จาก คนฟังข่าว เล่าความคิด
จะมองเป็นเรื่องที่น่าสนใจก็ได้หากคนที่ติดตามข่าวสารบ้านเมืองกับข่าวนี้...แต่อย่ามองข้ามความเป็นไปไม่ได้เพราะโอกาสเกิดในตอนนี้ มีความเป็นไป75%-90% แล้วตอนนี้ โดยเฉพาะคนเสื้อแดงที่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่ลงคะแนนเลือกพรรคเพื่อไทยมาเป็นรัฐบาลเห็นได้จากการหยั่งเชิงแจ้งเตือนตั้งแต่Vอะไรขึ้นและได้พากันออกไปกันท่าคนหลากสีที่หน้ารัฐสภาและการรวมตัวในงานจัดคอนเสิร์ตที่โบนันซ่า ..วงในลึกๆ และในใจชาวบ้าน(คนเสื้อแดง) รู้กันดีว่านี่คือการเช็คกำลังของแต่ละฝ่าย โดยวิธีการนั้นฝ่ายทำลายพยามสร้างกระแสเล็กๆน้อยๆให้เป็นประเด็น. ในสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร ก็เริ่มประโคมข่าวจุดชนวนด้วยรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ โดยขบวนการลิ้มเจ้า... ณ วันนี้ มีรายกายสายล่อฟ้า ของสามเกลอนรก=(อาจจะเป็นที่มาของปรากฏกายพี่น้องแฝดนรก มือชกทำร้ายนายวรเจตน์ ภาคีรัตน์′ อาจารย์ภาควิชากฎหมายมหาชน คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มธ.และแกนนำกลุ่มนิติราษฎร์ บริเวณลานจอดรถ มธ.ท่าพระจันทร์) ชวนนท์-เทพไท-ศิริโชค เป็นศูนย์d]k'ส่งสัณญาณและเช็คเรตติ้งความพร้อม หากอ่านข่าว ไม้ขีดก้านเดียว วอดทั้งรัฐบาล? จากข่าวสดแล้วจะรู้ได้ทันทีว่า ไม่ใช่มีมีขีดแค่ก้านเดียวที่พยามจะจุดเชื้อไฟแยกความรุนแรงและแตกแยกขึ้นในสังคม แต่มันใช้ไม้ขีดหลายก้านเลยหลายกล่องทีเดียวและจุดพร้อมกันหลายที่ .......ตอนนี้ใช้เพียงลิงและเด็กเท่านั้นที่ออกมาเล่นไม้ขีดไฟ
......................................................................
ไม้ขีดก้านเดียว วอดทั้งรัฐบาล?
จากข่าวสด http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROd2Iyd3dNekEwTURNMU5RPT0=§ionid=TURNd05BPT0=&day=TWpBeE1pMHdNeTB3TkE9PQ==
วันที่ 04 มีนาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 21 ฉบับที่ 7766 ข่าวสดรายวัน
เพียงเพราะไม่พอใจและเห็นต่างจากนักวิชาการกลุ่มนิติราษฎร์ ที่ออกมาเคลื่อนไหวแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112
พี่น้องฝาแฝดอันธพาลถึงกับบุกกลุ้มรุมทำร้ายนายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ แกนนำกลุ่มนิติราษฎร์ ถึงภายในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กระทั่งแว่นตาแตก บาดเจ็บที่ใบหน้า
ในทางคดีอาญาข้อหาทำร้ายร่างกายดูเหมือนเป็นคดีธรรมดา ที่ผู้ก่อเหตุอาจต้องโทษสูงสุด จำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 6 พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
แต่ในทางการเมือง สิ่งที่เกิดกับนายวรเจตน์ ได้ส่งผลกระทบต่อสังคมไทยอย่างกว้างขวางเกินกว่าขอบเขตคดีทำร้ายร่างกายธรรมดาหลายเท่า
นักวิชาการและนักสันติวิธีหลายคนเป็นห่วงว่า เรื่องนี้อาจเป็นไม้ขีดไฟก้านเดียว เผาป่าทั้งป่า
กล่าวคือฝาแฝดคู่นี้คือ ดอกผลความขัดแย้งในสังคมไทยที่บ่มเพาะมานานกว่า 6 ปี
การกระทำของทั้งคู่คือจุดเริ่มต้นของการขยายไปสู่การใช้กำลังความรุนแรงในหลายเรื่องตามมา ไม่ว่าระหว่างมวลชนต่อมวลชน หรือมวลชนกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ
จนเกิดเป็นวงจรอุบาทว์นำไปสู่การรัฐประหาร ตามแผนการซึ่งถูกกำหนดขึ้นอย่างลับๆ หลังการเลือกตั้งทั่วไป 3 กรกฎาคม 2554
โดยเป้าหมายสูงสุดคือการทำทุกวิถีทาง
เพื่อโค่นล้มรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และพรรคเพื่อไทยให้จงได้
ผ่านมา 6 เดือน รัฐบาลยิ่งลักษณ์ก้าวสู่จุดหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญอีกครั้ง
จากการเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 เพื่อเปิดทางให้มีส.ส.ร.มายกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ
ซึ่งผ่านวาระรับหลักการจากสมาชิกรัฐสภาทั้งส.ส.และส.ว.ด้วยคะแนน 399 ต่อ 199 เสียง ทิ้งห่างกันครึ่งต่อครึ่ง
กระนั้นก็ตามจากการสำรวจสวนดุสิตโพล พบประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 38.88 หวั่นเกรงว่าการแก้รัฐธรรมนูญจะเกิดการกระทบกระทั่งกันของกลุ่มต่างๆ
ร้อยละ 48.11 ไม่แน่ใจว่าสมควรแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่ เนื่องจากยังไม่ได้รับข้อมูลที่ชัดเจนเพียงพอ
โดยมีร้อยละ 27.57 เห็นว่าไม่น่าจะแก้ไข เพราะกลัวจะเป็นชนวนความวุ่นวายไม่สงบในบ้านเมือง มีเพียงร้อยละ 24.32 ที่เห็นว่ารัฐธรรมนูญสมควรแก้ไข
ผลคะแนนในสภาต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่แตกต่างจากผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนนี้เอง
เป็นเหมือนแรงกระตุ้นให้ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลมีความหวังว่าจะใช้การแก้ไขรัฐธรรมนูญนี้เป็นหอกสนองคืนรัฐบาล
อย่างที่เห็นกันว่าถ้าสู้กันบนเวทีสภา ฝ่ายค้านไม่เหลือความหวังที่จะเอาชนะรัฐบาลได้ แม้จะพยายามแล้วทุกทาง ทั้งกรณี ว.5 โฟร์ซีซั่นส์ แม้กระทั่งงานคุ้ยขยะก็ยังทำ
โดยคิดไม่ถึงว่าการกระทำเหล่านั้นจะเป็นการขุดหลุมฝังตัวเอง
แถมยังได้คดีหมิ่นประมาทติดตัวลงหลุมไปด้วยคนละคดีสองคดี
เมื่อในสภา พรรคการเมืองตัวแทนกลุ่มอำมาตย์ ไม่สามารถเอาชนะรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ที่เป็นตัวแทนนายใหญ่ในต่างประเทศได้
เพราะไม่ว่ากรณีแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 หรือกรณี 2 พ.ร.ก.โอนหนี้และกู้เงินเพื่อแก้ไขป้องกันปัญหาอุทกภัย และสร้างอนาคตประเทศ
สะท้อนว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์ยิ่งอยู่นานยิ่งแข็งแกร่ง
การผนึกกำลังกับมวลชนเคลื่อนไหว 'นอกสภา' จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับบางพรรคที่ยังหวังรอ 'ส้มหล่น' ด้วยวิธีการนอกระบบ
ในการสัมมนายุทธศาสตร์ 14 จังหวัดภาคใต้ พรรคประชาธิปัตย์ได้ประกาศ 'ปฏิญญาหาด ใหญ่' 8 ข้อ
1.ปกป้องและรักษาเทิดทูนไว้ซึ่งสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ในทุกกรณี 2.คัดค้านการแก้รัฐธรรมนูญ มาตรา 309 เพื่อช่วยเหลือพ.ต.ท. ทักษิณให้พ้นผิด 3.คัดค้านการแก้ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112
4.ต่อต้านการจัดตั้งหมู่บ้านสีแดงเพื่อลดการแบ่งฝักฝ่าย และความแตกแยกของประชาชน 5.ขจัดการโฆษณาชวนเชื่อที่ทำให้หลงผิดคิดคดทรยศต่อแผ่นดิน เพื่อปลุกปั่นสร้างความแตกแยกวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง
6.ต่อต้านการดำเนินการทางการเมืองเพื่อคนใดคนหนึ่ง และการจัดสรรงบให้กลุ่มใดหรือพื้นที่ใด 7.สร้างเครือข่ายและร่วมต่อต้านการทุจริตทุกระดับ ทุกรูปแบบ ทั้งภาครัฐภาค เอกชน
8.เสริมสร้างค่านิยม อุดมการณ์ และการมีส่วนร่วมของเด็ก เยาวชน และประชาชนในการเมืองการปก ครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
จะอย่างไรก็ตามในสายตาพรรคเพื่อไทยกลับมองว่า ปฏิญญาหาดใหญ่ของประชาธิปัตย์ยังยึดเอา 'ทักษิณ ชินวัตร' เป็นจักรวาลชีวิต
ทั้งยังได้ประกาศ 'ปฏิญญาเขาใหญ่ 8 ข้อ' เป็นการล้อเลียน
การรวมพลังนอกสภาเพื่อโค่นล้มรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ครั้งนี้อาจไม่ง่าย นั่นเพราะประชาธิปัตย์ไม่ใช่ฝ่ายค้านที่เข้มแข็งน่าหวาดกลัวอีกต่อไป
การเบนเข็มโจมตีรัฐบาลด้วยเรื่องหยุมหยิม แทนการตรวจสอบ 'เนื้อหา' การทำงานของรัฐบาล เป็นยุทธวิธีผิดพลาดอย่างมหันต์
ขณะที่แนวร่วมหลากสีนอกสภาไม่มีพลังมวลชนมากพอ โดยเฉพาะกลุ่มพันธมิตรฯ ที่แกนนำหลายคนมีปัญหาถูกฟ้องร้องดำเนินคดีกรณีบุกยึดสนามบิน
รวมทั้งแกนนำคนสำคัญที่ล่าสุดศาลอาญามีคำสั่งตัดสินจำคุก 85 ปี ไม่รอลงอาญา ในคดีรับรองเอกสารเท็จกู้เงินธนาคารกว่าพันล้านบาท
ซึ่งต้องรอดูว่าจะมีผลกระทบกับการ 'เป่านกหวีด' ระดมพลใหญ่ต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญในวันที่ 10 มี.ค.นี้อย่างไรหรือไม่
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางพลังต่อต้านเริ่มก่อตัว การที่พรรคเพื่อไทยประกาศชัดเจนว่า ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะไม่แตะต้องหมวดพระมหากษัตริย์
จะทำแบนเนอร์ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทั่วประเทศเข้าใจว่า พรรคและรัฐบาลไม่สนับสนุนให้แก้รัฐธรรมนูญที่กระทบต่อสถาบัน
ทั้งยังมีมติให้สมาชิกพรรคหยุดให้สัมภาษณ์แสดงความเห็นส่วนตัวเรื่องแก้รัฐธรรมนูญ
ทั้งหมดเท่ากับเป็นการ 'ปิดจุดอ่อน' ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามฉวยโอกาสนำไปขยายผลบิดเบือน ใส่ร้ายพรรคและรัฐบาลเหมือนที่แล้วมา
ถึงตอนนี้จึงเหลือแต่กรณี นายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ ที่ต้องจับตาดูว่ารัฐบาลจะดับไม้ขีดไฟก้านเดียว ก่อนไฟจะลุกลามเผาป่าทั้งป่า
ได้ทันท่วงทีหรือไม่
จะมองเป็นเรื่องที่น่าสนใจก็ได้หากคนที่ติดตามข่าวสารบ้านเมืองกับข่าวนี้...แต่อย่ามองข้ามความเป็นไปไม่ได้เพราะโอกาสเกิดในตอนนี้ มีความเป็นไป75%-90% แล้วตอนนี้ โดยเฉพาะคนเสื้อแดงที่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่ลงคะแนนเลือกพรรคเพื่อไทยมาเป็นรัฐบาลเห็นได้จากการหยั่งเชิงแจ้งเตือนตั้งแต่Vอะไรขึ้นและได้พากันออกไปกันท่าคนหลากสีที่หน้ารัฐสภาและการรวมตัวในงานจัดคอนเสิร์ตที่โบนันซ่า ..วงในลึกๆ และในใจชาวบ้าน(คนเสื้อแดง) รู้กันดีว่านี่คือการเช็คกำลังของแต่ละฝ่าย โดยวิธีการนั้นฝ่ายทำลายพยามสร้างกระแสเล็กๆน้อยๆให้เป็นประเด็น. ในสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร ก็เริ่มประโคมข่าวจุดชนวนด้วยรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ โดยขบวนการลิ้มเจ้า... ณ วันนี้ มีรายกายสายล่อฟ้า ของสามเกลอนรก=(อาจจะเป็นที่มาของปรากฏกายพี่น้องแฝดนรก มือชกทำร้ายนายวรเจตน์ ภาคีรัตน์′ อาจารย์ภาควิชากฎหมายมหาชน คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มธ.และแกนนำกลุ่มนิติราษฎร์ บริเวณลานจอดรถ มธ.ท่าพระจันทร์) ชวนนท์-เทพไท-ศิริโชค เป็นศูนย์d]k'ส่งสัณญาณและเช็คเรตติ้งความพร้อม หากอ่านข่าว ไม้ขีดก้านเดียว วอดทั้งรัฐบาล? จากข่าวสดแล้วจะรู้ได้ทันทีว่า ไม่ใช่มีมีขีดแค่ก้านเดียวที่พยามจะจุดเชื้อไฟแยกความรุนแรงและแตกแยกขึ้นในสังคม แต่มันใช้ไม้ขีดหลายก้านเลยหลายกล่องทีเดียวและจุดพร้อมกันหลายที่ .......ตอนนี้ใช้เพียงลิงและเด็กเท่านั้นที่ออกมาเล่นไม้ขีดไฟ
......................................................................
ไม้ขีดก้านเดียว วอดทั้งรัฐบาล?
จากข่าวสด http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROd2Iyd3dNekEwTURNMU5RPT0=§ionid=TURNd05BPT0=&day=TWpBeE1pMHdNeTB3TkE9PQ==
วันที่ 04 มีนาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 21 ฉบับที่ 7766 ข่าวสดรายวัน
เพียงเพราะไม่พอใจและเห็นต่างจากนักวิชาการกลุ่มนิติราษฎร์ ที่ออกมาเคลื่อนไหวแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112
พี่น้องฝาแฝดอันธพาลถึงกับบุกกลุ้มรุมทำร้ายนายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ แกนนำกลุ่มนิติราษฎร์ ถึงภายในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กระทั่งแว่นตาแตก บาดเจ็บที่ใบหน้า
ในทางคดีอาญาข้อหาทำร้ายร่างกายดูเหมือนเป็นคดีธรรมดา ที่ผู้ก่อเหตุอาจต้องโทษสูงสุด จำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 6 พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
แต่ในทางการเมือง สิ่งที่เกิดกับนายวรเจตน์ ได้ส่งผลกระทบต่อสังคมไทยอย่างกว้างขวางเกินกว่าขอบเขตคดีทำร้ายร่างกายธรรมดาหลายเท่า
นักวิชาการและนักสันติวิธีหลายคนเป็นห่วงว่า เรื่องนี้อาจเป็นไม้ขีดไฟก้านเดียว เผาป่าทั้งป่า
กล่าวคือฝาแฝดคู่นี้คือ ดอกผลความขัดแย้งในสังคมไทยที่บ่มเพาะมานานกว่า 6 ปี
การกระทำของทั้งคู่คือจุดเริ่มต้นของการขยายไปสู่การใช้กำลังความรุนแรงในหลายเรื่องตามมา ไม่ว่าระหว่างมวลชนต่อมวลชน หรือมวลชนกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ
จนเกิดเป็นวงจรอุบาทว์นำไปสู่การรัฐประหาร ตามแผนการซึ่งถูกกำหนดขึ้นอย่างลับๆ หลังการเลือกตั้งทั่วไป 3 กรกฎาคม 2554
โดยเป้าหมายสูงสุดคือการทำทุกวิถีทาง
เพื่อโค่นล้มรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และพรรคเพื่อไทยให้จงได้
ผ่านมา 6 เดือน รัฐบาลยิ่งลักษณ์ก้าวสู่จุดหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญอีกครั้ง
จากการเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 เพื่อเปิดทางให้มีส.ส.ร.มายกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ
ซึ่งผ่านวาระรับหลักการจากสมาชิกรัฐสภาทั้งส.ส.และส.ว.ด้วยคะแนน 399 ต่อ 199 เสียง ทิ้งห่างกันครึ่งต่อครึ่ง
กระนั้นก็ตามจากการสำรวจสวนดุสิตโพล พบประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 38.88 หวั่นเกรงว่าการแก้รัฐธรรมนูญจะเกิดการกระทบกระทั่งกันของกลุ่มต่างๆ
ร้อยละ 48.11 ไม่แน่ใจว่าสมควรแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่ เนื่องจากยังไม่ได้รับข้อมูลที่ชัดเจนเพียงพอ
โดยมีร้อยละ 27.57 เห็นว่าไม่น่าจะแก้ไข เพราะกลัวจะเป็นชนวนความวุ่นวายไม่สงบในบ้านเมือง มีเพียงร้อยละ 24.32 ที่เห็นว่ารัฐธรรมนูญสมควรแก้ไข
ผลคะแนนในสภาต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่แตกต่างจากผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนนี้เอง
เป็นเหมือนแรงกระตุ้นให้ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลมีความหวังว่าจะใช้การแก้ไขรัฐธรรมนูญนี้เป็นหอกสนองคืนรัฐบาล
อย่างที่เห็นกันว่าถ้าสู้กันบนเวทีสภา ฝ่ายค้านไม่เหลือความหวังที่จะเอาชนะรัฐบาลได้ แม้จะพยายามแล้วทุกทาง ทั้งกรณี ว.5 โฟร์ซีซั่นส์ แม้กระทั่งงานคุ้ยขยะก็ยังทำ
โดยคิดไม่ถึงว่าการกระทำเหล่านั้นจะเป็นการขุดหลุมฝังตัวเอง
แถมยังได้คดีหมิ่นประมาทติดตัวลงหลุมไปด้วยคนละคดีสองคดี
เมื่อในสภา พรรคการเมืองตัวแทนกลุ่มอำมาตย์ ไม่สามารถเอาชนะรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ที่เป็นตัวแทนนายใหญ่ในต่างประเทศได้
เพราะไม่ว่ากรณีแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 หรือกรณี 2 พ.ร.ก.โอนหนี้และกู้เงินเพื่อแก้ไขป้องกันปัญหาอุทกภัย และสร้างอนาคตประเทศ
สะท้อนว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์ยิ่งอยู่นานยิ่งแข็งแกร่ง
การผนึกกำลังกับมวลชนเคลื่อนไหว 'นอกสภา' จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับบางพรรคที่ยังหวังรอ 'ส้มหล่น' ด้วยวิธีการนอกระบบ
ในการสัมมนายุทธศาสตร์ 14 จังหวัดภาคใต้ พรรคประชาธิปัตย์ได้ประกาศ 'ปฏิญญาหาด ใหญ่' 8 ข้อ
1.ปกป้องและรักษาเทิดทูนไว้ซึ่งสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ในทุกกรณี 2.คัดค้านการแก้รัฐธรรมนูญ มาตรา 309 เพื่อช่วยเหลือพ.ต.ท. ทักษิณให้พ้นผิด 3.คัดค้านการแก้ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112
4.ต่อต้านการจัดตั้งหมู่บ้านสีแดงเพื่อลดการแบ่งฝักฝ่าย และความแตกแยกของประชาชน 5.ขจัดการโฆษณาชวนเชื่อที่ทำให้หลงผิดคิดคดทรยศต่อแผ่นดิน เพื่อปลุกปั่นสร้างความแตกแยกวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง
6.ต่อต้านการดำเนินการทางการเมืองเพื่อคนใดคนหนึ่ง และการจัดสรรงบให้กลุ่มใดหรือพื้นที่ใด 7.สร้างเครือข่ายและร่วมต่อต้านการทุจริตทุกระดับ ทุกรูปแบบ ทั้งภาครัฐภาค เอกชน
8.เสริมสร้างค่านิยม อุดมการณ์ และการมีส่วนร่วมของเด็ก เยาวชน และประชาชนในการเมืองการปก ครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
จะอย่างไรก็ตามในสายตาพรรคเพื่อไทยกลับมองว่า ปฏิญญาหาดใหญ่ของประชาธิปัตย์ยังยึดเอา 'ทักษิณ ชินวัตร' เป็นจักรวาลชีวิต
ทั้งยังได้ประกาศ 'ปฏิญญาเขาใหญ่ 8 ข้อ' เป็นการล้อเลียน
การรวมพลังนอกสภาเพื่อโค่นล้มรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ครั้งนี้อาจไม่ง่าย นั่นเพราะประชาธิปัตย์ไม่ใช่ฝ่ายค้านที่เข้มแข็งน่าหวาดกลัวอีกต่อไป
การเบนเข็มโจมตีรัฐบาลด้วยเรื่องหยุมหยิม แทนการตรวจสอบ 'เนื้อหา' การทำงานของรัฐบาล เป็นยุทธวิธีผิดพลาดอย่างมหันต์
ขณะที่แนวร่วมหลากสีนอกสภาไม่มีพลังมวลชนมากพอ โดยเฉพาะกลุ่มพันธมิตรฯ ที่แกนนำหลายคนมีปัญหาถูกฟ้องร้องดำเนินคดีกรณีบุกยึดสนามบิน
รวมทั้งแกนนำคนสำคัญที่ล่าสุดศาลอาญามีคำสั่งตัดสินจำคุก 85 ปี ไม่รอลงอาญา ในคดีรับรองเอกสารเท็จกู้เงินธนาคารกว่าพันล้านบาท
ซึ่งต้องรอดูว่าจะมีผลกระทบกับการ 'เป่านกหวีด' ระดมพลใหญ่ต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญในวันที่ 10 มี.ค.นี้อย่างไรหรือไม่
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางพลังต่อต้านเริ่มก่อตัว การที่พรรคเพื่อไทยประกาศชัดเจนว่า ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะไม่แตะต้องหมวดพระมหากษัตริย์
จะทำแบนเนอร์ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทั่วประเทศเข้าใจว่า พรรคและรัฐบาลไม่สนับสนุนให้แก้รัฐธรรมนูญที่กระทบต่อสถาบัน
ทั้งยังมีมติให้สมาชิกพรรคหยุดให้สัมภาษณ์แสดงความเห็นส่วนตัวเรื่องแก้รัฐธรรมนูญ
ทั้งหมดเท่ากับเป็นการ 'ปิดจุดอ่อน' ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามฉวยโอกาสนำไปขยายผลบิดเบือน ใส่ร้ายพรรคและรัฐบาลเหมือนที่แล้วมา
ถึงตอนนี้จึงเหลือแต่กรณี นายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ ที่ต้องจับตาดูว่ารัฐบาลจะดับไม้ขีดไฟก้านเดียว ก่อนไฟจะลุกลามเผาป่าทั้งป่า
ได้ทันท่วงทีหรือไม่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น