วันเสาร์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2555

วิชามาร


วาทตะวัน สุพรรณเภษัช

        ช้าวันนี้…ผมออกมาจิบกาแฟขม รับประทานขนมที่เขาเอามาให้ตั้งแต่ปีใหม่และยังหลงเหลืออยู่ เพราะเป็นของเชื่อม ที่เก็บได้นาน การถนอมอาหารให้ผลดีเพราะทำให้ขนมอยู่ได้ยืนยาวหากชีวิตคนเราถนอมได้ง่ายอย่างนี้ คงจะดีไม่น้อย
        สังเกตว่าอากาศค่อนข้างเย็นเอาการ ทั้งๆที่เข้ามาถึงฤดูร้อนตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ตามที่คนไทยพูดกันติดปากว่า
       
“กุมภาพันธ์ผันมาสู่ฤดูร้อน
        ทินกรเรืองรองส่องแสงจ้า
        เป็นฤดูเกี่ยวข้าวของชาวนา….”
        แม้อากาศจะเย็นลงไปบ้าง ทำให้ผู้คนสบายเนื้อตัวขึ้นมาบ้างแต่อุณหภูมิทางการเมืองยังรุ่มร้อน เพราะในเลือกสมาชิกสภาท้องถิ่น รวมทั้งเลือกองค์กรบริหารส่วนจังหวัดเมื่อเร็วๆนี้ มีการกล่าวหากันหลายรูปแบบ เช่น
        ฝ่ายตรงข้ามใช้วิธีการไม่ถูกต้อง ซื้อเสียง ข่มขู่หัวคะแนน แจกโทรทัศน์ มือถือ เลี้ยงดูปูเสื่อ ฯลฯ การกระทำอย่างที่ว่าสื่อมวลชนมักเรียกรวมๆว่า
        “วิชามาร”
        คำพูดว่า “วิชามาร” นั้น บางคนคิดว่ามาจากภาพยนต์จีนประเภทกำลังภายใน เพราะฝ่ายพระเอกร่ำเรียน “วิชาเทพ” เพื่อคุ้มครองชีวิตผู้คนตามแบบฉบับ ฝ่ายผู้ร้ายก็ศึกษาวิชาการที่จะก่อกวน สร้างความปั่นป่วนให้กับชาวโลกเรียกว่า “วิชามาร”
        ในกลุ่มตำรวจนั้น บางครั้ง “วิชามาร” จำเป็นยิ่งกว่า “วิชาการ” เพราะต้องใช้เพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมาย ซึ่งอาจนำมาซึ่งความสงบสุขในสังคม หรืออาจเป็นเรื่องการช่วยเหลือผู้คน แม้จะไม่ค่อยถูกต้องนัก
        อยากยกตัวอย่างบางเรื่อง ให้ท่านเห็นกันชัดๆ เช่น
        ชายหนุ่มคนหนึ่งไปติดพันสาวน้อยน่ารัก แต่ปรากฏว่ามีนักการเมืองวัยกลางคนมีลูกมีเมียแล้ว มาติดพัน เป็นคู่แข่ง อย่างนี้หากไปปรึกษาผู้เชี่ยวชาญวิชามาร อย่างนายตำรวจรุ่นพี่ที่สนิทสนมกับผมคนหนึ่ง ท่านก็อาจแนะนำว่า
        “โทรไปฟ้อง ‘เมียหลวง’ มันซีวะ!”         บางครั้งท่านอาจแนะนำผู้ที่มาปรึกษา ให้เขียนจดหมายไปบอกลูกๆของฝ่ายชายที่โรงเรียนของเด็ก ว่า
        “คุณพ่อหนูกำลังไปติดสาว (ชื่อ…ที่อยู่) นะ พี่หวังดีกับครอบครัวหนูนะ เลยต้องบอกหนูให้รู้ไว้...พี่บอกหนูคนเดียวเท่านั้น
        รู้แล้วอย่าไป บอกคุณแม่นะจ๊ะ!”

        ไม่ได้เขียนจดหมายใส่ซอง ส่งถึงเด็กลูกค่าแข่งโดยตรง หากแต่เขียนตัวโตๆ ใส่ไปรษณียบัตร ส่งไปที่โรงเรียนซึ่งลูกนักการเมืองคนนั้นเรียนอยู่
        เดี๋ยวเดียวเท่านั้น...ข่าวก็หึ่งทั้งโรงเรียน เพราะคนเห็นกันทั่ว ผลเป็นอย่างไร เห็นจะไม่ต้องบอก?
        เรื่องนี้เกิดขึ้นจริงๆ!
        เมื่อผมอยู่ต่างจังหวัด และควบคุมเมืองในฐานะหัวหน้าโรงพัก นักการเมืองสองคนเป็นคู่ปรับกัน คนหนึ่งขึ้นจะขึ้นดอยไปหาเสียงกับชาวเขา สมมติชื่อว่านายขาว ฝ่ายนายแดงคู่ปรับรู้แผนว่า
        อีตาขาวจะเอาหนังไปฉาย ก่อนฉายจะเลี้ยงข้าวเหนียว น้ำพริกไก่ย่าง แล้วจะฉายหนังยาวไปจนถึงหัวรุ่ง นายขาวจะมาหาเสียงปิดท้าย
        นายแดงส่งคนไปบอกหัวหน้าหมู่บ้านและลูกบ้านว่า
        “ผ่อหนังแล้ว อย่าเพิ่งปิ๊กบ้าน อ้ายขาวเปิ้นจะหื้อเงินอีกคนละซาวบาทน่ะก้ะ!”        แปลว่า ดูหนังจบแล้วอย่าเพิ่งกลับบ้านนะ นายขาวจะแจกเงินอีกหัวละยี่สิบบาท
        พอหนังจบ นายขาวมาปราศรัยจบ บรรดาชาวเขาก็นั่งจ้องเขม็งรอการแจกเงิน กว่านายขาวจะรู้ และพูดแก้ตัว ยืดไปอีกเป็นชั่วโมง และถึงวันลงคะแนนในหมู่บ้านชาวเขานี้
        นายขาวก็ พ่ายแพ้ย่อยยับ!        นี่ก็อีกวิชามารหนึ่ง!
        เอาวิชามารของตำรวจ อีกรูปแบบหนึ่งก็ได้ เรื่องมีดังนี้
        นักการเมืองระดับสูงมากๆนายหนึ่ง ล้มป่วยกะทันหัน แต่นักการเมืองท่านนี้ อยู่ในความดูแลของแพทย์คนหนึ่ง ซึ่งเก็บประวัติเจ็บป่วยของนักการเมืองคนที่ว่าเอาไว้ แต่วันวิกฤติและมีความจำเป็น ต้องพึ่งคุณหมอ แต่ไม่สามารถติดต่อมาให้การช่วยเหลือได้ทันท่วงที เพราะ...
        ตัวคุณหมอไปเล่นกอล์ฟ เล่นสนามไหนไม่ได้บอกไว้ โทรศัพท์มือถือก็ปิดเงียบ
        ทำไงกันดี ?
        สาวคนสนิทของนักการเมืองผู้ป่วย หมุนโทรศัพท์ขอความช่วยเหลือจากสุภาพสตรีผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ ท่านผู้นี้โทรหานายตำรวจชั้นผู้ใหญ่คนหนึ่ง ซึ่งเมื่อทราบถึงการขอความช่วยเหลือแล้ว นายตำรวจท่านนี้ กางแผนที่กรุงเทพออก แล้วให้ตำรวจลูกน้องนับสิบคน ระดมโทรไปทุกท้องที่ตั้งสนามกอล์ฟ รอบปริมณฑลกรุงเทพ เสริมด้วยตำรวจท้องที่ส่งสายตรวจออกค้นหาด้วย
        เพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้น มีตำรวจขี่รถนำคุณหมอออกจากสนามกอล์ฟ ตรงไปให้ความช่วยเหลือนักการเมืองผู้ป่วยกะทันหัน และกำลังรอความช่วยเหลือ ได้ทันท่วงที
        การใช้กำลังตำรวจ ‘นอกแบบ’ อย่างนี้ วงการตำรวจเรียกว่า “วิชามาร” เหมือนกัน แต่เป็นการใช้วิชานอกแบบ เพื่อการให้ความช่วยเหลือผู้คน เพียงการใช้...กลับด้านกันเท่านั้น!
        ประมาณเกือบสามสิบปีมาแล้ว หนังสือพิมพ์มติชนมาสัมภาษณ์ผมเรื่องเกี่ยวกับคดี และลงเต็มสองหน้า ผมก็ถือโอกาสส่งเรื่องสั้นที่นานๆเขียนสักครั้ง ให้ผู้สื่อข่าวไปพิจารณาลงในหนังสือเล่มเดียวกันด้วย
        ตอนนั้นผมไม่ได้ใช้นามปากกาอย่างที่ใช้เขียนคอลัมน์นี้ แต่ใช้ชื่อว่า “ลาวัณย์ สุพรรณ” (ชื่อเป็นผู้หญิง วันหน้าจะเล่าว่าทำไมใช้ชื่อนี้) และผมใช้ชื่อนี้ในการเขียนคอลัมน์ซุบซิบข่าวสังคม ชื่อ “ลาวัณย์ จำนรรจ์จา” ในหนังสือพิมพ์ “พิมพ์ไทย” ยุคคุณสุเทพ เหมือนประสิทธิเวช
        เหตุที่เขียนเพราะอยากรู้ว่า เขียนคอลัมน์แบบนี้แล้วจะเป็นอย่างไร?
        ผลปรากฏว่า
        เพียงเดือนเดียวเท่านั้น ผมได้รับจดหมายมากมายก่ายกอง ล้วนแต่ขอให้ลงข่าวในคอลัมน์ที่เขียน แต่งานประจำของผมในช่วงนั้นค่อนข้างยุ่ง เลยทำอยู่แค่สามเดือนเท่านั้น ต้องบอกลา แต่ก็ได้ความรู้มามากว่า
        คนเรานี่อยากเป็น ‘ข่าว’ ในหน้าหนังสือพิมพ์นั้น มีมากเสียเหลือเกิน!
        หนังสือพิมพ์ “มติชน” ลงเรื่องสั้นของผม ในหนังสือรายสัปดาห์ และตอนนี้ผมกำลังรวมเรื่องสั้นเก่าๆของตัวเอง เพื่อพิมพ์ออกมาเป็นเล่ม
        จึงขอนำเอาเรื่องจริง ที่ดัดแปลงเป็นเรื่องสั้นชื่อ “ไอ้ตี๋เล็ก” เอามาให้ท่านผู้อ่าน ลองพิจารณาดูว่า เรื่องนี้เข้าข่ายว่าเป็นการใช้ “วิชามาร” หรือเปล่า?
        ลองอ่านดูครับ



เรื่องสั้น
“ไอ้ตี๋เล็ก”
วาทตะวัน สุพรรณเภสัช
        มเปิดถุงแล้วเอามือล้วงเข้าไป พอสัมผัสของที่อยู่ในถุงมือรู้สึกระทบเนื้อเหล็กเย็นเฉียบ ผมดึงวัตถุนั้นออกมาช้า ๆปืนพกขนาด .357 ซึ่งตอนนั้นยังเป็นของใหม่ ขนาดลำกล้อง 4 นิ้ว นอนสงบในมือของผม
        หญิงจีนคนหนึ่ง นั่งก้มหน้านิ่งอยู่หน้าโต๊ะทำงาน ผมได้กลิ่นของความไม่ชอบมาพากลแล้วซีครับ
        ขณะที่ค่อย ๆ เดินอ้อมไปนั่งที่เก้าอี้  ผมเปิดลูกโม่ปืนกลกระบอกนั้น เทกระสุนออกเก็บไว้ในมือ
        ผมนั่งตัวตรง  แยกปืนไว้ทางขวา กระสุนไว้ทางซ้าย  มองตรงไปที่หญิงจีนคนนั้น
        “เอาละครับ  อาอี้ ผมคิดว่าอาอี้ควรเล่าอะไรให้ผมฟังบ้าง และขอให้เชื่อว่าหากอะไรที่ผมพอทำให้อาอี้สบายใจ รับรองว่าผมไม่รั้งรอที่จะทำเป็นอันขาด”
        เท่านั้นเอง ทั้งเรื่อง ทั้งน้ำตา  ก็พรูจากหญิงจีนยังกะทำนบแตก
        อาซิ้มเล่าว่า มาจากเมืองจีนตั้งแต่เล็ก  จนกระทั่งอายุ
สิบหกปี ก็ได้แต่งงาน สามีของแกก็เป็นคนดีขยันขันแข็ง มีอาชีพขายของชำ และรับสินค้าพวกพืชผลไม้จากต่างจังหวัด ส่งให้พวกซาปั๊วในกรุงเทพฯ สามีแกเสียสิบกว่าปี  ตั้งแต่ลูกชายคนเดียวยังไม่ถึงสิบขวบ แกต้องทำงานคนเดียวมาตลอด
        ลูกของแกขยันขันแข็ง  เรียนจบคอมเมิร์ซ  ขณะที่เพิ่งเข้าเป็นพนักงานธนาคาร เขาเป็นชายหนุ่ม เป็นความหวังคนเดียวและเป็นสมบัติที่แท้จริงของแก
        ความจริงแกน่าจะมีความสุข  เพราะฐานะไม่ลำบาก  แต่ความทุกข์ของแกนี่มันมาจากลูกแกเรียกลูกแกว่า “เซ้ยตี๋”  ภาษาไทยแปลว่า
       
“ตี๋เล็ก”        บ้านแกอยู่ท้ายซอย  ส่วนหัวซอยมีร้านค้าอยู่ร้านหนึ่ง  ประกอบอาชีพคล้ายคลึงกับแก ลูกชายเจ้าของร้านนั้นเป็นเด็กหนุ่มร่างใหญ่ ผมขอเรียกมันว่า...“ตี๋ใหญ่”        ไอ้ตี๋ใหญ่นี้เอง...เป็นตัวปัญหา!
        ไอ้ตี๋ใหญ่ตัวนี้ มันรังแกไอ้ตี๋เล็กมาตั้งแต่เด็ก  เรียกว่าเดินผ่านไม่ได้เดินผ่านเป็นตบกบาล  เตะตูด  ถีบหลัง  บางทีเอาก้อนหินขว้างเอาดื้อ ๆ
        ก็ไอ้คนที่มันเคยข่มกันตั้งแต่เด็ก  มันก็กลัวเป็นธรรมดา แต่ความกลัวของคนก็มีขีดจำกัด  เมื่อกลัวมากจนถึงที่สุดก็กลายเป็นความบ้า  คิดสู้ คิดฆ่า ตายโหงกันซะไม่รู้แต่เท่าไหร่
        ไอ้ตี๋เล็กก็เหมือนกัน
        “เมื่อไม่กี่วันมานี้  เขาแอบเอาเงินเก็บไปซื้อปืน”  ซิ้มเล่าเสียงสั่น
       
“เผอิญฉันเห็นปืนเข้า  เขาบอกว่าเขาทนไม่ไหวเขาต้องยิงมัน แล้วเขาจะมอบตัวกับตำรวจ ฉันบอกว่าเมื่อลูกอยู่ในคุกแล้วแม่จะอยู่กับใคร  อยากให้แม่หัวใจแตกตายเหรอ ฉันก็ร้องไห้  อ้อนวอนเขาตั้งแต่เย็น  ขอให้มาพบตำรวจก่อน”         พูดจบ แกร่ำไห้กระซิก
        ผมเอนหลังพิงพนักเก้าอี้  มองไปที่ประตู  สายตาผมกับหนุ่มน้อยลูกจีนผิวสะอาด หน้าตาดี  ถอดพิมพ์แม่มาเลย  เสียอย่างเดียวตัวเล็กไปหน่อย แต่งตัวสุภาพเรียบร้อย
        “ตี๋เล็กใช่ไหม”  ผมถาม
        “ครับ”  เขาตอบ
        “มานี่   นั่งใกล้มาม้านี่” ผมสั่ง เขาเดินมานั่งอย่างว่าง่าย
        ผมมองดูคนทั้งสอง ซึ่งนั่งก้มหน้าอยู่เบื้องหน้า สมองคิดวิธีการที่จะเข้าจัดการกับไอ้อันธพาลรังแกคน  ถ้าผมเอาตัวมันมาและพูดจาขอร้อง ก็ไม่สามารถระงับเหตุได้อย่างถาวร
        ผมต้องการให้สองแม่ลูกนี้ มีความปลอดภัย มีความสุขต่อไปในสังคม และไม่ต้องการเพิ่มไอ้ตี๋เล็กเป็นฆาตกร
        ฉะนั้น มาตรการที่ผมจะเข้าจัดการ...ต้องเด็ดขาด!
        ผมอธิบายแผนของตัวเอง ให้ไอ้ตี๋เล็กกับแม่ฟังอย่างละเอียด ถึงวิธีที่จะช่วยเหลือพวกเขาทั้งคู่
        คืนนั้นพระเจ้ามีตาท่านคงจะแลเห็นแม่ลูกคู่นั้นเดินลงจากโรงพักผมด้วยหน้าตายิ้มแย้มสดในผิดกับขามา
        วันรุ่งขึ้นเจ็ดโมงตรง ผมกับตำรวจอีกคนไปดักอยู่หน้าร้านกาแฟฝั่งตรงข้ามกับร้านไอ้ตี๋ใหญ่ อยู่เยื้องกันเล็กน้อย
        ผมเห็นไอ้ตี๋ใหญ่เต็มตาตอนนั้นเอง  ตัวมันใหญ่สูสีกับผม  แต่หน้าอกมันใหญ่กว่า ตัวหนากว่าผมเล็กน้อย  แต่ก็ยังจัดว่าพอฟัดพอเหวี่ยงกัน
        ไอ้ตี๋ใหญ่เดินวางก้าม  สั่งลูกจ้างขึ้นของลงของลั่น 
      
  เดี๋ยวเถอะมึง...ไอ้ขี้ครอก!         ผมนึกในใจ...เดี๋ยวจะรู้สึก!!
        เจ็ดโมงครึ่งเป๊ะ ไอ้ตี๋เล็กพระเอกผมเล่นตามบท  เดินออกบ้านมุ่งหน้ามาตามตรอกช้า ๆหน้าตาเรียบเฉย
       
เออ!...เอ็งเล่นบทดี ผมนึกในใจ        ไอ้ตี๋เล็กค่อยๆเดินเนิบ ๆ ทำท่าจะผ่านไอ้ตี๋ใหญ่ ไอ้ตี๋ตัวร้ายเห็นไอ้ตี๋เล็กเข้าพอดี เอื้อมมือทำท่าจะเขกกบาลไอ้ตี๋เล็ก
        มือไอ้ตี๋ใหญ่ยังไม่ทันจะลดลง ไอ้ตี๋เล็กถลันเจ้าติดวงในไอ้ตี๋ใหญ่ กำปั้นคนตัวเล็กกว่าปลิวว่อน
       
ซ้าย...ขวา...ซ้าย...ขวา!          ผมหยุดหายใจไปชั่วขณะ นับไม่ทันว่ากี่หมัดต่อกี่หมัด  ไอ้ตี๋ใหญ่ทรุดฮวบลง 
        ผมเห็นเลือดค่อยๆรินออกจากข้างจมูก ปากของมันอ้าเล็กน้อย
       
ยัง...ยังไม่พอ!!        ไอ้ตี๋เล็กเกี่ยวคอเสื้อไอ้ตี๋ใหญ่ขึ้นมา กำปั้นทั้งคู่ตะบันเข้าไปอีก
        ชุดหลังนี้  ไอ้ตี๋ใหญ่กองลงไปหลังจากโดนเข้าไปถึงห้า หมัด กว่าไอ้ตี๋เล็กจะลุกขึ้นมาตั้งสติได้ ก็กินเวลาเกือบนาทีโดยมีไอ้ตี๋เล็กยืนประจันอยู่
        พอไอ้ตี๋ใหญ่เริ่มรู้สึกตัวว่า อะไรเป็นอะไร ไอ้ตี๋เล็กก็ข่วนหน้าตัวเอง แล้วแหกปากลั่นตามแผน
      
  “โอ้ย!  มันรังแกกู”         ตะโกนขึ้นเสียงดัง พร้อมกับกระทืบดินเร่า ๆ
        ไอ้ตี๋ใหญ่ เอื้อมมือจะคว้าคอ ไอ้ตี๋เล็กหันหลังวิ่งเหยาะๆ มาทางห้องแถวซึ่งผมคอยซุ่มคอยอยู่ โดยมีไอ้ตี๋ใหญ่วิ่งไล่กวดมาติดๆ
        ไอ้ตี๋เล็กผลุบเข้าไปในร้าน  ผมปราดออกไปขวางแทนแหย่ตีนถีบสกัดที่ตำแหน่งใต้หัวใจเบา ๆ หวังให้มันจุก  เพื่อผมจะเข้าจับได้สะดวก
        มันถอยไปนิด  เข่าเตี้ยไปหน่อย  แล้วทำท่าเหมือนกลั้นใจจะกระโดดเตะผมด้วยตีนขวา
        ผมยกแขนกันไว้  แล้วรูดตัวตามแข้ง เข้าประชิดตัวมัน  ตีศอกติดไม่แรงนัก เข้าซอกคางเพราะกลัวมันตาย แต่อาจเป็นเพราะแรงโดดใส่ บวกกับแรงเข้าปะทะของผมเลยกลาย เลยเป็นสองแรง
        มันหล่นฮวบลงคาที่!
        ผมก้มตัวตามไป เอาเข่ากดหลังจับข้อมือไขว้ ทั้งสองข้าง สวมกุญแจมือฉับลงไปทันที  หิ้วร่างมันร่อนแร่งขึ้นรถขับพาไปโรงพักทันที
        ไปถึงโรงพัก ผมจับมันยัดเข้าห้องขัง พอเริ่มหายงง  มันอาละวาดเป็นการใหญ่ ตะโกนด่าทอลั่น
        ผมแวบเข้าไปรายงานให้สารวัตรใหญ่ทราบ พอออกมาจากห้องสารวัตรใหญ่ ผมหลบลงจากโรงพัก
       
ทิ้งเหตุการณ์ไปเลย!        ว่ากันตรง ๆ ก็คือ ผมจะขังไอ้ตี๋ใหญ่ไว้เลย  ยังไม่ให้ประกันตัวนั่นเอง เพราะพนักงานสอบสวนต้องสอบถามผมก่อน ในฐานะเป็นผู้จับกุม  ว่าจับมาข้อหาอะไร
        ผมกลับมาโรงพักอีกทีก็สองยามพอดี  ไอ้ตี๋ใหญ่ถูกขังมาแล้วกว่าสิบสองชั่วโมง ผมให้สิบเวรไขห้องขัง เอาตัวออกมา
        คืนนั้นเป็นคืนที่เงียบสงัด  ผมนั่งเผชิญหน้ากับมัน  ต่อหน้าผมมันพูดไปร้องไห้ไป
       
“ทำไมทำกับผมอย่างนี้  ผมไม่ผิดเลย  หมวดคงไม่เห็น  มันต่อยผมก่อน”        มันคร่ำครวญ
       
“เออ !  กูเห็น  กูเห็นว่ามันต่อยมึงก่อน  ต่อยจนมึงร่วง”        “อ้าว!“  มันหยุดร้องไห้  ทำหน้าเหมือนผีหลอก 
       
“แล้วหมวดจับผมมาทำไม ทำไมไม่จับมัน?”        “กูแกล้งมึง” ผมพูดหน้าตาเฉย
        มันชะงัก  เหมือนไม่เชื่อคำพูดของผม
        “แกล้งผม!” มันตะโกน
        “เออซีวะ” ผมประกาศ
        “ฟังกูให้ดีนะไอ้ตูดหมึก  ถึงกูจะแกล้งมึง มึงก็ไม่มีสิทธิมาโกรธกู เพราะมึงน่ะที่จริงควรเป็นผีตายโหงไปแล้ว...เอ้าเอาไป” 
        พูดจบผมโยนปืนของไอ้ตี๋เล็กโครมไปที่หน้าตัก มันจ้องมองดูสื่อเพชฌฆาตอย่างงงงวย และแล้วผมก็ใช้เวลาลำดับเรื่องราวตั้งแต่ไอ้ตี๋เล็กกับแม่มาพบให้มันฟัง เน้นให้เห็นว่า
        ไอ้คนที่ประพฤติอย่างมัน ข่มเหงคนอื่น ตายโหงมานักต่อนัก  และในฐานะตำรวจ ผมต้องการแก้ปัญหาอย่างถาวร  ต้องการให้ทุกฝ่ายสมัครสมานน้ำใจด้วยกัน จึงทำอย่างนี้
       
“ถ้าเอ็งยังเห็นว่าผิด รังแกเอ็ง เอ็งร้องเรียนได้ทันที”        มันนั่งอึ้งสักครู่  ยกมือไหว้ผมท่วมหัว
        “ผมจะไปร้องเรียนได้ยังไง  ผมซี่ควรขอบคุณหมวด  เพราะหมวดช่วยชีวิตผม”
        “ยังงั้นซิวะ ! ถึงจะเป็นลูกผู้ชาย” ผมร้องดีใจ เหมือนแทงหวยถูกตัว
        จากนั้น  ผมก็นำครอบครัวทั้งสองมาปรับความเข้าใจ ต่างฝ่ายต่างหันหน้าพูดกันด้วยดี
        ผมเองปลื้มใจเป็นที่สุด!
        วันรุ่งขึ้นทั้งไอ้ตี๋ใหญ่กับไอ้ตี๋เล็ก  พาผมไปเลี้ยงฉลองเต็มคราบ และขณะที่ผมกำลังเมาได้ระดับในไนต์คลับ พร้อมกับไอ้สองตัว
        ขณะไอ้ตี๋ใหญ่เดินไปเยี่ยว ไอ้ตี๋เล็กชะโงกหน้าผ่านควันบุหรี่เข้ามาแทบชนหน้าผม
        “หมวดครับ ไหนๆหมวดให้ชีวิตใหม่ผมแล้ว อยากขอให้หมวดช่วยอีกอย่าง”
        “ช่วยอะไรวะ”  ผมถามทั้งมึน  ๆ
        “ช่วยเป็นเถ้าแก่ ขอน้องสาวเฮียตี๋ใหญ่ให้ผมด้วย” มันพูดขึงขังหน้าตาเอาจริง
        “ซวยละกู” ผมคราง
        ท่านผู้อ่าน เชื่อไหมครับว่า
        ผมต้องเป็นเถ้าแก่ ขอผู้หญิงครั้งแรก เมื่ออายุยังไม่เต็มยี่สิบสองปี!
.....................
        (คอลัมน์ กาแฟขม ขนมหวาน ตอน วิชามาร ออนไลน์ วันพฤหัสที่ 24 กุมภาพันธ์ 2555)

http://www.vattavan.com/detail.php?cont_id=350




ไม่มีความคิดเห็น: