วันเสาร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ศูนย์ประสานงานเพื่อประชาธิปไตย (ศปป.) แสดงตนเป็นแดงอย่างเหนียวแน่น แต่แยกตัวไม่ยอมผูกพันกับ นปช.

ในวันอาทิตย์ที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๕๕ คนเสื้อแดงได้ไปรวมตัวกันเพื่อรำลึกเหตุการณ์สังหารหมู่เมื่อ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ กลุ่ม นปช. จัดเวทีปราศรัยที่หลักสี่ ส่วนกลุ่มย่อยชุดใหม่ไปจัดอภิปรายกันที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย กลุ่มใหม่นี้เรียกตัวเองว่า ศูนย์ประสานงานเพื่อประชาธิปไตย (ศปป.) ซึ่งยังไม่มีชื่อภาษาอังกฤษ แต่ประกอบด้วยกลุ่มเสื้อแดงเสรีต่างๆ กว่าร้อยกลุ่ม อาทิ กลุ่ม กทม.๕๐ เขต ซึ่งแยกตัวออกจาก นปช.เมื่อต้นปี บรรดาวิทยุชุมชนในชนบทอีกหลายกลุ่ม (รวมทั้งกลุ่มของโกตี๋) กับกลุ่มที่เคยร่วมงานกับแดงสยามจำนวนมาก (แดงสยามยุติไปหลังจากที่แกนนำ สุรชัย แซ่ด่าน ถูกจับกุม และคุมขังในข้อหาหมิ่นสถาบันฯ)


กลุ่มใหม่นี้แสดงตนเป็นแดงอย่างเหนียวแน่น แต่แยกตัวไม่ยอมผูกพันกับ นปช. อีกต่อไป และไม่ยอมคล้อยเคลื่อนตามมวลชนของ นปช. อ้างว่า นปช. อ่อนลง และไปเข้ากับรัฐบาลมากเกินไป กลุ่มนี้จัดตนเองอยู่ในแนวทางปฏิวัติถ้าเทียบกับ นปช. และรัฐบาลซึ่งอยู่ในแนวทางปฏิรูป ปัจจุบันยังไม่ปรากฏสายการนำว่าเป็นผู้ใดเด่นชัด มีดารุณี กฤติบุญญาลัย นักธุรกิจหญิงเศรษฐีณี ผู้ซึ่งหลังเหตุการณ์พฤษภา ๕๓ ไปลี้ภัยการเมืองพักใหญ่ เพิ่งกลับมาปรากฏตัวได้ไม่นาน แล้วโดดเด่นขึ้นมาใหม่เมื่อถูกครูคนหนึ่งไปชี้หน้าด่าที่สยามพารากอน เธอเสนอตัวเข้าไปเป็นผู้ประสานงานให้แก่กลุ่มใหม่นี้
 
ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทยดร. สุนัย จุลพงศธร ซึ่งเคยเป็นผู้อภิปรายรับเชิญของเวทีแดงสยามบ่อยๆ ได้รับเชิญให้ขึ้นปราศรัยในเวทีใหม่นี้ด้วย แต่เขาก็ไม่มีตำแหน่งใดๆ ในกลุ่มใหม่ และมีปรากฏการณ์ไม่คาดฝันของผู้จัดเมื่อแกนนำ นปช. อริสมันต์ พงษ์เรืองรอง ไปร่วมชุมนุมขึ้นเวทีอภิปรายเช่นเดียวกับชินวัฒน์ หาบุญพาด รวมทั้งทอม ดันดี ก็ไปปรากฏตัวร่วมงานเช่นกัน
 

นิค น้อสทิตซ์เขียนความเห็นเพิ่มเติมหลังจากมีผู้เข้าไปแสดงข้อคิดต่อท้ายบทความว่า

ขณะที่โดยรวมตั้งแต่แรกเริ่มมาแล้วเสื้อแดงมักมีจุดมุ่งหมายมากกว่าให้ทักษิณได้กลับบ้านเท่านั้น (ซึ่งอันนี้ตรงข้ามกับที่ฝ่ายต่อต้านเสื้อแดงคิด) แต่ก็ไม่มีเสื้อแดงกลุ่มใดแสดงให้เห็นว่าพร้อม หรือเต็มใจที่จะแยกตัวจากทักษิณ อันนี้เกิดจากบางส่วนที่ให้การสนับสนุนทักษิณอย่างท่วมท้นระหว่างที่เขาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมตรี และบางส่วนจากการยอมรับในทางปฏิบัติว่าปราศจากทักษิณแล้วพวกเขาจะสูญเสียเสน่ห์เร้ารึงใจมวลชนโดยเฉพาะในพื้นที่ชนบท ความสัมพันธ์ระหว่างทักษิณกับเสื้อแดงเป็นทั้งส่วนที่มีการสนับสนุนอย่างแท้จริง และส่วนที่เป็นการผูกพันต่อกันทางยุทธศาสตร์ และแน่นอนเลยว่ามันไม่ใช่ความผูกพันทางเดียว ทั้งสองฝ่ายต่างต้องการซึ่งกันและกัน

ถ้อยแถลงที่เป็นการอ้างลักษณะในการปฏิวัติไม่ใช่การปฏิรูปนั้นได้มาจากการพูดคุยกับผู้ร่วมจัดชุมนุมหลายคนโดยตรง ทั้งในระหว่างการชุมนุม และจากการได้สนทนาเรื่อยมาตลอดเวลาหลายปี การปฏิวัติในมิติที่กล่าวถึงกันนี้อย่างไรก็ดีไม่ได้มีลักษณะของความรุนแรงเลย ไม่มีความหมายในทางที่จะจัดตั้งกองกำลังของประชาชนขึ้น หากแต่เป็นการปฏิวัติในทางอุดมการณ์เสียยิ่งกว่า

เกี่ยวกับคำปราศรัยบนเวที มีบางตอนที่น่าสนใจทีเดียว ผมเพียงตั้งใจฟังเป็นครั้งคราว เพราะต้องสาละวนกับการถ่ายภาพ การตรวจสอบรายละเอียดข้อเท็จจริงกับแกนนำบางคน และเรื่องอื่นๆ...

สำหรับอนาคตของกลุ่มนี้ มันยังเนิ่นเกินไปที่จะคาดหมายอะไรได้ เราควรรอดูต่อไปอีกหน่อยค่อยฟันธง

ความเห็นเพิ่มเติมอีกตอน นิคตอบผู้อ่านที่เข้าไปเขียนซักถามสองรายดังนี้

เกร็ก โลว์ จอห์นนิบีเคเค

คำ นปช. และ เสื้อแดง ที่สื่อใช้แทนกันเหมือนเป็นสิ่งเดียวกันนั้นไม่ถูกต้อง ย้อนกลับไปในสมัยที่มีการรัฐประหารก่อนที่จะมีการจัดตั้ง นปช. ขึ้นครั้งแรก ยังมีกลุ่มที่เรียกชื่อว่า ๒๔ มิถุนายน ซึ่งก่อตั้งโดยสมยศ (พฤกษาเกษมสุข) ผู้ที่ขณะนี้ยังถูกคุมขังอยู่ นั้นเป็นส่วนหนึ่งของการต่อต้านรัฐประหาร แล้วต่อมาในเดือนตุลาคม/พฤศจิกายน ๒๕๕๑ กลายเป็นกลุ่มเสื้อแดง ก็ไม่เคยเป็นส่วนหนึ่งของ นปช.

กลุ่มแดงสยามซึ่งสลายตัวในปี ๒๕๕๔ ก็แยกตัวออกจาก นปช. ในปี ๒๕๕๒ แดงสยามเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการเสื้อแดงแต่ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของ นปช. เสธ. แดงไม่ใช่คนของ นปช. แต่ก็เป็นเสื้อแดง สมบัติ บุญงามอนงค์ไม่เคยสังกัด นปช. แต่เป็นเสื้อแดงชัดแจ้ง

โดยพื้นฐานแล้วภายในขบวนการเสื้อแดง นปช.เป็นองค์กรจัดตั้งขนาดใหญ่ที่สุด แต่ก็ยังมีกลุ่มอื่นๆ อีกมากที่ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของ นปช. กลุ่มเหล่านี้เรียกชื่อรวมกันว่า เสื้อแดงเสรี บางกลุ่มดังเช่นกลุ่ม ๒๔ มิถุนายน เป็นกลุ่มดั้งเดิม หลายกลุ่มเพิ่งเกิดใหม่ เช่นที่มาจากกลุ่มวิทยุชุมชนซึ่งมักจะพิจารณาตัดสินใจเป็นกรณีๆ ไปว่าจะร่วมมือกับ นปช. หรือว่าทำงานโดยอิสระ

ความสัมพันธ์ของพรรคเพื่อไทยกับเสื้อแดง (และ นปช.) มักจะมีลักษณะที่สับสนเกินกว่าสื่อมากหลายจะสามารถให้เครดิตได้อย่างจะแจ้ง จนบัดนี้ก็ยังเป็นเช่นนั้น ในขณะที่ นปช. โดยทั่วไปยึดแนวทางการปฏิรูป ถึงกระนั้นก็ยังมีข้อแตกต่างกับพรรคเพื่อไทยอยู่เสมอ ในส่วนของพรรคเพื่อไทยเองเมื่อเป็นเรื่องความสัมพันธ์กับ นปช. ก็ไม่ได้เป็นกลุ่มก้อนที่มีลักษณะโดดเด่นอย่างใดอย่างหนึ่งอย่างเดียว มี ส.ส. ที่หัวใจเป็นเสื้อแดงมากกว่าเป็นเพื่อไทย (บางคนใกล้ชิดไปทางแดงสยาม และแดงเสรีมากกว่า นปช. ด้วยซ้ำ) และก็มีนักการเมืองเพื่อไทยจำนวนมากที่ไม่เคยไปร่วมเวทีกับเสื้อแดง ไม่ชอบเสื้อแดง แต่ก็รู้ตัวว่าจำเป็นต้องพึ่งเสื้อแดง

ตลอดมามีการกระทบกระทั่ง และโต้แย้งกันในขบวนการเสื้อแดงที่สื่อมักจะตีความทำนายเสมอว่าจะเป็นการสิ้นสุดของขบวนการ ผมเชื่อว่าการกระทบกระทั่งเหล่านั้นได้ถูกตีความไปในทางร้ายมากเกินไป ความเห็นของผมเชื่อว่าการกระทบกระทั่งครั้งแรกมิใช่เกิดภายใน นปช. หรือ เสื้อแดงโดยตรง แต่เกิดระหว่างทักษิณ และเสื้อแดง เมื่อทักษิณเสนอให้ออก พ.ร.บ.ปรองดองที่รวมถึงการนิรโทษกรรม ซึ่งองค์กรเสื้อแดงเกือบทั้งหมดปฏิเสธ (คนเสื้อแดงที่ผมได้พบว่าสนับสนุนการปรองดองมีแต่เพียงผู้ที่ต้องคดีในข้อหาร้ายแรงเท่านั้น พวกเขาก็แสดงออกอย่างเปิดเผยว่าไม่ใช่ประเด็นของหลักการ หากแต่พวกเขาไม่อยากที่จะต้องไปติดคุกเป็นเวลายาวนานเท่านั้นเอง)
 
 

แต่ต้องหันมาดูกันที่ความเป็นจริง ขบวนการเช่นนี้ล้วนมีฝักฝ่าย มีการเสียดสี มีการแตกกระจายด้วยกันทั้งนั้น มันเป็นธรรมชาติของขบวนการมวลชน เสื้อแดงไม่ใช่กองทัพที่มีโครงสร้างรัดกุม แต่เป็นเพียงกระบวนการเคลื่อนไหวทางสังคม

ฐิตินันท์ (พงษ์สุทธิรักษ์ รศ. คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย) ว่าไว้ถูกต้อง ที่บอกว่า อจ.ธิดาพยายามทำให้ขบวนการเสื้อแดงเป็นกลาง นี่เป็นจุดหมายหลักของธิดานับแต่เธอเข้าไปรักษาการณ์ประธาน นปช. ในปี ๒๕๕๓ (และที่ผ่านมาก่อนหน้านั้น เธอก็ทำงานอยู่เบื้องหลังในฐานะนักทฤษฎี และวางแผนยุทธศาสตร์) จุดยืนในความเป็นกลางของเธอเกิดมาจากประสพการณ์เมื่อครั้งอยู่ป่าช่วง ทศวรรษ ๑๙๗๐ (พ.ศ. ๒๕๑๔) แต่ว่าธิดาภายใต้เสื้อแดงเป็นแกนนำที่วิพากษ์วิจารณ์กันมาก และไม่ได้การยอมรับอย่างถ้วนทั่ว ทั้งเสื้อแดง และ นปช. เปลี่ยนแปลงไปมากนับแต่ปี ๒๕๕๓ และไม่ใช่กระบวนการจัดตั้งจากบนสู่ล่างอย่างที่เคยเป็น (ในบางกรณี) และ ๒๕๕๓ เป็นปีที่นำเข้าสู่การปลดปล่อยของขบวนการเสื้อแดง

ผมคิดว่าเราไม่อาจจะเปรียบเทียบการแยกกระจายของเสื้อแดงกับของ พธม.ได้เนื่องจากทั้งสองขบวนการมีที่มาแตกต่างกัน เมื่อวิเคราะห์อุดมการณ์ของสองขบวนการแล้วจะเห็นได้ชัดว่าของเสื้อแดงมีความน่าเชื่อ และเป็นไปได้ในทางปฏิบัติในเรื่องของการเรียกร้องทางการเมือง และเรื่องอุดมการณ์ ขณะที่ พธม. มักรู้ดีว่าพวกตนต่อต้านอะไร แต่ไม่อาจสร้างมติร่วมได้อย่างเป็นชิ้นเป็นอันต่อสิ่งที่ต้องการเรียกร้อง ข้อเรียกร้องส่วนใหญ่ที่ออกมามักจะประหลาดยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ถ้าคุณไปร่วมชุมนุมกับ พธม. ทุกวันนี้จะรู้สึกได้ดีว่าเต็มไปด้วยบรรยากาศของลัทธินิกายศาสนา แม้จะมีพวกที่มีภูมิปัญญาอยู่โดยเฉพาะในหมู่แกนนำรุ่นที่สอง แต่ก็ดูล้วนจะหลงทางกันทั้งนั้น การครอบงำเหนือมวลชนของสนธิเป็นเรื่องธรรมดาไปเสียแล้ว คำปราศรัยของสนธิจะเต็มไปด้วยการทำนายที่พิลึกๆ ด้วยน้ำหนักของความศักสิทธิ์แห่งลัทธินิกายศาสนา ผมไม่แน่ใจว่านั่นเป็นการแสดงบทของเขา หรือว่าเขาได้กลายไปเป็นประเภท...เพี้ยน เขาไม่ค่อยพูดกับสื่อเสรีอีกต่อไป ฐานะทางการเงินของ พธม. ก็ไม่มั่นคงเหมือนก่อน ตั้งแต่การชุมนุมในปี ๒๕๕๔ มาจะไม่ค่อยเห็นพวก ผู้ใหญ่ ไปร่วมกันอีก ไม่เหมือนการชุมนุมในปี ๒๕๔๙ และ ๒๕๕๑ ซึ่งดังว่าเป็นความโก้หรูที่พวกชนชั้นนำจะต้องไปนั่งในการชุมนุมของ พธม.

โดยที่มีการร่วมมือกันโดดเด่นบางประการของพันธมิตรฯ กับพรรคประชาธิปัตย์ ดังที่ได้เห็นในการประท้วงที่รัฐสภา และที่กองปราบเมื่อเดือนพฤษภาคม และมิถุนายนที่ผ่านมา ก็มิได้มีความรักปักใจอะไรต่อกันนักหนาระหว่าง พธม. กับ ปชป. ประชาธิปัตย์รุกอย่างหักโหมในการก่อม็อบของตนเองบนท้องถนนที่สามารถควบคุมได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย ซึ่งต่างไปจากในปี ๒๕๔๙ และ  ๒๕๕๑ ที่ ปชป. ให้การสนับสนุน และให้ทุน พธม. อย่างลับๆ แต่ก็ไม่สามารถกำหนดทิศทางของม็อบได้


บันทึกผู้แปล : นิค น้อสทิตซ์เป็นผู้สื่อข่าว-ช่างภาพชาวเยอรมันที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยมานานกว่า ๑๘ ปี ได้เข้าไปทำข่าว ถ่ายภาพในพื้นที่การชุมนุมอย่างใกล้ชิดตั้งแต่เหตุการณ์เดือนเมษายน ๒๕๕๒ (สงกรานต์เลือด) มาถึงเมษายน พฤษภาคม ๒๕๕๓ ที่เขาได้เห็นเพื่อนนักข่าวชาวไทยถูกกระสุนของทหารล้มลงต่อหน้าที่ราชปรารภ ตนเองก็หวุดหวิดถูกลูกหลงหลายครั้ง จนการเสียชีวิตของนายชาญณรงค์ พลศรีลา ทำให้เขาทนไม่ได้ เดินขึ้นไปแจ้งความที่โรงพักลุมพิณี และเข้าให้การต่อคณะกรรมการ และกรรมาธิการค้นหาความจริงในเหตุรุนแรงคอกวัว-ราชประสงค์หลายครั้ง

แต่ก็น่าละอายอย่างยิ่งที่ความจริงที่นิคได้ให้ไว้แก่ทางการมิได้สะท้อนออกมาในรายงาน คอป. ของดร.คณิต ณ นคร เลยแม้แต่น้อย แถมยังถูกพรรคประชาธิปัตย์ และหน่วยโฆษณาชวนเชื่อบลูสกาย หรือสายล่อฟ้านำไปปั้นน้ำเป็นตัวตนคน ชุดดำ สี่ห้าคนขึ้นมารับบาปแทนรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เบี่ยงเบนให้พ้นจากการรับผิดชอบในฐานะผู้สั่งการสลายการชุมนุมด้วยอาวุธสงครามร้ายแรง จนมีผู้เสียชีวิตไม่ต่ำกว่า ๙๙ คน และบาดเจ็บนับพัน

นิคได้เขียนเล่าเหตุการณ์เดือนพฤษภา ๕๓ ไว้ในเว็บไซ้ท์นิวแมนดาล่าเรื่อง Nick Nostitz in The Killing Zone ซึ่งมีการแปลเป็นไทยไว้ที่บล็อกเกอร์  มาหาอะไร ส่วนบทความที่นำมาแปลลง ณ ที่นี้ เป็นการรายงานข่าว และสังเกตุการณ์ของนิคระหว่างการรณรงค์ที่เรียกว่าแรลลี่ชายชุดดำของพรรค ปชป. และสายล่อฟ้าในช่วงก่อนวันที่ ๑๔ ตุลาคมที่ผ่านมา กับในการชุมนุมรำลึกเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาของคนเสื้อแดงที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย

รายงานของนิคนอกจากจะเป็นแหล่งค้นหาความจริงเกี่ยวกับประเทศไทยต่อชาวโลกที่ไม่รู้ภาษาไทย หรือไม่ทราบตื้นลึกหนาบางเกี่ยวกับประเทศไทย ซึ่งสื่อในประเทศทั้งภาษาไทย และอังกฤษส่วนใหญ่เลือก (ข้าง) ที่จะไม่นำเสนอกัน ซ้ำยังมีการบิดเบือนอย่างจงใจไร้จริยธรรมจากพรรค และกลุ่มการเมืองที่เห็นแก่อำนาจ และผลประโยชน์อีกต่างหาก การนำเสนอของนิคยังเป็นประโยชน์แก่คนไทยในประเทศที่รับรู้ความจริงเช่นเดียวกับเขา หากแต่เกิดความละล้าละลังเพราะความจริงเหล่านั้นถูกปกปิดกดดันเสียจนแทบจะสูญสิ้นศรัทธาต่อการยึดมั่นในคุณธรรม

ความจริงที่นิคเสนอ แม้ในส่วนที่เป็นเรื่องปีนเกลียว หรือกระทบกระทั่งกันในขบวนการเสื้อแดง ที่เขาเรียกว่า infightings บ้าง หรือ frictions บ้าง เขาก็ยังให้ความเห็นว่า มันเป็นธรรมชาติของขบวนการมวลชน และจริงยิ่งกว่านั้น มันคือเนื้อหาของประชาธิปไตย ถ้าหากเป็นการปีนเกลียว และกระทบกระทั่งกันในหลักการ และข้อเท็จจริง ไม่ใช่เรื่องอารมณ์ ความหลงใหล และการสร้างภาพบิดเบือน



ที่มาข่าว  http://thaienews.blogspot.com/2012/10/blog-post_23.html



...................................................................................................................................................................



หากย้อนไปดูในอดีตในขณะที่ พธม.กำลังบ้าระห่ำบุกเข้ายึดทำเนียบไว้ ในท้องสนามหลวงคนเสื้อแดงยังไม่ค่อยกล้าออกมาชุมนุมกันนัก ตอนนั้นในท้องสนามหลวง คนที่เป็นแกนนำปราศรัย ก็จะเป็นกลุ่มของ อ.ชินวัฒน์ หาบุญพาด และกลุ่มของ อ.วิภูแถลง  พัฒนภูมิไท, คุณสุชาติ นาคบางไทร, อ.สุรชัย  แซ่ด่าน , ดา  ตอร์ปิโด, และกลุ่มสนามหลวง ที่มี อ.เคทอง คนสนิทของเสธ.แดง คอยดูแลความปลอดภัยให้มวลชน ดึเด็ดเผ็ดมัน ครั้งนั้นต้องเป็นดาราดาวร้าย อย่าง เล็ก เผด็จ





แค่พูดให้คิดถึงอดีตกันบ้างว่าใครเป็นมาอย่างไร
 

วันพุธที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2555

คำเกิ่ง แห่งทุ่งหมาหลง เขียนถึง เสธ.ไอ้ (อ้าย)


ผมมี 2 ขั้นคือวันที่ 28 ต.ค.กับอีก 1 วันหากในวันที่ 28 ต.ค.มีคนมาร่วมชุมนุมจำนวนมาก ก็จะเดินไปหารัฐบาล สมมุติว่ามีคนร่วมชุมนุม 1ล้านคน ก็จะบอกว่าท่านออกได้แล้ว เพราะมีคนไม่เห็นด้วยกับท่านจำนวนมาก แต่หากมีผู้ร่วมชุมนุมจำนวนน้อย ทุกอย่างจะจบในวันที่ 28 ต.ค. ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นมวยไม่มีราคาไปชกที่ไหนก็ไม่ได้ และยืนยันว่าการพูดคุยในวันนี้ไม่มีมวยล้ม เพราะหากล้มจะไม่มีใครเชื่อถือ และอยากให้วันที่ 28 ต.ค.มีผู้มาร่วมชุมนุม เต็มความจุของสนามม้านางเลิ้ง ที่รองรับได้ประมาณ 20,000 คน" พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ หรือ เสธอ้าย ประธานองค์การพิทักษ์สยาม กล่าว

.......................

 
เสธ.ไอ้ ครับ เรื่องจำนวนผู้ที่จะมาชุมนุมนั้นผมจะไม่ดูถูกคุณหรอก เพราะสื่อช่วยกันโหมกระแสมาเป็นสัปดาห์แล้ว และอีกอย่างหากมีพรรคการเมืองชั่วๆหนุนหลัง เรื่องการระดมคนจำนวนหมื่นจำนวนแสนมันไม่ใช่เรื่องยากหรอก เพราะผู้แทน 1 คนหาคนมาคนละ 100-200 คนมันหมูมาก แต่ถึงอย่างไรต่อให้มาเป็นแสนก็ยังไม่ถือว่าเป็นตัวแทนของคนทั้งประเทศหรอกนะ

เสธ.ไอ้ ครับ เอาเลยนะครับถ้าวันที่ 28 นี้คนมาเป็นแสนก็เคลื่อนพล ยึดทำเนียบเลยนะครับใกล้นิดเดียวเองออกจากสนามม้าก็ถึงแล้ว จากนั้นก็ทำดาวกระจายไปยึดสนามบินด้วย เอาให้มันวุ่นวายไปทั้งประเทศเลย ไม่เช่นนั้นจะหาเหตุผลปฏิวัติไม่ได้นะ เพราะลำพังความผิดของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ที่มาถูกต้องตามระบอบประชาธิปไตย์ ยังไม่มีอะไรผิดถึงขนาดจะขับไล่ได้ อีกอย่างหลังจากผ่านเหตุการน้ำท่วมปีที่แล้วมา นายกยิ่งลักษณ์ จิตใจแข็งแกร่งขึ้นยังกับภูผา คงไม่ลาออกง่ายๆหรอก ต้องกดดันให้หนักเลยครับอย่าให้มีเวลาสร้างผลงานทิ้งห่างพรรค ปชป.

เสธ.ไอ้ ครับ ความแค้นที่เกิดจากการสลายการชุมนุมคราวที่แล้วยังไม่จางหายนะครับ เพราะผู้สั่งการและเป็นตัวการยังไม่ได้รับโทษ มิหนำซ้ำ...
ยังโยนความผิดไปให้คนที่ตายไปแล้วและชายชุดดำ ต่อให้ไม่มีม็อบของ เสธ.ไอ้ คนเสื้อแดงและผู้ถูกกระทำจากคราวที่แล้วเขารอเอาคืนอยู่แล้วนะครับ ดังนั้นไม่ต้องเชิญเขาก็คงจัดให้อยู่แล้วนะครับ

เสธ.ไอ้ ครับ รู้จักหมัยครับ หนามยอกเอาหนามบ่ง คราวที่แล้วรัฐบาลในขณะนั้นเสกชายชุดดำขึ้นมาเพื่อใช้เป็นเหตุผลในการเข้าล้อมปราบและเข่นฆ่าประชาชน คราวนี้ฝั่งนี้เขาก็คงเสกชายฟันดำหรือชายหน้าดำอะไรสักอย่างเข้าไปสร้างสถานการณ์หรือปนอยู่กับม็อบของ เสธ.ไอ้ คราวนี้แหละมันส์แน่ๆ คงได้ตายสมใจ เผลอๆแตงโมมะเขือเทศบางส่วนอาจจองกฐินไว้แล้ว

ที่สำคัญจากคำให้สำภาษณ์ของ เสธ.ไอ้ วันก่อน เอาตัวให้รอดจากการทำผิดกฎหมายอาญา มาตรา 113 ให้ได้ซะก่อนเถอะนะครับ แล้วค่อยมองช็อตต่อไป

คำเกิ่ง แห่งทุ่งหมาหลง (เขียนย๊าวยาว
 
..........................................................
 
 
 
 
 
 
ภาพจากแฟ้มข่าว

 
บิ๊กตู่'ฮึ่ม! ติงเสธ.อ้ายอย่าทำกองทัพเสียหาย ไม่ให้เกียรติกันก็อย่าหวังจะได้รับเกียรติคืน
 
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.กล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ ประธานองค์การพิทักษ์สยามนัดชุมนุมใหญ่ในวันที่ 28 ต.ค.ว่า ต้องไปถาม พล.อ.บุญเลิศ จากที่ตนได้ติดตามข่าว ท่านตอบไปแล้วว่า ท่านไม่ได้เกี่ยวข้องกับใคร อย่างไรก็ตามรัฐบาลชุดนี้เป็นรัฐบาลประชาธิปไตยใช่หรือไม่ ทุกคนต้องการประชาธิปไตย ก็ต้องว่ากันด้วยประชาธิปไตย จะเสียหายดีหรือไม่ดีก็ว่ากันไป มีกติกา คณะทำงานมากมายให้ตรวจสอบก็ไปว่ากัน แต่อย่ามากดดันเจ้าหน้าที่คนโน้นคนนี้ แล้วมาด่าตนในทางเสียหาย ถือว่าไม่ให้เกียรติกัน ใครก็ตามที่พาดพิงพูดให้กองทัพบกเสียหาย หรือตนเสียหายเท่ากับไม่ให้เกียรติกัน ถ้าท่านไม่ให้เกียรติตน ตนก็ไม่ให้เกียรติท่าน ถ้าด่ากองทัพบกไม่ใช่แค่ด่า พล.อ.ประยุทธ์ อย่างเดียวแต่ท่านกำลังด่ากำลังพลสองแสนคน ถ้าอย่างนั้นท่านอย่ามาหวังว่าท่านจะได้อะไรจากพวกเรา.
 
จากไทยรัฐออนไลน์
 
 
 
 
 
 
 
 

วันอังคารที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2555

อันสืบเนื่อง มาจากเรื่อง...นายปรีดีฯ

วาทตะวัน สุพรรณเภษัช



        มื่อสัปดาห์ที่แล้ว ผมเขียนบทความ “วาทตะวัน” โต้ “นายกบาลถอก” (คณิต ณ นคร) มีบางส่วนที่เกี่ยวข้องกับ
นายปรีดี พนมยงค์ ซึ่งบทความดังกล่าว มีผู้นำไปโพสต์ไว้ในเว็บอื่นๆ ซึ่งเป็นเรื่องปกติ แต่มีผู้ที่ออกความเห็นในเรื่องนี้ ในเว็บ “ประชาทอล์ค”  เมื่อวันจันทร์ ที่ 24/09/2012  00:24  โดยใช้ชื่อ “คุณเสรีชนประชาไท” ข้อความมีดังนี้ครับ

        ...วาทะตระวันพอคนชมก็คิดว่าตนเก่ง ผมรู้จักครอบครัว
พนมยงค์ดี
        คุณปรีดีเป็นคนดีมากๆ  เป็นมหาบุรุษของแผ่นดิน แม้จะผลงานไม่มากเท่าทักษิณ แต่ส่วนลึกของใจสูงกว่าทักษิณแน่นอน
        ที่สำคัญ เมื่อท่านสิ้น ท่านตายอย่างมหาบุรุษ คือ นั่งตายในมือถือหนังสือ  มีไม่กี่คนที่ตายเช่นนี้ เฟรดริกมหาราชของปรัสเซียก็สิ้นแบบนี้ แถมตายแล้วเล็บยังขึ้น ศพไม่เน่าอีกต่างหาก
       
คุณวาทะตระวัน ไปจุดธูปขอขมาท่านดีกว่าครับ  ความแตกฉานทางปัญญาคุณยังห่างมากในหมู่ปราชญ์...        (***ผมไม่ได้แก้ทั้งข้อความและตัวสะกด)

        ไม่อยากโต้เถียงให้มากความ แต่ขอบอกว่า การตายใน
 “ท่านั่ง” นั้น ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลย เพราะผมเคยเห็นทั้ง “ขอทาน” และ “ขี้ยา” นั่งตายแบบเดียวกันมาแล้ว ส่วนการที่จะยกย่องเฟรดริกมหาราช ก็ไม่ว่ากัน แต่ “คุณเสรีชนประชาไท”  ควรรู้อีกด้านหนึ่งของกษัตริย์องค์นี้ด้วย ว่า

        พระเจ้าเฟรดดริกที่คุณอ้างถึงนั้น ฝรั่งบันทึกว่า พระองค์มีความสัมพันธ์แบบชู้สาว กับน้องสาวแท้ๆของตัวเอง และตอนหลังก็รู้กันว่า พระองค์เป็นพวก         “รักร่วมเพศ”         แม้ตัวกษัตริย์ฝรั่งองค์นี้ จะทรงมีพระมเหสี แต่ผู้คนก็รู้ว่า เป็นการเสกสมรสการเมือง พระองค์จะเสด็จไปเยี่ยมพระชายา ซึ่งอยู่กันคนละเมือง เพียงปีละครั้งเท่านั้น และไม่มีโอรสธิดาด้วยกัน
        นอกจากนั้น พระองค์ยังมีเรื่องที่ถูกบันทึกว่าเป็น tyrant หรือ “ทรราช” เพราะทรงทารุณโหดร้ายยิ่งนัก จนเป็นที่เลื่องลือกันในยุโรปว่า 
       
กษัตริย์ฝรั่งรายนี้ ทรงกลัวว่า ประชาชนจะไปมั่วสุมกัน ตามร้านขายกาแฟ และวิพากษ์วิจารณ์ และคิดร้ายต่อพระองค์ จนทรงพระประสาทแดก ถึงกับต้องส่งสายตรวจ ไปสังเกตการณ์ตามร้านเหล่านั้นอย่างถี่ยิบ
        ในที่สุดทรงเห็นว่า มาตรการที่ใช้สายตรวจ น่าจะมีพวกก่อการที่รอดหูรอดตาไปบ้าง จึงทรงมีพระราชบัญชา ให้ร้านกาแฟทุกร้านในอาณาจักรของพระองค์ เปลี่ยนเป็นร้านขาย “เบียร์” ให้หมดทุกร้าน เพราะทรงเชื่อว่า
        คนดื่มเบียร์ จะไม่คุยเรื่องการเมือง!

        ถ้า “คุณเสรีชนประชาไท” อยากรู้เรื่องนี้เพิ่มเติม ขอแนะนำให้เข้าไปอ่านข้อเขียนของผม เรื่อง “กาแฟ-การเมือง”  http://vattavan.com/detail.php?cont_id=346 จะได้เพิ่มพูนความรู้ และขอได้โปรดเข้าใจด้วยว่า
        คนเราส่วนใหญ่แล้ว มีทั้งแง่ดีที่น่าสรรเสริญ และแง่เสีย หรือส่วนที่น่าตำหนิด้วยกัน แทบทั้งหมดทั้งสิ้น เพียงแต่เวลาที่คนพูดถึง เขาสามารถจะหยิบ “ส่วนดี” หรือ “ส่วนเลว” ของคนนั้นๆ มาพูดหรือวิจารณ์ ก็ได้ทั้งนั้น
        ทั้งนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับประโยชน์ ที่ผู้พูดหรือวิจารณ์ ตั้งเป้าหมายเอาไว้นั่นเอง
        ฉะนั้น คนเราต้องแสวงหาความรู้และข้อเท็จจริง เกี่ยวกับเรื่องที่ตัวเองจะพูดให้ทั่วถึง และครอบคลุมอย่างกว้างขวาง ไม่ใช่เอาแต่โชว์โง่ อวดเง่า และยกย่องสรรเสริญ สดุดีกันเรื่อยไป โดยไม่แหกหู แหกตา รับรู้หรือแม้กระทั่งชำเลืองดู “ความจริง” กันบ้าง

        ทความในตอนที่แล้วของผมนั้น เป็นการโต้แย้งคำพูดของ “นายกบาลถอก” (คณิต นคร) เฉพาะตรงที่กล่าวยกย่องสรรเสริญนายปรีดีฯ ว่า เป็น statesman แต่กลับใช้คำพูดคำจาในการให้สัมภาษณ์ แบบ...
        ไล่กระทืบทักษิณ! 
        ผมเขียนแย้งเล็กๆ แค่ตรงข้อเท็จจริงที่ว่า นายปรีดีฯนั้นออกนอกประเทศไป เพราะเหตุที่ตัวแกเองก่อการกบฏ ต้องตกเป็นผู้ต้องหาคดีอาญา ถูกติดตามไล่ล่าจากฝ่ายรัฐ
        นายปรีดีฯแกรู้ตัวดีว่า อยู่ในเมืองไทยต่อไปไม่ได้แล้ว เพราะขืนอยู่หรือสู้คดี ไม่แคล้วต้องโดนฆ่าแน่ๆ เพราะพรรคพวกที่สนิทสนมกัน และเป็นมือเป็นไม้ให้นายปรีดีฯนั้น ต้องถูกสังหารตายโหงไปหลายคน อย่างที่เล่าให้ฟังไปแล้ว

        ต้องเรียนให้ท่านผู้อ่านทราบว่า วิธีคิดของผมนั้น เป็นกระบวนการง่ายๆ ไม่ยากเย็นซับซ้อนอะไรเลย เพียงแต่จะชั่งน้ำหนักของทั้งข้อเท็จจริงและเหตุผล ตามหลักที่ตัวเองได้ร่ำเรียนมา ทั้งเรื่องการสอบสวนคดีอาญา และการข่าวกรอง  รวมทั้งเป็นอาจารย์สอนคนรุ่นหลัง ในเรื่องเหล่านี้ด้วย
        เมื่อพิจารณาด้วยเหตุผลแล้ว จึงจะทำข้อสรุปว่าเรื่องใดที่น่าจะเป็นความจริง มีกี่เรื่องที่มีความเท็จปะปน หรือเรื่องไหนโกหกล้วนๆ อย่างนี้ต่างหาก

        อยากจะเล่าเรื่องส่วนตัว ให้ฟังสักนิดว่า ผมเป็นลูกศิษย์ “ท่านจันทร์” หรือ ม.จ.จันทร์จิรายุวัฒน์ รัชนี เพราะท่านเคยเป็นโค้ชรักบี้ของผม อีกทั้งยังเป็นทั้ง “ท่านพ่อ” ของเพื่อนรุ่นติดกันกับผม คือ ม.ร.ว.ภัทรชัย และ ม.ร.ว.แซมแจ่มจรัส รัชนี ซึ่งสนิทสนมรักใคร่กันตั้งแต่เด็กๆ ในโรงเรียนประจำวชิราวุธ วิทยาลัย
        คนแรกเป็นอดีตรองอธิบดีกรมป่าไม้ ส่วนคนหลังเคยเป็นผู้รับผิดชอบในโครงการหลวงเชียงใหม่




        ความสนิทสนมนั้น ทำให้ผมพลอยเรียก “ท่านจันทร์” ว่า
“ท่านพ่อ” ตามเพื่อนไปด้วย ตอนที่ท่านป่วยอยู่ที่เชียงใหม่ ก็ได้ไปเยี่ยม และยามที่ “ท่านจันทร์” ยังเป็นปกติดี เคยได้รับประทานอาหารร่วมกับท่านหลายครั้ง ท่านได้เมตตาสั่งสอนเรื่องที่เป็นประโยชน์ให้หลายต่อหลายอย่าง

        “ท่านจันทร์” เคยแนะนำผม ในการศึกษาประวัติศาสตร์ว่า หากเราได้ข้อเท็จจริง หรือหลักฐานมาอย่างหนึ่ง ก็ควร “ตั้ง” เอาไว้ก่อน แต่เราต้องใจกว้างพอ ที่จะรับฟังข้อเท็จจริง หรือพยานหลักฐานอื่นๆด้วย
        จากนั้นให้นำข้อมูลที่ได้ มาประมวลรวมกันและใคร่ครวญ ค้นคว้าหาความจริงต่อเนื่องด้วยตนเอง แต่ต้องตรวจสอบทานกับแหล่งอื่นด้วย แล้วจึงลงความเห็นว่า
        จะให้น้ำหนักอย่างไร  ควรเชื่อถือข้อเท็จจริง ที่ได้มาหรือไม่?
        ที่สำคัญคือ
        หากบุคคลอื่นข้อสรุป หรือข้อโต้แย้งอย่างอื่น ที่มีเหตุมีผล เราต้องรับฟัง!

        คำกล่าวเช่นนี้ของ “ท่านจันทร์” ยังพบเห็นได้ ในหนังสือประวัติศาสตร์ชาติไทย ที่ท่านเขียนด้วย 
        ผมเห็นว่า เป็นคำสอนที่มีประโยชน์ยิ่งนัก และตรงตามหลักคำสอนพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ในเรื่อง
        โยนิโสมนสิการ!

        ด้วยการที่ได้รับการสั่งสอน ให้รู้จักการเหตุผลอย่างที่ว่ามา “คุณเสรีชนประชาไท” ผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์ผม น่าจะลองตรวจสอบหลักฐาน ก็จะพบว่า
        สิ่งที่ผมเขียนที่พาดพิงถึงนายปรีดีฯ นั้น คือ “ข้อเท็จจริง” ที่ได้จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ซึ่งไม่ว่าจะไปอ่านหนังสือของใครเขียนก็ตาม ข้อเท็จจริงต่างก็ตรงกันเกือบทั้งหมดทั้งสิ้น คือ 
        นายปรีดีฯ นั้นก่อการกบฏ อันเป็นความผิดที่มีโทษใหญ่หลวงนัก จึงต้อง “หลบหนี” ออกนอกราชอาณาจักร!

        อยากจะเรียน ให้ทราบต่อไปด้วยว่า
        ผมต้องใช้ “ข้อเท็จจริง” ที่มีพยานหลักฐานสนับสนุนมั่นคง ไม่ให้คนอื่นโต้แย้งได้ มาใช้กับข้อเขียนของตนตลอดมา ก่อนจะนำเสนอสู่สายตาท่านผู้อ่าน
        ลองพิจารณาดูบทความต่างๆของ “วาทตะวัน” คงจะเป็นที่ประจักษ์กันดี!

        “คุณเสรีชนประชาไท” ต้องเข้าใจว่านายปรีดีฯนั้น เคยเป็นผู้มีอำนาจมากในประเทศ มากแค่ไหนนั้น อยากให้ลองไปอ่านหนังสือ “ชีวลิขิต” ของ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ดู ซึ่งเป็นหนังสือที่อดีตนายกฯท่านนี้ เขียนให้หลานปู่ของท่านอ่าน
content/picdata/389/data/photo4.jpg
        ตอนหนึ่งท่านบันทึกเอาไว้ ว่า
        “วันที่ 2 มิถุนายน 2489 ในหลวงอานันท์ฯ รับสั่งให้คุณ
คึกฤทธิ์และปู่เข้าเฝ้า ในหลวงอานันท์ฯทรงเตือนคุณคึกฤทธิ์ฯว่า ปรีดีมีอำนาจมาก จะเขียนอะไรลงหนังสือพิมพ์สยามรัฐ อย่ารุนแรงนัก ท่านกลับมาจะได้รับใช้”
        จากนั้นวันรุ่งขึ้น ในหลวงรัชกาลที่ 8 ได้เสด็จประพาสสำเพ็ง ชาวจีนในย่านนั้น ตั้งโต๊ะหมู่บูชาพระองค์ เสมือนดั่งเทพเจ้า แต่ถัดจากนั้นอีกเพียงห้าวัน คือ ในวันที่ 9 มิถุนายน 2489 เป็นวันมหาวิปโยคของชาวไทย เพราะ
      
  ในหลวงอานันท์ ถูกลอบปลงพระชนม์!         อดีตนายกฯ ม.ร.ว.เสนีย์ฯ บันทึกเหตุการณ์สำคัญตอนนี้เอาไว้ว่า
        “...วันรุ่งขึ้น รัฐบาลปรีดีออกแถลงการณ์ ตอนแรกออกมาในรูปว่า ในหลวงลงพระนาภี (ท้องร่วง) ตอนต่อมาแถลงว่า         สิ้นพระชนม์ ด้วยอาวุธปืน!...”
        ท่านผู้อ่าน ที่เคารพครับ
        เรื่องการสิ้นพระชนม์ของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 8 เป็นสาเหตุสำคัญให้นายปรีดีฯ ต้องพ้นจากตำแหน่ง เพราะรัฐบาลของเขาคลี่คลายคดีไม่ได้ จนกระทั่งเกิดการรัฐประหาร ปี พ.ศ.2490
        ในปีถัดมาคนที่เคยมีอำนาจ ใหญ่โตคับเมืองไทยอย่าง
นายปรีดีฯ ซึ่งผมบอกว่า เขายังกระหายอย่างแรง หรือ “เงี่ยน” ในอำนาจ จึงได้ร่วมกับสมัครพรรคพวก ได้ก่อการ “กบฏ” อย่างที่เล่ามาในคอลัมน์ก่อน และเป็นเหตุให้ต้องลี้ภัย จนไปตายในฝรั่งเศส
        ดังนั้น ใครจะยกย่องสรรเสริญนายปรีดีฯกันอย่างไร ก็เชิญว่ากันไปตามสบาย ส่วนผมก็ไม่มีเหตุต้องไป “ขอขมา” อะไรกับนายปรีดีฯ อย่างที่ “คุณเสรีชนประชาไท” กรุณาแนะนำ
        อนึ่ง ผมจะคิดอย่างไร กับนายปรีดีฯ นั้น ไม่เห็นจำเป็นต้องบอกใครฟัง เพราะถ้าขืนให้ผมโผงผาง หลั่งไหลคำพูดออกมาวิพากษ์วิจารณ์ ตามสไตล์แท้จริงของตัวเองแล้วไซร้...
        บางทีบรรดาผู้ศรัทธา นายปรีดีฯ ได้ยินเข้า อาจกรีดร้อง ล้มลง หมดสติไปเลยก็ได้!!!?
........... 
ท้ายบท  สำหรับผู้ที่โพสต์แสดงความเห็น คอลัมน์ประจำสัปดาห์ที่ผ่านมา http://vattavan.com/detail.php?cont_id=387

ความคิดเห็นที่ 1   
ที่นายปรีดีไม่กล้ากลับ เพราะเรื่องคนของพรรคดักดาน ไปตะโกนที่โรงหนังด้วยหรือเปล่า?
โดยคุณ กลับไม่ได้  125.25.137.XXX 

ความคิดเห็นที่ 2   
โอ้ว่าเจ้า แก่เพราะกินข้าว เฒ่าเพราะอยู่นาน ทำไมเมืองไทยถึงมีพวกแก่กะโหลกกะลาเยอะจริงเชียว หัวล้านกบาลถอกแบบนี้ ต้องเอาคมแฝกแพ่นกบาล เอาเลือดหัวล้านออก จะได้รู้ว่าในสมองของมันคิดเยี่ยงไร
โดยคุณ วาดฝัน ตะวันหัวหงอก  125.24.46.XXX 

ความคิดเห็นที่ 3    สวัสดีครับอาจารย์ ถูกใจคอการเมืองมากครับที่ได้รับรู้เรื่อง สเตทหมู สเตทหมา มันจะได้แจ่มแจ้งเสียที เรื่องสเตทแมนของไทยนั้น มันได้สร้างความเคลือบแครงให้ผมตลอดเวลาว่าสเตทแมนเมืองไทย เมื่อได้รับการยกย่องให้เป็นสเตทแมนแล้ว ทำไมถึงอยู่เมืองไทยไม่ได่ ผมเข้าใจแล้วครับ ผมคนหนึ่งที่เสียดายเงินที่เจ้ากบาลถอกเอาไปใช้ค้นหาความจริงเช่นกัน ผมว่าความจริงทุกอย่างหาได้ที่ศาลครับ เพราะกว่าที่คำสั่งศาลจะออกมามันมีพยานหลักฐานมากมายที่นายกบาลถอกไม่เคยพูดถึงเลย แต่กลับมีที่ศาล และสามารถเอามาได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเลย
สักแดง ช่างไม่ทิ้งนิสัยอัยการเลย
โดยคุณ narong subsangar  125.24.60.XXX 

ความคิดเห็นที่ 4   
ได้ดูนายคณิตฯ แถลงผลงานแล้วอึดอัดสุดขีด ภาวนาให้เสาร์นี้ท่านวาทฯเขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้เถิด จะได้แสดงออกกับเขาบ้าง เปิดคอลัมน์ Vattavan.com เป็นโอกาสแรก เห็นหัวข้อเรื่องแล้วดีใจจนเนื้อเต้น ยิ่งได้อ่านความคิดเห็นที่เป็นไปในทางเดียวกันแล้ว ทำให้มั่นใจว่าข้อมูลและความคิดเห็นของตนเองมีความถูกต้องอย่างแน่นอน ขอถ่มถุยให้กับรายงานชิ้นนี้ เพราะไม่มีค่าอะไรเลย นอกจากแสดงให้เห็นว่าเครือข่ายอำมาตย์ ไฮโซ และอีลีตต่าง ๆ นี่เขาเหนียวแน่นจริง ๆ รวมหัวและวางเครือข่ายกันมายาวนานเพื่อสร้างภาพให้คนดีกลายเป็นคนเลวสุดขั้วจนได้ เริ่มตั้งแต่ใส่ความว่าโกง แทรกแซงสื่อ - องค์กรอิสระ และอีกสารพัดข้อกล่าวหา ฉายภาพอย่างหน้าด้าน ๆ ออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนคนที่ขาดข้อมูลลังเลหรือหลงเชื่อไปเลย ตามรังแกและไล่ล่าสารพัด แต่ทำอะไรไม่ได้ สุดท้ายต้องมาขอให้เสียสละ อย่ากลับประเทศและวางมือจากการเมือง เพื่อความสงบสุขของประเทศชาติและประชาชน โธ่เอ๋ย !!! ให้ทำอย่างนั้นเพื่อให้พวกขี้ครอกที่ไม่รู้จะทำอย่างไรจึงจะชนะใจประชาชนได้ได้กร่างในอำนาจต่อไป และร่วมกันเป็นมะเร็งร้ายกัดกินประเทศชาติต่อไปหรือ คงยอมกันไม่ได้หรอก ถ้าจะต้องล้างกันด้วยเลือดไทยอย่างที่จอมพล ป.เคยประกาศไว้ก็คงต้องทำกัน เพราะพวกนอกคอกเหล่านี้เคยสั่งฆ่าประชาชนมาแล้ว ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อมก็ตาม สมควรจะได้รับบทเรียนที่สาสมบ้าง ยิ่งเขียนยิ่งเดือด ขอวิงวอนยมบาลมารับเอาพวกหน้าหนาเหล่านี้ไปจากประเทศไทยเสียที รับรองสงบสุขแน่

โดยคุณ หมั่นไส้สุดขีด  124.121.226.XXX 


ความคิดเห็นที่ 5    เนื่องจากความเป็นธรรมทางด้านการเมือง ถูกฆาตกรรม เสมือนเมืองไทยได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการขึ้นมาคณะหนึ่ง ที่ชื่อว่า
"ค ณะกรรมการ วิ สามัญฆาตกรรมความ ยุ ติธรรม" ... นึกชื่อย่อเอาเองนะครับ
โดยคุณ r_sp_jd@hotmail.com  110.77.133.XXX 


ความคิดเห็นที่ 6   
ชอบอ่านสำนวนของท่าน แต่อยากให้ท่านศึกษาแนวคิดของท่านปรีดี คงไม่ใช่เป็นผู้กระสันอำนาจ แต่น่าจะต้องการเปลี่ยนแนวบริหารประเทศเพื่อให้ ปชช อยู่ดีกินดี ขึ้น โดยเฉพาะรากหญ้า จึงทำการ รปห หากสำเร็จ จะได้จัดการตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ ถูก-ผิด ขออภัยค่ะ

โดยคุณ dawraiy@gmail.com  101.109.47.XXX 

ความคิดเห็นที่ 7   
like like like to read vattawan.com
โดยคุณ jeap @hot mail com  62.202.120.XXX 

ความคิดเห็นที่ 8   
อมเรศ ตัดสินติดคุก 2 ป๊ทำความเสียหายให้ประเทศชาติแล้ะผู้คนซึ่งเป็นลูกค้าชั้นดีของไฟแน้นซ์ที่ถูกปิดไปเป็นจำนวนมหาศาลแต่ให้รอลงอาญา 3 ปีเพราะเคยเป็นรัฐมนตรี(อาจจะเคย)ทำความดีมา แถมมี 3 ศาลให้สู้ซะอีก ท่านทักษิณ ตัดสินจำคุก 2 ปี เรื่องอะไรยังไม่ค่อยเข้าใจ ไม่มีการรอลงอาญา ไม่มีการพิจารณาความดีที่เคยเป็นนายกมา ทำความดีให้ประชาชน มากมาย มากกว่านายกที่ผ่านๆมาทุกคนรวมกันซะด้วยซ้ำ แล้วยังมีศาลเดียวจบซะด้วย อย่างนี้บ้านเมืองมันจะไม่วุ่นวายได้ยังไงล่ะครับ
โดยคุณ Chuang  119.46.70.XXX 


ความคิดเห็นที่ 9   
ขอแปะลิงค์ให้ได้อ่านกันครับ นานาทรรศนะจากนักวิชาการ
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1348555094&grpid=&catid=02&subcatid=0200 "เละเลยนายกบาลถอก"
โดยคุณ วาดฝัน ตะวันหัวหงอก  125.24.18.XXX 


ความคิดเห็นที่ 10   
ชอบฉายา ที่ท่านตั้งให้บุคคลต่างๆ เช่น นายพล ชลิต = ‘กากตด’ (คมช), จารุวรรณ = "นังเป็ด หัวยักษ์", มาร์ค = "มาร์ค มุกควาย"/ "มาร์ค หัวปลอก", คณิต“นายกบาลถอก” , กลุ่มเนชัน = "แก๊งเนชั่ว" , พัชระ สาร= "ไอ้หมูสกปรก" เป็นต้น
โดยคุณ ช่างคิดจริงๆ  125.25.133.XXX


ความคิดเห็นที่ 11   
ได้ใจเต็มๆ ขอบคุณที่ให้ความรู้ครับ
โดยคุณ วงเวียน  101.108.150.XXX   
      

  (คอลัมน์ ประจำสัปดาห์ อันสืบเนื่อง มาจากเรื่อง...นายปรีดีฯ!!! ออนไลน์ วันเสาร์ ที่ 29 กันยายน 2555)