วันศุกร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2555

เปิดชีวิต"ชายชุดดำ" มานพ ชาญช่างทอง ผู้ก่อการร้ายซาเล้ง


วันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2555 เวลา 00:01 น. 
 ที่มา ข่าวสดออนไลน์



ตกเป็นข่าวโด่งดังไปทั่ว เมื่อปรากฏภาพชายชุดดำหอบอาวุธสงครามทั้งทาโวร์ และเอ็ม 16 นำขบวนคนเสื้อแดง ขึ้นไปบนเวทีชุมนุมสะพานผ่านฟ้าฯ หลังการปะทะเดือดระหว่างกลุ่มผู้ชุมนุมและทหาร ในการเข้ากระชับพื้นที่ในช่วงค่ำวันที่ 10 เม.ย.53 



ยิ่งตามด้วยการกระพือข่าวของพรรคประชาธิปัตย์ ที่ระบุว่าบุคคลในภาพนี้คือชายชุดดำซึ่งเป็นอดีตทหารพรานจากค่ายปักธงชัย ที่พกอาวุธในที่ชุมนุม และเป็น ต้นเหตุของการสูญเสียชีวิตของประชาชนในการกระชับพื้นที่ และจี้ให้ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) เร่งติดตามตัวมาดำเนินคดีให้ได้



แม้แกนนำนปช.จะนำตัวชายชุดดำคนดังกล่าวมาแถลงข่าว ระบุชื่อชัดเจนว่าคือ นายมานพ ชาญช่างทอง การ์ดอาสา ที่ทำอาชีพเก็บของเก่า และมีหน้าที่คอยซื้อหนังสือพิมพ์ให้แกนนำ 



แต่สุดท้ายหลังการชุมนุม นายมานพก็ตกเป็นจำเลยลำดับที่ 22 ในข้อหาก่อการร้าย ต้องถูกขังอยู่ในเรือนจำนานนับเดือน จนมีผู้ใหญ่คนหนึ่ง ใช้เงิน 6 แสนบาทยื่นประกัน และอยู่ระหว่างการรอฟังคำสั่งของศาลในวันที่ 29 พ.ย.



นายมานพกลับมาเป็นที่สนใจอีกครั้ง เมื่อคดี 98 ศพทยอยขึ้นสู่ชั้นศาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกฯ และ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกฯ และอดีตผอ.ศอฉ. ต่างต้องวิ่งรอกให้การคดี 98 ศพ ทั้งที่ศาลและดีเอสไอ



ระหว่างนี้เองลูกพรรคประชาธิปัตย์ นำภาพนายมานพสวมไอ้โม่งใส่ชุดดำถือปืนออกมาประโคมอีกครั้ง



"ข่าวสด" จึงติดตามหาตัวของ "มานพ" เพื่อให้เล่าถึงชีวิตและความเป็นอยู่ของเขาตั้งแต่ก่อนชุมนุมจนกระทั่งปัจจุบัน 



ภาพแรกที่พบเห็นเมื่อไปถึง คือ "มานพ"ในชุดเสื้อยืดสีดำ กางเกงขาสั้น กำลังแยกขยะพลาสติกเพื่อเอาไปขายภายในกระต๊อบเล็กๆ ย่านบางบัวทอง ที่ใช่แผ่นป้ายโฆษณามาทำเป็นฝาบ้าน และใช้สังกะสีเก่าๆ มุงหลังคา ที่อยู่กับภรรยาและลูกรวม 4 คน ขณะที่อีกมุมหนึ่งยังเลี้ยงเป็ดและปลูกผักเล็กๆ น้อยๆ ไว้กิน



"มานพ"เล่าให้ฟังถึงการเข้าไปร่วมชุมนุมจนกลายเป็นชายชุดดำว่า "ผมร่วมชุมนุมตั้งแต่ 12 มี.ค.53 ที่เวทีผ่านฟ้าฯ เพราะเห็นว่ากลุ่มอำมาตย์เอาประชาธิปไตย ของประชาชนไป ต่อมาก็ตามไปชุมนุมที่ราชประสงค์ แล้วสมัครเข้าไปเป็นการ์ดอาสา โดยเข้าเวรตั้งแต่เที่ยงคืนถึงเช้า ก่อนออกเวรก็มีหน้าที่ไปซื้อหนังสือพิมพ์ให้แกนนำ ส่วนเวลาอื่นๆ ก็จะเดินเก็บขวดน้ำ กระป๋องน้ำอัดลม เอาไปขายหารายได้เสริม"



"จนกระทั่งวันที่ 10 เม.ย.53 ผมอยู่ที่แยกราชประสงค์ แต่ก็ติดตามฟังการชุมนุมที่ผ่านฟ้าฯตลอด จนช่วงค่ำ แกนนำสั่งให้เคลื่อนย้ายผู้ชุมนุมไปช่วย ผมก็ไปด้วย เมื่อไปถึงก็ไปตรงแยกคอกวัว ใกล้กับโรงเรียนสตรีวิทยา สักประมาณเกือบเที่ยงคืน เสียงปืนเงียบลงแล้ว เห็นกลุ่มทหารกว่า 30 นาย พร้อมอาวุธปืน ตกอยู่ในวงล้อมคนเสื้อแดง จึงประสานแกนนำว่าทำอย่างไรดี เพราะปล่อยไว้คงเกิดอันตรายแน่ จากนั้นผมจึงเข้าไปพูดคุยกับนายทหารที่คุมกำลังเพื่อขอปลดอาวุธเพื่อความปลอดภัย เขาก็ยอม ผมจึงถือปืน ทาโวร์ 4 กระบอก เอ็ม 16 อีก 1 กระบอก ไปให้แกนนำที่เวที"



"ส่วนที่มีรูปผมถือปืนก็ผมเป็นคนเดินนำไป เขาก็ถ่ายรูปผมได้ แล้วกลายเป็นว่าผมถูกกล่าวหาเป็นชายชุดดำ เอาปืนมายิงกับทหาร ทั้งที่ถือปืนเยอะขนาดนั้นจะเป็นไปได้ยังไงที่จะยิงได้ สำหรับเรื่องเสื้อดำ หมวกไอ้โม่งก็ใส่จริง เพราะคิดว่าเท่ดี แล้วผมก็เป็นคนหัวล้าน อยู่บ้านก็ใส่ ถุงมือที่ใส่ก็เอาไว้ปาแก๊สน้ำตาที่เจ้าหน้าที่ยิงใส่ ถ้ารู้มาก่อนว่าใส่ไม่ได้ผมคงไม่ทำหรอก" มานพเล่าด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่าย 



"หลังมีภาพผมออกไปก็มีคนมาใส่ร้ายว่าเป็นผมเป็นผู้ก่อการร้าย ก็ออกมาแถลงพร้อมแกนนำแล้วรอบหนึ่ง นึกว่าจะจบแล้ว แต่หลังจากการชุมนุม ที่ผมหลบอยู่ภายในวัดปทุมวนาราม มีเสียงปืนดังตลอดคืน จนกระทั่งตำรวจเข้าไปช่วย ก็กลับบ้านที่บางบัวทอง พร้อมขับซาเล้งเก็บขวดเหมือนเดิม





มาอยู่บ้านได้แค่ 2 เดือน ก็มีเจ้าหน้าที่ดีเอสไอกว่า 30 คน นำหมายจับคดีก่อการร้ายมาจับผม ตั้งข้อหาขโมยปืน แล้วบุกรุกโรงแรมเอสซี ปาร์ค โรงแรมนั้นอยู่ไหนผมก็ไม่รู้ พยายามอธิบายอย่างไรก็ไม่มีใครเชื่อ จนต้องนอนคุกอยู่หลายเดือน จนมีคนมาช่วยประกันตัวชั่วคราว ซึ่งก็รอดูอยู่ว่าศาลจะมีคำสั่งในคดีนี้ว่าอย่างไร 



หากผมเป็นผู้ก่อการร้ายจริง คงไม่ต้องมาอยู่กระต๊อบโทรมๆ เก็บขยะหาของเก่ามีรายได้เฉลี่ย 2-3 วันเพียงแค่ 300 บาทอย่างนี้หรอก ผมหวังแค่ความเป็นธรรม ซึ่งเชื่อว่าสังคมไทยน่าจะยังมีอยู่"

นี่คือเสียงของชายชุดดำ ที่เก็บขยะขายเป็นอาชีพ


..........................................................





ผมหวังแค่ความเป็นธรรม ซึ่งเชื่อว่าสังคมไทยน่าจะยังมีอยู่"

นี่คือเสียงของชายชุดดำ ที่เก็บขยะขายเป็นอาชีพ


แล้วนักการเมืองอย่างประชาธิปัตย์ที่มี นักกฏหมา......ย มาร่วมทำงานมากมายคิดได้บ้างไหม

เห็นคุณค่าคนจนๆคนธรรมดาบ้างไหม ..คงจะไม่แน่ๆเพราะล่าสุด ได้นักร้องสาวนักกฏหมาย อย่าง ศิรินทรา นิยากร ไปร่วมงานเดินตาม สดใส รุ่งโพธิ์ทอง ล่าสุดได้ข่าวว่า จีบตื้อ รุ่ง  สุริยา กลางงานเลื้องของพรรค.. ตามสบายเถอะครับ  สำหรับคนที่ไปร่วมมือร่วมงานกับ คนใจหยาบชั่วช้าบาปหนาที่สั่งฆ่าประชาชน ชาวบ้านเขามีคำตอบอยู่ในใจแล้ว ว่า คนพวกนี้ อนาคตจะเป็นเช่นไร ...



..........

ไม่มีความคิดเห็น: