วันอังคารที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2555

อันสืบเนื่อง มาจากเรื่อง...นายปรีดีฯ

วาทตะวัน สุพรรณเภษัช



        มื่อสัปดาห์ที่แล้ว ผมเขียนบทความ “วาทตะวัน” โต้ “นายกบาลถอก” (คณิต ณ นคร) มีบางส่วนที่เกี่ยวข้องกับ
นายปรีดี พนมยงค์ ซึ่งบทความดังกล่าว มีผู้นำไปโพสต์ไว้ในเว็บอื่นๆ ซึ่งเป็นเรื่องปกติ แต่มีผู้ที่ออกความเห็นในเรื่องนี้ ในเว็บ “ประชาทอล์ค”  เมื่อวันจันทร์ ที่ 24/09/2012  00:24  โดยใช้ชื่อ “คุณเสรีชนประชาไท” ข้อความมีดังนี้ครับ

        ...วาทะตระวันพอคนชมก็คิดว่าตนเก่ง ผมรู้จักครอบครัว
พนมยงค์ดี
        คุณปรีดีเป็นคนดีมากๆ  เป็นมหาบุรุษของแผ่นดิน แม้จะผลงานไม่มากเท่าทักษิณ แต่ส่วนลึกของใจสูงกว่าทักษิณแน่นอน
        ที่สำคัญ เมื่อท่านสิ้น ท่านตายอย่างมหาบุรุษ คือ นั่งตายในมือถือหนังสือ  มีไม่กี่คนที่ตายเช่นนี้ เฟรดริกมหาราชของปรัสเซียก็สิ้นแบบนี้ แถมตายแล้วเล็บยังขึ้น ศพไม่เน่าอีกต่างหาก
       
คุณวาทะตระวัน ไปจุดธูปขอขมาท่านดีกว่าครับ  ความแตกฉานทางปัญญาคุณยังห่างมากในหมู่ปราชญ์...        (***ผมไม่ได้แก้ทั้งข้อความและตัวสะกด)

        ไม่อยากโต้เถียงให้มากความ แต่ขอบอกว่า การตายใน
 “ท่านั่ง” นั้น ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลย เพราะผมเคยเห็นทั้ง “ขอทาน” และ “ขี้ยา” นั่งตายแบบเดียวกันมาแล้ว ส่วนการที่จะยกย่องเฟรดริกมหาราช ก็ไม่ว่ากัน แต่ “คุณเสรีชนประชาไท”  ควรรู้อีกด้านหนึ่งของกษัตริย์องค์นี้ด้วย ว่า

        พระเจ้าเฟรดดริกที่คุณอ้างถึงนั้น ฝรั่งบันทึกว่า พระองค์มีความสัมพันธ์แบบชู้สาว กับน้องสาวแท้ๆของตัวเอง และตอนหลังก็รู้กันว่า พระองค์เป็นพวก         “รักร่วมเพศ”         แม้ตัวกษัตริย์ฝรั่งองค์นี้ จะทรงมีพระมเหสี แต่ผู้คนก็รู้ว่า เป็นการเสกสมรสการเมือง พระองค์จะเสด็จไปเยี่ยมพระชายา ซึ่งอยู่กันคนละเมือง เพียงปีละครั้งเท่านั้น และไม่มีโอรสธิดาด้วยกัน
        นอกจากนั้น พระองค์ยังมีเรื่องที่ถูกบันทึกว่าเป็น tyrant หรือ “ทรราช” เพราะทรงทารุณโหดร้ายยิ่งนัก จนเป็นที่เลื่องลือกันในยุโรปว่า 
       
กษัตริย์ฝรั่งรายนี้ ทรงกลัวว่า ประชาชนจะไปมั่วสุมกัน ตามร้านขายกาแฟ และวิพากษ์วิจารณ์ และคิดร้ายต่อพระองค์ จนทรงพระประสาทแดก ถึงกับต้องส่งสายตรวจ ไปสังเกตการณ์ตามร้านเหล่านั้นอย่างถี่ยิบ
        ในที่สุดทรงเห็นว่า มาตรการที่ใช้สายตรวจ น่าจะมีพวกก่อการที่รอดหูรอดตาไปบ้าง จึงทรงมีพระราชบัญชา ให้ร้านกาแฟทุกร้านในอาณาจักรของพระองค์ เปลี่ยนเป็นร้านขาย “เบียร์” ให้หมดทุกร้าน เพราะทรงเชื่อว่า
        คนดื่มเบียร์ จะไม่คุยเรื่องการเมือง!

        ถ้า “คุณเสรีชนประชาไท” อยากรู้เรื่องนี้เพิ่มเติม ขอแนะนำให้เข้าไปอ่านข้อเขียนของผม เรื่อง “กาแฟ-การเมือง”  http://vattavan.com/detail.php?cont_id=346 จะได้เพิ่มพูนความรู้ และขอได้โปรดเข้าใจด้วยว่า
        คนเราส่วนใหญ่แล้ว มีทั้งแง่ดีที่น่าสรรเสริญ และแง่เสีย หรือส่วนที่น่าตำหนิด้วยกัน แทบทั้งหมดทั้งสิ้น เพียงแต่เวลาที่คนพูดถึง เขาสามารถจะหยิบ “ส่วนดี” หรือ “ส่วนเลว” ของคนนั้นๆ มาพูดหรือวิจารณ์ ก็ได้ทั้งนั้น
        ทั้งนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับประโยชน์ ที่ผู้พูดหรือวิจารณ์ ตั้งเป้าหมายเอาไว้นั่นเอง
        ฉะนั้น คนเราต้องแสวงหาความรู้และข้อเท็จจริง เกี่ยวกับเรื่องที่ตัวเองจะพูดให้ทั่วถึง และครอบคลุมอย่างกว้างขวาง ไม่ใช่เอาแต่โชว์โง่ อวดเง่า และยกย่องสรรเสริญ สดุดีกันเรื่อยไป โดยไม่แหกหู แหกตา รับรู้หรือแม้กระทั่งชำเลืองดู “ความจริง” กันบ้าง

        ทความในตอนที่แล้วของผมนั้น เป็นการโต้แย้งคำพูดของ “นายกบาลถอก” (คณิต นคร) เฉพาะตรงที่กล่าวยกย่องสรรเสริญนายปรีดีฯ ว่า เป็น statesman แต่กลับใช้คำพูดคำจาในการให้สัมภาษณ์ แบบ...
        ไล่กระทืบทักษิณ! 
        ผมเขียนแย้งเล็กๆ แค่ตรงข้อเท็จจริงที่ว่า นายปรีดีฯนั้นออกนอกประเทศไป เพราะเหตุที่ตัวแกเองก่อการกบฏ ต้องตกเป็นผู้ต้องหาคดีอาญา ถูกติดตามไล่ล่าจากฝ่ายรัฐ
        นายปรีดีฯแกรู้ตัวดีว่า อยู่ในเมืองไทยต่อไปไม่ได้แล้ว เพราะขืนอยู่หรือสู้คดี ไม่แคล้วต้องโดนฆ่าแน่ๆ เพราะพรรคพวกที่สนิทสนมกัน และเป็นมือเป็นไม้ให้นายปรีดีฯนั้น ต้องถูกสังหารตายโหงไปหลายคน อย่างที่เล่าให้ฟังไปแล้ว

        ต้องเรียนให้ท่านผู้อ่านทราบว่า วิธีคิดของผมนั้น เป็นกระบวนการง่ายๆ ไม่ยากเย็นซับซ้อนอะไรเลย เพียงแต่จะชั่งน้ำหนักของทั้งข้อเท็จจริงและเหตุผล ตามหลักที่ตัวเองได้ร่ำเรียนมา ทั้งเรื่องการสอบสวนคดีอาญา และการข่าวกรอง  รวมทั้งเป็นอาจารย์สอนคนรุ่นหลัง ในเรื่องเหล่านี้ด้วย
        เมื่อพิจารณาด้วยเหตุผลแล้ว จึงจะทำข้อสรุปว่าเรื่องใดที่น่าจะเป็นความจริง มีกี่เรื่องที่มีความเท็จปะปน หรือเรื่องไหนโกหกล้วนๆ อย่างนี้ต่างหาก

        อยากจะเล่าเรื่องส่วนตัว ให้ฟังสักนิดว่า ผมเป็นลูกศิษย์ “ท่านจันทร์” หรือ ม.จ.จันทร์จิรายุวัฒน์ รัชนี เพราะท่านเคยเป็นโค้ชรักบี้ของผม อีกทั้งยังเป็นทั้ง “ท่านพ่อ” ของเพื่อนรุ่นติดกันกับผม คือ ม.ร.ว.ภัทรชัย และ ม.ร.ว.แซมแจ่มจรัส รัชนี ซึ่งสนิทสนมรักใคร่กันตั้งแต่เด็กๆ ในโรงเรียนประจำวชิราวุธ วิทยาลัย
        คนแรกเป็นอดีตรองอธิบดีกรมป่าไม้ ส่วนคนหลังเคยเป็นผู้รับผิดชอบในโครงการหลวงเชียงใหม่




        ความสนิทสนมนั้น ทำให้ผมพลอยเรียก “ท่านจันทร์” ว่า
“ท่านพ่อ” ตามเพื่อนไปด้วย ตอนที่ท่านป่วยอยู่ที่เชียงใหม่ ก็ได้ไปเยี่ยม และยามที่ “ท่านจันทร์” ยังเป็นปกติดี เคยได้รับประทานอาหารร่วมกับท่านหลายครั้ง ท่านได้เมตตาสั่งสอนเรื่องที่เป็นประโยชน์ให้หลายต่อหลายอย่าง

        “ท่านจันทร์” เคยแนะนำผม ในการศึกษาประวัติศาสตร์ว่า หากเราได้ข้อเท็จจริง หรือหลักฐานมาอย่างหนึ่ง ก็ควร “ตั้ง” เอาไว้ก่อน แต่เราต้องใจกว้างพอ ที่จะรับฟังข้อเท็จจริง หรือพยานหลักฐานอื่นๆด้วย
        จากนั้นให้นำข้อมูลที่ได้ มาประมวลรวมกันและใคร่ครวญ ค้นคว้าหาความจริงต่อเนื่องด้วยตนเอง แต่ต้องตรวจสอบทานกับแหล่งอื่นด้วย แล้วจึงลงความเห็นว่า
        จะให้น้ำหนักอย่างไร  ควรเชื่อถือข้อเท็จจริง ที่ได้มาหรือไม่?
        ที่สำคัญคือ
        หากบุคคลอื่นข้อสรุป หรือข้อโต้แย้งอย่างอื่น ที่มีเหตุมีผล เราต้องรับฟัง!

        คำกล่าวเช่นนี้ของ “ท่านจันทร์” ยังพบเห็นได้ ในหนังสือประวัติศาสตร์ชาติไทย ที่ท่านเขียนด้วย 
        ผมเห็นว่า เป็นคำสอนที่มีประโยชน์ยิ่งนัก และตรงตามหลักคำสอนพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ในเรื่อง
        โยนิโสมนสิการ!

        ด้วยการที่ได้รับการสั่งสอน ให้รู้จักการเหตุผลอย่างที่ว่ามา “คุณเสรีชนประชาไท” ผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์ผม น่าจะลองตรวจสอบหลักฐาน ก็จะพบว่า
        สิ่งที่ผมเขียนที่พาดพิงถึงนายปรีดีฯ นั้น คือ “ข้อเท็จจริง” ที่ได้จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ซึ่งไม่ว่าจะไปอ่านหนังสือของใครเขียนก็ตาม ข้อเท็จจริงต่างก็ตรงกันเกือบทั้งหมดทั้งสิ้น คือ 
        นายปรีดีฯ นั้นก่อการกบฏ อันเป็นความผิดที่มีโทษใหญ่หลวงนัก จึงต้อง “หลบหนี” ออกนอกราชอาณาจักร!

        อยากจะเรียน ให้ทราบต่อไปด้วยว่า
        ผมต้องใช้ “ข้อเท็จจริง” ที่มีพยานหลักฐานสนับสนุนมั่นคง ไม่ให้คนอื่นโต้แย้งได้ มาใช้กับข้อเขียนของตนตลอดมา ก่อนจะนำเสนอสู่สายตาท่านผู้อ่าน
        ลองพิจารณาดูบทความต่างๆของ “วาทตะวัน” คงจะเป็นที่ประจักษ์กันดี!

        “คุณเสรีชนประชาไท” ต้องเข้าใจว่านายปรีดีฯนั้น เคยเป็นผู้มีอำนาจมากในประเทศ มากแค่ไหนนั้น อยากให้ลองไปอ่านหนังสือ “ชีวลิขิต” ของ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ดู ซึ่งเป็นหนังสือที่อดีตนายกฯท่านนี้ เขียนให้หลานปู่ของท่านอ่าน
content/picdata/389/data/photo4.jpg
        ตอนหนึ่งท่านบันทึกเอาไว้ ว่า
        “วันที่ 2 มิถุนายน 2489 ในหลวงอานันท์ฯ รับสั่งให้คุณ
คึกฤทธิ์และปู่เข้าเฝ้า ในหลวงอานันท์ฯทรงเตือนคุณคึกฤทธิ์ฯว่า ปรีดีมีอำนาจมาก จะเขียนอะไรลงหนังสือพิมพ์สยามรัฐ อย่ารุนแรงนัก ท่านกลับมาจะได้รับใช้”
        จากนั้นวันรุ่งขึ้น ในหลวงรัชกาลที่ 8 ได้เสด็จประพาสสำเพ็ง ชาวจีนในย่านนั้น ตั้งโต๊ะหมู่บูชาพระองค์ เสมือนดั่งเทพเจ้า แต่ถัดจากนั้นอีกเพียงห้าวัน คือ ในวันที่ 9 มิถุนายน 2489 เป็นวันมหาวิปโยคของชาวไทย เพราะ
      
  ในหลวงอานันท์ ถูกลอบปลงพระชนม์!         อดีตนายกฯ ม.ร.ว.เสนีย์ฯ บันทึกเหตุการณ์สำคัญตอนนี้เอาไว้ว่า
        “...วันรุ่งขึ้น รัฐบาลปรีดีออกแถลงการณ์ ตอนแรกออกมาในรูปว่า ในหลวงลงพระนาภี (ท้องร่วง) ตอนต่อมาแถลงว่า         สิ้นพระชนม์ ด้วยอาวุธปืน!...”
        ท่านผู้อ่าน ที่เคารพครับ
        เรื่องการสิ้นพระชนม์ของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 8 เป็นสาเหตุสำคัญให้นายปรีดีฯ ต้องพ้นจากตำแหน่ง เพราะรัฐบาลของเขาคลี่คลายคดีไม่ได้ จนกระทั่งเกิดการรัฐประหาร ปี พ.ศ.2490
        ในปีถัดมาคนที่เคยมีอำนาจ ใหญ่โตคับเมืองไทยอย่าง
นายปรีดีฯ ซึ่งผมบอกว่า เขายังกระหายอย่างแรง หรือ “เงี่ยน” ในอำนาจ จึงได้ร่วมกับสมัครพรรคพวก ได้ก่อการ “กบฏ” อย่างที่เล่ามาในคอลัมน์ก่อน และเป็นเหตุให้ต้องลี้ภัย จนไปตายในฝรั่งเศส
        ดังนั้น ใครจะยกย่องสรรเสริญนายปรีดีฯกันอย่างไร ก็เชิญว่ากันไปตามสบาย ส่วนผมก็ไม่มีเหตุต้องไป “ขอขมา” อะไรกับนายปรีดีฯ อย่างที่ “คุณเสรีชนประชาไท” กรุณาแนะนำ
        อนึ่ง ผมจะคิดอย่างไร กับนายปรีดีฯ นั้น ไม่เห็นจำเป็นต้องบอกใครฟัง เพราะถ้าขืนให้ผมโผงผาง หลั่งไหลคำพูดออกมาวิพากษ์วิจารณ์ ตามสไตล์แท้จริงของตัวเองแล้วไซร้...
        บางทีบรรดาผู้ศรัทธา นายปรีดีฯ ได้ยินเข้า อาจกรีดร้อง ล้มลง หมดสติไปเลยก็ได้!!!?
........... 
ท้ายบท  สำหรับผู้ที่โพสต์แสดงความเห็น คอลัมน์ประจำสัปดาห์ที่ผ่านมา http://vattavan.com/detail.php?cont_id=387

ความคิดเห็นที่ 1   
ที่นายปรีดีไม่กล้ากลับ เพราะเรื่องคนของพรรคดักดาน ไปตะโกนที่โรงหนังด้วยหรือเปล่า?
โดยคุณ กลับไม่ได้  125.25.137.XXX 

ความคิดเห็นที่ 2   
โอ้ว่าเจ้า แก่เพราะกินข้าว เฒ่าเพราะอยู่นาน ทำไมเมืองไทยถึงมีพวกแก่กะโหลกกะลาเยอะจริงเชียว หัวล้านกบาลถอกแบบนี้ ต้องเอาคมแฝกแพ่นกบาล เอาเลือดหัวล้านออก จะได้รู้ว่าในสมองของมันคิดเยี่ยงไร
โดยคุณ วาดฝัน ตะวันหัวหงอก  125.24.46.XXX 

ความคิดเห็นที่ 3    สวัสดีครับอาจารย์ ถูกใจคอการเมืองมากครับที่ได้รับรู้เรื่อง สเตทหมู สเตทหมา มันจะได้แจ่มแจ้งเสียที เรื่องสเตทแมนของไทยนั้น มันได้สร้างความเคลือบแครงให้ผมตลอดเวลาว่าสเตทแมนเมืองไทย เมื่อได้รับการยกย่องให้เป็นสเตทแมนแล้ว ทำไมถึงอยู่เมืองไทยไม่ได่ ผมเข้าใจแล้วครับ ผมคนหนึ่งที่เสียดายเงินที่เจ้ากบาลถอกเอาไปใช้ค้นหาความจริงเช่นกัน ผมว่าความจริงทุกอย่างหาได้ที่ศาลครับ เพราะกว่าที่คำสั่งศาลจะออกมามันมีพยานหลักฐานมากมายที่นายกบาลถอกไม่เคยพูดถึงเลย แต่กลับมีที่ศาล และสามารถเอามาได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเลย
สักแดง ช่างไม่ทิ้งนิสัยอัยการเลย
โดยคุณ narong subsangar  125.24.60.XXX 

ความคิดเห็นที่ 4   
ได้ดูนายคณิตฯ แถลงผลงานแล้วอึดอัดสุดขีด ภาวนาให้เสาร์นี้ท่านวาทฯเขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้เถิด จะได้แสดงออกกับเขาบ้าง เปิดคอลัมน์ Vattavan.com เป็นโอกาสแรก เห็นหัวข้อเรื่องแล้วดีใจจนเนื้อเต้น ยิ่งได้อ่านความคิดเห็นที่เป็นไปในทางเดียวกันแล้ว ทำให้มั่นใจว่าข้อมูลและความคิดเห็นของตนเองมีความถูกต้องอย่างแน่นอน ขอถ่มถุยให้กับรายงานชิ้นนี้ เพราะไม่มีค่าอะไรเลย นอกจากแสดงให้เห็นว่าเครือข่ายอำมาตย์ ไฮโซ และอีลีตต่าง ๆ นี่เขาเหนียวแน่นจริง ๆ รวมหัวและวางเครือข่ายกันมายาวนานเพื่อสร้างภาพให้คนดีกลายเป็นคนเลวสุดขั้วจนได้ เริ่มตั้งแต่ใส่ความว่าโกง แทรกแซงสื่อ - องค์กรอิสระ และอีกสารพัดข้อกล่าวหา ฉายภาพอย่างหน้าด้าน ๆ ออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนคนที่ขาดข้อมูลลังเลหรือหลงเชื่อไปเลย ตามรังแกและไล่ล่าสารพัด แต่ทำอะไรไม่ได้ สุดท้ายต้องมาขอให้เสียสละ อย่ากลับประเทศและวางมือจากการเมือง เพื่อความสงบสุขของประเทศชาติและประชาชน โธ่เอ๋ย !!! ให้ทำอย่างนั้นเพื่อให้พวกขี้ครอกที่ไม่รู้จะทำอย่างไรจึงจะชนะใจประชาชนได้ได้กร่างในอำนาจต่อไป และร่วมกันเป็นมะเร็งร้ายกัดกินประเทศชาติต่อไปหรือ คงยอมกันไม่ได้หรอก ถ้าจะต้องล้างกันด้วยเลือดไทยอย่างที่จอมพล ป.เคยประกาศไว้ก็คงต้องทำกัน เพราะพวกนอกคอกเหล่านี้เคยสั่งฆ่าประชาชนมาแล้ว ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อมก็ตาม สมควรจะได้รับบทเรียนที่สาสมบ้าง ยิ่งเขียนยิ่งเดือด ขอวิงวอนยมบาลมารับเอาพวกหน้าหนาเหล่านี้ไปจากประเทศไทยเสียที รับรองสงบสุขแน่

โดยคุณ หมั่นไส้สุดขีด  124.121.226.XXX 


ความคิดเห็นที่ 5    เนื่องจากความเป็นธรรมทางด้านการเมือง ถูกฆาตกรรม เสมือนเมืองไทยได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการขึ้นมาคณะหนึ่ง ที่ชื่อว่า
"ค ณะกรรมการ วิ สามัญฆาตกรรมความ ยุ ติธรรม" ... นึกชื่อย่อเอาเองนะครับ
โดยคุณ r_sp_jd@hotmail.com  110.77.133.XXX 


ความคิดเห็นที่ 6   
ชอบอ่านสำนวนของท่าน แต่อยากให้ท่านศึกษาแนวคิดของท่านปรีดี คงไม่ใช่เป็นผู้กระสันอำนาจ แต่น่าจะต้องการเปลี่ยนแนวบริหารประเทศเพื่อให้ ปชช อยู่ดีกินดี ขึ้น โดยเฉพาะรากหญ้า จึงทำการ รปห หากสำเร็จ จะได้จัดการตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ ถูก-ผิด ขออภัยค่ะ

โดยคุณ dawraiy@gmail.com  101.109.47.XXX 

ความคิดเห็นที่ 7   
like like like to read vattawan.com
โดยคุณ jeap @hot mail com  62.202.120.XXX 

ความคิดเห็นที่ 8   
อมเรศ ตัดสินติดคุก 2 ป๊ทำความเสียหายให้ประเทศชาติแล้ะผู้คนซึ่งเป็นลูกค้าชั้นดีของไฟแน้นซ์ที่ถูกปิดไปเป็นจำนวนมหาศาลแต่ให้รอลงอาญา 3 ปีเพราะเคยเป็นรัฐมนตรี(อาจจะเคย)ทำความดีมา แถมมี 3 ศาลให้สู้ซะอีก ท่านทักษิณ ตัดสินจำคุก 2 ปี เรื่องอะไรยังไม่ค่อยเข้าใจ ไม่มีการรอลงอาญา ไม่มีการพิจารณาความดีที่เคยเป็นนายกมา ทำความดีให้ประชาชน มากมาย มากกว่านายกที่ผ่านๆมาทุกคนรวมกันซะด้วยซ้ำ แล้วยังมีศาลเดียวจบซะด้วย อย่างนี้บ้านเมืองมันจะไม่วุ่นวายได้ยังไงล่ะครับ
โดยคุณ Chuang  119.46.70.XXX 


ความคิดเห็นที่ 9   
ขอแปะลิงค์ให้ได้อ่านกันครับ นานาทรรศนะจากนักวิชาการ
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1348555094&grpid=&catid=02&subcatid=0200 "เละเลยนายกบาลถอก"
โดยคุณ วาดฝัน ตะวันหัวหงอก  125.24.18.XXX 


ความคิดเห็นที่ 10   
ชอบฉายา ที่ท่านตั้งให้บุคคลต่างๆ เช่น นายพล ชลิต = ‘กากตด’ (คมช), จารุวรรณ = "นังเป็ด หัวยักษ์", มาร์ค = "มาร์ค มุกควาย"/ "มาร์ค หัวปลอก", คณิต“นายกบาลถอก” , กลุ่มเนชัน = "แก๊งเนชั่ว" , พัชระ สาร= "ไอ้หมูสกปรก" เป็นต้น
โดยคุณ ช่างคิดจริงๆ  125.25.133.XXX


ความคิดเห็นที่ 11   
ได้ใจเต็มๆ ขอบคุณที่ให้ความรู้ครับ
โดยคุณ วงเวียน  101.108.150.XXX   
      

  (คอลัมน์ ประจำสัปดาห์ อันสืบเนื่อง มาจากเรื่อง...นายปรีดีฯ!!! ออนไลน์ วันเสาร์ ที่ 29 กันยายน 2555) 


ไม่มีความคิดเห็น: