วันพฤหัสบดีที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2555

ชื่อนั้น...สำคัญแน่ๆ!!!

                                              


วาทตะวัน สุพรรณเภษัช

     ช้าวันนี้ จิบกาแฟขมแล้ว มีคุ้กกี้จากโรงแรมโอเรียลเต็ล รับประทานควบคู่ไปด้วย เป็นอภินันทนาการจากเพื่อนเก่า แปลกตานิดหน่อยตรงที่โอเรียลเต็ลเขานำคุ้กกี้มาห่อกระดาษ แล้วบรรจุใส่กระป๋องสีแดงกระแจ๋แหว เวลากินต้องเปิดกระป๋อง หยิบคุ้กกี้มาแกะกระดาษออก แล้วถึงจะส่งเข้าปากได้
        กระนั้น ก็ต้องบอกว่า
        รสชาติของโอเรียลเต็ล...ยังดีเยี่ยมเสมอ!
        ระหว่างบริหารร่างกายหลังการวิ่งตอนเช้า ผมถือโอกาสดูรายการข่าวโทรทัศน์ของ อ.ส.ม.ท. พร้อมกันไปด้วย
        เช้าตรู่อย่างนี้ ผมชอบดู “คุยโขมงยามเช้า” ซึ่งดำเนินรายการโดย คุณสุวิช สุทธิประภา กับ คุณภรภัทร นีลภัทร ทั้งสองเป็นพนักงานผู้ใหญ่ของ อ.ส.ม.ท. มีความจัดเจนในเรื่อง
ข่าวสาร และมีความเป็นกลาง ในการนำเสนอรายงานข่าว ซึ่งหาได้ยากยามที่บ้านเมืองของเรา แยกข้างแบ่งขั้วกันอย่างทุกวันนี้
        ที่สำคัญและเป็นเสน่ห์ ของผู้ดำเนินรายการทั้งสองท่าน คือเสียงของผู้ชมและผู้ฟังรายการ ทั้งโทรทัศน์และวิทยุในเครือ อ.ส.ม.ท. ต่างยืนยันตรงกันว่า ผู้ดำเนินรายการทั้งสอง นั้น
        เป็นผู้มี...อารมณ์ดี!!
        คุณภรภัทรฯ หรือคุณแดง นั้น เป็นสาว ต.จ.ว. เพราะเธอมาจาก “เมืองอกแตก” คือ จ.พิษณุโลก
        จำได้ว่า คุณแดงเปลี่ยนชื่อจริงมาแล้วหลายครั้ง (แต่ดูเหมือนยังไม่เคยเปลี่ยน ‘ชื่อเล่น’) ล่าสุดนั้น ดูจะมาถูกโฉลกกับชื่อ “ภรภัทร” เพราะแม้อายุเธอจะมากขึ้น แต่ความก้าวหน้า
ในหน้าที่การงาน กลับงอกงามเปล่งปลั่ง ราวกับกุหลาบพันปี
        แม้วัยจะโพล้เพล้แล้ว แต่ยังมีงานให้ทำ มากกว่าเมื่อครั้งยังเป็นสาวรุ่นเสียอีก!
        ที่กล่าวอย่างนั้น เป็นเพราะเธอได้เป็นผู้ดำเนินรายการ ทั้งโทรทัศน์และวิทยุ หลายรายการ จะมีเวลาหยุดเลี้ยงหลาน ก็แค่เสาร์-อาทิตย์เท่านั้น
        สำหรับคุณสุวิช สุทธิประภา คู่หูของคุณแดง ไม่ได้เปลี่ยนชื่อ แต่ชื่อที่ใช้อยู่นั้น “สุ” แปลได้ว่า ดี ส่วน “วิช” นั้น ในพจนานุกรมไทยฉบับล่าสุด ไม่มีคำๆนี้ปรากฏอยู่ แต่น่าจะเป็นคำย่อมาจาก “วิชชา” ซึ่งแปลว่า ความรู้แจ้ง นั่นเอง
        ดังนั้น ชื่อ “สุวิช” น่าจะแปลได้ว่า “วิชชาดี” หมายถึง “วิชชา 3” ตามพระบาลี
        ชื่อของคุณสุวิช ที่แปลความได้ว่า “วิชชาดี” นั้น ไม่เห็นมีอะไรที่เกี่ยวกับ “น้ำ” เลยกันน้ำท่วมบ้านไม่ได้ เพราะบ้านของคุณสุวิชที่หมู่บ้าน “เมืองเอก” ประสพอุทุกภัยขนาดหนัก
เมื่อปีที่ผ่ามา จนแปรสภาพจากหมู่บ้าน กลายเป็น “เมืองบาดาล” ไป
        คุณสุวิชเจ้าของบ้าน ต้องระทมทุกข์ น่าเห็นใจมาก!
        มีคนบอกผม ให้ช่วยเขียนแนะนำคุณสุวิช ลองใช้ ด.เด็ก มาสะกดแทน ช.ช้าง เป็น
        “สุวิด”         อาจดีขึ้นก็ได้ เพราะคำว่า “วิด” หมายถึงการทำให้น้ำพร่องลง ดังนั้น “สุวิด” จึงหมายความว่า
        “ผู้ทำให้น้ำพร่องลงได้ เป็นอย่างดี”         หากสะกดชื่อแบบนี้ น้ำมันอาจกลัว จนไม่กลับมาท่วมบ้านผู้ดำเนินรายการคนเก่งของเรา ก็เป็นไปได้
        ผมจึงขอทำหน้าที่ “บุรุษไปรษณีย์” นำความเห็นของผู้อื่น มาบอกกล่าวกับคุณสุวิชเท่านั้น แต่ออกความเห็นไม่ได้ เพราะไม่เคยร่ำเรียน วิชาการเปลี่ยนชื่อ มาก่อนเลย
        ารตั้งชื่อ การเปลี่ยนชื่อ นามสกุลนั้น ดูท่าจะมีความสำคัญมาก เพราะการตั้งชื่อ นามสกุล นั้น หากเป็นชื่อดี นามสกุลดี โบราณท่านว่า
        จะเป็นศรีแก่ตัวเจ้าของชื่อ ไม่ว่าจะเป็นชื่อคนธรรมดา หรือเป็นชื่อกิจการเช่น ชื่อบริษัท ห้างร้าน หรือแม้แต่...
        ชื่อสินค้า!        ผู้ที่ตั้งชื่อเก่งที่สุดคนหนึ่งของประเทศไทย ตามความเห็นของผมและคนจำนวนมาก คือ ท่าน ศาสตราจารย์ เสฐียรพงษ์ วรรณปก ราชบัณฑิตสาขาศาสนศาตร์ แห่งค่าย ‘มติชน’
        บริษัท ร้านค้า ที่เปิดใหม่ อยากจะให้กิจการค้าขายดี โดยมีชื่อสถานการค้าของตน เป็นมงคลต่อกิจการ      
        ต้องคนนี้แหละ...ใช่เลย!
        ชื่อคนนั้น อาจารย์เสถียรพงษ์ ท่านตั้งได้ยอดเยี่ยม เพราะดีกรีของท่านนั้น นอกจากเป็นสามเณร เปรียญ 9 รูปแรก ในรัชกาลปัจจุบันแล้ว ท่านยังเชี่ยวชาญในด้านนิรุกติศาสตร์ เพราะเมื่อครั้งยังอยู่ใน “ดงขมิ้น” ท่านได้รับทุนไปศึกษาด้านนี้ ที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ประเทศอังกฤษ
        จึงมีคนไปให้ท่านอาจารย์เสฐียรพงษ์ฯ ตั้งชื่อและนามสกุลให้มากมาย โดยเฉพาะ...
        ชื่อลูก...ชื่อเด็ก!

            
        ท่านเขียนหนังสือที่ขายดีตลอดกาล เรื่อง การตั้งชื่อลูก พิมพ์ออกมานับ 10 ครั้งแล้วกระมัง 
        ดังนั้น ใครอยากได้ชื่อใหม่แทนชื่อเก่า ขอแนะนำให้ไปหาท่าน ไม่ผิดหวังแน่ หรือไปซื้อหนังสือของท่านมาอ่าน เพราะจะได้ชื่อเก๋ๆ ที่เป็นมงคล มานำหน้านามสกุล หรือใคร
เห็นว่า นามสกุลเก่าของตัวฟังดูเชยๆ รีบไปหาท่านเลย
        รับรอง ไม่ผิดหวัง!!      
        เรื่องชื่อนั้น ใช่แต่ชื่อคน ชื่อบริษัทห้างร้านตามที่เล่ามาเท่านั้น แม้แต่ชื่อหนังหรือภาพยนตร์นี่ ก็เอาเรื่องทีเดียว
        หากหนังดีแต่ชื่อเรื่องห่วย ก็จะพาลเจ๊งเอาง่ายๆเหมือนกัน หรือตั้งไม่เข้าท่า ตัวเจ้าของหนังเองนั่นแหละจะซวย มีเรื่องขอเล่าให้ฟังสักหน่อย
        เมื่อประมาณ 30 กว่าปี เห็นจะได้ ผมกำลังนั่งรับประทานอาหารกับคุณ เกชา เปลี่ยนวิถี ที่คอฟฟี่ชอปโรงแรมเพรสสิเดนท์เดิม มีนักสร้างหนังหน้ากลางเก่ากลางใหม่คนหนึ่ง เดินเข้ามายกมือไหว้ผมและคุณเกชา แล้วเล่าให้ฟังว่า
        เขาจะสร้างหนังเรื่องใหม่ และเห็นว่าชื่อหนังเรื่องใหม่ของตัวเองนั้น น่าจะเร้าใจมาก สมกับยุค (ตอนนั้นเป็นสมัยหนัง ‘บู๊’ กำลังขึ้นหม้อ) และขอความเห็นว่า
        ชื่อหนังใหม่ที่เขาตั้งมานั้น จะโดนใจท่านผู้ชมหรือไม่ เพราะชื่อที่ตั้งมา คือ
        “สิงห์เหนือ เสืออิสาน...อันธพาลใต้” 
        พอเจ้าของหนังพูดจบ เท่านั้นแหละครับ...คุณเกชาตบโต๊ะเปรี้ยงเข้าให้ พูดเสียงเครียดขึ้นมาทันทีว่า
        “ถ้าหนังของมึง ไปฉายเลยบางสะพานได้ กูยอมนอนให้มึงกระทืบ!”
        ดูซิครับ คนอะไรหนอ ช่างอ่อนแอทางปัญญาได้ถึงนี้ แค่ตั้งชื่อยังไม่ทันจะดูหนัง มันก็ไป กล่าวหาเขาแล้วว่า ‘คนใต้’ เป็นอันธพาลเข้าไปแล้ว
        ไม่มีใครเขายอม ง่ายๆหรอก!     
        ผมจึงเห็นด้วย กับคุณเกชาทุกประการ ว่าไอ้หนังชื่อเฮงซวยอย่างนี้ เลยบางสะพานเข้าเขตชุมพร คงไม่มีโรงไหนกล้าให้ฉายแน่ๆ เจ้าของกลัวโรงของเขาพังปี้ป่น เพราะ
ประชาชนคนใต้จะต้องรุมปาจอเอาแหลกลาญแน่ๆ
        รื่องชื่อคนนี่ก็น่าสนใจ ผมมีเพื่อนอยู่คนหนึ่ง ตอนสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหารได้ เรียนอยู่ตอนหรือชั้นเดียวกัน เขานั่งอยู่โต๊ะเรียนหน้าผม เดิมชื่อ “ชัยวัฒน์” พอเป็นนายทหารเปลี่ยนชื่อเป็น “สมภพ” พอเป็นนายพลแล้วเปลี่ยนเป็น “สมทัต” เปลี่ยนไปมาจนกระทั่ง มียศเป็นพลเอก ได้เป็นผู้บัญชาการทหารบก และผู้บัญชาการทหารสูงสุดก่อนเกษียณอายุราชการไป      
        เพิ่งรู้ตอนหลังว่า ท่านผู้ที่ตั้งชื่อใหม่ให้เพื่อนผมนั้น ชื่อ พระอาจารย์นวย หรือ พระครูวิจิตรสุธาการ แห่งวัดถ้ำค้างคาว พระเกจิสำคัญ ซึ่งสร้างปรากฏการณ์คำทำนาย เขย่าวงการโหร เพราะท่านทำนายทายทักแม่นยำนัก
        การทำนายครั้งล่าสุดของท่าน เป็นที่เลื่องลือ และผู้คนยังคุยกันถึงเสมอ คือท่านทำนายว่าพรรคเพื่อไทยจะได้มากกว่า 250 ที่นั่ง และคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะได้เป็นนายก
รัฐมนตรี
        คำทำนายของพระอาจารย์นวย ได้ทำให้พวกเสื้อเหลือง เสื้อหลากสี ต้องอ่อนระโหยโรยแรงลงไปอีก คือท่อนต่อท้ายของคำทำนายต่อ ตรงที่พระอาจารย์นวย ท่านย้ำหนักแน่น
ว่า         คุณปูที่เป็น ‘ขวัญใจ’ ของคนไทยเกือบทั้งประเทศ นั้น
        จะได้เป็นนายกรัฐมนตรี ถึง 2 สมัยแน่ๆ!!  
        เรื่องชื่อนั้น อย่าว่าแต่ภาษาไทยเลย แม้ชื่อคนไทยสะกดเป็นฝรั่งยังอาจเป็นปัญหาได้ ต้องระวังกันให้ดี ตัวอย่าง เช่น 
        เพื่อนรัก ‘คู่หู-คู่ฮา’ ของผม ซึ่งมาตั้งแต่อายุไม่ถึงสิบขวบด้วยกัน เคยเขียนถึงเขาหลายครั้งในคอลัมน์นี้
        คุณแม่ของเขาเป็นบุตรีคนสุดท้อง ของท่าน เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ เป็นน้องสาวแท้ๆ ของ คุณควง อภัยวงศ์ แห่งพรรคประชาธิปัตย์ และตัวเพื่อนของผมเป็นน้าของ อ.พิมล ศรีวิกรณ์ นายกสมาคมเทควอนโด เพื่อนคนนี้มีชื่อไพเราะ
เพราะพริ้ง ว่า      
        “ปิยะธัช”         สะกดเป็นภาษาฝรั่งว่า PI-YA-TUT
        ‘ปิยะธัช’ ไปเรียนหนังสือที่เยอรมัน ตั้งแต่จบ ม.6 จากเมืองไทย เขาเล่าให้ผมฟังอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ ว่า
        เวลาพวกเยอรมันเรียกทีไร เป็นต้องสะดุ้งทุกทีไป เพราะฝรั่งอ่านชื่อแล้ว ออกเสียงสำเนียงเรียกเป็น      
        “พี-ยา-ตุ๊ด        เพื่อนรักของผมคนนี้บอกว่า ได้ยินฝรั่งเรียกแล้ว มีความรู้สึกเจ็บริดสีดวงที่รูทวารเหลือกำลัง จึงต้องไปสถานทูตเปลี่ยนตัวสะกดใหม่ ในพาสปอร์ตใหม่ เป็น
        PI-YA-TAT        แต่ก็ไปไม่รอด เพราะฝรั่งดันอ่านเป็น “พี-ยา-แต๊ด
        หนักเข้าไปอีก!
        เจ้าตัวถึงกับรำพึงรำพันกับผม ว่า ...
        “โธ่เอ๋ย กูหนอกู อุตส่าห์เปลี่ยนชื่อแทบตาย ฝรั่งมันยังเสือกเรียกสองชื่อ ทั้งเก่าและใหม่ เป็น ‘ตุ๊ด’ เป็น ‘แต๊ด’...”
        ถอนหายใจอย่างท้อแท้ แล้วกล่าวต่อไปอีก ว่า
        “อพิโถ อพิถัง กาละมังแตก...เปลี่ยนชื่อแล้ว ก็ไม่ได้ไปไกลถึงไหนเลย ‘ตุ๊ด’ กับ ‘แต๊ด’ มันห่างกันแค่ 1-2 นิ้ว เท่านั้นเอง เรียกทีไรกูสะดุ้งทักที...จะทำอย่างไงกับพวกมันดีวะ!”
        ฟังแล้ว ก็น่าเห็นใจอยู่เหมือนกัน
        เจ้าตัวจึงท้อใจยิ่งนัก พาลไม่ยอมเรียนที่เยอรเผือกเยอรมันต่อไปอีกแล้ว บินไปเรียนต่อที่อเมริกามันซะเลย
        ะนั้น เวลาตั้งชื่อลูกก็ต้องคิดกันให้ดี เพราะเดี๋ยวนี้เราจำเป็นต้องติดต่อกับฝรั่งมังค่ามากขึ้น บางชื่อนั้น เมื่ออ่านออกเสียงเป็นฝรั่งแล้ว เหมือนเป็น ‘ลางร้าย’ เลยก็ว่าได้ เช่น
        ชื่อของนักการเมืองใหญ่ ที่สะกดเป็นภาษาอังกฤษ ว่า     
        Mr. BANYAT BANTATTAN
        ภาษาอังกฤษสะกดอย่างนี้ แต่ท่านผู้อ่านจะออกเสียงสำเนียงอย่างไรนั้น ก็สุดแท้แต่ความเห็นของแต่ละคน แต่อยากจะเล่าให้ฟังว่า      
        วันหนึ่ง ยามที่นักการเมืองท่านนี้ ยังมีบุญวาสนา อยู่ในตำแหน่งใหญ่โตมโหระทึก ได้เดินทางไปยุโรป แต่แกคงคุยกับคนไปส่งที่สนามบิน เพลินไปหน่อยหรือยังไงไม่ทราบได้
ทางสายการบินได้ประกาศเรียกตัว ดังก้องภายในอาคารผู้โดยสาร ว่า
        “แอตเตนชั่น,พลีส, แอตเตนชั่น เพจจิ้ง แพสเซ็นเจอร์ ฟรอมไตแลนด์ ” (คนเมืองนี้พูดตัว ท.เป็นตัว ต. ‘แอ็ทเทนฌั่น’ เป็น ‘แอตเตนชั่น’ พูด ‘ไทยแลนด์’ ไม่ได้ กลายเป็น ‘ไต
แลนด์’ ทุกทีไปซิน่า...)        ถึงตอนนี้ เสียงหยุดจังหวะไปนิดหนึ่ง แล้วพูดชื่อผู้โดยสารออกไปว่า
        “มิสเตอร์...แบน..แหยด...มิสเตอร์...แบน..แหยด”      
        เจ้าของชื่อที่ได้ยิน คงจะพอทนได้ แต่คงนึกในใจว่า ชื่อกูอ่าน “นาย บัน-หยัด” เอ็งจะอ่าน “มิสเตอร์...แบน..แหยด” ก็ชั่งหัวแม่เอ็งไปเหอะ! ...
        ปรากฏว่า คนอ่านมือใหม่หรืออย่างไรไม่ทราบได้ เพราะแทนที่จะอ่านนามสกุลผู้โดยสาร ดันไปอ่านเอาตรงชื่อ พอแม่คนอ่านรู้ตัวว่าผิด ก็เริ่มใหม่ หลังจากหยุดไปสักประเดี๋ยว
        สันนิษฐานได้ว่า คนประกาศต้องก้มดูนามสกุล แล้วคงนึกในใจ ว่า
        ชื่อ ‘แบน...แหยด’ น่ะ ก็ยังพออ่านกันได้ แต่นามสกุล จะให้โพรนาวซ์กันยังไงวะเนี่ยะ! ....      
        ...แล้วเธอก็กลั้นใจประกาศต่อ ซึ่งทำให้เจ้าของชื่อ และคณะลิ่วล้อที่ติดตาม แทบช็อกสิ้นสติลงไปในทันที เพราะ....
        อะนาวเซอร์สาว เริ่มต้นประกาศทวนใหม่ ตั้งแต่ แอตเตนชั่น พลีส...แต่พอถึงนามสกุล ก็อ่านไปส่งเดช เสียงดังฟังชัด ว่า       
        “มิสเตอร์ แบน...แต๊ด....แต๋ต๋ต๋นนนนนนนนน!!”       
        โอ้โฮเฮะ...อุเหม่! อีแม่เจ้าประคุณรุนช่อง !!!
        เธอออกเสียง ‘สระแอ๋’ ดังชัดเจนสักครึ่งวิฯ และเว้นวรรคนิดหนึ่ง ก่อนจะลาก ‘สระแอ๋น’ ตามยาวเป็นวา...อย่างที่ผมเขียน (เวลาท่านอ่าน กรุณาออกเสียงให้ดังคับบ้าน จะได้ฟีลลิ่งดีจริงๆ ไม่เชื่อลอง...)      
        เป็นลาง...เห็นมั้ยครับ...บอกแล้วว่า...มันเป็น ‘ลางร้าย’ จริงๆด้วย !!
        ดังนั้น ต่อจากนี้ไป ใครก็ตาม กรุณาอย่าได้มาพูดกับผม ว่า ชื่อ นามสกุล อะไรก็ได้ไม่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นชื่อไทยหรือฝรั่ง หรือจะมาปุจฉาเป็นปริศนา ‘ผะหมี่’ ถามกับผม ว่า ชื่อนั้นสำคัญไฉน?” เพราะ...
        ชื่อนั้น...สำคัญแน่ๆ!!!
...................
ท้ายบท เรื่องของมิสเตอร์ “แบนแต๊ดแต๋” ผู้ที่นำเรื่องนี้มาเผยแพร่ เป็นลิ่วล้อของแกในตอนนั้น ชื่อ         นาย ว. วิศนุ         ตอนเกิดเรื่อง นาย ว.คนนี้ ยังเป็นข้าราชการประจำอยู่ ต่อมาบุญหล่นทับ ได้เป็นถึงรองอัครมหานายก
        แต่...
        นายคนนี้สันดานเสีย จนเป็นที่รู้กัน คือเมื่อผู้บังคับบัญชาเหนือตน หมดอำนาจวาสนาลง กลายเป็น “นายเก่า” หรือ “อดีตนาย” เมื่อใด อีตาคนนี้จะสำแดงสันดานไม่ดีออกมา โดยไม่เคยคิดถึงเรื่องดีๆ ที่นายเก่าเคยเอื้อเฟื้อหรือทำให้ เพราะไอ้นาย ว.คนนี้ ชอบนำเรื่องของนายเก่า มานินทาว่าร้าย
ตามประสา ‘บริกร’ ชั้นเลว
        ที่ไม่เคยเห็นใคร มีบุญคุณกับตน!
        ล่าสุด ถึงกับทำเป็นหนังสือ ชื่อ “โลกนี้คือ...ยี่เก” นำเอาเรื่องนายเก่า ที่ยังพลัดบ้านพลัดเมือง ต้องไปสัญจรในแดนไกล มาเขียนนินทา ด่าเขาลับหลัง
        ที่อีตาคนนี้เขียน เท็จจริงเป็นอย่างไรนั้น ไม่มีคนรู้ โดยเฉพาะบทสนทนา ระหว่างตัวแกกับนายเก่า เพราะนาย ว. แกจะอ้างได้ว่า 
        เป็นการพูดกัน เพียงสองต่อสองเท่านั้น ไม่มีใครรู้เห็น!
        เมื่อนายเก่ายังไม่มีโอกาสพูด จึงไม่ใช่เรื่องแปลก หากไอ้หมอนี่มันจะเสริมเติมแต่ง ป้ายสี ให้ร้าย ตามสันดานของมัน และคงพิสูจน์ความถูก-ผิด กันยาก เพราะเอาอะไรมายืนยัน เป็นมั่นเหมาะคงไม่ได้
        เนื่องจากเป็นการยันกัน แค่ปากต่อปากเท่านั้น!
        ที่น่าทุเรศคือ ไอ้หมอนี่มันเหิมเกริม ถึงกับสิ้นคิด เอาเรื่องของนายเก่า ที่ยังมีชีวิตอยู่ มาพิมพ์ขายหาแดกแล้ว โดยไม่บอกกล่าวเขาเลย แม้แต่คำเดียว
        ไอ้บริกรตัวนี้...มันระยำจริงๆ!!!
       

 (คอลัมน์ กาแฟขม ขนมหวาน ตอน ชื่อนั้นสำคัญแน่ๆ!!!  ออนไลน์ วันพฤหัสบดี ที่ 22 มีนาคม 2555)http://www.vattavan.com/detail.php?cont_id=355




 

ไม่มีความคิดเห็น: