราชการ ปฏิรูปกระทรวงทบวงกรม ตั้ง ก.พลังงาน ICT วัฒนธรรม ท่องเที่ยวกีฬา พัฒนาสังคม
ฯลฯ
82.โครงการเชื่อมฐานข้อมูลระบบราชการ E-government
83.โครงการปฏิรูปสถาบันการเงิน ควบรวมธนาคาร
84.แนวคิดสลาก หวยหุ้น Liverpool
85.หวยบนดิน 2-3 ตัว
86.โครงการหวยออนไลน์ (ตู้จำหน่ายสลาก)
87.ศึกษา Entertainment Complex คาสิโน เกาะช้าง
88.กองทุนน้ำมัน
89.โครงการเอทานอล พลังงานทดแทน
90.อีลีท การ์ด บัตรท่องเที่ยววีไอพี ใบละล้านบาท

91.โครงการสมาร์ทการ์ด ID card บัตรประชาชนใบเดียวรวมข้อมูลทุกอย่าง
92.EVENT- ปิดถนนคนเดิน (กระตุ้นท่องเที่ยวช่วงเทศกาล)
93.โครงการโรงรับจำนำข้าวเปลือก
94.แปรสัญญาโทรคมนาคม เตรียม กทช.เพื่อตั้ง กสช.
95.ส่งเสริม RMF LTF กองทุนรวมลดหย่อนภาษี
96.Event- รณรงค์ไทยช่วยไทย กินไก่+ไข่ไก่ปรุงสุข ป้องกันไข้หวัดนก ท้องสนามหลวง
97.โครงการเขตปลอดภาษี เมืองท่องเที่ยว
98.โครงการ ขยับกายสบายชีวี ออกกำลังกาย (สาธารณสุข)+Event แอโรบิคกินเนสบุ๊ค
99.โครงการฝากบ้านกับตำรวจ (เริ่ม 2546) ต่อยอด โครงการโรงพักเพื่อประชาชน
100.ธนาคารอิสลาม


101.โครงการธนาคารประชาชน
102.โครงการ ศูนย์แสดงสินค้า ไทยแลนด์ พลาซ่า นิวยอร์ค
103.ระบบประมูลงานราชการ E-Auction
104.Event - งาน พระราชพิธีเฉลิมฉลองสิริราชสมบัติครบ ๖๐ ปี
105.Event - งานพืชสวนโลก ราชพฤกษ์ 2006-2007




......จนกระทั่งเกิดขึ้นในคืนวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 พลเอก สนธิ บุญยรัตกลินเป็นหัวหน้าคณะปฎิวัติโค่นล้มรักษาการนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งนับเป็นการก่อรัฐประหารเป็นครั้งแรกในรอบ 15 ปี รัฐประหารครั้งนี้เกิดขึ้นก่อนการเลือกตั้งทั่วไปในเดือนต่อมา หลังจากที่การเลือกตั้งเดือนเมษายนถูกตัดสินให้เป็นโมฆะ นับเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในวิกฤตการณ์ทางการเมืองที่ดำเนินมายาวนานนับตั้งแต่เดือนกันยายน พ.ศ. 2548 คณะรัฐประหารได้ยกเลิกการเลือกตั้งในเดือนตุลาคม ยกเลิกรัฐธรรมนูญ สั่งยุบสภา สั่งห้ามการประท้วงและกิจกรรมทางการเมือง ยับยั้งและเซ็นเซอร์สื่อ ประกาศใช้กฎอัยการศึก และจับกุมสมาชิกคณะรัฐมนตรีหลายคน 

และและในการเลือกตั้งครั้งต่อมาพรรคการเมือง อย่างพรรคพลังประชาชน และพรรคเพื่อไทย ก็ยังชนะการเลือกตั้งฝ่าด่านซาตานมาได้แม้จะถูกกลั้นแกล้งสารพัดวิธีซึ่งประชาชนที่สนับสนุนนั้นล้วนแต่มาจากผู้ที่พอใจการทำงานและนโยบายของพรรคไทยรักไทยในอดีต ที่ พรรคพลังประชาชนและพรรคเพื่อไทยนำมาสานต่อ  แต่ฝ่ายเผด็จการและ พรรคประชาธิปัตย์ก็ยังพยามไม่เลิกที่จะโค่นล้มทำลาย ล่าสุดกลุ่มองค์การพิทักษ์สยาม (อพส.) ก็ออกมาแหกปากอีกครั้งหลังเคยพลาดจากการประกาศว่าจะแช่แข็งประเทศไทยไปหนหนึ่งแล้วโดยไม่ยอมรับฟังเสียงของจำนวนมากที่ออกมาใช้สิทธิ์ใช้เสียงในการเลือกตั้งจากจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 46,921,682 คน พรรคที่ได้รับเลือกตั้ง ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อมากที่สุดคือ 
พรรคเพื่อไทย 15,744,190 คะแนน
 และรองลงมาคือ พรรคประชาธิปัตย์ 11,433,501 คะแนน 

โดยผู้ใช้สิทธิ์เลือกพรรคเพื่อไทย คิดเป็น 23% ของจำนวนประชากรไทยในปี 2554 ผลปรากฏว่าพรรคเพื่อไทยได้ที่นั่งผู้แทนราษฎรเกินกึ่งหนึ่ง 265 ที่นับเป็นครั้งที่สองในรอบทศวรรษที่มีพรรคการเมืองได้รับคะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่งในสภาผู้แทนราษฎรและนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร  เป็นว่าที่นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย

ซึ่งมีการจัดให้มีการเลือกตั้งภายใต้กฏหมายและรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ปี 2550 (ที่เขียนจะเขียนขึ้นมาโดยกลุ่มคนที่ได้รับการแต่งตั้งจากร่วม หัวหน้าคณะปฎิวัติวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 คือ พลเอก สนธิ บุญยรัตกลิน )
   
โดยยังอ้างบอกกับประชาชนว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ เป็นการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข..........

..............................



อ้างอิงบอกเล่ามาซะยาว กูแค่จะถามสั้นว่า แล้วไอ้ระบอบทักษิณ ที่พวกมึงอ้างกันมันคืออะไรกันแน่  ตกลงมึงจะล้มล้างใครกันแน่

การแถลงการณ์ของกลุ่มองค์การพิทักษ์สยาม (อพส.)ที่อ้างตนเป็นแกนนำกองทัพประชาชน มีการยื่นข้อเสนอ 6 ข้อแก่ทางรัฐบาล คือ

 1.ต้องแสดงจุดยืนถึงความจงรักภักดีและดำเนินการกับคนหมิ่น
สถาบัน โดยเฉพาะกลุ่มของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร 
คำถาม... ด้วยการเอาสถาบันมาเป็นข้ออ้างในการจัดม็อบและขับไล่คนอื่นทำลายคนอื่นเข่นฆ่าประชาชนทุกครั้งใช่ไหมถึงจะเรียกว่าจงรักภักดี ต้องการให้กลุ่มของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ทำแบบนั้นใช่ไหม
 

2. ให้ นายกรัฐมนตรี และพล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภาลาออกจาก 
รมว.กลาโหมและรมช.กลาโหม 
คำถาม... ด้วยการเอาคนของฝ่ายอำมาตย์เผด็จการขึ้นมาทำหน้าที่แทนแล้วจัดทำรัฐประหารยึดอำนาจจากนั้นก็เข่นฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์แล้วใส่ร้ายว่าเป็นผู้ก่อการร้ายอีกใช่ไหม


3. เร่งแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ยุติของแพง ปัญหาราคาสินค้า เลิกขึ้นราคาแก๊สหุงต้ม ปฏิรูป ปตท.ให้เป็นของประชาชน
คำถาม... ทุกวันนี้รัฐบาลเขาก็เร่งดำเนินการ แต่มีกลุ่มขบวนการของปชป. ที่คอยล้มโครงการรับจำนำข้าวใส่ร้ายว่าข้าวไทยมีพิษ ทำไพวกมึงไม่ไปขับไล่มัน

 
4. ยุติการกู้เงิน จำนวน 3.5 แสนล้าน และ พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้าน

คำถาม... แล้วมึงทำไมไม่ย้อนไปอ่านข้อเรียกร้อง ข้อที่3 ของพวกมึงล่ะ มึงบอกให้รัฐบาล เร่งแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ยุติของแพง ปัญหาราคาสินค้า เลิกขึ้นราคาแก๊สหุงต้ม ปฏิรูป ปตท.ให้เป็นของประชาชน แล้วมึงมาเรียกร้องให้ ยุติการกู้เงิน จำนวน 3.5 แสนล้าน และ พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้าน ที่เขาจะนำมาช่วยเหลือดูแลพี่น้องประชาชน ..อันนี้มึงบ้ามากนะ (อพส. )


5.ให้ถอนร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมทุกฉบับที่จะล้างผิดให้ พ.ต.ท.ทักษิณ 
คำถาม... มีเรื่องไหนบ้างที่ทักษิณทำผิด แล้วผิดอย่างไร ผิดข้อหาอะไรบ้าง ลองคลิ๊กอ่านเพื่อเลือกข้อหา >>>>กล่าวหา "ทักษิณโกง" อย่างย่อ ( สำหรับให้พวกปัญญาอ่อนได้อ่าน ) โดยคุณ Nirvana


6. ให้รัฐบาลเอาผิดคนทุจริตโครงการรับจำนำข้าวและยกเลิกการตั้งคณะกรรมการสอบ น.ส.สุภา ปิยะจิตติ
คำถาม... ตามข่าวที่เสนอมา ตำแหน่งในทางราชการ ของ น.ส.สุภา ปิยะจิตติ คือ รองปลัดกระทรวงการคลัง 
ขณะเดียวกัน อีกตำแหน่งคือประธานคณะอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำผลิตผลการเกษตร กระทรวงการคลัง    
ด้วยหน้าที่ตำแหน่งน.ส.สุภา ปิยะจิตติ เข้าไปมีบทบาทรับรู้รายละเอียดการรับจำนำผลผลิตการเกษตรไม่เพียงแต่เรื่องข้าวเท่านั้น หากเป็นในเรื่องมันสำปะหลังและอื่นๆเป็นงานของกระทรวงการคลัง

ตามที่มีข่าวนำเสนอ 
การประชุมคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติหลายครั้งที่ผ่านมา
ไม่เคยมีรายงานของ น.ส.สุภา ปิยะจิตติ (มีเจตนาคืออะไรล่ะ เวลาที่ควรพูดกลับไม่พูดแต่มาพูดในที่ ที่ไม่ควรพูด) 
จะให้ยกเลิกการตั้งคณะกรรมการสอบ น.ส.สุภา ปิยะจิตติ ได้อย่างไรเมื่อการสอบถามข้อเท็จจริงเพื่อประโยชน์อะไรของประชาชนในฐานะเป็นผู้ดูแลเกี่ยวข้องและรู้ข้อมูล
 
โดยเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการใน 7 วัน หากไม่ดำเนินการจะมีการนัดชุมนุมแสดงออกโดยสันติในวันที่ 4 ส.ค. นี้




นี่หรือว่ะ ระบบอบทักษิณที่มึงกล่าวอ้างและออกมาต่อต้านกัน แม่งโคตรมั่วเลย



yanyong  lookshawdin
  21 - 07 - 2556

วันเสาร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

การสนับสนุนให้รัฐสภาผ่านวาระ 3 และแก้รัฐธรรมนูญ 50 สิ่งที่อยากเห็น






ผมอยากรู้ว่าถ้าแก้หมวดพระมหากษัตย์ ไม่ให้ประธานองคมนตรีเป็นผู้สำเร็จราชการแทน ไอ้อีหน้าไหนจะออกมาคัดค้านและมีเหตุผลอะไร ผมอยากเห็นว่ามีใครบ้างจงรักภักดี.....
 
มันถึงเวลาที่ต้องเปิดหน้าดวลหมัดกันเลย เราก็มีเหตุผลบ้างสิครับ อย่าให้ใครมากล่าวหาแล้วหลอกด่าประจานเราฟรีๆ การแก้ รธน. ผมยอมรับในหัวใจมีให้คนเสื้อแดงทุกที่แต่ตอนนี้ยอมรับว่าสนับสนุนแนวทางของ พี่น้องเสื้อแดงเรากลุ่ม กวป.ครับ แม้ว่าผมจะไม่เคยได้รู้จักและทักทายกับแกนนำเขาเลยนอกจากฟัง วิทยุ แต่ผมเห็นด้วยหลายอย่างในสิทธิของประชาชน เพราะมัวแต่กั๊กไว้เท่ากับให้มันมีพิษร้ายคอยพ่นใส่เรา เหตุและผลและความชอบธรรม จะทำประชาพิจารณ์เพื่อให้เกิดความชอบธรรม ก็นัด ผบ.ทุกเหล่าทัพมานั่งโต๊ะหารือแถลงการณ์เลย ช้าไปก็ใช่ว่าเขาจะหยุดคิดฆ่าแกง ตอนนี้ผมว่าเหมาะแล้วจริงๆ ยิ่งช้าก็ยิ่งให้เขามีเวลาคิดหาวิธีมาทำลายเรา

เจตนารมณ์ของพี่น้องที่ออกมาต่อสู้และตายไป เขามาเพื่ออะไรต้องการอะไรครับ มันชัดเจน

ความเห็นชอบของประชาชนที่เลือกรัฐบาลนี้มา เลือก ส.ส.พรรคนี้ มาก็เพื่อให้ทำตามทุกอย่างให้ชัดเจน สิ่งที่เชื่อว่าจะทำได้คือหลายคนทั้งแกนนำและแกนไม่นำต่าง พูดอธิบาย ถึงความไม่ชอบธรรมของการรัฐประหาร ถึงที่มาของรัฐธรรมนูญ 50 ที่มาขององค์กรอิสระ ที่ตัดสินคดีต่างๆอย่างอยุติธรรมลำเอียง พี่น้องเราตัวเรา ทั้งคนที่ตายไปและบาดเจ็บและที่ยังติดคุกอยู่ รู้และเห็นพ้องต้องกัน จึงออกมาร่วมกัน มากมาย ....อีกสักครั้งวันที่ 1 ส.ค.56 นี้ แค่ออกไปแสดงพลังยืนยันเจตนารมณ์ ให้มาก เราไม่ได้ไปรบไปตะลุมบอนกับใครแต่ไปสนับสนุนไปให้กำลังใจรัฐบาลและรัฐสภา ประกาศไปชัดๆว่าเราต้องการอะไร ใช้สิทธิตาม รธน. เป็นการออกไปเรียกร้องสนับสนุนการมีส่วนร่วม ....ก็แค่นี้นะครับคือผมตัดสินใจแล้วจะไปแน่นอน 1 ส.ค.56 พบกันหน้าสภา นะครับ


                        .................................................................................................................

                           คำประกาศว่าด้วยสิทธิมนุษยชนและพลเมือง 1789 
โดยที่พิจารณาเห็นว่า ความเขลาเบาปัญญา ความหลงลืมหรือความละเลยเพิกเฉยต่อสิทธิประการต่าง ๆ ของมนุษย์นั้น เป็นสาเหตุแต่เพียงประการเดียวของความหายนะที่เกิดมีขึ้นแก่ส่วนรวมและของความฉ้อฉลที่เกิดมีขึ้นในรัฐบาลชุดต่าง ๆ บรรดาผู้แทนปวงชนชาวฝรั่งเศสซึ่งรวมตัวกันเป็นสภาแห่งชาติ จึงเห็นพ้องต้องกันในอันที่จะออกประกาศอย่างเป็นทางการซึ่งปฏิญญาว่าด้วยสิทธิทั้งหลายตามธรรมชาติอันมิอาจถ่ายโอนแก่กันได้และเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของมนุษย์ เพื่อว่าเมื่อปฏิญญาฉบับนี้ได้ปรากฏแก่สมาชิกทั้งมวลอันประกอบกันขึ้นเป็นสังคมจงทุกคนแล้ว จะกระตุ้นให้สมาชิกเหล่านั้นได้ตระหนักอยู่เสมอถึงบรรดาสิทธิและหน้าที่ของพวกเขา เพื่อว่าเมื่อพิจารณาถึงการกระทำ แห่งอำนาจนิติบัญญัติและอำนาจปกครองบริหาร ไม่ว่าจะในคราใดก็ตาม ประกอบกันเข้ากับวัตถุประสงค์แห่งสถาบันทางการเมืองทุกสถาบัน (อำนาจนิติบัญญัติและอำนาจปกครองบริหารที่ว่านั้น) จักพึงได้รับการเคารพยิ่งขึ้น เพื่อว่าข้อเรียกร้องทั้งปวงของพลเมือง - ซึ่งนับแต่บัดนี้ไป จักตั้งอยู่บนหลักการต่าง ๆ อันชัดเจนและเป็นหลักการที่มิอาจปฏิเสธได้อีกต่อไป - จักมุ่งไปสู่การธำรงไว้ซึ่งรัฐธรรมนูญและประโยชน์สุขร่วมกันของทุกคน

ด้วยเหตุผลที่ว่ามานี้  ต่อเบื้องหน้าและภายใต้การคุ้มครองแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้าสูงสุด สภาแห่งชาติจึงรับรองและประกาศซึ่งสิทธิทั้งหลายแห่งมนุษยชนและพลเมืองไว้ ดังต่อไปนี้


ข้อ 1.   มนุษย์ทั้งหลายเกิดมาและทรงไว้ซึ่งเสรีภาพและความเสมอภาคเท่าเทียมกันใน (การมีและการใช้) สิทธิประการต่าง ๆ  ความแตกต่างทางสังคมไม่ว่าจะอยู่ในลักษณะเช่นไรก็ตาม จะมีขึ้นได้ก็แต่เพื่อประโยชน์สาธารณะร่วมกันเท่านั้น


ข้อ 2.   วัตถุประสงค์แห่งสังคมการเมือง ได้แก่ การธำรงรักษาไว้ซึ่งสิทธิทั้งหลาย (ที่กำเนิดขึ้นและมีมา) ตามธรรมชาติและ (เป็นสิทธิซึ่ง) มิอาจยกเลิกเพิกถอนได้ของมนุษย์ สิทธิทั้งหลายเหล่านี้ ได้แก่ เสรีภาพ กรรมสิทธิ์ (ในทรัพย์สิน) ความปลอดภัย (ในชีวิตและร่างกาย) และ (สิทธิใน) การขัดขืนต่อการกดขี่ (ไม่ว่าในรูปแบบใด)


ข้อ 3.   หลักการซึ่งเกี่ยวด้วยอำนาจอธิปไตยย่อม (ถือกำเนิดขึ้นจากหรือ) หยั่งรากลงในประชาชาติ (ทั้งมวล) องค์กรใดองค์กรหนึ่งหรือปัจเจกชนผู้หนึ่งผู้ใดจะใช้อำนาจที่มาจากประชาชาติโดยตรงแต่ลำพังตนนั้นมิได้


ข้อ 4.   เสรีภาพ ได้แก่ ความสามารถ (ของบุคคล) ที่จะกระทำการใด ๆ ได้โดยไม่ก่ออันตรายเสียหายแก่ผู้อื่น ด้วยเหตุนี้ การใช้สิทธิตามธรรมชาติของมนุษย์แต่ละคนนั้นย่อมถูกจำกัดลงได้แต่เฉพาะที่จะให้การประกันแก่ผู้เป็นสมาชิกคนอื่น ๆ ในสังคมเพื่อที่จะสามารถใช้สิทธิอย่างเดียวกันนั้นได้ด้วย ข้อจำกัดทั้งหลายในการใช้สิทธิเหล่านี้จะกระทำได้ก็แต่โดยอาศัยบทกฎหมายเท่านั้น


ข้อ 5.   บทกฎหมายมีสิทธิจะห้ามได้ก็แต่การกระทำซึ่งอาจก่ออันตรายเสียหายแก่สังคม การใดซึ่งมิได้ถูกห้ามไว้โดยบทกฎหมาย การนั้น (บุคคล) ย่อมสามารถจะกระทำได้ และบุคคลจะถูกบังคับให้กระทำการที่บทกฎหมายมิได้บัญญัติไว้ (ให้บุคคลต้องกระทำการเช่นนั้น) มิได้


ข้อ 6.   บทกฎหมายเป็นสิ่งแสดงออกซึ่งเจตจำนงร่วมกัน พลเมืองทุกคนย่อมมีสิทธิเข้าร่วมในการร่างบทกฎหมาย ไม่ว่าจะโดยเข้าร่วมด้วยตนเองหรือโดยผ่านทางผู้แทนของพลเมือง กฎหมายจักต้องมีผลบังคับเสมอกันแก่ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นกรณีที่บทกฎหมายอาจกำหนดให้ความคุ้มครอง (แก่สิทธิของบุคคล) หรือกรณีที่บทกฎหมายอาจกำหนดให้ลงโทษ (แก่บุคคล) พลเมืองทุกคนซึ่งเสมอภาคกันต่อหน้ากฎหมายอาจจะมีฐานะ มีตำแหน่งและงานอาชีพใด ๆ ทางสังคมก็ได้ โดยคำนึงถึงความสามารถของแต่ละบุคคลและไม่จำต้องพิจารณาความแตกต่างอื่นใด เว้นเสียแต่ความแตกต่างอันเนื่องมาจากลักษณะเฉพาะตนและความแตกต่างในด้านความสามารถของบุคคลแต่ละคน


ข้อ 7.   บุคคลจะถูกกล่าวหา ถูกจับกุม หรือถูกคุมขังได้ ก็แต่โดยมีบทกฎหมายซึ่งให้อำนาจกระทำได้ในกรณีนั้น และจะกระทำการ (เช่นว่านั้น) ผิดแผกไปจากที่กำหนดไว้โดยบทกฎหมายนั้นก็มิได้เช่นกัน ผู้ใดที่ร้องขอ หรือจัดส่ง หรือได้ปฏิบัติให้เป็นไป หรือใช้ให้กระทำการตามคำสั่งที่สั่งโดยอำเภอใจ (โดยปราศจากกฎหมาย) ย่อมจะต้องถูกลงโทษ  แต่หากพลเมืองถูกเรียกหรือถูกจับกุมโดยอาศัยอำนาจแห่งกฎหมาย จักต้องยอมปฏิบัติตามแต่โดยดี  การฝ่าฝืนขืนขัดในกรณีนี้ย่อมถือว่าเป็นผู้ต้องกระทำความผิด


ข้อ 8.   กฎหมายจะกำหนดบทลงโทษใด ๆ ได้ก็แต่เฉพาะเท่าที่จำเป็นอย่างยิ่งและเห็นเป็นที่ประจักษ์ชัดเท่านั้น ผู้ใดจะถูกลงโทษได้ก็แต่โดยอาศัยอำนาจตามกฎหมายที่บัญญัติขึ้นและประกาศใช้ก่อนหน้าการกระทำอันเป็นความผิด และได้ใช้บทบัญญัติของกฎหมายนั้น ๆ โดยชอบแล้วเท่านั้น


ข้อ 9.   บุคคลทุกคนย่อมได้รับข้อสันนิษฐานว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ จนกว่าจะมีคำวินิจฉัยตัดสินว่าเป็นผู้ต้องกระทำความผิด และหากหลีกเลี่ยงมิได้ที่จะต้องจับกุมบุคคล มาตรการเข้มงวดใด ๆ ก็ตามที่มิได้มีความจำเป็นแก่การประกันความปลอดภัยในสภาพบุคคลของคนผู้นั้นแล้ว กฎหมายจักต้องยกเลิกเสียให้สิ้นเชิง


ข้อ 10. บุคคลสามารถแสดงออกซึ่งความคิดเห็นของตนได้โดยไม่จำต้องเกรงต่อเหตุใด ๆ โดยมีเงื่อนไขว่า การแสดงความคิดเห็นของบุคคลนั้นจักต้องไม่กระทบต่อความสงบเรียบร้อยแห่งสาธารณะซึ่งรับรองโดยกฎหมาย


ข้อ 11. การสื่อสารแลกเปลี่ยนระหว่างบุคคลโดยเสรีในทางความคิดและความเห็นเป็นสิทธิประการหนึ่งในบรรดาสิทธิอันมีค่าอย่างยิ่งยวดของมนุษย์ พลเมืองทุกคนจึงสามารถพูด เขียน พิมพ์เผยแพร่ได้อย่างเสรี (ซึ่งความคิดและความเห็นของตน) เว้นเสียแต่ในกรณีที่กฎหมายกำหนดไว้ว่า (การกระทำใด) เป็นการใช้เสรีภาพผิดไปจากเจตนารมณ์ที่แท้จริง


ข้อ 12. การธำรงรักษาไว้ซึ่งบรรดาสิทธิมนุษยชนและพลเมืองเหล่านี้ย่อมจักต้องอาศัยอำนาจสาธารณะ  อำนาจสาธารณะเช่นว่านี้จักก่อตั้งขึ้นเพื่อประโยชน์ร่วมกันของทุกคน หาใช่เป็นประโยชน์เฉพาะแก่ผู้ซึ่งได้รับมอบให้ใช้อำนาจนั้นไม่


ข้อ 13. เพื่อธำรงไว้ซึ่งอำนาจสาธารณะและค่าใช้จ่ายทางการปกครอง เป็นการจำเป็นที่จะต้องเรียกให้ (สมาชิกใน) สังคมเข้ามารับภาระในเรื่องนี้ร่วมกัน การมีส่วนร่วมในค่าใช้จ่ายสาธารณะจะต้องกำหนดสัดส่วนในระหว่างพลเมืองโดยเท่าเทียมกัน โดยคำนึงถึงความสามารถของพลเมืองแต่ละคน (ในการรับภาระค่าใช้จ่ายสาธารณะ)


ข้อ 14. พลเมืองมีสิทธิที่จะตรวจสอบโดยตนเองหรือโดยผ่านทางผู้แทนในเรื่อง (ต่าง ๆ) ที่ว่า มีความจำเป็นเพียงใดในการเข้ารับภาระค่าใช้จ่ายสาธารณะ ในเรื่องที่ว่า จะยอมรับภาระค่าใช้จ่ายสาธารณะหรือไม่ก็ได้โดยเสรี (และ) ในเรื่องที่ว่า จะตรวจสอบการใช้จ่ายสาธารณะ ตลอดจนความมากน้อยของค่าใช้จ่าย รายการของค่าใช้จ่าย การเรียกคืนและระยะเวลาในการใช้จ่าย (ก็สามารถจะกระทำได้)


ข้อ 15. สังคมย่อมมีสิทธิเรียกให้หน่วยงานสาธารณะทุกหน่วยงานรายงานการปฏิบัติภารกิจในส่วนที่ตนรับผิดชอบอยู่นั้นได้


ข้อ 16. สังคมใดมิได้มีหลักประกันแห่งสิทธิทั้งปวงและมิได้มีการแบ่งแยกอำนาจโดยชัดเจน สังคมนั้นย่อมปราศจากรัฐธรรมนู


ข้อ 17. กรรมสิทธิ์ในฐานะที่เป็นสิทธิอันมิอาจก้าวล่วงได้และเป็นสิทธิอันศักดิ์สิทธิ์ บุคคลจะถูกพรากไปซึ่งกรรมสิทธิ์ได้ก็แต่กรณีจำเป็นเพื่อประโยชน์สาธารณะอย่างเห็นประจักษ์ชัดตามที่กฎหมายบัญญัติ และโดยมีเงื่อนไขในการ (จ่ายค่า) ชดเชยที่เป็นธรรมและกำหนดไว้เป็นการล่วงหน้าแล้ว


สำนวนแปลของ ฐาปนันท์ นิพิฏฐกุล



                            ................................................................................... 

สิ่งที่นำมาเสนอประกอบความคิดเห็นข้างต้น เพียงแค่อยากจะสะท้อนกับสิ่งที่กำลังขึ้นในบ้านเมืองไทยตอนนี้  



yanyong lookshawdin

   20  ก.ค. 2556