วันเสาร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2555

คำสาป.....แยกราชประสงค์

ยามค้นหาจากหลายที่และถามจากปากคนเล่าหลายๆคน ก็มีเรื่องจากคำบอกเล่าที่ตรงกันคือเรื่องคำสาปที่ดินแยกราชประสงค์ ... จึงนำเรื่องเล่าบางตอนมานำเสนอเล่าบอกต่อ


แยกราชประสงค์ในอดีต





วังเพชรบูรณ์ในดีต

เรื่องคำสาบมีมานานนักหนาตั้งแต่ตำนานกำเนิดรามเกียรติ์โน่น แต่คำสาบเกี่ยวกับวังอันลือชา มีอยู่ 2 วังคือวังหน้ากับวังเพชรบูรณ์
วังหน้าแห่งรัตนโกสินทร์นั้น เป็นของสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทในรัชกาลที่ 1 ทรงรักหวงห่วงมากไม่อยากให้ตกเป็นสมบัติคนอื่น 
จึงทรงสาปแช่งไว้เป็นสาหัสว่า ถ้าผู้ใดที่มิใช่เชื้อสายมาเป็นเจ้าของครอบครอง ให้มีอันฉิบหานตายโหงสามชั่วโคตร และทรงอาราธนาสงฆ์สวดญัตติคำสาบด้วย

หลังเสด็จสวรรคตแล้ว ไม่มีผู้ใดกล้ารับเป็นเจ้าของครอบครอง แม้พระเจ้าอยู่หัวก็ไม่มีพระราชประสงค์จะให้วิบัติตกแก่ท่านผู้ใด เพราะเกรงคำสาบนั้น 
จนกระทั่งรัชกาลที่ 5 ทรงยกเลิกตำแหน่งวังหน้าหรือตำแหน่งกรมพระราชวังบวรแล้ว ก็ไม่มีท่านผู้ใดกล้ารับเป็นเจ้าของครอบครอง จนเปลี่ยนแปลงการปกครอง
ทางราชการจึงต้องปรับใช้เป็นพิพิธภันฑ์แห่งชาติมาจนทุกวันนี้ แต่ก็มีที่ปลายวังแสดงความขลังให้ปรากฎ โดยท่านปรีดี ได้ใช้เป็นที่ทำการของนายก ในที่สุดท่านปรีดีผู้มีคุณูปการยิ่งต่อชาติก็มีอันเป็น ครั้งหนึ่งพันโทชาติชาย ชุณหวัน เอารถถังบุกพังทำเนียบท่าช้างวังหน้านั้น เพราะมีรัฐประหาร 
ท่านปรีดีต้องลี้ภัยอยู่ในต่างประเทศจนตลอดชีวิต นี่ก็แค่ที่ปลายวังหน้าข้างที่อาบน้ำช้างเท่านั้น ถ้าตรงที่ตั้งวังจะขนาดไหน

อีกวังหนึ่งคือวังเพชรบูรณ์อันเป็นที่ตั้งเซ็นทรัลเวิลในทุกวันนี้ เดิมเป็นของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก ในรัชกาลที่ 5 สมเด็จเจ้าฟ้าพระองค์นี้ทรงกรมในพระนามว่ากรมขุนเพ็ชรบูรณ์อินทราชัย สิ้นพระชนม์ในปี 2466 ขณะมีพระชันษาเพียง 31 พรรษา 

ระหว่างทรงพระชนม์ รัชกาลที่ 6 ได้พระราชทานที่ดินตรงนี้สร้างวังให้ เรียกว่าวังเพชรบูรณ์ ทรงปราถนาให้ตกทอดเฉพาะเชื้อสายของพระองค์เท่านั้น ทรงเกรงว่าทายาทยังเล็กหากทรงเป็นไปจะถูกผู้อื่นฉ้อโกงเอาไป จึงทรงทำพิธีสาปโดยนัยทำนองเดียวกับคำสาบของสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท 
แต่ทรงเชี่ยวชาญด้านศิลปและดนตรีจึงมีน้ำพระทัยอ่อนผ่อนปรน ตั้วข้อยกเว้นไว้ว่าในกาลเบื้องหน้าถ้าผู้ใดมีน้ำใจเป็นกุศลใคร่ได้วังนี้ไปก็ต้องทดแทน ทรงรุบะในข้อยกเว้นแห่งคำสาปว่า ต้องไปสร้างศาลเจ้าพ่อเสือในที่ดินแปลงหนึ่งที่รังสิต มีรายละเอียดอีกบางประการซึ่งผมจำไม่ได้เสียแล้ว

ล่วงมาราวปี 2520 บวกลบเล็กน้อยจำไม่ได้แล้ว มีนักกฎหมายเพื่อนกันที่ทำงานรับใช้เจ้านายมาหาผมเชิญให้ไปนั่งเป็นพยานเปิดพินัยกรรมของทายาทท่าน ได้ความว่าที่มาหา ก็เพราะทราบว่าผมเกิดตรงวันที่กำหนดให้นั่งเป็นพยาน และมีวิชาพอสมควรซึ่งเพื่อนๆพอรู้จัก ก็รับงานเลย 
จึงได้ทราบเรื่องราวจากผู้ดูแลที่ดินแปลงนี้และผู้ใหญ่ที่เกี่ยวข้องในขณะนั้น หลังเปิดพินัยกรรมแล้วต่อมาก็มีการนำที่ดินนี้ออกประมูลหาผู้ลงทุน

ผลประมูลกลุ่มนายอุเทน เตชะไพบูลย์ชนะ ขณะนั้นตระกูลนี้เป็นมหาเศรษฐีเมืองไทย ก็ตั้งใจตามดูว่าคำสาบจะเป็นอย่างไร 
ปี2532 เรียน วปอ.อยู่ก็ได้เตือนเพื่อน คนในตระกูลนั้นว่าให้แก้คำสาบ ไม่งั้นคงเสี่ยงในสิ่งที่มองไม่เห็นแน่ เขาไม่เชื่อบอกว่าพ่อเขามีซินแสดี มีการแก้ในเชิงฮวงจุ้ยที่หัวมุมตามหลักวิชาฮวงจุ้ย ทำเป็นเนินดินคล้ายฮวงซุ้ย และทำพิธีกรรมโดยผู้มีวิชาของปอเต๊กตึ้งอีกหลายอย่าง แต่ก่อสร้างไม่ทันเสร็จทั้งโครงการ ตระกูลเตชะไพบูลย์ที่มหามั่งคั่งก็มีอันเป็นไป ทั้งครอบครัวและทรัพย์สิน ดังที่รู้กันอยู่

ตระกูลจิราธิวัฒน์ก็มารับช่วงที่ดินและโครงการนี้ต่อมา คราวนี่หาผู้มีวิชาทางพราหมณ์ แนะให้แก้โดยสร้างตรีมูรติ ซึ่งเป็นมหาเทพในฮินดู ผลก็คือมีเทพต่างๆเต็มไปหมดทั้งพระอินทร์ พระพิฆเณศ หวังดูดซับพลังมาจากฝั่งท้าวมหาพรหมด้วย แต่วันนี้ก็คงเห็นกันแล้วว่าแก้คำสาบได้หรือไม่ 
ก็ต้องคอยดูอนาคตของตระกูลจิราธิวัฒน์กันต่อไป เพราะตอนนี้ก็ยังไงๆพิกลอยู่
อันคำสาบนั้นเป็นการกระทำอธิษฐานชนิดหนึ่งในจำพวกอธิษฐานฤทธิ์ แต่จัดเป็นฤทธ์จำพวกไสบเวย์ คือมเชิญเทพหรือภูตหรือวิญญาณกำกับให้เป็นตามคำสาป 

หลังผู้สาบสิ้นแล้วก็จะต้องมารักษาคำสาบจนกว่าจะพ้นกรรมหรือมีผู้มารับหน้าที่แทน คราวนี้มี 9 วิญญาณเข้ารับช่วงแล้ว และน่าจะยิ่งแรงกว่าเก่าก่อน

เจ้านายบางท่านไม่ต้องการเฝ้าคำสาบแต่ไม่ต้องการให้ที่มรดกตกแก่คนอื่นก็ใช้หนทางตามกฎหมาย คือทำเป็นพินัยกรรมและทูลเกล้าถวาย 
เมื่อพระเจ้าแผ่นดินมีพระรบรมราชโองการว่าให้พินัยกรรมมีผลบังคับเป็นกฎหมาย พินัยกรรมนั้นก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้นอกจากออกฎหมาย 
ศาลฎีการเคยตัดสินว่าพระบรมราชโองการนั้นใช้บังคับได้เหมือนกฎหมาย มีที่ดินมากแปลงที่เป็นแบบนี้เช่นที่ดินแถวบ้านหม้อ
หลังเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้ว


..................................

ไม่มีความคิดเห็น: