วันพฤหัสบดีที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2555

โอ๊ย!…เหี้ยขึ้นหอนเห่าคน บนหลังคา!!



วาทตะวัน สุพรรณเภษัช


        ขียนเรื่องการบ้านการเมือง ให้แฟนๆได้อ่านกันทุกๆสัปดาห์นั้น ผมโดนตั้งข้อสังเกต จากสาววัยงามคนหนึ่ง ซึ่งเป็นแฟนคอลัมน์นี้อย่างเหนียวแน่นคน ว่า
        “ทำไมคุณพี่จึงชอบใช้คำว่า ‘เหี้ย’ หรือไม่ก็ ‘พวกเหี้ย’ อยู่บ่อยๆ มีความประทับใจอะไร เป็นพิเศษหรือคะ?  
        โดนเข้าทักอย่างนี้ เลยต้องตรวจดู จึงได้พบว่าจริง เพราะตัวเองนำเอาชื่อสัตว์เลื้อยคลานพันธ์นี้ เข้ามาเกี่ยวข้อง โดยนำมาเป็นส่วนหนึ่งของชื่อคอลัมน์ เช่น

        1. คอลัมน์ชื่อ “ทำเนียบเหี้ย” ซึ่งผมเขียนแนะนำรัฐบาลโลซก ซึ่งขณะนั้นพวกเขากำลังสาละวนกับการ ‘ปรับฮวงจุ้ย’ ที่ทำงานนายกฯ โดยมีการนำรูปสัตว์มายืนประจำทำเนียบ แทนตัวสัตว์ในเทพนิยาย ที่เรียกกันว่า “นรสิงห์” ซึ่งเจ้าของบ้านท่านเดิม คือ เจ้าพระยารามราฆพ ใช้เป็นสัตว์สัญลักษณ์ของบ้าน และใช้ “นรสิงห์” เป็นชื่อบ้านด้วย
        ต่อมาทางราชการซื้อบ้าน “นรสิงห์” ไปใช้เป็นทำเนียบรัฐบาล ได้เปลี่ยนชื่อบ้านเสียใหม่หรูหราว่า “ไทยคู่ฟ้า” หรือ
        “ทำเนียบไทยคู่ฟ้า”         สัตว์ที่ผมแนะนำ ให้ นายอภิแสบ ภักดีโพเดียม หัวหน้ารัฐบาลโลซกในขณะนั้น นำมาทดแทน “นรสิงห์” ไม่ใช่อื่นไกล คือ ตัว “เหี้ย” นั่นเอง และบอกด้วยว่า
        ผู้คนจะได้เรียกทำเนียบ ที่หัวหน้าพรรคดักดาน วิ่งราวอำนาจเข้าไปนั่งเป็นนายกฯ แบบค้านสายตาประชาชนในตอนนั้น ว่า
        “ทำเนียบเหี้ย”  (
http://vattavan.com/detail.php?cont_id=254)        ผมมีเหตุผลอย่างไร ถึงได้แนะนำให้หัวหน้าพรรคดักดาน ตั้งชื่อพิลึกพิลั่นอย่างนั้น
        ท่านที่สนใจ ต้องคลิกเข้าไปอ่านกัน!

        2. ไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ผมได้ย้อนความหลังของหนังสือ ‘รัดทำมะนวย ฉบับหัวคูณ’ เพื่อให้ท่านผู้อ่านที่พลาด ไม่ได้อ่านหนังสือเล่มดังกล่าวทราบว่า
        รัฐธรรมนูญอัปรีย์ฉบับ 2550 นั้น มีที่มาที่ไปอย่างไร พวกสมาชิกสภารัฐประหารอ้างว่า จะช่วยกันร่างให้เป็น ‘หงส์’ แต่ทำไมในที่สุดแล้ว
        มันถึงกลายเป็น ‘เหี้ย’ ได้อย่างไรกัน!?        นี่เอง ที่ทำให้ผมโกรธจัด ต้องลุกขึ้นมา ต่อว่าต่อขาน รัฐธรรมนูญกาลีฉบับนั้นว่า มันเป็น ‘รัดทำมะนวย ฉบับหัวคูณ’ ท่านที่อยากรู้ ต้องตามไปอ่านกันใน
        “จะเอาไข่หงส์ แต่ได้ไข่เหี้ย”         (
http://vattavan.com/detail.php?cont_id=343)
        3. ล่าสุดซึ่งได้ผ่านสายตาท่านไปหมาดๆ คือบทความที่คนอ่านแล้วชอบ คือ ‘ทฤษฎีสมคบคิด’ ของ…ไอ้พวกเหี้ย!!!          http://vattavan.com/detail.php?cont_id=352
        นี่เป็นอีกหนึ่งบทความ ที่ชี้ให้เห็นว่ากันจะจะ ว่า
        ผมเรียกไอ้พวกกาลี ที่คบคิดกันก่อกบฏ ล้มล้างนายกฯ ทักษิณ โดยเรียกเหมารวมแบบยกชุดว่า เป็น “ไอ้พวกเหี้ย” นั้น มีที่มาที่ไปอย่างไร?
        คอลัมน์หลังนี้ ได้รับความสนใจจากผู้คน มีการนำไปเผยแพร่ในเว็บไซด์ต่างๆ จนกระทั่งคนเขียนเอง ยังรู้สึกแปลกใจ

        ก่อนหน้าที่ผมจะเขียนเรื่องเหี้ย ลงใน www.vattavan.com นั้น ผมเคยเขียนคอลัมน์ ชื่อ “เหี้ยส่องกระจก” ลงในเว็บ ‘ผู้จัดการ’ มาก่อน ในคอลัมน์ “กาแฟขม ขนมหวาน” เมื่อผมเล่านิทานแบบชาดก ให้ท่านผู้อ่านฟัง แต่คอลัมน์นี้ทาง ‘ผู้จัดการ’ ไม่ได้เก็บไว้ เพราะเขาเก็บข้อเขียนของผม เอาไว้เพียง 200 ตอนหลัง เท่านั้น ไม่เหมือนเว็บ http://www.vattavan.com/ ที่เก็บข้อเขียนของผมเอาไว้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์
        ท่านผู้อ่านนึกจะอ่าน หรือใช้เป็นข้อมูลเมื่อใด ก็สามารถค้นคว้าได้อย่างสะดวก

        วันนี้ จึงขอถือโอกาสนำเรื่อง “เหี้ยส่องกระจก” มาเล่าสู่กันฟังอีกครั้ง สำหรับท่านที่พลาดไป
        เรื่องเป็นอย่างนี้ครับ

        รุงสาระขันขัน อันเป็นเมืองหลวงของประเทศสาระขันขัน ก็มีสวนสัตว์ใหญ่โตเหมือนกับกรุงเทพฯบ้านเรา และที่ประชุมสภา กรุงสาระขันขันยังตั้งไม่ห่างจากสวนสัตว์เท่าไรนัก        เวลาพวกสมาชิกสภากรุงสาระขันขันมาประชุม สัตว์ก็เห็นพวกเขา และสมาชิกก็เห็นสัตว์ เหมือนเพื่อกัน เพราะไม่รู้สึกแปลกหน้า แต่สัตว์จะเห็นแปลกหน่อย ก็ตรงที่หน้าประตูใหญ่ตรงทางเข้าของสภา มีกระจกบานใหญ่ตั้งอยู่        ก่อนที่สมาชิกสภาเมืองจะเข้าประชุม พวกสัตว์จะเห็นสมาชิกแต่ละคน ยืนส่องกระจก คล้ายจะสำรวจความเรียบร้อยตัวเองก่อนเข้าประชุม
        ทันทีที่ส่องกระจก เกือบทุกคนแสยะยิ้ม และเดินอกตั้ง คอแข็ง เชิดหน้า เดินกางข้อ เข้าสภาไป
        มีสมาชิกสภาเมืองเพียงจำนวนน้อยนิดเท่านั้น นับดูได้ไม่กี่คน ที่เดินมาส่องกระจกบานนี้แล้ว ก็เดินจากไปด้วยอาการสงบ สำรวมเป็นปกติดี เหมือนตอนเดินเข้าประตู ไม่มีกริยา
เดินหน้าเชิด ปั้นปึ่ง เป็นกริยาที่ชาวบ้าน เรียกว่า “เบ่ง” อย่างพวกแรก
        พวกสัตว์ทั้งหลาย มองเห็นอาการแตกต่างของผู้คน ก้อยากรู้ว่า
        ทำไมพวกนี้ถึงยิ้มอย่างภูมิฐาน และทำไมข้อของพวกนี้จึงกางออก แสดงกริยาเหมือนกันไปเสียเกือบหมดทุกคน

        ในสวนสัตว์นั้น มีเหี้ยอยู่หนึ่งตัว แต่มันไม่ถูกกักขังเหมือนสัตว์อื่น ไม่รู้ว่าหลุดรอดมาจากที่ใด แต่อาศัยอยู่ในสวนสัตว์นั้นด้วย และมันมีอิสระไปไหนมาไหนได้ อีกทั้งยังมีความคล่องแคล่ว ปราดเปรียว ในการหลบหลีกผู้คน ทำให้อยู่รอดและหากินได้ อย่างมีความสุขตลอดมา
        ความสงสัยของหมู่สัตว์มากขึ้นทุกที เหี้ยจึงได้รับการร้องขอจากเพื่อนส่ำสัตว์ ขอให้ช่วยหาทาง ไปลองส่องกระจกที่หน้าสภาดูหน่อย แล้วมาบอกพรรคพวกเพื่อนสัตว์ว่า เห็น
อะไร ที่ทำให้คนเกือบทั้งหมด ที่เดินเข้าไปในสภา
        เกิดอาการ “เบ่ง” อย่างนั้นได้!?
        เหี้ยของเราเป็นสัตว์ไม่ขัดเพื่อนอยู่แล้ว รับอาสาจะไปให้ จึงหาทางมุดลอดจากท่อระบายน้ำ เข้าไปในเขตของสภา
        พอเดินผ่านหน้ากระจก เหี้ยส่องกระจกแล้ว ถึงกับผงะด้วยความตกใจสุดขีด


        เพราะภาพที่ปรากฏให้เห็นในกระจก...เป็นอย่างนี้!        เพื่อนสรรพสัตว์จ้องมองดูเหี้ย ที่เดินกลับออกมาจากสภา เข้ามาสวนสัตว์ ทุกตัวได้เห็นภาพเหี้ยเดินแสยะยิ้ม เชิดหน้า ข้อกาง ส่ายอาดๆเข้ามา เหมือนพวกสมาชิกสภาเมืองไม่มีผิด ส่ำสัตว์ทั้งหลายจะถามอะไร มันก็ไม่ยอมตอบ
        นับแต่นั้นมา เหี้ยตัวนี้ เดินข้อกาง ไม่ยอมหุบ เชิดหน้า แหกปากยิ้มแสยะ อย่างน่าชิงชังตลอดเวลา
        ไม่ยอมพูดจากับเพื่อน ส่ำสัตว์ทั้งหลาย อีกต่อไป!!!
        าดกฉบับ ‘วาทตะวัน’ ตอนนี้ ผู้เขียนได้นำไปเป็นชื่อหนังสือ ที่รวบรวมคอลัมน์ที่เขียนเอาไว้ ทั้งคอลัมน์ “เหี้ยส่องกระจก” ด้วย ต่อมาได้นำมาเป็นชื่อหนังสือ ซึ่งแฟนๆได้กรุณาซื้อหาไปอ่านกันมากมาย
        รูปหน้าปกหนังสือ นั้น เป็นที่ประทับใจของผู้คน เพราะผู้ออกแบบใช้แนวคิดแบบการ์ตูนของผม แต่เขาสามารถทำปกออกมาได้สวยงาม เป็นรูปเหี้ยตัวนูน มองจ้องดูตัวเอง ที่
กลายเป็น “เทวดา” ในกระจก อย่างประหลาดใจ และเป็นเหตุให้ไอ้เหี้ยมันหลงผิด คิดว่าตัวเองเป็น
      

  เทวดา!        เรื่องไอ้พวกเหี้ยที่คิดว่าตัวเองเป็นเทวดา บ้านเราดูจะมีมากเอาการอยู่นะครับ!!
content/picdata/356/data/photo9_14.jpg

        ผมรู้สึกแปลกใจกับยอดขายหนังสือเล่มนี้ ทั้งๆที่ไม่ได้วางตลาด เพราะตอนพิมพ์ออกมานั้น พรรคดักดานดันเข้ามาสู่อำนาจพอดิบพอดีดี เลยต้องขายเองด้วยวิธีพิเศษ และการสั่งทางเว็บไซด์ ซึ่งก็ได้พิสูจน์ว่า 

        เรื่องการวางจำหน่าย ไม่ใช่ทางบังคับเสมอไป!!!  



        คงจะเข้าใจดีเหี้ยขึ้น!

        คนไทยเรานั้น ถือว่าเหี้ยเป็นสัตว์อัปมงคล เพราะมันไม่ได้กินของตายอย่างเดียว เหมือน “นกแร้ง” แต่บางครั้งของสดมันก็กินด้วย โดยเฉพาะการเข้าไปลักกินเป็ด-ไก่ ตามเล้าของชาวบ้าน ทำให้ผู้คนที่เป็นเจ้าของขัดเคืองมัน 

        การที่มีเหี้ยเข้ามาในบ้านนั้น ที่สำคัญคือ เจ้าของบ้านไม่รักษาความสะอาด ปล่อยให้มีขยะสิ่งของสกปรก รวมทั้งสัตว์ตาย เอาไว้ในบ้าน จนเหี้ยต้องเข้ามาทำความสะอาดให้

        หี้ยนั้นผูกพันกับเรื่องความเป็น ‘อัปมงคล’ มาแต่โบราณ แม้กระทั่งเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน ยังมีการขับเสภาตลกที่เกี่ยวกับลางร้าย ที่เกิดขึ้นบ้านขุนแผน ดังนี้

        “ครานั้นขุนแผนแสนสนิท
        เรืองฤทธิ์ราวีจะมีไหน
        เมื่อถึงคราวจะมีเหตุเภทภัย
        ก็เกิดลางร้ายใหญ่หลายประการ
        ผึ้งมาจับกรูบูรพทิศ
        วิปริตมากมายหลายสถาน
        เห็ดขึ้นกลางเตาเท่าลำธาร
        เต่าก็คลานขึ้นไปขี้บนที่นอน
        แมวออกลูกห้าตัวหัวเป็นเต่า
        หมามีเขาขึ้นที่หน้าคล้ายกาสร
        รุ้งกินน้ำในกระถางอ่างมังกร


        เหี้ยขึ้นหอนเห่าคนบนหลังคา...”

       
 บทเสภานี้ คงมีนานกว่าอายุของกรุงรัตนโกสินทร์ เพราะเกิดมาแต่สมัยอยุธยา แต่ดูถ้อยคำที่ใช้ ได้บอกเรื่องราวที่คนไทยเชื่อถือ ว่า
        สิ่งที่ลางบอกเหตุร้าย หรือที่เคยไทยถือว่า เป็นอัปมงคลนั้น มีหลายอย่างด้วยกัน
        พออธิบายได้ว่า


        1. ถ้าผึ้งป่าหรือผึ้งหลวง มาทำรังหรือจับในบ้าน ตรงด้านบูรพาทิศ เจ้าของบ้านจะโชคไม่ดี หรือมีเคราะห์ หากไปจับด้านตรงข้าม คือทิศตะวันตก จึงจะเป็นมงคล

        2. เห็ดขึ้นกลางเตาหุงข้าว ซึ่งตรงนี้ความจริงแล้วไม่น่าแปลกเท่าใด เพราะสปอร์นของเห็ดชอบที่ตรงมีขี้เถ้า ถ้ามันปลิวและขี่เถ้านั้นถูกทิ้งไว้ให้เย็นและมีความชื้น เห็ดก็ขึ้นได้ แต่คนไทยถือว่าเป็นเรื่องอัปมงคล เพราะเห็ดนั้นปกติจะงอกในที่ชื้นร่มเย็น ดันโผล่มากลางเตา ที่น่าจะทั้งร้อนและแห้ง
        โบราณถือว่า เป็นเรื่องวิปริต และเป็นอัปมงคล!


        3. เรื่อง “แมวห้า-หมาหก” นั้น เป็นคำพูดติดปากคนไทย เพราะถ้าเจ้าของบ้านเป็นสามัญชนคนธรรมดา หากคอบครองหมาและแมวมีจำนวนตามนี้ ก็ดูจะมากเกินไป เพราะคนไทยเรานั้น เลี้ยงสัตว์เอาไว้เพื่อทำประโยชน์ ไม่ได้เลี้ยงให้เสียข้าวสุกเปล่าๆ เช่น แมวก็เอาไว้จับหนู ส่วนหมานั้นเอาไว้เฝ้าบ้าน หากมีจำนวนมากเกินไปก็สิ้นเปลืองมากไป ซึ่งไม่เป็นมงคล

        4. รุ้งกินน้ำในบ้าน นี่ไม่ค่อยได้เห็น ถ้าบ้านไม่มีบ่อหรือคูน้ำ แต่หาก ‘หัวรุ้ง’ ดันตกลงไปบ่อหรือคูน้ำในบ้าน หรือแม้แต่ในอ่างน้ำหรือกระถางก็ตามที ที่เรียกว่า
        “รุ้งกินน้ำ”         คนไทยถือว่าเป็นเรื่องวิปริต หรือเป็นอุบาทว์ เพราะไม่มันค่อยเกิดขึ้นนั่นเอง

        สำหรับเรื่อง “เหี้ย” นั้น ความเป็นอัปมงคล ได้อธิบายความไปแล้ว แต่สำหรับตัวผมเองนั้น คุ้นเคยกับเหี้ยมาแต่ครั้งยังเป็นเด็ก อยู่ในโรงเรียนประจำ วชิราวุธ วิทยาลัย 
        โรงเรียนของผมกว้างขวางมาก เนื้อที่มากกว่าหนึ่งร้อยสามสิบไร่ ด้านถนนราชวิถี ที่อยู่ติดกับสวนสัตว์ ‘เขาดินวนา’ มีเพียงถนนคั่นกลางกันไว้ ตอนเป็นเด็ก ผมกับเพื่อนจึงคุ้น
เคยกับเขาดินมาก 

        ในวชิราวุธฯนั้น มีสระน้ำใหญ่โต ขุดเป็นรูปแผนที่ประเทศไทย ความใหญ่โต พอๆกันกับบ่อน้ำในสวนสัตว์เขาดิน แถมยังเชื่อมถึงกันทางท่อระบายน้ำอีกด้วย


        ดังนั้น สระน้ำในโรงเรียนของผม จึงมีปลาชุมชุมเหมือนเขาดิน แถมยังมีกุ้งก้ามกรามตัวโตๆเบ้อเริ่มเทิ่มอีกด้วย ผมกับเพื่อนๆเคยตกมาย่างกินก็หลายครั้ง

        นอกจากนั้นยังมีสัตว์อื่น มาปรากฏให้เห็นเป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็นเต่าหรือตะพาบ แถมยัง “เหี้ย” อวดโฉมให้เห็นสม่ำเสมอ จนคุ้นเคยกันดี แต่บางครั้งก็เกิดเรื่องน่าเศร้า
สำหรับพวกมัน
        สาเหตุมาจากเด็กสมัยผม ชอบฟังละครวิทยุเรื่องดัง ชื่อ “ล่องไพร” ของนักประพันธ์ใหญ่ คือคุณ น้อย อินทนนท์ ในตอนนั้น ซึ่งมีอิทธิพลอย่างมาก ทำให้เด็กหลายคนในยุคผม ใฝ่ฝันอยากเป็นนายพรานใหญ่ จะได้ถือปืนยาวออกไปล่าสัตว์แบบ “ศักดิ์ สุริยัน” พระเอก “ล่องไพร” ในนวนิยายดังของคุณน้อยฯ

        จึงไม่แปลกใจ ที่เด็กในรุ่นผม อยากเป็นพรานล่าสัตว์จนตัวซี้ตัวสั่น พอเห็นเหี้ยพลัดหลงขึ้นมาจากบ่อน้ำ พรานรุ่นเยาว์ก็เอาไม้ไล่ตีจนตาย เอาซากมันมาผ่าสำรวจเครื่องในกัน
        เด็กที่อยู่ในขบวนการไล่ตีเหี้ยรุ่นผมนั้น พอโตขึ้นแล้ว บางคนกลับกลายเป็น ‘นักอนุรักษ์สัตว์’ ที่มีชื่อเสียง จนผู้คนรู้จักกันดี เช่น พิสิษฐ์ ณ พัทลุง ผู้ก่อตั้ง มูลนิธิสัตว์ป่าและ
พันธุ์พืช เป็นต้น
        ความจริงในกรุงเทพเรานั้น หากในบ้าน วัด โรงเรียนฯลฯ หรือสถานที่อื่นใด ที่อยู่ใกล้แม่น้ำ หรือมีสระน้ำขนาดใหญ่ เรามักจะพบเห็นเหี้ยได้เสมอ
        ตอนผมเป็นเด็ก พ่อและแม่ผมชอบพาครอบครัวเรา ไปปิกนิกกันในสวนลุมพินี โดยนำอาหารไปรับประทาน ส่วนมากก็เป็นข้าวห่อใบบัว ประเภทข้าวผัดน้ำพริก ข้าวผัดปลา
สลิดฯลฯ นอกจากนั้นก็เป็นแซนวิช แล้วพ่อแม่ก็นอนบนเสื่อกระจูด ดูลูกๆก็วิ่งเล่นกัน
        จำได้ดีว่า เคยเห็นเหี้ยเดินส่ายอาดๆในสวนลุมฯ หลายครั้งหลายหน!         โตเป็นผู้ใหญ่ ทำงานแล้ว ผมไปวิ่งที่สวนลุมฯเป็นประจำ เพราะสวนสาธารณะเก่าแก่นี้ ตั้งอยู่บนทางผ่านไปที่ทำงาน และอยู่ห่างจากบ้านผมแค่กิโลเมตรเศษ
        จึงมีโอกาสได้พบเห็นบรรดาเหี้ย เดินเล่นอย่างไม่กลัวคนในสวยบ่อยครั้ง!

        ในสวนลุมมีอาคารหลังหนึ่ง ชื่อ “อาคารลุมพินีสถาน” สถานที่แห่งนี้ อยู่ในความทรงจำสำหรับหนุ่มสาวยุคผม เพราะเป็นที่ตั้งของฟลอร์เต้นรำ บางทีก็เรียกอย่างไม่เป็นทางการว่า
        “เวทีลีลาศสวนลุมพินี”         เวทีสวนลุมฯแห่งนี้ เคยเป็นที่หนุ่มสาวมาชุมนุมเต้นรำกัน มีความพิเศษตรงที่ นอกจากเป็นฟลอร์ลีลาศที่กว้างขวางแล้ว ยังเป็นที่จัดงานต่างๆ เช่น งานฉลองปริญญา โดยมีวงดนตรีขนาดใหญ่ไปเล่น ซึ่งเจ้าประจำสำหรับงานใหญ่ไม่ใช่วงไหน แต่เป็นวงดนตรี “สุนทราภรณ์” นั่นเอง
        วงดนตรีสำคัญของชาติวงนี้ มาบรรเลง ณ เวทีสวนลุมฯอย่างสม่ำเสมอ ต่อเนื่องเป็นเวลายาวนาน เพื่อให้คนที่มางานรื่นเริง ได้เต้นรำตามจังหวะดนตรีอันไพเราะสนุกสนานกัน
จนเป็นที่จดจำของผู้คนในยุคนั้น
        เมื่อบ้านเมืองของเราเปลี่ยนแปลงไป มีสถานที่ใหม่ๆเกิดขึ้นมาก รสนิยมของผู้คนเปลี่ยนตามไปด้วย คนรุ่นใหม่ย้ายไปจัดงานที่อื่นมากขึ้น แต่นานๆครั้ง ก็มีการจัดลีลาศที่เวทีแห่งนี้ 
        ทางกรุงเทพมหานคร ได้สร้างอนุสาวรีย์ ครูเอื้อ สุนทรสนาน ตั้งอยู่เด่นเป็นสง่าอยู่หน้าฟลอร์สวนลุมฯ เพื่อเป็นการรำลึกถึง และให้เกียรติกับครู ซึ่งเป็นศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ของชาติ
ไทยเรา
        นักเต้นรำรุ่นเก่าอย่างผม ทั้งชายและหญิง ที่ยังมีผูกพันกับสถานที่แห่งนี้ เวลาพบหน้าพบตา คุยความหลังกันทีไร


        สนุกทุกที...เช่น

        เรื่อง ‘คุณเหี้ย’ ที่เราเคยเห็นในสวนลุมฯ สมัยพรรคพวกผม ยังเป็นหนุ่มเป็นสาวกัน นั้น
        บางวันเป็นเพราะอยากฟังดนตรี หรืออย่างไรไม่ทราบได้ บรรดา ‘พวกเหี้ย’ ทั้งหลาย พากันเดินพาเหรดขึ้นไป เดินลอยหน้าลอยตา บนฟลอร์สวนลุมฯ ไม่เกรงอกเกรงใจผู้ใด
เล่นเอาผู้คนตั้งใจจะมาเต้นรำสมัยนั้น

        แตกตื่น...กันไปเลย!

        มาถึง พ.ศ.นี้ คนไทยไม่เกรง ‘เหี้ย’ จะบุกขึ้นไปบนเวทีลีลาศสวนลุมฯ กันอีกแล้ว เพราะต่อให้พวกมันขึ้นไปเต้นระบำ ร้องรำทำเพลงทุกวันศุกร์ หรือจะไปสุมกบาลเม้าท์กันเป็นฝูง ตั้งแต่วันจันทร์-ยันวันอาทิตย์ ก็คงไม่มีใครสนใจ
        ขอแต่เพียง อย่าถึงกับ...

        ขึ้นไปหอนเห่าคนบนหลังคา ให้เป็นกาลีบ้าน-กาลีเมือง เท่านั้น...ก็คงพอกระมัง!!!?
...555...
.......................
 บทความประจำสัปดาห์  โอ๊ย!…เหี้ยขึ้นหอนเห่าคนบนหลังคา!! ออนไลน์ วันเสาร์ ที่ 24 มีนาคม 2555)

http://www.vattavan.com/detail.php?cont_id=356



 
 
เพราะมันชอบกินของเน่าของสกปรก คนไทยถือว่าเป็นเรือง “อัปมงคล” แต่ความจริงแล้ว เป็นเพราะ...        เจ้าของบ้านเป็นคนขี้เกียจ และสกปรกนั่นเอง!
 
        เรื่องของ “เหี้ย” นั้น ในความเห็นส่วนตัวแล้ว ผมเห็นว่ามันมีประโยชน์ เพราะเป็นสัตว์ที่ทำความสะอาดให้ลำน้ำ คล้ายภารโรงเพราะมันจะกำจัดเศษซากสิ่งต่างๆ ที่อยู่ตาม
ท้องน้ำ ทำให้สิ่งของที่ผู้คนทิ้งไป ไม่เน่าเสีย จนกลายเป็นภาระในด้านสิ่งแวดล้อม
        ใครอยากเห็นเหี้ยกำจัดสิ่งโสโครกอย่างไร ลองไปที่ร้าน “ทองชุบ” อำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี ซึ่งเป็นแพอยู่ริมแม่น้ำ
        ระหว่างรับประทานกุ้งเผาแสนอร่อย ท่านจะเห็นฝูงเหี้ย ขึ้นมากินเศษซากอาหาร ที่ผู้คนหยิบโยนให้แล้ว 

ไม่มีความคิดเห็น: