วันอังคารที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ระยำจริงจิ๊ง ไอ้พวก ‘ประชาธิเปรต’ เนี่ยะ!!!

วาทตะวัน สุพรรณเภษัช
      

  มเป็นแฟนที่ติดตามข่าวคราวของคุณ อองซาน ซูจี มายาวนาน นึกชมน้ำใจในความกล้าหาญ เสียสละ ของวีรสตรีชาวพม่าท่านนี้ และเคยเขียนถึงหลายครั้ง แต่ที่มีผู้ติดตามอ่านมากเกือบ 7 พันคน คือบทความชื่อ 
        ‘ดอกไม้เหล็ก’ แห่งอิระวดี - ‘ดอกทองกาลี’ แห่งเจ้าพระยา!          (http://vattavan.com/detail.php?cont_id=269)

        คำว่า ‘ดอกไม้เหล็ก’ แห่งอิระวดี นั้น ท่านผู้อ่านคงเดาได้ว่าจะต้องเป็น อองซาน ซูจี เป็นแน่แท้ แต่อาจมีผู้สงสัยว่า แล้ว ดอกทองกาลี’ แห่งเจ้าพระยา!  คือใครกันแน่?
        ทำไมถึงต้อง ยกให้เธอว่า เป็นผู้หญิง
        “ดอกทอง”
        ตรงนี้ต้องขอบอกว่า ลุ่มน้ำเจ้าพระยาของเรานั้น ก็เฉกเช่นบ้านเมืองอื่น ที่ “ดอกทอง” บานสะพรั่ง แต่สุวรรณบุบผาดอกไหนเล่า ที่เมื่อเธอขึ้นมามีอำนาจ เป็นใหญ่เป็นโตในแผ่นดิน แล้วถูกเลื่องลือให้ฉายาอย่างนั้น
        จะเป็นใครกันแน่?
        ท่านที่ยังไม่ได้อ่าน ต้องเข้าไปดูคำเฉลย ที่ผู้เขียนได้ระบุตัวตนเธอเอาไว้แล้ว
        ต้องขอบคุณที่มีผู้นำบทความนี้ ไปเผยแพร่ในที่ต่างๆกัน หลายเว็บไซด์ด้วย

content/picdata/364/data/photo6.jpg
       
วันนี้ ต้องพูดถึงคุณ อองซาน ซูจี อีกครั้ง เพราะเมื่อผมเห็นภาพสตรีเหล็กคนนี้ เดินเข้ารัฐสภาประเทศเมียนมาร์ หรือที่เราเรียกติดปากว่า “พม่า” แล้ว เกิดอาการ...
        ขนลุก!        
การปรากฏกายของเธอ ด้วยการเดินตัวตรง เชิดหน้า อกผึ่ง ผ่านเหล่าแม่ทัพนายกองของพม่านั้น เปรียบดั่งนางพญาสีหราช จ่าฝูงสิงโตผู้เป็นใหญ่ แห่งบรรดาสรรพสัตว์ทั้งหลาย กำลังเยื้องกรายผ่านฝูง “หมาใน” ไม่มีผิด
        แม่คุณเอ๋ย...ช่างงามสง่า ทระนงองอาจยิ่งนัก เป็นบุญตาที่ได้เห็นจริงๆเชียว!
       
เมื่อนางพญาสิงห์ อองซาน ซูจี ชนะการเลือกตั้งซ่อม และกำลังจะนำสมาชิกพรรค เข้าสู่รัฐสภาของพม่า เธอทำให้ผู้คนในแดนหม่องต่างต้องใจหายใจคว่ำกันอีกครั้ง เนื่องจากสตรีขวัญใจชาวพม่า ปฏิเสธที่จะไม่เข้าร่วมประชุมสภา
       

ทั้งนี้เพราะ...
        เธอไม่พอใจ “คำปฏิญาณตน” ตามที่ระบุในรับธรรมนูญหมาดๆของพม่า และขอให้แก้ไขเปลี่ยนแปลงถ้อยคำปฏิญาณตนเสียใหม่ จากคำว่า “พิทักษ์” รัฐธรรมนูญ มาเป็นคำว่า “เคารพ” รัฐธรรมนูญ เท่านั้น

        เหตุการณ์ระทึกนั้น ได้คลี่คลายลง เพราะ อองซาน ซูจี หลีกเลี่ยงความขัดแย้ง ด้วยการยอมไปกล่าวคำปฏิญาณตนในรัฐสภา ท่ามกลางเสียงถอนหายใจ อย่างโล่งอกของชาวพม่า
        อย่างไรก็ตาม ปฏิกิริยาของเธอ ทำให้ชาวโลกได้เห็นอย่างมีนัยยะสำคัญว่า แม้จะมีสัญญาณประชาธิปไตยในพม่า แต่นางพญาสิงห์อย่าง อองซาน ซูจี ได้แสดงการคัดค้านเอาไว้ เป็นหลักเป็นฐานอย่างมีนัยยะสำคัญเรียบร้อยแล้ว 
       
นั่นหมายความ ว่า
        อองซาน ซูจี ได้แสดงให้โลกเห็นแล้วว่า รัฐธรรมนูญของพม่า ยังไม่มีความเป็นประชาธิปไตย เยี่ยงนานาอารยะประเทศ และเธอทิ้งหลักฐานฟ้องโลกเอาไว้ ด้วยท่าทีไม่ยอมรับแม้กระทั่งการปฏิญาณตน ซึ่งเป็นบทแรกของการทำหน้าที่สมาชิกสภา        ตรงนี้เอง...ต่างกับบ้านเรานัก!
       

ารคัดค้านเรื่อง “คำปฏิญาณ” ของ “ดอกไม้เหล็กแห่งอิระวดี” อย่าง อองซาน ซูจี ทำให้ผมนึกถึงเรื่อง “คำปฏิญาณ” ที่ตัวเองเขียนไว้ตั้งแต่สิบปีที่แล้ว ในคอลัมน์ “กาแฟขม...ขนมหวาน” ตอนที่ 54 ซึ่งเผยแพร่ในเว็บไซด์ http://www.manager.co.th/ เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2545 
       

ผมเล่าเอาไว้ว่า
        ...สหรัฐอเมริกานั้น รัฐธรรมนูญเป็นของศักดิ์สิทธิ์อย่างแท้จริง เพราะประเทศของเขานั้น ตั้งขึ้นมาบนดินแดนใหม่ เมื่อ ประกาศตนเป็นเอกราชแล้ว ไม่มีสถาบันใดที่จะเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของประชาชนได้ จึงได้ร่างรัฐธรรมนูญเป็นหลักในการปกครองประเทศ ที่ทุกคนต้องเคารพ และปฏิบัติตามบทบัญญัติที่วางไว้โดยรัฐธรรมนูญอย่างเคร่งครัด         เมื่อศาลสูงของประเทศสหรัฐ ได้วินิจฉัยปัญหาข้อขัดแย้งทางรัฐธรรมนูญแล้ว ทุกอย่างยุติลงอย่างเด็ดขาดโดยสมบูรณ์
        ฉะนั้น ผู้ที่เข้ารับตำแหน่งสำคัญภาครัฐ ในสหรัฐอเมริกา ต้องปฏิญาณตนว่า จะต้องจงรักภักดีต่อรัฐธรรมนูญ เพราะกฎหมายของรัฐธรรมนูญของเขา บัญญัติเอาไว้ชัดเจนในเรื่องนี้ โดยผมจะยกเอาคำสาบาน ต่อพระคัมภีร์ไบเบิล ของผู้เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีมาให้ท่านดู ดังต่อไปนี้
        (The Presidential Oath of Office
        The oath to be taken by the president on first
entering office is specified in  Article II, Section 1, of the Constitution :)
        “I do solemnly swear (or affirm) that I will faithfully execute the office of President of the United States, and will to the best of my ability, preserve, protect, and defend the Constitution of the United States . ”
        ชัดเจนว่าผู้ที่จะเข้าดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ต้องรักษา ปกป้อง และต่อสู้ป้องกันรัฐธรรมนูญ อย่างเต็มกำลัง!
        รัฐธรรมนูญไทยนั้น มีบทบัญญัติให้ผู้มีตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญบางตำแหน่ง ต้องถวายสัตย์ปฏิญานตนก่อนเข้ารับตำแหน่ง ต่อองค์พระประมุขของชาติ ว่า
        “ข้าพเจ้า (ชื่อผู้ปฏิญาณ) ขอปฏิญาณว่า จะจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ (พระปรมาภิไธย) และจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ของของประเทศและประชาชน ทั้งจะรักษาไว้ และปฏิบัติตามซี่งรัฐธรรมนูญโดย ทุกประการ”
        แค่นี้เราก็เห็นชัดแล้วว่า คำปฏิญาณของเรานั้นความเข้มข้นในส่วนที่เกี่ยวข้องรัฐธรรมนูญนั้น น้อยกว่าฝ่ายอเมริกันมาก               อีกทั้งรัฐธรรมนูญของเรา ก็ไม่ได้บัญญัติให้ ทหาร ตำรวจ พลเรือน กล่าวคำปฏิญาณ เช่นเดียวกับผู้มีตำแหน่งกำหนดตามรัฐธรรมนูญ หากแต่ทหาร ตำรวจ จะถวายคำสัตย์ปฏิญาณต่อองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หรือธงไชยเฉลิมพลตามแบบธรรมเนียมของทหาร ตำรวจ ส่วนข้าราชการพลเรือนนั้นไม่ต้องทำเลย      
        แต่คนอเมริกันต้องทำ!
        อยากจะชี้ให้ท่านผู้อ่านเห็นข้อแตกต่างสำคัญ ที่ผมสังเกตเห็นนานมาแล้ว นั่นคือ
        คนต่างด้าวที่ได้รับสัญชาติไทยเพราะ การโอนชาติ หรือเข้าถือสัญชาติตามสามี (ไม่มีการเข้าถือสัญชาติไทยตามภริยา) นั้น 

        เมื่อมีการประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว คนต่างด้าวที่ได้รับสัญชาติไทย จะต้องไปที่กองตำรวจสันติบาล เจ้าหน้าที่ตำรวจอาจเป็นแค่ จ่ากองร้อย หรือนายร้อยเด็กๆ จะพาไปทำความเคารพพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และธงชาติไทย ในที่ทำการของสันติบาล แล้วให้ผู้ที่จะได้รับการโอนสัญชาติ กล่าวคำปฏิญาณว่า        จะจงรักภักดีต่อชาติและพระมหากษัตริย์ ตามคำบอกนำโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งไม่มีเรื่องรัฐธรรมนูญรวมอยู่ด้วยเลย จากนั้นก็จะได้รับเอกสารราชการ เพื่อไปแจ้งนายทะเบียนท้องถิ่นเพื่อแก้ไขสัญชาติในทะเบียนบ้าน เป็นสัญชาติไทย เป็นอันเสร็จพิธี      
        ดูไปก็เรียบๆ ไม่ค่อยจะมีความขลัง และศักดิ์สิทธิ์ เท่าที่ควร      
        คราวนี้หันไปดู สหรัฐอเมริกากันบ้าง...
        สหรัฐอเมริกาถือว่าเรื่องนี้สำคัญอย่างยิ่ง คนต่างด้าวที่จะได้เป็นอเมริกันชน ต้องสาบาน ต่อหน้าผู้พิพากษา กระทำกันในศาลแห่งมลรัฐ และในคำสาบานนั้นก็มีข้อความเหมือนกับของประธานาธิบดีสาบาน คือ               ต้องรักษา ปกป้อง และต่อสู้ป้องกัน รัฐธรรมนูญของสหรัฐ!      
        นี่เอง เป็นการฉีดโอสถของความรักชาติ เข้าไปในสายเลือดของอเมริกันชน!      
        แต่...รัฐธรรมนูญของสหรัฐก็ไม่ได้เป็นของทิพย์ ของเทวดา ที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ การแก้ไข หรือที่เรียกว่า Amendment เกิดขึ้นหลายครั้ง เมื่อสมาชิกรัฐสภาเห็นว่า
        จำเป็นต้องเปลี่ยน เพื่อให้สอดคล้องกับภาวะของบ้านเมือง และโลก!
        นั่นเป็นเรื่อง “คำปฏิญาณ” ที่ผมเคยเขียนเอาไว้ เมื่อกว่าสิบปีมาแล้ว แต่เรากลับมามองเรื่อง ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน จะเห็นได้ว่า
        เมื่อทหารไทยภายใต้การนำของ พล.อ.สนธิ “ไอ้บัง กบฏ” บุณยะรัตกลิน ทุบรัฐธรรมนูญปี พ.ศ.2540 ที่พี่น้องประชาชนคนไทยได้ร่วมกันร่างขึ้นมา จนแตกละเอียดไม่เป็นชิ้นดี ด้วยการทำ “รัฐประหาร” เมื่อ 19 ก.ย.2549 นั้น
        ได้ทำความ “ฉิบหาย” ให้บ้านเมืองของเรา จนถึงทุกวันนี้!         เศรษฐกิจของประเทศต้องถดถอย ความแตกแยกอย่างหนัก เกิดขึ้นในประเทศที่รักของเรา และไทยต้องสูญเสียความเป็นผู้นำ ในประเทศกลุ่มอาเซียนไป แบบกู่ไม่กลับ มิหนำซ้ำประเทศไทยของเรา ได้กลายเป็น...         “ประเทศเจ้าปัญหา” ของอาเซียนไปแล้วด้วย!        ผมเองนั้น ได้เห็นความเลวระยำ ในสิ่งที่ “ไอ้บัง กบฏ” กับพวกมันสร้างขึ้น ตั้งแต่เข้ามายึดอำนาจในบ้านเมืองของเรา และผมเรียก “กฎหมาสูงสุด” ที่พวกมันร่วมร่างกันขึ้นมา เพื่อบีบหัวกบาลพี่น้องประชาชนคนไทย อย่างเย้ยหยันว่า
        “รัดทำมะนวย...ฉบับหัวคูณ”        ไม่ยอมเรียกว่า “รัฐธรรมนูญ” เด็ดขาด!
        พอหนังสือ “รัดทำมะนวย...ฉบับหัวคูณ” ออกสู่สายตาพี่น้องประชาชน มีไอ้พวกเลียตูดรัฐประหาร ออกมาต่อว่าต่อขาน กล่าวหาว่าผม “ดูถูก” กฎหมายสูงสุดของประเทศ ที่ผ่านสภาระยำหมาของพวกมันไปแล้ว
        แม้กระทั่ง “ไอ้หน้าแหลมฟันดำ” มันยังเสือกผสมโรง “ขู่” ด้วยว่า จะไปแจ้งความดำเนินคดีกับ “วาทตะวัน” แต่ผมด่ามันกลับไปแบบเช็ดเม็ด แถมยังเปิดเผยด้วยว่า
        ไอ้หน้าแหลมกาลีตัวนี้นั้น มันเป็นพวก “เซ็กจัด-บ้ากาม” เคยล่วงละเมิดทางเพศหญิงสาว หลายครั้งหลายหน ด้วยการข่มขืนข้าราชการเด็กๆ ในสภาคลอนแคลนแห่งชาติ จนเป็นที่รู้กันไปทั่ว แต่ในตอนนั้นเด็กสาวที่น่าสงสาร ที่ต้องตกเป็นเหยื่อกามของมัน ไม่กล้าไปแจ้งความ เพราะกลัวอิทธิพลของของไอ้เฒ่าเซ็กวิปริตตัวนี้ นั่นเอง         มันเลยเงียบไป...ไม่กล้าตอแยกับผมอีก!
        น่าแปลกใจมาก ที่สมาชิก “สภาท่าจะบ๊อง” ในตอนนี้บางส่วน กางขาผวาปีกปกป้องรัดทำมะนวยฯ ที่คณะรัฐประหารสร้างขึ้น โดยไม่ยอมให้มีการแก้ไข เหมือนไม่ยอมหลุดจากความเป็นทาสรัฐประหาร
        ผมไม่รู้ว่า หัวไอ้พวกนี้ ทำด้วยอะไรกันแน่ แต่รู้ว่าไอ้ที่บรรจุอยู่ในกะโหลกของพวกมัน
        ต้องเป็น “ขี้” แน่ๆ!
        ยิ่งไปกว่านั้น ไอ้ สอ.สอ.บุญยวบฯ แห่งแก๊งประชาธิเปรต ยังไม่สาแก่ใจ ถึงขั้นต้องแหกปากร้องตะโกนสรรเสริญ “ลัทธิเผด็จการ” ถึงในสภา ด้วยการร้องตะโกนว่า
        Hein Hitler!
        คำว่า Hein เป็นภาษาเยอรมัน ภาษาปะกิตใช้ Hail ซึ่งแปลว่า การโห่ร้อง อวยชัย ต้อนรับ เช่น อเมริกันมีเพลงสำหรับประธานาธิบดี ชื่อ Hail to the Chief ที่แพร่หลาย และคุ้นหูผู้คนเพราะเปิดเสมอ ยามประธานาธิบดีสหรัฐออกมาปรากฏกาย ต่อหน้าสาธารณชน
        ท่านผู้อ่าน ที่เคารพครับ…
        ตั้งแต่อดีตกาลนานมาแล้ว เมื่อประเทศสาระขันขัน เขาจัดให้มีเลือกตั้งเมื่อใด นักการเมืองแห่งแก๊งกาลี ต่างขมีขมันพากันหาเสียง เข้าสู่ “สภา” ตามระบอบประชาธิปไตยเมื่อนั้น
        แต่...
        เมื่อเหตุการณ์ผันแปร พวกทหารเข้ามายึดอำนาจบ้านเมือง ได้ แล้วประกาศยุบสภา ไอ้นักการเมืองแก๊งโสโครก มันไม่ได้ใส่ใจ ปกป้องระบอบประชาธิปไตยแม้แต่น้อยนิด ต่างเตลิดกันไปทางใครทางมัน         ฉะนั้น ระหว่างการปกครองของพวกทหาร ชาวบ้านจึงไม่เคยเห็นหน้าไอ้พวกนี้ ร่วมในการต่อสู้ เรียกร้องสิทธิเสรีภาพของพลเมืองเลย         เราจึงได้เห็นพวกมันเอาเวลา ระหว่างที่ทหารยึดบ้านเมือง ไปขายยาอม ขายหมากหอม รับจ้างวิ่งความ (ไม่ได้ “ว่าความ”) เปิดเต็นท์ขายรถมือสอง เล่นมโนราห์ฯลฯ ทำมาหากินไปตามเรื่องของพวกมัน
        เพื่อรอเวลา “ฟ้าการเมือง” เปิดขึ้นมาใหม่! 
        ระหว่างนั้น ไอ้ที่ว่างมากนัก ก็ “เล่น” เมียเพื่อนร่วมพรรค ไปพลางๆ โดยไม่สนใจเสียงนินทา ก่นด่า จากผู้คนเอาซะเลย!!
        ครั้นเมื่อมีการ “ตีเกราะเคาะกะลา” เลือกตั้งกันเมื่อใด ไอ้
จกเปรตพวกนี้ พากันกระวีกระวาด โผล่หน้าออกมาให้เห็น รีบกลับมาหาเสียง เพื่อจะเข้าไป “ทำมาหาแดก” ในสภารอบใหม่กันอีก
        มันเป็นอย่างนี้....ครับท่าน!
        ยามนี้พี่น้องเพื่อนร่วมชาติ ต้องการรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนขึ้นมาใหม่ เพื่อสลัดคราบไคลของการรัฐประหาร แต่บรรดาพลพรรคของไอ้แก๊งนรกแตก มันออกอาการขัดขวาง และสำแดงฤทธิ์เดช ประกาศเจตนา ที่จะพิทักษ์ “รัดทำมะนวย ฉบับหัวคูณ” ที่ไอ้พวกทหารเผด็จการ มันยัดเยียดให้ผู้คนในบ้านเมือง แบบสุดลิ่มทิ่มประตู
        ชาวบ้านมองดูพฤติกรรม ในสภาสาระขันขันแล้ว พากันส่ายหน้า พากันวิพากษ์วิจารณ์ว่า
        ไอ้พวกเวรตะไลแก๊งนี้ มัน ‘สิ้นคิด’ ทำได้แม้กระทั่งตะโกนสรรเสริญ จอมเผด็จการอย่าง “ฮิตเลอร์” ที่หาชีวิตไม่แล้ว เพราะตายโหงตายห่าไปแล้ว นานเกินกว่าอายุพรรคกาลีของพวกมันด้วยซ้ำ!!


        ระยำจริงจิ๊ง ไอ้พวก ‘ประชาธิเปรต’ เนี่ยะ!!!


*********


ท้ายบท ท่านผู้ออกความเห็น ในคอลัมน์สัปดาห์ที่แล้ว
        “วอชด๊อก-วอชแด๊ก!” (กลัวอะไรกับมัน...ไอ้พวกขี้แพ้!!)         (
http://vattavan.com/detail.php?cont_id=363)       

ไม่มีความคิดเห็น: