วันอาทิตย์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2555

เกรียนหมายเลข 3 ป่วนทุบรถวอยซ์ทีวี-ศาลลงโทษซ้ำรอยแฝด

 
รณี ′แฝดเกรียน′ นายสุพจน์-นายสุพัฒน์ ศิลารัตน์ จำเลยคดีชกหน้านายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ นักวิชาการแกนนำกลุ่มนิติราษฎร์ ในลานจอดรถมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ยังไม่จบลงสนิทดีนัก

 ก็มาเกิดเรื่องการใช้ความรุนแรงซ้ำขึ้นอีก เมื่อนายกวีไกร โชคพัฒนเกษมสุข อดีตการ์ดพันธมิตรฯ ใช้ท่อนเหล็กทุบกระจกรถสำนักข่าววอยซ์ทีวี เพราะไม่พอใจที่เกี่ยวพันกับนายพานทองแท้ ชินวัตร ลูกชายพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ

 เรื่องของเรื่องเพียงเพราะไม่พอใจที่สำนักข่าววอยซ์ทีวี เกี่ยวพันกับพ.ต.ท.ทักษิณ!??

 ทั้งๆ ที่ ไม่เคยรู้จักหรือมีเรื่องมีเรื่องโกรธแค้นกันมาก่อน

 แต่นายกวีไกร สามารถลงมือก่อเหตุอย่างชนิดไร้เหตุผล

 จนถูกเรียกว่า ′เกรียน 3′

 เพราะมีพฤติกรรมและแนวคิดความรุนแรงไม่ต่างจาก ′แฝดเกรียน′ นั่นเอง!??


*เกรียนหมายเลข 3-อาละวาด

 เรื่องราวของ เกรียนหมายเลข 3ž เกิดขึ้นระหว่างการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ที่สวนลุมพินี เมื่อวันที่ 10 มีนาคมที่ผ่านมา

 แต่การชุมนุมกลายเป็นเรื่องรอง เมื่อเกิดเหตุคนร้ายใช้ท่อนเหล็กทุบกระจกรถสำนักข่าววอยซ์ทีวี แตกเสียหาย

 คนร้ายก็ไม่รอดเนื่องจากคนขับรถวอยซ์ทีวี นั่งอยู่ในรถพอดี จึงติดเครื่องและเร่งไล่ตามก่อนพุ่งชนจนรถล้ม

 ตำรวจที่ดูแลอยู่บริเวณนั้นเข้าล็อกตัวไว้ได้ พร้อมของกลางแท่งเหล็กและรถจักรยานยนต์ที่เป็นพาหนะ

 พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ รองผบช.น. ซึ่งรับผิดชอบเรื่องความสงบเรียบร้อยระหว่างการชุมนุม ร่วมสอบปากคำ

 คนร้ายคือ นายกวีไกร โชคพัฒนเกษมสุข อายุ 31 ปี ที่เดินทางมาร่วมชุมนุมกับพันธมิตรฯ นั่นเอง

 "นายกวีไกรให้การว่าไม่พอใจวอยซ์ทีวี เพราะรู้มาว่าเป็นสถานีโทรทัศน์ของพ.ต.ท.ทักษิณ ขับขี่รถจักรยานยนต์ผ่านมาจึงใช้เหล็กที่นำติดมา ทุบกระจกรถของวอยซ์ทีวี ทำโดยไม่ได้รับจ้างใครมา เหล็กที่ใช้ตีเป็นเหล็กชนิดที่เอาไว้ค้ำกระโปรงรถ" พล.ต.ต.วิชัย เล่าถึงเบื้องหน้าเบื้องหลัง

 อย่างไรก็ตามจากรูปร่างหน้าตา และพฤติกรรมรุนแรงเช่นนี้ ทำให้ตำรวจสงสัยว่าอาจจะไม่ใช่เพิ่งมาก่อเหตุครั้งแรก
 กอปรกับพล.ต.ต.วิชัย คุ้นๆ หน้านายกวีไกร จึงสั่งให้เช็กประวัติ

 ตามคาดหมอนี่ไม่ธรรมดา เพราะติดคุกมาตั้งแต่วัยรุ่น และพัวพันกับเหตุความรุนแรงหลายครั้ง โดยเฉพาะเมื่อคราวม็อบพันธมิตรฯก่อหวอด จนมีปัญหากับกลุ่มนปช. หรือเสื้อแดง

 โดยเคยก่อเหตุทำร้ายด้วยการจิกผมนางมินตรา โสรส สาวเสื้อแดง เมื่อวันที่ 13 เมษายน 2552 ซึ่งเป็นช่วงที่กลุ่มนปช.ชุมนุมเคลื่อนไหวใหญ่ครั้งแรก ท้องที่สน.ดินแดง

 ภาพเหตุการณ์สื่อมวลชนนำไปเผยแพร่ทั้งทางสิ่งพิมพ์และสื่อทีวี

 แต่นายกวีไกรไม่เคยถูกดำเนินคดี

 เมื่อมาก่อเหตุครั้งนี้ตำรวจจึงจัดการทบต้นทบดอก 2 คดีซ้อน


*แฉเพื่อนคู่แฝด-พธม.เมิน

 ตำรวจเช็กประวัตินายกวีไกรแบบเจาะลึกมากขึ้น พบว่าเมื่อปี 2545 ขณะอายุเพียง 21 ปี เคยถูกจำคุกนาน 3 เดือน ข้อหาทำร้ายร่างกาย

 นอกจากนี้ในเฟซบุ๊กนายกวีไกร พบว่ามีเพื่อนชื่อ สุพจน์ ศิลารัตน์ž แฝดเกรียนคนพี่ จำเลยคดีทำร้ายร่างกายนายวรเจตน์ รวมอยู่ในกลุ่มเพื่อนทั้งหมด 55 คน

 ส่วน "ข้อมูลเบื้องต้น" นายกวีไกร เผยแพร่ในเฟซบุ๊กอ้างว่า

 "ไม่สังคม ไม่กินเหล้า ไม่กินเบียร์ ชอบอยู่แต่บ้าน เป็นคนพูดไม่เก่ง เป็นคนพูดตรงๆ จะหยาบคายเฉพาะกับพวกควายแดง เป็นคนนิ่งๆ ไม่หยิ่ง เข้าได้กับคนทุกระดับ"

 เมื่อดูที่หน้าโพสต์ข้อความส่วนใหญ่เป็นเรื่องด่ารัฐบาล และพ.ต.ท.ทักษิณ รวมทั้งคนเสื้อแดง

 พล.ต.ต.วิชัยระบุว่าผู้ต้องหารายนี้มีอาการฝังหัว คือ ไม่ชอบ พ.ต.ท.ทักษิณ หรืออะไรที่เกี่ยวกับทักษิณ จึงทำให้โกรธอย่างที่ได้เห็นว่าเคยไปกระชากหัวคนเสื้อแดง ระหว่างที่สอบปากคำก็พูดจาไม่รู้เรื่อง รวมทั้งพบว่าพฤติกรรมเวลาโกรธอย่างทะเลาะกับคนขายของ วันต่อมาก็ไปดักตีเขาทันที ซึ่งเป็นถือว่าพวกชอบใช้ความรุนแรง

 จากข้อมูลพบว่านายกวีไกร เคยเป็นการ์ดเสื้อเหลืองด้วย

 อย่างไรก็ตามหลังเกิดเหตุขึ้นฝ่ายกลุ่มพันธมิตรฯ ออกมาปฏิเสธอ้างว่านายกวีไกร ออกจากกลุ่มไปนานแล้ว

 ทั้งกล่าวหาว่าเป็นพวกเหลืองเทียม หรือพวกแดงที่แฝงตัวเข้ามาก่อเหตุเพื่อป้ายความผิด!??

 โดยนายทวีไกรหลังถูกจับปรากฏว่าต้องนอนในห้องขัง เนื่องจากไม่มีใครมาเยี่ยมหรือยื่นประกันตัว


*ศาลตัดสินกักขัง 15 วัน

 กระทั่งวันที่ 12 มีนาคม ตำรวจสรุปสำนวนส่งอัยการสั่งฟ้องต่อศาลแขวงปทุมวัน ฐานทำให้เสียทรัพย์ จำเลยรับสารภาพ อ้างว่าทำไปเพราะความสะใจ

 ศาลจึงมีคำตัดสินว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องจริง พิพากษาจำคุก 2 เดือน ปรับ 2,000 บาท โทษจำคุกให้รอลงอาญาไว้มีกำหนด 1 ปี และให้รายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติทุก 3 เดือน

 แม้จะรอดตะรางมาได้ในคดีแรก แต่นายกวีไกรยังไม่ทันลงจากศาล ตำรวจสน.ดินแดง ก็มาแจ้งอายัดตัวในคดีทำร้ายร่างกายสาวเสื้อแดงเมื่อปี 2552

 โดยเจ้าทุกข์พร้อมทนายความรวบรวมเอกสารมายื่นสำทับอีกด้วย

 "วันนี้ที่ต้องมาด้วยตัวเอง เพราะทราบข่าวและเห็นใบหน้าคนร้ายทางสื่อมวลชน จึงรวบรวมเอกสารหลักฐาน และติดต่อทนายความเพื่อดำเนินการเรื่องขออายัดตัวนายกวีไกรไปดำเนินคดี" นางมินตรากล่าว

 เจ้าหน้าที่คุมตัวผู้ต้องหาไปส่งฟ้องศาลแขวงดุสิต จำเลยให้การรับสารภาพ ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้อง พิพากษาจำคุก 1 เดือน โดยไม่รอลงอาญา แต่ให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นการกักขัง 15 วัน

 หลังสิ้นคำพิพากษาเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ นำตัวนายกวีไกรไปกักขังไว้ที่สถานกักขังกลาง (คลองหก) จ.ปทุมธานี
 แม้ยังไม่ต้องเข้าคุกแต่น่าจะทำให้เข็ดหลาบในระดับหนึ่ง


*ตร.ฟันเพิ่ม′แฝดเกรียน′

 ในส่วนของเกรียนรุ่นพี่คือฝาแฝดสุพจน์-สุพัฒน์ ที่มีชนักติดหลัง ศาลลงโทษจำคุกคนละ 3 เดือนไม่รออาญา และบวกโทษนายสุพจน์จากคดีเก่าคืออาวุธปืนผิดมือที่ศาลรอลงอาญาไว้ก่อนหน้านี้ รวมต้องโทษจำคุก 10 เดือน

 ทั้งคู่อยู่ระหว่างประกันตั้งสู้คดีในชั้นอุทธรณ์

 แต่คู่แฝดยังไม่หมดปัญหาแค่นั้น เพราะมีคดีปลอมแปลงเอกสารยื่นขอครอบครองอาวุธปืนรวม 3 กระบอก ที่อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี รอท่าอยู่ด้วย!??

 โดยนายสุพจน์-สุพัฒน์ นำบัตรประจำตัวอาสาทหารพราน หน่วยเฉพาะกิจทหารพรานที่ 26 จ.บุรีรัมย์ ออกให้เมื่อปี 2551 และหมดอายุปี 2553 ไปขอครอบครองปืน

 แต่หลังเกิดคดีชกนายวรเจตน์ ตำรวจตรวจสอบกรณีนี้ กระทั่งพ.อ.ณัฏฐ์ ศรีอินทร์ ผบ.หน่วยเฉพาะกิจทหารพรานที่ 26 ต้นสังกัดที่คู่แฝดอ้าง ระบุว่าทั้งคู่ไม่เคยเป็นอาสาทหารพราน

 ขณะที่บัตรประจำตัวปลอมระบุว่าออกโดย ′พ.อ.ศิริชัย สร้อยแสน′ นายทหารพระธรรมนูญนั้น ต่อมาพ.อ.ศิริชัยออกมายืนยันว่าเห็นบัตรประจำตัวดังกล่าวแล้ว ไม่ใช่ลายมือชื่อของตน และไม่เคยรู้จักทั้ง 2 คนมาก่อน

 ฝ่ายทหารระบุว่าให้ตำรวจแจ้งข้อหาปลอมแปลงเอกสารได้ทันที

 ขณะที่ตำรวจรวมรวบหลักฐานยื่นต่อศาลเพื่อให้ถอนใบอนุญาตครอบครองอาวุธปืน


*สยบ′เกรียน′ก่อนป่วนหนัก

 สำหรับคำว่า ′เกรียน′ ที่ใช้เรียกคู่แฝด และนายกวีไกร เป็นศัพท์สแลงของวัยรุ่น และแพร่หลายในอินเตอร์เน็ต มีความหมายถึงพวกชอบแสดงตัวว่ามีความรู้ ทั้งที่ความจริงไม่มี หรือมีก็เพียงผิวเผิน

 และยังหมายความไปถึงคนที่มีพฤติกรรมก้าวร้าว ยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง ชอบใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผลหรือการวิเคราะห์ไตร่ตรอง

 ที่ผ่านมาพวกเรียนมักจะอาละวาดอยู่ในสังคมออนไลน์ เช่น เฟซบุ๊ก หรือทวิตเตอร์ และในเว็บไซต์ที่เปิดให้แสดงความคิดเห็น

 พวกเกรียน จะแสดงความคิดเห็นในเรื่องต่างๆ โดยเฉพาะประเด็นการเมือง จะวิจารณ์หรือแสดงความเห็นโดยใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล

 ยิ่งเมื่อใช้เหตุผลหักล้างฝ่ายตรงข้ามไม่ได้ จะเริ่มใช้ตรรกะแบบแถไปดื้อๆ หรือใช้สีข้างเข้าถู

 หนักเข้าจะเริ่มใช้ถ้อยคำเสียดสี หรือหยาบคายเข้าใส่ แม้กระทั่งท้าตีท้าต่อย

 อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาพวกเกรียนจะป่วนอยู่เพียงในโลกเสมือน หรือโลกออนไลน์เท่านั้น แม้จะทำให้นักท่องเน็ตบางส่วนรำคาญ แต่ก็ไม่ได้เดือดร้อนมากกว่านั้น

 ทว่าหลังเกิดกรณีแฝดเกรียน และเกรียนหมายเลข 3 ออกมาก่อเหตุในสังคม สามารถลงมือทำร้ายบุคคลอื่นโดยที่ไม่เคยมีเรื่องกันมาก่อน สาเหตุเพียงแค่ความคิดเห็นไม่ตรงกัน หรือทำเพื่อความสะใจเท่านั้น

 จึงเป็นเรื่องที่เหมาะและสมควรอย่างยิ่ง ที่กระบวนการยุติธรรมต้องลงโทษอย่างจริงจัง เพื่อทำให้เป็นคดีตัวอย่าง
 อย่างน้อยก็ ′ปราม′ เกรียนคนอื่นๆ ให้อยู่แต่ในโลกออนไลน์ อย่าออกมา ′เกรียน′ บนโลกจริง

 เพราะแม้ทำคนอื่นเจ็บจริง สะใจจริงๆ แต่ตัวเองก็ ′ติดคุก′ จริงหมือนกัน!!!
 
 
 

 
 
 
วันที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2555 เวลา 13:06 น.  ข่าวสดออนไลน์
---------



Human destiny will walk along the path to the script. Social coexistence. I think the people that were killed Prahad. I think they need someone to look at the (then give it to you to the people).


วันอาทิตย์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2555

ความจริงมันไม่ใช่ ไม้ขีดก้านเดียวหรอก ที่หวังจะให้วอดทั้งรัฐบาล?

จาก คนฟังข่าว เล่าความคิด













จะมองเป็นเรื่องที่น่าสนใจก็ได้หากคนที่ติดตามข่าวสารบ้านเมืองกับข่าวนี้...แต่อย่ามองข้ามความเป็นไปไม่ได้เพราะโอกาสเกิดในตอนนี้ มีความเป็นไป75%-90% แล้วตอนนี้ โดยเฉพาะคนเสื้อแดงที่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่ลงคะแนนเลือกพรรคเพื่อไทยมาเป็นรัฐบาลเห็นได้จากการหยั่งเชิงแจ้งเตือนตั้งแต่Vอะไรขึ้นและได้พากันออกไปกันท่าคนหลากสีที่หน้ารัฐสภาและการรวมตัวในงานจัดคอนเสิร์ตที่โบนันซ่า ..วงในลึกๆ และในใจชาวบ้าน(คนเสื้อแดง) รู้กันดีว่านี่คือการเช็คกำลังของแต่ละฝ่าย โดยวิธีการนั้นฝ่ายทำลายพยามสร้างกระแสเล็กๆน้อยๆให้เป็นประเด็น. ในสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร ก็เริ่มประโคมข่าวจุดชนวนด้วยรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ โดยขบวนการลิ้มเจ้า... ณ วันนี้ มีรายกายสายล่อฟ้า ของสามเกลอนรก=(อาจจะเป็นที่มาของปรากฏกายพี่น้องแฝดนรก มือชกทำร้ายนายวรเจตน์ ภาคีรัตน์′ อาจารย์ภาควิชากฎหมายมหาชน คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มธ.และแกนนำกลุ่มนิติราษฎร์ บริเวณลานจอดรถ มธ.ท่าพระจันทร์) ชวนนท์-เทพไท-ศิริโชค เป็นศูนย์d]k'ส่งสัณญาณและเช็คเรตติ้งความพร้อม  หากอ่านข่าว ไม้ขีดก้านเดียว วอดทั้งรัฐบาล? จากข่าวสดแล้วจะรู้ได้ทันทีว่า ไม่ใช่มีมีขีดแค่ก้านเดียวที่พยามจะจุดเชื้อไฟแยกความรุนแรงและแตกแยกขึ้นในสังคม แต่มันใช้ไม้ขีดหลายก้านเลยหลายกล่องทีเดียวและจุดพร้อมกันหลายที่ .......ตอนนี้ใช้เพียงลิงและเด็กเท่านั้นที่ออกมาเล่นไม้ขีดไฟ



......................................................................



ไม้ขีดก้านเดียว วอดทั้งรัฐบาล?
จากข่าวสด http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROd2Iyd3dNekEwTURNMU5RPT0=&sectionid=TURNd05BPT0=&day=TWpBeE1pMHdNeTB3TkE9PQ==

วันที่ 04 มีนาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 21 ฉบับที่ 7766 ข่าวสดรายวัน
เพียงเพราะไม่พอใจและเห็นต่างจากนักวิชาการกลุ่มนิติราษฎร์ ที่ออกมาเคลื่อนไหวแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112

พี่น้องฝาแฝดอันธพาลถึงกับบุกกลุ้มรุมทำร้ายนายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ แกนนำกลุ่มนิติราษฎร์ ถึงภายในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กระทั่งแว่นตาแตก บาดเจ็บที่ใบหน้า

ในทางคดีอาญาข้อหาทำร้ายร่างกายดูเหมือนเป็นคดีธรรมดา ที่ผู้ก่อเหตุอาจต้องโทษสูงสุด จำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 6 พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

แต่ในทางการเมือง สิ่งที่เกิดกับนายวรเจตน์ ได้ส่งผลกระทบต่อสังคมไทยอย่างกว้างขวางเกินกว่าขอบเขตคดีทำร้ายร่างกายธรรมดาหลายเท่า

นักวิชาการและนักสันติวิธีหลายคนเป็นห่วงว่า เรื่องนี้อาจเป็นไม้ขีดไฟก้านเดียว เผาป่าทั้งป่า

กล่าวคือฝาแฝดคู่นี้คือ ดอกผลความขัดแย้งในสังคมไทยที่บ่มเพาะมานานกว่า 6 ปี

การกระทำของทั้งคู่คือจุดเริ่มต้นของการขยายไปสู่การใช้กำลังความรุนแรงในหลายเรื่องตามมา ไม่ว่าระหว่างมวลชนต่อมวลชน หรือมวลชนกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ

จนเกิดเป็นวงจรอุบาทว์นำไปสู่การรัฐประหาร ตามแผนการซึ่งถูกกำหนดขึ้นอย่างลับๆ หลังการเลือกตั้งทั่วไป 3 กรกฎาคม 2554

โดยเป้าหมายสูงสุดคือการทำทุกวิถีทาง

เพื่อโค่นล้มรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และพรรคเพื่อไทยให้จงได้



ผ่านมา 6 เดือน รัฐบาลยิ่งลักษณ์ก้าวสู่จุดหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญอีกครั้ง

จากการเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 เพื่อเปิดทางให้มีส.ส.ร.มายกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ

ซึ่งผ่านวาระรับหลักการจากสมาชิกรัฐสภาทั้งส.ส.และส.ว.ด้วยคะแนน 399 ต่อ 199 เสียง ทิ้งห่างกันครึ่งต่อครึ่ง

กระนั้นก็ตามจากการสำรวจสวนดุสิตโพล พบประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 38.88 หวั่นเกรงว่าการแก้รัฐธรรมนูญจะเกิดการกระทบกระทั่งกันของกลุ่มต่างๆ

ร้อยละ 48.11 ไม่แน่ใจว่าสมควรแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่ เนื่องจากยังไม่ได้รับข้อมูลที่ชัดเจนเพียงพอ

โดยมีร้อยละ 27.57 เห็นว่าไม่น่าจะแก้ไข เพราะกลัวจะเป็นชนวนความวุ่นวายไม่สงบในบ้านเมือง มีเพียงร้อยละ 24.32 ที่เห็นว่ารัฐธรรมนูญสมควรแก้ไข

ผลคะแนนในสภาต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่แตกต่างจากผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนนี้เอง

เป็นเหมือนแรงกระตุ้นให้ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลมีความหวังว่าจะใช้การแก้ไขรัฐธรรมนูญนี้เป็นหอกสนองคืนรัฐบาล

อย่างที่เห็นกันว่าถ้าสู้กันบนเวทีสภา ฝ่ายค้านไม่เหลือความหวังที่จะเอาชนะรัฐบาลได้ แม้จะพยายามแล้วทุกทาง ทั้งกรณี ว.5 โฟร์ซีซั่นส์ แม้กระทั่งงานคุ้ยขยะก็ยังทำ

โดยคิดไม่ถึงว่าการกระทำเหล่านั้นจะเป็นการขุดหลุมฝังตัวเอง

แถมยังได้คดีหมิ่นประมาทติดตัวลงหลุมไปด้วยคนละคดีสองคดี



เมื่อในสภา พรรคการเมืองตัวแทนกลุ่มอำมาตย์ ไม่สามารถเอาชนะรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ที่เป็นตัวแทนนายใหญ่ในต่างประเทศได้

เพราะไม่ว่ากรณีแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 หรือกรณี 2 พ.ร.ก.โอนหนี้และกู้เงินเพื่อแก้ไขป้องกันปัญหาอุทกภัย และสร้างอนาคตประเทศ

สะท้อนว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์ยิ่งอยู่นานยิ่งแข็งแกร่ง

การผนึกกำลังกับมวลชนเคลื่อนไหว 'นอกสภา' จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับบางพรรคที่ยังหวังรอ 'ส้มหล่น' ด้วยวิธีการนอกระบบ

ในการสัมมนายุทธศาสตร์ 14 จังหวัดภาคใต้ พรรคประชาธิปัตย์ได้ประกาศ 'ปฏิญญาหาด ใหญ่' 8 ข้อ

1.ปกป้องและรักษาเทิดทูนไว้ซึ่งสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ในทุกกรณี 2.คัดค้านการแก้รัฐธรรมนูญ มาตรา 309 เพื่อช่วยเหลือพ.ต.ท. ทักษิณให้พ้นผิด 3.คัดค้านการแก้ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112

4.ต่อต้านการจัดตั้งหมู่บ้านสีแดงเพื่อลดการแบ่งฝักฝ่าย และความแตกแยกของประชาชน 5.ขจัดการโฆษณาชวนเชื่อที่ทำให้หลงผิดคิดคดทรยศต่อแผ่นดิน เพื่อปลุกปั่นสร้างความแตกแยกวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง

6.ต่อต้านการดำเนินการทางการเมืองเพื่อคนใดคนหนึ่ง และการจัดสรรงบให้กลุ่มใดหรือพื้นที่ใด 7.สร้างเครือข่ายและร่วมต่อต้านการทุจริตทุกระดับ ทุกรูปแบบ ทั้งภาครัฐภาค เอกชน

8.เสริมสร้างค่านิยม อุดมการณ์ และการมีส่วนร่วมของเด็ก เยาวชน และประชาชนในการเมืองการปก ครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

จะอย่างไรก็ตามในสายตาพรรคเพื่อไทยกลับมองว่า ปฏิญญาหาดใหญ่ของประชาธิปัตย์ยังยึดเอา 'ทักษิณ ชินวัตร' เป็นจักรวาลชีวิต

ทั้งยังได้ประกาศ 'ปฏิญญาเขาใหญ่ 8 ข้อ' เป็นการล้อเลียน



การรวมพลังนอกสภาเพื่อโค่นล้มรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ครั้งนี้อาจไม่ง่าย นั่นเพราะประชาธิปัตย์ไม่ใช่ฝ่ายค้านที่เข้มแข็งน่าหวาดกลัวอีกต่อไป

การเบนเข็มโจมตีรัฐบาลด้วยเรื่องหยุมหยิม แทนการตรวจสอบ 'เนื้อหา' การทำงานของรัฐบาล เป็นยุทธวิธีผิดพลาดอย่างมหันต์

ขณะที่แนวร่วมหลากสีนอกสภาไม่มีพลังมวลชนมากพอ โดยเฉพาะกลุ่มพันธมิตรฯ ที่แกนนำหลายคนมีปัญหาถูกฟ้องร้องดำเนินคดีกรณีบุกยึดสนามบิน

รวมทั้งแกนนำคนสำคัญที่ล่าสุดศาลอาญามีคำสั่งตัดสินจำคุก 85 ปี ไม่รอลงอาญา ในคดีรับรองเอกสารเท็จกู้เงินธนาคารกว่าพันล้านบาท

ซึ่งต้องรอดูว่าจะมีผลกระทบกับการ 'เป่านกหวีด' ระดมพลใหญ่ต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญในวันที่ 10 มี.ค.นี้อย่างไรหรือไม่

อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางพลังต่อต้านเริ่มก่อตัว การที่พรรคเพื่อไทยประกาศชัดเจนว่า ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะไม่แตะต้องหมวดพระมหากษัตริย์

จะทำแบนเนอร์ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทั่วประเทศเข้าใจว่า พรรคและรัฐบาลไม่สนับสนุนให้แก้รัฐธรรมนูญที่กระทบต่อสถาบัน

ทั้งยังมีมติให้สมาชิกพรรคหยุดให้สัมภาษณ์แสดงความเห็นส่วนตัวเรื่องแก้รัฐธรรมนูญ

ทั้งหมดเท่ากับเป็นการ 'ปิดจุดอ่อน' ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามฉวยโอกาสนำไปขยายผลบิดเบือน ใส่ร้ายพรรคและรัฐบาลเหมือนที่แล้วมา

ถึงตอนนี้จึงเหลือแต่กรณี นายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ ที่ต้องจับตาดูว่ารัฐบาลจะดับไม้ขีดไฟก้านเดียว ก่อนไฟจะลุกลามเผาป่าทั้งป่า

ได้ทันท่วงทีหรือไม่



ปฏิญญาหอยใหญ่ 2555 !

         ตามเป็นข่าวจาก


วันที่ 02 มีนาคม พ.ศ. 2555 เวลา 19:24 น.  ข่าวสดออนไลน์


เย็นนี้ ภาคีเครือข่ายกลุ่มสยามสามัคคี จัดรายการเสวนาประชาชน "คัดค้านการล้มล้างรัฐธรรมนูญ 50 ยึดอำนาจเพื่อทักษิณ"
ณ เวทีลีลาศ สวนลุมพินี เป็นครั้งแรก

 วิทยากรที่จะมาร่วมกึ่งเสวนากึ่งปราศรัย ประกอบด้วย ศ.ดร.บรรเจิด สิงคะเนติ แห่งกลุ่มสยามประชาภิวัฒน์ สมชาย แสวงการ ส.ว.สรรหา รสนา โตสิตระกูล ส.ว.สรรหา แก้วสรร อติโพธิ อดีต คตส. ดร.เสรี วงษ์มณฑา พิธีกรรายการข่าวแสนกล ทางช่องบลูสกาย ร.อ.แซมดิน เลิศบุศย์ จากกองทัพธรรม นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ แกนนำกลุ่มเสื้อหลากสี และ ประสาร มฤคพิทักษ์ หนึ่งในผู้ก่อตั้งกลุ่มสยามสามัคคี

 บังเอิญว่า พรรคประชาธิปัตย์ จัดงานสัมมนา "ยุทธศาสตร์เพื่อการพัฒนาศักยภาพสาขาพรรค 14 จังหวัดภาคใต้" ที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา และที่ประชุมสาขาพรรคภาคใต้ได้ประกาศ "ปฏิญญาหาดใหญ่ 2555"

 
สำหรับปฏิญญาหาดใหญ่ 8 ข้อ สามารถสรุปได้สั้นๆ ว่า "ไม่เอาทักษิณ" และ "ไม่เอากลุ่มล้มเจ้า"
 เป็นครั้งแรกที่แกนนำ ปชป.ประกาศพร้อมนำมวลชน "คนเสื้อสีฟ้า" ลงสู่ท้องถนน เพื่อปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ และต้านเผด็จการทุนสามานย์

 หากได้ฟังคำปราศรัยโจมตีกลุ่มเผาบ้านเผาเมืองเมื่อ พ.ค. 2553 ของ สุเทพ เทือกสุบรรณ ในที่ประชุมสาขาพรรคภาคใต้ ก็จะแจ้งชัดในที่มาของปฏิญญาหาดใหญ่

 ฉะนั้นปฏิญญาหาดใหญ่ จึงน่าจะเปลี่ยนชื่อเป็น "ปฏิญญาหอยใหญ่" เพราะผู้เป็นเสมือนต้นธารแนวคิดนี้ คงไม่ใช่คนสงขลาอย่างถาวร เสนเนียม หากแต่เป็น "คนโตเมืองหอยใหญ่" นั่นเอง

 สดับเนื้อหาปฏิญญาหอยใหญ่แล้ว ก็ละม้ายคล้ายแนวทางของภาคีเครือข่ายสยามสามัคคี ที่มี สนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม เป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งองค์กร จึงไม่แปลกใจที่จะมีการถ่ายทอดสดผ่านทีวีดาวเทียม 2 ช่อง คือ "ไทยทีวีดี" และ "ที-นิวส์"

 ช่อง ที-นิวส์นั้น ใครก็รู้เป็น "ต้อย สนธิญาณ" แต่ "ไทยทีวีดี" เพิ่งเปิดตัวโดยมีนักเลงข่าวชื่อ "ต้อย" มารับจ้าง บริหารทีวีดาวเทียมช่องใหม่ป้ายแดง

 ช่องไทยทีวีดี ยังเป็นแหล่งรวมจอมยุทธ์ข่าวที่เคยร่วมงานกับค่ายเอเอสทีวี อาทิเช่น สำราญ รอดเพชร และอัญชะลี ไพรีรักษ์ พ่วงด้วย ประชาไท ธนะณรงค์ บรรณาธิการ นสพ.แนวหน้า

 เจ้าของทีวีดาวเทียม "จอหลากสี" คนนี้ เป็นนักธุรกิจ นักกฎหมาย อดีตอัยการอาวุโสนาม ทวีศักดิ์ ณ ตะกั่วทุ่ง ซึ่งสมัยคดียุบพรรคไทยรักไทย "ทวีศักดิ์" ร่วมกับ ถาวร เสนเนียม เป็นทีมงานกฎหมายของพรรค ปชป. ในการต่อสู้คดี ที่ได้รับหมายจาก สุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคสมัยนั้น

 "ทวีศักดิ์" ยังเตรียมการเปิดช่องทีวีดาวเทียมชื่อ "สมาร์ทไลฟ์ ทีวี" ที่จะนำเสนอข่าวเศรษฐกิจเป็นหลัก และเวลานี้กำลังก่อสร้างอาคารหรูหราไม่แพ้อาณาจักรไทยพีบีเอส ซึ่งอยู่ย่านแจ้งวัฒนะ 19 อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี

 นอกจากนี้ "ต้อย สนธิญาณ" ยังร่วมมือกับ ชัยวัฒน์ สุรวิชัย และเพื่อนพ้องน้องพี่ ก่อตั้ง "สถาบันพัฒนาการเมืองและคุณภาพคน" เป็นคลังสมอง ของไทยทีวีดี และองค์กรภาคประชาชนฝ่ายต้านทุนสามานย์

 แม้กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แถลงว่าจะไม่เข้าร่วมการชุมนุมเสวนาประชาชนกับภาคีเครือข่ายสยามสามัคคี แต่ก็เห็นเงาของ สมศักดิ์ โกศัยสุข และทีมงานพรรคการเมืองใหม่ ปรากฏตัวในไทยทีวีดี

 ณ วันนี้ ขบวนรถไฟสายไม่เอาระบอบทักษิณ ได้เคลื่อนออกจากสถานีอีกครั้ง โดยการขับเคลื่อนของบุคลากรคนหน้าเดิม แต่สวมสีเสื้อตัวใหม่

 
ทุนพร้อม! กล้องพร้อม! แอ็คชั่น...หนังเรื่องรีเมค "มหากาพย์ไล่ล่าทุนสามานย์เจ็ดชั่วโคตร" เตรียมฉายเร็ววันนี้
 ที่มา : แกะรอย, ประชาบูรพาวิถี, กรุงเทพธุรกิจ 2 มี.ค. 55


..........................................................................................................

ทันทีมีโครงชาวเน็ตเริ่มติดตามดูความเคลื่อนไหว........















กลุ่มสยามสามัคคี กลุ่มสยามประชาภิวัฒน์ กลุ่มเสื้อหลากสี
รวมตัวกลางอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ค้านแก้รธน. 50

.................................................................................

 

วันเสาร์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2555

วิชามาร


วาทตะวัน สุพรรณเภษัช

        ช้าวันนี้…ผมออกมาจิบกาแฟขม รับประทานขนมที่เขาเอามาให้ตั้งแต่ปีใหม่และยังหลงเหลืออยู่ เพราะเป็นของเชื่อม ที่เก็บได้นาน การถนอมอาหารให้ผลดีเพราะทำให้ขนมอยู่ได้ยืนยาวหากชีวิตคนเราถนอมได้ง่ายอย่างนี้ คงจะดีไม่น้อย
        สังเกตว่าอากาศค่อนข้างเย็นเอาการ ทั้งๆที่เข้ามาถึงฤดูร้อนตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ตามที่คนไทยพูดกันติดปากว่า
       
“กุมภาพันธ์ผันมาสู่ฤดูร้อน
        ทินกรเรืองรองส่องแสงจ้า
        เป็นฤดูเกี่ยวข้าวของชาวนา….”
        แม้อากาศจะเย็นลงไปบ้าง ทำให้ผู้คนสบายเนื้อตัวขึ้นมาบ้างแต่อุณหภูมิทางการเมืองยังรุ่มร้อน เพราะในเลือกสมาชิกสภาท้องถิ่น รวมทั้งเลือกองค์กรบริหารส่วนจังหวัดเมื่อเร็วๆนี้ มีการกล่าวหากันหลายรูปแบบ เช่น
        ฝ่ายตรงข้ามใช้วิธีการไม่ถูกต้อง ซื้อเสียง ข่มขู่หัวคะแนน แจกโทรทัศน์ มือถือ เลี้ยงดูปูเสื่อ ฯลฯ การกระทำอย่างที่ว่าสื่อมวลชนมักเรียกรวมๆว่า
        “วิชามาร”
        คำพูดว่า “วิชามาร” นั้น บางคนคิดว่ามาจากภาพยนต์จีนประเภทกำลังภายใน เพราะฝ่ายพระเอกร่ำเรียน “วิชาเทพ” เพื่อคุ้มครองชีวิตผู้คนตามแบบฉบับ ฝ่ายผู้ร้ายก็ศึกษาวิชาการที่จะก่อกวน สร้างความปั่นป่วนให้กับชาวโลกเรียกว่า “วิชามาร”
        ในกลุ่มตำรวจนั้น บางครั้ง “วิชามาร” จำเป็นยิ่งกว่า “วิชาการ” เพราะต้องใช้เพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมาย ซึ่งอาจนำมาซึ่งความสงบสุขในสังคม หรืออาจเป็นเรื่องการช่วยเหลือผู้คน แม้จะไม่ค่อยถูกต้องนัก
        อยากยกตัวอย่างบางเรื่อง ให้ท่านเห็นกันชัดๆ เช่น
        ชายหนุ่มคนหนึ่งไปติดพันสาวน้อยน่ารัก แต่ปรากฏว่ามีนักการเมืองวัยกลางคนมีลูกมีเมียแล้ว มาติดพัน เป็นคู่แข่ง อย่างนี้หากไปปรึกษาผู้เชี่ยวชาญวิชามาร อย่างนายตำรวจรุ่นพี่ที่สนิทสนมกับผมคนหนึ่ง ท่านก็อาจแนะนำว่า
        “โทรไปฟ้อง ‘เมียหลวง’ มันซีวะ!”         บางครั้งท่านอาจแนะนำผู้ที่มาปรึกษา ให้เขียนจดหมายไปบอกลูกๆของฝ่ายชายที่โรงเรียนของเด็ก ว่า
        “คุณพ่อหนูกำลังไปติดสาว (ชื่อ…ที่อยู่) นะ พี่หวังดีกับครอบครัวหนูนะ เลยต้องบอกหนูให้รู้ไว้...พี่บอกหนูคนเดียวเท่านั้น
        รู้แล้วอย่าไป บอกคุณแม่นะจ๊ะ!”

        ไม่ได้เขียนจดหมายใส่ซอง ส่งถึงเด็กลูกค่าแข่งโดยตรง หากแต่เขียนตัวโตๆ ใส่ไปรษณียบัตร ส่งไปที่โรงเรียนซึ่งลูกนักการเมืองคนนั้นเรียนอยู่
        เดี๋ยวเดียวเท่านั้น...ข่าวก็หึ่งทั้งโรงเรียน เพราะคนเห็นกันทั่ว ผลเป็นอย่างไร เห็นจะไม่ต้องบอก?
        เรื่องนี้เกิดขึ้นจริงๆ!
        เมื่อผมอยู่ต่างจังหวัด และควบคุมเมืองในฐานะหัวหน้าโรงพัก นักการเมืองสองคนเป็นคู่ปรับกัน คนหนึ่งขึ้นจะขึ้นดอยไปหาเสียงกับชาวเขา สมมติชื่อว่านายขาว ฝ่ายนายแดงคู่ปรับรู้แผนว่า
        อีตาขาวจะเอาหนังไปฉาย ก่อนฉายจะเลี้ยงข้าวเหนียว น้ำพริกไก่ย่าง แล้วจะฉายหนังยาวไปจนถึงหัวรุ่ง นายขาวจะมาหาเสียงปิดท้าย
        นายแดงส่งคนไปบอกหัวหน้าหมู่บ้านและลูกบ้านว่า
        “ผ่อหนังแล้ว อย่าเพิ่งปิ๊กบ้าน อ้ายขาวเปิ้นจะหื้อเงินอีกคนละซาวบาทน่ะก้ะ!”        แปลว่า ดูหนังจบแล้วอย่าเพิ่งกลับบ้านนะ นายขาวจะแจกเงินอีกหัวละยี่สิบบาท
        พอหนังจบ นายขาวมาปราศรัยจบ บรรดาชาวเขาก็นั่งจ้องเขม็งรอการแจกเงิน กว่านายขาวจะรู้ และพูดแก้ตัว ยืดไปอีกเป็นชั่วโมง และถึงวันลงคะแนนในหมู่บ้านชาวเขานี้
        นายขาวก็ พ่ายแพ้ย่อยยับ!        นี่ก็อีกวิชามารหนึ่ง!
        เอาวิชามารของตำรวจ อีกรูปแบบหนึ่งก็ได้ เรื่องมีดังนี้
        นักการเมืองระดับสูงมากๆนายหนึ่ง ล้มป่วยกะทันหัน แต่นักการเมืองท่านนี้ อยู่ในความดูแลของแพทย์คนหนึ่ง ซึ่งเก็บประวัติเจ็บป่วยของนักการเมืองคนที่ว่าเอาไว้ แต่วันวิกฤติและมีความจำเป็น ต้องพึ่งคุณหมอ แต่ไม่สามารถติดต่อมาให้การช่วยเหลือได้ทันท่วงที เพราะ...
        ตัวคุณหมอไปเล่นกอล์ฟ เล่นสนามไหนไม่ได้บอกไว้ โทรศัพท์มือถือก็ปิดเงียบ
        ทำไงกันดี ?
        สาวคนสนิทของนักการเมืองผู้ป่วย หมุนโทรศัพท์ขอความช่วยเหลือจากสุภาพสตรีผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ ท่านผู้นี้โทรหานายตำรวจชั้นผู้ใหญ่คนหนึ่ง ซึ่งเมื่อทราบถึงการขอความช่วยเหลือแล้ว นายตำรวจท่านนี้ กางแผนที่กรุงเทพออก แล้วให้ตำรวจลูกน้องนับสิบคน ระดมโทรไปทุกท้องที่ตั้งสนามกอล์ฟ รอบปริมณฑลกรุงเทพ เสริมด้วยตำรวจท้องที่ส่งสายตรวจออกค้นหาด้วย
        เพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้น มีตำรวจขี่รถนำคุณหมอออกจากสนามกอล์ฟ ตรงไปให้ความช่วยเหลือนักการเมืองผู้ป่วยกะทันหัน และกำลังรอความช่วยเหลือ ได้ทันท่วงที
        การใช้กำลังตำรวจ ‘นอกแบบ’ อย่างนี้ วงการตำรวจเรียกว่า “วิชามาร” เหมือนกัน แต่เป็นการใช้วิชานอกแบบ เพื่อการให้ความช่วยเหลือผู้คน เพียงการใช้...กลับด้านกันเท่านั้น!
        ประมาณเกือบสามสิบปีมาแล้ว หนังสือพิมพ์มติชนมาสัมภาษณ์ผมเรื่องเกี่ยวกับคดี และลงเต็มสองหน้า ผมก็ถือโอกาสส่งเรื่องสั้นที่นานๆเขียนสักครั้ง ให้ผู้สื่อข่าวไปพิจารณาลงในหนังสือเล่มเดียวกันด้วย
        ตอนนั้นผมไม่ได้ใช้นามปากกาอย่างที่ใช้เขียนคอลัมน์นี้ แต่ใช้ชื่อว่า “ลาวัณย์ สุพรรณ” (ชื่อเป็นผู้หญิง วันหน้าจะเล่าว่าทำไมใช้ชื่อนี้) และผมใช้ชื่อนี้ในการเขียนคอลัมน์ซุบซิบข่าวสังคม ชื่อ “ลาวัณย์ จำนรรจ์จา” ในหนังสือพิมพ์ “พิมพ์ไทย” ยุคคุณสุเทพ เหมือนประสิทธิเวช
        เหตุที่เขียนเพราะอยากรู้ว่า เขียนคอลัมน์แบบนี้แล้วจะเป็นอย่างไร?
        ผลปรากฏว่า
        เพียงเดือนเดียวเท่านั้น ผมได้รับจดหมายมากมายก่ายกอง ล้วนแต่ขอให้ลงข่าวในคอลัมน์ที่เขียน แต่งานประจำของผมในช่วงนั้นค่อนข้างยุ่ง เลยทำอยู่แค่สามเดือนเท่านั้น ต้องบอกลา แต่ก็ได้ความรู้มามากว่า
        คนเรานี่อยากเป็น ‘ข่าว’ ในหน้าหนังสือพิมพ์นั้น มีมากเสียเหลือเกิน!
        หนังสือพิมพ์ “มติชน” ลงเรื่องสั้นของผม ในหนังสือรายสัปดาห์ และตอนนี้ผมกำลังรวมเรื่องสั้นเก่าๆของตัวเอง เพื่อพิมพ์ออกมาเป็นเล่ม
        จึงขอนำเอาเรื่องจริง ที่ดัดแปลงเป็นเรื่องสั้นชื่อ “ไอ้ตี๋เล็ก” เอามาให้ท่านผู้อ่าน ลองพิจารณาดูว่า เรื่องนี้เข้าข่ายว่าเป็นการใช้ “วิชามาร” หรือเปล่า?
        ลองอ่านดูครับ



เรื่องสั้น
“ไอ้ตี๋เล็ก”
วาทตะวัน สุพรรณเภสัช
        มเปิดถุงแล้วเอามือล้วงเข้าไป พอสัมผัสของที่อยู่ในถุงมือรู้สึกระทบเนื้อเหล็กเย็นเฉียบ ผมดึงวัตถุนั้นออกมาช้า ๆปืนพกขนาด .357 ซึ่งตอนนั้นยังเป็นของใหม่ ขนาดลำกล้อง 4 นิ้ว นอนสงบในมือของผม
        หญิงจีนคนหนึ่ง นั่งก้มหน้านิ่งอยู่หน้าโต๊ะทำงาน ผมได้กลิ่นของความไม่ชอบมาพากลแล้วซีครับ
        ขณะที่ค่อย ๆ เดินอ้อมไปนั่งที่เก้าอี้  ผมเปิดลูกโม่ปืนกลกระบอกนั้น เทกระสุนออกเก็บไว้ในมือ
        ผมนั่งตัวตรง  แยกปืนไว้ทางขวา กระสุนไว้ทางซ้าย  มองตรงไปที่หญิงจีนคนนั้น
        “เอาละครับ  อาอี้ ผมคิดว่าอาอี้ควรเล่าอะไรให้ผมฟังบ้าง และขอให้เชื่อว่าหากอะไรที่ผมพอทำให้อาอี้สบายใจ รับรองว่าผมไม่รั้งรอที่จะทำเป็นอันขาด”
        เท่านั้นเอง ทั้งเรื่อง ทั้งน้ำตา  ก็พรูจากหญิงจีนยังกะทำนบแตก
        อาซิ้มเล่าว่า มาจากเมืองจีนตั้งแต่เล็ก  จนกระทั่งอายุ
สิบหกปี ก็ได้แต่งงาน สามีของแกก็เป็นคนดีขยันขันแข็ง มีอาชีพขายของชำ และรับสินค้าพวกพืชผลไม้จากต่างจังหวัด ส่งให้พวกซาปั๊วในกรุงเทพฯ สามีแกเสียสิบกว่าปี  ตั้งแต่ลูกชายคนเดียวยังไม่ถึงสิบขวบ แกต้องทำงานคนเดียวมาตลอด
        ลูกของแกขยันขันแข็ง  เรียนจบคอมเมิร์ซ  ขณะที่เพิ่งเข้าเป็นพนักงานธนาคาร เขาเป็นชายหนุ่ม เป็นความหวังคนเดียวและเป็นสมบัติที่แท้จริงของแก
        ความจริงแกน่าจะมีความสุข  เพราะฐานะไม่ลำบาก  แต่ความทุกข์ของแกนี่มันมาจากลูกแกเรียกลูกแกว่า “เซ้ยตี๋”  ภาษาไทยแปลว่า
       
“ตี๋เล็ก”        บ้านแกอยู่ท้ายซอย  ส่วนหัวซอยมีร้านค้าอยู่ร้านหนึ่ง  ประกอบอาชีพคล้ายคลึงกับแก ลูกชายเจ้าของร้านนั้นเป็นเด็กหนุ่มร่างใหญ่ ผมขอเรียกมันว่า...“ตี๋ใหญ่”        ไอ้ตี๋ใหญ่นี้เอง...เป็นตัวปัญหา!
        ไอ้ตี๋ใหญ่ตัวนี้ มันรังแกไอ้ตี๋เล็กมาตั้งแต่เด็ก  เรียกว่าเดินผ่านไม่ได้เดินผ่านเป็นตบกบาล  เตะตูด  ถีบหลัง  บางทีเอาก้อนหินขว้างเอาดื้อ ๆ
        ก็ไอ้คนที่มันเคยข่มกันตั้งแต่เด็ก  มันก็กลัวเป็นธรรมดา แต่ความกลัวของคนก็มีขีดจำกัด  เมื่อกลัวมากจนถึงที่สุดก็กลายเป็นความบ้า  คิดสู้ คิดฆ่า ตายโหงกันซะไม่รู้แต่เท่าไหร่
        ไอ้ตี๋เล็กก็เหมือนกัน
        “เมื่อไม่กี่วันมานี้  เขาแอบเอาเงินเก็บไปซื้อปืน”  ซิ้มเล่าเสียงสั่น
       
“เผอิญฉันเห็นปืนเข้า  เขาบอกว่าเขาทนไม่ไหวเขาต้องยิงมัน แล้วเขาจะมอบตัวกับตำรวจ ฉันบอกว่าเมื่อลูกอยู่ในคุกแล้วแม่จะอยู่กับใคร  อยากให้แม่หัวใจแตกตายเหรอ ฉันก็ร้องไห้  อ้อนวอนเขาตั้งแต่เย็น  ขอให้มาพบตำรวจก่อน”         พูดจบ แกร่ำไห้กระซิก
        ผมเอนหลังพิงพนักเก้าอี้  มองไปที่ประตู  สายตาผมกับหนุ่มน้อยลูกจีนผิวสะอาด หน้าตาดี  ถอดพิมพ์แม่มาเลย  เสียอย่างเดียวตัวเล็กไปหน่อย แต่งตัวสุภาพเรียบร้อย
        “ตี๋เล็กใช่ไหม”  ผมถาม
        “ครับ”  เขาตอบ
        “มานี่   นั่งใกล้มาม้านี่” ผมสั่ง เขาเดินมานั่งอย่างว่าง่าย
        ผมมองดูคนทั้งสอง ซึ่งนั่งก้มหน้าอยู่เบื้องหน้า สมองคิดวิธีการที่จะเข้าจัดการกับไอ้อันธพาลรังแกคน  ถ้าผมเอาตัวมันมาและพูดจาขอร้อง ก็ไม่สามารถระงับเหตุได้อย่างถาวร
        ผมต้องการให้สองแม่ลูกนี้ มีความปลอดภัย มีความสุขต่อไปในสังคม และไม่ต้องการเพิ่มไอ้ตี๋เล็กเป็นฆาตกร
        ฉะนั้น มาตรการที่ผมจะเข้าจัดการ...ต้องเด็ดขาด!
        ผมอธิบายแผนของตัวเอง ให้ไอ้ตี๋เล็กกับแม่ฟังอย่างละเอียด ถึงวิธีที่จะช่วยเหลือพวกเขาทั้งคู่
        คืนนั้นพระเจ้ามีตาท่านคงจะแลเห็นแม่ลูกคู่นั้นเดินลงจากโรงพักผมด้วยหน้าตายิ้มแย้มสดในผิดกับขามา
        วันรุ่งขึ้นเจ็ดโมงตรง ผมกับตำรวจอีกคนไปดักอยู่หน้าร้านกาแฟฝั่งตรงข้ามกับร้านไอ้ตี๋ใหญ่ อยู่เยื้องกันเล็กน้อย
        ผมเห็นไอ้ตี๋ใหญ่เต็มตาตอนนั้นเอง  ตัวมันใหญ่สูสีกับผม  แต่หน้าอกมันใหญ่กว่า ตัวหนากว่าผมเล็กน้อย  แต่ก็ยังจัดว่าพอฟัดพอเหวี่ยงกัน
        ไอ้ตี๋ใหญ่เดินวางก้าม  สั่งลูกจ้างขึ้นของลงของลั่น 
      
  เดี๋ยวเถอะมึง...ไอ้ขี้ครอก!         ผมนึกในใจ...เดี๋ยวจะรู้สึก!!
        เจ็ดโมงครึ่งเป๊ะ ไอ้ตี๋เล็กพระเอกผมเล่นตามบท  เดินออกบ้านมุ่งหน้ามาตามตรอกช้า ๆหน้าตาเรียบเฉย
       
เออ!...เอ็งเล่นบทดี ผมนึกในใจ        ไอ้ตี๋เล็กค่อยๆเดินเนิบ ๆ ทำท่าจะผ่านไอ้ตี๋ใหญ่ ไอ้ตี๋ตัวร้ายเห็นไอ้ตี๋เล็กเข้าพอดี เอื้อมมือทำท่าจะเขกกบาลไอ้ตี๋เล็ก
        มือไอ้ตี๋ใหญ่ยังไม่ทันจะลดลง ไอ้ตี๋เล็กถลันเจ้าติดวงในไอ้ตี๋ใหญ่ กำปั้นคนตัวเล็กกว่าปลิวว่อน
       
ซ้าย...ขวา...ซ้าย...ขวา!          ผมหยุดหายใจไปชั่วขณะ นับไม่ทันว่ากี่หมัดต่อกี่หมัด  ไอ้ตี๋ใหญ่ทรุดฮวบลง 
        ผมเห็นเลือดค่อยๆรินออกจากข้างจมูก ปากของมันอ้าเล็กน้อย
       
ยัง...ยังไม่พอ!!        ไอ้ตี๋เล็กเกี่ยวคอเสื้อไอ้ตี๋ใหญ่ขึ้นมา กำปั้นทั้งคู่ตะบันเข้าไปอีก
        ชุดหลังนี้  ไอ้ตี๋ใหญ่กองลงไปหลังจากโดนเข้าไปถึงห้า หมัด กว่าไอ้ตี๋เล็กจะลุกขึ้นมาตั้งสติได้ ก็กินเวลาเกือบนาทีโดยมีไอ้ตี๋เล็กยืนประจันอยู่
        พอไอ้ตี๋ใหญ่เริ่มรู้สึกตัวว่า อะไรเป็นอะไร ไอ้ตี๋เล็กก็ข่วนหน้าตัวเอง แล้วแหกปากลั่นตามแผน
      
  “โอ้ย!  มันรังแกกู”         ตะโกนขึ้นเสียงดัง พร้อมกับกระทืบดินเร่า ๆ
        ไอ้ตี๋ใหญ่ เอื้อมมือจะคว้าคอ ไอ้ตี๋เล็กหันหลังวิ่งเหยาะๆ มาทางห้องแถวซึ่งผมคอยซุ่มคอยอยู่ โดยมีไอ้ตี๋ใหญ่วิ่งไล่กวดมาติดๆ
        ไอ้ตี๋เล็กผลุบเข้าไปในร้าน  ผมปราดออกไปขวางแทนแหย่ตีนถีบสกัดที่ตำแหน่งใต้หัวใจเบา ๆ หวังให้มันจุก  เพื่อผมจะเข้าจับได้สะดวก
        มันถอยไปนิด  เข่าเตี้ยไปหน่อย  แล้วทำท่าเหมือนกลั้นใจจะกระโดดเตะผมด้วยตีนขวา
        ผมยกแขนกันไว้  แล้วรูดตัวตามแข้ง เข้าประชิดตัวมัน  ตีศอกติดไม่แรงนัก เข้าซอกคางเพราะกลัวมันตาย แต่อาจเป็นเพราะแรงโดดใส่ บวกกับแรงเข้าปะทะของผมเลยกลาย เลยเป็นสองแรง
        มันหล่นฮวบลงคาที่!
        ผมก้มตัวตามไป เอาเข่ากดหลังจับข้อมือไขว้ ทั้งสองข้าง สวมกุญแจมือฉับลงไปทันที  หิ้วร่างมันร่อนแร่งขึ้นรถขับพาไปโรงพักทันที
        ไปถึงโรงพัก ผมจับมันยัดเข้าห้องขัง พอเริ่มหายงง  มันอาละวาดเป็นการใหญ่ ตะโกนด่าทอลั่น
        ผมแวบเข้าไปรายงานให้สารวัตรใหญ่ทราบ พอออกมาจากห้องสารวัตรใหญ่ ผมหลบลงจากโรงพัก
       
ทิ้งเหตุการณ์ไปเลย!        ว่ากันตรง ๆ ก็คือ ผมจะขังไอ้ตี๋ใหญ่ไว้เลย  ยังไม่ให้ประกันตัวนั่นเอง เพราะพนักงานสอบสวนต้องสอบถามผมก่อน ในฐานะเป็นผู้จับกุม  ว่าจับมาข้อหาอะไร
        ผมกลับมาโรงพักอีกทีก็สองยามพอดี  ไอ้ตี๋ใหญ่ถูกขังมาแล้วกว่าสิบสองชั่วโมง ผมให้สิบเวรไขห้องขัง เอาตัวออกมา
        คืนนั้นเป็นคืนที่เงียบสงัด  ผมนั่งเผชิญหน้ากับมัน  ต่อหน้าผมมันพูดไปร้องไห้ไป
       
“ทำไมทำกับผมอย่างนี้  ผมไม่ผิดเลย  หมวดคงไม่เห็น  มันต่อยผมก่อน”        มันคร่ำครวญ
       
“เออ !  กูเห็น  กูเห็นว่ามันต่อยมึงก่อน  ต่อยจนมึงร่วง”        “อ้าว!“  มันหยุดร้องไห้  ทำหน้าเหมือนผีหลอก 
       
“แล้วหมวดจับผมมาทำไม ทำไมไม่จับมัน?”        “กูแกล้งมึง” ผมพูดหน้าตาเฉย
        มันชะงัก  เหมือนไม่เชื่อคำพูดของผม
        “แกล้งผม!” มันตะโกน
        “เออซีวะ” ผมประกาศ
        “ฟังกูให้ดีนะไอ้ตูดหมึก  ถึงกูจะแกล้งมึง มึงก็ไม่มีสิทธิมาโกรธกู เพราะมึงน่ะที่จริงควรเป็นผีตายโหงไปแล้ว...เอ้าเอาไป” 
        พูดจบผมโยนปืนของไอ้ตี๋เล็กโครมไปที่หน้าตัก มันจ้องมองดูสื่อเพชฌฆาตอย่างงงงวย และแล้วผมก็ใช้เวลาลำดับเรื่องราวตั้งแต่ไอ้ตี๋เล็กกับแม่มาพบให้มันฟัง เน้นให้เห็นว่า
        ไอ้คนที่ประพฤติอย่างมัน ข่มเหงคนอื่น ตายโหงมานักต่อนัก  และในฐานะตำรวจ ผมต้องการแก้ปัญหาอย่างถาวร  ต้องการให้ทุกฝ่ายสมัครสมานน้ำใจด้วยกัน จึงทำอย่างนี้
       
“ถ้าเอ็งยังเห็นว่าผิด รังแกเอ็ง เอ็งร้องเรียนได้ทันที”        มันนั่งอึ้งสักครู่  ยกมือไหว้ผมท่วมหัว
        “ผมจะไปร้องเรียนได้ยังไง  ผมซี่ควรขอบคุณหมวด  เพราะหมวดช่วยชีวิตผม”
        “ยังงั้นซิวะ ! ถึงจะเป็นลูกผู้ชาย” ผมร้องดีใจ เหมือนแทงหวยถูกตัว
        จากนั้น  ผมก็นำครอบครัวทั้งสองมาปรับความเข้าใจ ต่างฝ่ายต่างหันหน้าพูดกันด้วยดี
        ผมเองปลื้มใจเป็นที่สุด!
        วันรุ่งขึ้นทั้งไอ้ตี๋ใหญ่กับไอ้ตี๋เล็ก  พาผมไปเลี้ยงฉลองเต็มคราบ และขณะที่ผมกำลังเมาได้ระดับในไนต์คลับ พร้อมกับไอ้สองตัว
        ขณะไอ้ตี๋ใหญ่เดินไปเยี่ยว ไอ้ตี๋เล็กชะโงกหน้าผ่านควันบุหรี่เข้ามาแทบชนหน้าผม
        “หมวดครับ ไหนๆหมวดให้ชีวิตใหม่ผมแล้ว อยากขอให้หมวดช่วยอีกอย่าง”
        “ช่วยอะไรวะ”  ผมถามทั้งมึน  ๆ
        “ช่วยเป็นเถ้าแก่ ขอน้องสาวเฮียตี๋ใหญ่ให้ผมด้วย” มันพูดขึงขังหน้าตาเอาจริง
        “ซวยละกู” ผมคราง
        ท่านผู้อ่าน เชื่อไหมครับว่า
        ผมต้องเป็นเถ้าแก่ ขอผู้หญิงครั้งแรก เมื่ออายุยังไม่เต็มยี่สิบสองปี!
.....................
        (คอลัมน์ กาแฟขม ขนมหวาน ตอน วิชามาร ออนไลน์ วันพฤหัสที่ 24 กุมภาพันธ์ 2555)

http://www.vattavan.com/detail.php?cont_id=350




พูด-ค้าน-ทักษิณ

คอลัมน์ ทิ้งหมัดเข้ามุม "สมิงสามผลัด"



ถ้าพูดถึงพรรคประชาธิปัตย์ในยุคนี้ คนจะนึกถึงอยู่แค่ 2-3 เรื่อง

ดีแต่พูด เอาแต่ค้าน และก็ทักษิณ

เรื่อง "ดีแต่พูด" ก็เห็นได้ชัดแล้วจากผลงาน 2 ปีช่วงที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล

"นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และลูกพรรคแสดงให้เห็นแล้วว่า "การพูด" โดดเด่นกว่า "การลงมือทำ"

พอไม่ได้เป็นรัฐบาลก็ยังมีความโดดเด่นด้านการพูดอีก
แต่เน้นการพูดในเชิงสร้าง สรรค์หรือไม่ ก็อีกเรื่องหนึ่ง ยกตัวอย่างง่ายๆ เรื่อง "ว.5" โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์

ส.ส.ฝีปากกล้าของพรรคประชาธิปัตย์ใช้ทักษะด้านการพูดแบบสองแง่สามง่าม เล่นงานนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

เอาแต่พูดสนุกปากจนลืม "ประเด็นสำคัญ" ของการตรวจสอบรัฐบาลไปเลย แทนที่จะได้เนื้อหาสาระ ก็เลยมีแต่น้ำล้วนๆ

ทำลายความน่าเชื่อถือของพรรคการเมืองเก่าแก่ไปเสียเอง

ส่วนการทำงานในฐานะฝ่ายค้านของปชป. กลับมุ่งแต่ค้านไปเสียทุกเรื่อง ไม่ใช่ค้านแบบยึดหลักการให้หนักแน่น

ตัวอย่างที่เด่นชัดคือเรื่องคัดค้าน 2 พ.ร.ก.กู้ จนถูกชาวบ้านวิจารณ์หึ่งว่าทำให้การแก้ปัญหาน้ำท่วมของรัฐบาลสะดุดไปเป็นเดือน จนสุดท้ายศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยออกมาแล้วว่าไม่ขัดรัฐธรรมนูญ

หรือการอนุมัติจ่ายเงินเยียวยา 7.75 ล้านบาท ให้ผู้ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งทางการเมืองและเหยื่อไฟใต้

ปชป.ก็ยังค้านแบบหัวชนฝา

ทั้งที่การเยียวยาแบบนี้ ไม่มีใครเคยคิดทำเลยในยุคที่ปชป.เป็นรัฐบาล

สุดท้ายก็เรื่อง "ทักษิณ" ที่ปชป.ไม่เคยก้าวข้ามได้เสียที ไล่มาตั้งแต่รัฐประหารเมื่อ ปี?49 ทักษิณเหมือนกับของเล่นในกระเป๋าปชป. จะหยิบข้ออ้างเรื่องทักษิณขึ้นมาใช้เสมอ

พอมาถึงยุคปัจจุบันที่บ้านเมืองกำลังเดินหน้าไปสู่ความปรองดอง ร่วมแรงร่วมใจกันฟื้นฟูประเทศ

แต่ปชป.ก็ยังวนเวียนอยู่กับเรื่องทักษิณ ดูได้จากปฏิญญาหาดใหญ่ของปชป.ที่อะไรๆ ก็ทักษิณ
ไม่เห็นบอกเลยว่าจะทำหน้าที่ฝ่ายค้านที่สร้างสรรค์อย่างไรในอนาคต

หรือจะดูแลผลประโยชน์ของประชาชนอย่างไรบ้าง
                      ที่มาจาก...
วันที่ 03 มีนาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 21 ฉบับที่ 7765 ข่าวสดรายวัน



..............................................................................................
Above all it is, and native people.

   .. From a few classes.
....................................................................
This or that nation. Democrats said it is not. If his people. The Democratic Party's political career, but tasteless. Objectively speaking, debate, and I do not feel so good I felt his mouth in his talk. It is multifarious.



วันศุกร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2555

นายฐานุทัศน์ อัศวสิริมั่นคงเหยื่อกระสุนปฏิบัติการ "กระชับพื้นที่" พ.ค. 53 เสียชีวิตแล้ว


เสียงที่ยังร่ำร้องบอกผ่านมาให้คนในสังคมไทยได้รับรู้

กรุณาอย่าลืมคนเจ็บ กรุณาอย่าลืมคนตาย
เพราะพวกเราไม่เคยลืม และจะไม่ยอมให้ถูกลืม
การสืบสวนหาตัวผู้ลั่นกระสุนคร่าชีวิต คนเสื้อแดงจากเหตุการณ์สลายการณ์ชุมนุมของคนเสื้อแดงช่วงเดือน เมษายน - พฤษภาคม 2553 เริ่มเห็นภาพได้มากขึ้น



ขอไว้อาลัย แด่ ..คุณ ฐานุทัศน์ ..!!!

เหยื่อกระสุนปฏิบัติการ "กระชับพื้นที่" 53 พ....ค. เสียชีวิตแล้ว
นายฐานุทัศน์ อัศวสิริมั่นคง เหยื่อกระสุนจากกระชับพื้นที่กา รชุมนุมของคนเสื้อแดงในสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์เวชชาชีวะเสียชีวิตแล้ว
(24 ก.พ. 55) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายฐานุทัศน์ อัศวสิริมั่นคง อายุ 54 เสียชีวิตแล้วเมื่อเวลาเวลาประมาณ 23.10 น. ของวันที่ 23 ก.พ. 55 ที่โรงพยาบาลมเหสักข์เขตบางรัก
ทั้งนี้เมื่อวันที่ 14 พ.ค. 53 นายฐานุทัศน์ โดยกระสุนเข้าที่หน้าอกปอดรั่ว ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้
จนกระทั่งอาการแย่ลงและเสียชีวิตในเวลาต่อมา
ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.prachatai.com/journal/2012/02/39388 ภาพจาก: Wannasiri Nithiwat

คนเสื้อแดงแห่เข้างานร่วมคอนเสิร์ตหยุดรัฐประหาร-เปลี่ยนผ่านรัฐธรรมนูญ

ที่มาข่าว :: Thai E-News


เดลินิวส์ออนไลน์ รายงานว่า ที่โบนันซ่า รีสอร์ตเขาใหญ่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา เมื่อเวลา 17.00 น. วันที่ 25 ก.พ. ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศการชุมนุมใหญ่ “คอนเสิร์ตหยุดรัฐประหาร เปลี่ยนผ่านรัฐธรรมนูญ” ว่าตั้งแต่ช่วงบ่ายบรรยากาศการชุมนุมเริ่มเป็นไปอย่างคึกคัก โดยมีคนเสื้อแดงทยอยเข้าบริเวณการจัดงานนับหมื่นคน แม้แสงแดดจะร้อนจัดและอบอ้าว แต่กองทัพคนเสื้อแดงต่างทยอยเดินทางมาสมทบอย่างไม่ขาดสายในช่วงเย็นซึ่งแสงแดดเริ่มอ่อนลง
ขณะเดียวกันแกนนำนปช. และส.ส.พรรคเพื่อไทย ต่างทยอยเดินทางมายังพื้นที่จัดงาน เช่น นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไท นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส. บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย ส่วนบรรยากาศบนเวทีมีการแสดงดนตรีโดยศิลปินเสื้อแดงและการแสดงของคนเสื้อแดงจากภาคต่างๆ เช่น ชุดเซิ้งอีสานจากนปช.ร้อยเอ็ด การแสดงชุดนักรบโบราณบางระจัน จากนปช. เขตบางนา ลาดกระบัง และร่มเกล้า สร้างความสนุกสนานครื้นเครงให้กับคนเสื้อแดงที่มาร่วมงาน แม้สภาพอากาศที่โบนันซ่า เขาใหญ่ จะร้อนอบอ้าวก็ตาม

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กลุ่มคนเสื้อแดงจากทั่วทุกภาค ทยอยเดินทางเข้ามาร่วมชุมนุมอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงเย็นวันที่ 24 ก.พ. ต่อเนื่องถึงช่วงเช้าวันที่ 25 ก.พ. ส่งผลให้จราจรบนถนนธนะรัชต์ ทางเข้าอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ คลาคล่ำไปด้วยรถส่วนตัว และรถบัสขนาดใหญ่จำนวนมาก ที่ติดธงสีแดง มุ่งหน้าเข้าสู่งานไม่ขาด โดยเฉพาะกลุ่มชมรมคนรักอุดร ที่นำโดยนายขวัญชัย ไพรพนา ขนมวลชนจากจ.อุดรธานี จำนวน 21 คันรถบัสเข้าร่วม ทำให้การจราจรบนถนนธนะรัชต์ ตลอดทั้งวันอยู่ในสภาวะชลอตัวตั้งแต่ปากทางถนนมิตรภาพจนถึงทางเข้างาน

สำหรับลานฝั่งตะวันตก ของโบนันซ่าเขาใหญ่ ซึ่งเป็นสถานที่จัดงานเนื้อที่กว่า 300 ไร่ กลุ่มนปช. ได้ตั้งเวทีขนาด 30 เมตร หันหน้าทางฝั่งทิศตะวันออก ติดตั้งลำโพงขนาดใหญ่ พร้อมจอโปรเจคเตอร์กว่า 10 จุด พร้อมจัดสร้างห้องน้ำรองรับผู้ร่วมชุมนุมอีกกว่า 100 ห้อง ขณะเดียวกันถนนตรงข้ามบริเวณการชุมนุม มีการเปิดซุ้มขายของที่ระลึกคนเสื้อแดง อาหาร และเครื่องดื่ม ของกลุ่มพ่อค้าแม่ค้าเสื้อแดงกว่า 300 ซุ้ม มีการเปิดซุ้มแจกอาหารและน้ำฟรีให้ผู้มาร่วมงาน ด้านกลุ่มคนเสื้อแดงที่ทยอยเดินทางมาถึงก่อน ก็จับจ่ายซื้อหาสินค้าที่ระลึก โดยสินค้าที่ขายดีสุดคือ เสื้อแดงสกรีนภาพน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี

สำหรับมาตรการรักษาความปลอดภัยภายในงาน พล.ต.ท.ภาณุ เกิดลาภผล ผบช.ภ.3 พ.ต.อ.องอาจ ผิวเรืองนนท์ ผบก.ภ.จว.นครราชสีมา พ.ต.อ.ภควัต ธรรมดี. ผกก.สภ.ปากช่อง นำกำลังตำรวจภูธรจังหวัดนครราชสีมา พร้อมตำรวจจาก 5 โรงพักในพื้นที่จ.นครราชสีมา หลายร้อยนาย เข้าสนธิกำลัง ร่วมกับตำรวจบ้าน อปพร. กู้ภัย และการ์ดนปช. ตั้งด่านอำนวยการจราจรบริเวณทางเข้างานเป็นจุดๆ ทั้งกระจายกำลังรักษาความปลอดภัยรอบพื้นที่การชุมนุมอย่างเข้มงวด พร้อมกันนี้ยังเตรียมรถดับเพลิง รถพยาบาล หน่วยเก็บกู้วัตถุระเบิดไว้พร้อมสรรพ




พ.ต.อ.ภควัตกล่าวถึงมาตรการรักษาความปลอดภัยในงานนี้ว่า มีการขอกำลังตำรวจจากภูธรจังหวัดนครราชสีมา ร่วมกับกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ ปจ. จากสภ.ต่างๆในพื้นที่จ.นครราชสีมา ตำรวจบ้าน กู้ภัย รวมแล้วกว่า 600 นาย เข้าดูแลความเรียบร้อย ป้องกันผู้ไม่หวังดีเข้ามาก่อความไม่สงบ ทั้งยังเตรียมรถดับเพลิง รถกู้ภัย รถพยาบาล เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด ไว้ด้วย ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจประเมินไว้ว่า น่าจะมีคนเสื้อแดงเข้าร่วมชุมนุมในงานนี้ไม่ต่ำกว่า 3 หมื่นคน

เมื่อเวลา 17.50 น. วันที่ 25 ก.พ. นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.พรรคเพื่อไทย และแกนนำนปช. ให้สัมภาษณ์ว่าการชุมนุมในวันนี้คือการหยุดรัฐประหาร เปลี่ยนผ่านรัฐธรรมนูญ โดยเมื่อวันที่ 24 ก.พ.ที่ผ่านมาในการประชุมรัฐสภาเพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 วาระแรก แม้จะมีผู้สนับสนุนมากกว่าฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย 200 กว่าเสียง แต่ยังมีเสียงที่ไม่เห็นด้วย ดังนั้นเรายังมีภาระในการแก้ไขรัฐธรรมนูญจนบรรลุผล เพราะเชื่อว่าระหว่างทางยังมีขวากหนามอยู่ คนเสื้อแดงก็มาแสดงสัญลักษณ์ของความพร้อมว่าถ้ามีอำนาจหรือกลไกใดนอกระบอบประชาธิปไตยที่จะกระทำการโค่นล้มรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี คนเสื้อแดงก็พร้อมจะต่อสู้เพื่อปกป้องรัฐบาลนี้ และระบอบประชาธิปไตย

โดยในวันนี้ได้รับความร่วมมือจากนายไพรวงษ์ เตชะณรงค์ ที่ปรึกษารมว.มหาดไทย ในฐานะเจ้าของโบนันซ่า และนายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ แกนนำนปช. และนปช. ทุกพื้นที่ที่ได้มาร่วมกันอย่างแข็งแรง แม้กระทั่งแกนนำที่มีข่าวความขัดแย้งในช่วงที่ผ่านมาก็มาร่วมงานเกือบทั้งหมด เพราะทุกคนรู้ว่าในพื้นที่อาจจะมีความคิดเห็นที่แตกต่าง แต่ถ้ามีการนัดหมายใหญ่ทุกคนต้องวางเรื่องส่วนตัวไว้ทั้งหมด สำหรับคนเสื้อแดงเรื่องของประเทศชาติย่อมใหญ่กว่าเรื่องส่วนตัว ไม่มีใครไม่มาและพิสูจน์ให้เห็นแล้วในวันนี้

เมื่อถามว่าในฐานะที่เป็นผู้เปิดเผยเรื่องการรัฐประหารมาโดยตลอด ยังยืนยันข่าวการรัฐประหารหรือไม่ นายจตุพร กล่าวว่าตนมีพี่น้องที่เป็นทหารแตงโมและมีข้อมูลชัดเจนมาโดยตลอด บอกได้แม้กระทั่งชื่อ ยศ สังกัด นายทหารที่ติดตามนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีในขณะนี้ และที่ผ่านมาในการประชุม ศอฉ.แต่ละครั้งหลังประชุมเสร็จไม่เกิน 5 นาทีตนก็ทราบผลแล้ว เพราะมีนายทหารแตงโมที่รักประชาธิปไตยซึ่งเป็นเสียงส่วนใหญ่ในกองทัพ เพราะทุกพื้นที่ที่เป็นเขตทหารพรรคเพื่อไทยได้รับชัยชนะเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าต่อมาเวลา 18.00 น. แกนนำนปช.และ ส.ส. ที่มาร่วมงานทั้งหมดที่มาถึงบริเวณการจัดงานแล้ว เช่น นางธิดา ถาวรเศรษฐ ประธาน นปช. นายจตุพร พรหมพันธุ์ นพ.เหวง โตจิราการ นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ เป็นต้น ได้ขึ้นบนเวทีใหญ่เพื่อนำคนเสื้อแดงยืนตรงเคารพธงชาติ หลังจากนั้นนายจตุพรได้แนะนำนางธิดาต่อคนเสื้อแดงหลายหมื่นคนที่มาร่วมงาน ว่าขณะนี้นางธิดาเป็นประธานนปช. ตัวจริง โดยไม่มีคำว่ารักษาการต่อท้ายแล้ว การจัดงานครั้งนี้จะมีถึงเวลา 06.00 น. ของวันที่ 26 ก.พ. แต่ถ้าพอใจอาจจะอยู่ต่ออีกวันก็ได้

ทางด้านนางธิดา กล่าวว่า ที่นี่เหมือนที่ประชุมใหญ่ของคนเสื้อแดง ตนขอถามมติของคนเสื้อแดงในที่นี่ว่าจะให้การรับรองประธานนปช. คนใหม่ตัวจริงหรือไม่ และมีใครคัดค้านบ้างหรือไม่ ซึ่งคนเสื้อแดงที่มาร่วมงานต่างส่งเสียงรับรองนายธิดา ทั้งนี้แกนนำนปช.ทั้งหมดจะเริ่มขึ้นเวทีปราศัยพร้อมกันอีกครั้งในเวลา 19.30 น.

ต่อมาเวลา 19.30 น. นางธิดาได้ขึ้นเปิดปราศรัยบนเวทีตอนหนึ่ง ว่าวันนี้ประกาศชัดแล้วว่าคนเสื้อแดงมาแสดงคำว่าแดงทั้งแผ่นดินจริงๆ ในนามของแกนนำ นปช. ขอขอบคุณพี่น้องจากทั่วทุกภาคที่เดินทางมาถึงที่โบนันซ่านี้ ขอพูดแทนแกนนำ นปช.และคนเสื้อแดงทั้งหลายที่อยู่ทางบ้านว่าเราขอกราบขอบพระคุณหัวใจของพี่น้องเสื้อแดงทั้งหลายที่มาที่นี่ ตั้งแต่เป็นรักษาการประธาน นปช. มีสิ่งเดียวที่ตนทายไม่ผิดเลยคือจำนวนคนที่มาร่วมชุมนุมเป็นจำนวนมาก การจัดงานครั้งนี้มีหลายคนประมาทว่าเป็นช่วงเปลี่ยนประธาน นปช. และสงสัยว่าจะมีคนมาร่วมกี่คน เมื่อมาถึงวันนี้ขอบคุณที่มาให้กำลังใจประธาน นปช. คนใหม่ ถือเป็นกำลังใจยิ่งใหญ่ที่ทำให้คนที่ต่อสู้ในสมรภูมิประชาชนมาร่วม 40 ปี จนมารับหน้าที่ประธาน นปช.แดงทั้งแผ่นดิน ซึ่งการต่อสู้มา 40 ปี ไม่เคยเห็นครั้งไหนที่การต่อสู้ของประชาชนเกรียงไกรยืนหยัดและยิ่งใหญ่เท่าครั้งนี้เลย ทั้งนี้ขอส่งหัวใจให้เสื้อแดงทุกคนทั้งที่อยู่ในคุก ทางบ้านและทั่วโลก ขอให้เชื่อมั่นว่านี่คือคนเสื้อแดงที่ไม่มีวันทิ้งกัน

นางธิดา กล่าวอีกว่า ทั้งนี้สำหรับการนำต้องนำรวมหมู่ไม่ใช่นำแค่ตนคนเดียว หลักการต้องถูก การนำต้องถูก และการจัดตั้งองค์กรและความสามัคคีต้องแข็งแรง เรามีคนเสื้อแดงหลายกลุ่ม แต่ทุกแดงเป็นแดงต่อต้านรัฐประหารหมด ดังนั้นอย่าเป็นห่วงว่าจะมีความแตกแยกกัน เพราะสังคมไทยได้แสดงให้เห็นว่าสายธารและสันปันน้ำแบ่งแยกคนออกเป็นสองกลุ่ม คือพวกหนึ่งเอารัฐประหาร แต่อีกพวกไม่เอารัฐประหาร อยู่ว่างๆ ก็มีทะเลาะกันบ้าง จากนี้ก็ไม่ต้องทะเลาะกันแล้ว เราต้องช่วยกันต่อต้านรัฐประหารทุกแดง เราไม่เอารัฐธรรมนูญ 2550 เราต้องการรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน และคนเสื้อแดงไม่เอา 2 มาตรฐาน เป็นสองฝั่งของกลุ่มคนในแผ่นดินนี้ โดยมีสันปันน้ำของรัฐประหารแบ่งกั้นระหว่างผู้สนับสนุนและผู้ไม่สนับสนุนรัฐประหาร

นายธิดา กล่าวอีกว่า ในการนำครั้งนี้ ซึ่งเราต้องเดินอีก 2 ปี จากการที่เราขึ้นคำขวัญว่าหยุดรัฐประหาร เปลี่ยนผ่านรัฐธรรมนูญ สะท้อนเป้าหมายของการเดินทางของเราภายใน 2 ปีนี้ ซึ่งส่วนหนึ่งเราต้องแก้ไขปัญหาในอดีตที่เรายังแก้ไม่จบสิ้น ประการแรกคือความจริงยังไม่ปรากฎคนที่ทำผิดยังไม้ได้รับโทษ ประการที่สองคนที่ติดคุกยังมีเป็นจำนวนมากและมากขึ้นทุกวัน เรื่องในอดีตและการเยียวยาเราก็ต้องทำ ความอาฆาตพยาบาทของคนจำนวนหนึ่ง ทำคนตายแล้วยังอิจฉาคนตาย ยังบอกว่าค่าเยียวยาสูงเกินไป ลองให้พรรคที่คัดค้านมาตายตรงหน้านี้ซึ่งพรรคแมลงสาบไม่ควรได้รับเงินเยียวยาแม้แต่บาทเดียว หนทางของเราต้องแก้ปัญหาในอดีตและแก้ปัญหาปัจจุบัน เพราะปัจจุบันโอกาสจะเกิดรัฐประหารก็ยังมี เราต้องยกระดับชัยชนะการเลือกตั้งรัฐบาลที่มาจากประชาชนให้สูงขึ้น ไม่ให้ถูกทำลาย เป็นการปกป้องชัยชนะของประชาชน ถ้าเราประมาทการรัฐประหารมันเกิดขึ้นได้ทุกวัน แต่วันนี้คนเสื้อแดงขอท้าทายว่าใครที่จะทำรัฐประหารโปรดดูภาพของคนเสื้อแดงที่โบนันซ่านี้ แล้วลองคิดดูว่าท่านจะกล้าทำรัฐประหารในประเทศไทยอีกหรือไม่ ก้าวต่อไปของเราคือรัฐธรรมนูญ เราไม่เอารัฐธรรมนูญ 2550 แปลว่าเราไม่เอารัฐธรรมนูญและผลพวงของรัฐประหารทั้งหมด

“นอกจากนั้นกฎหมายและองค์กรทั้งปวงที่มาจากรัฐประหาร เรายืนยันว่าเราอาจต้องใช้เวลา แต่เราต้องเปลี่ยนแปลงประเทศนี้ให้ได้ ดังนั้นใน 2 ปี นี้เราต้องเตรียมพร้อม ถ้ามีการรัฐประหารคนเสื้อแดงก็จะต่อสู้ แต่หากไม่มีรัฐประหารคนเสื้อแดงทั้งหมดจะเข้าสู่มหาวิทยาลัยเสื้อแดง ต่อจากนี้เราจะเป็นนักกฎหมายที่เชี่ยวชาญทั้งประเทศ เพราะนักกฎหมายส่วนใหญ่เป็นเครื่องมือของเผด็จการณ์ พึ่งเขาไม่ได้ ทำไมคนเสื้อแดง จบ ป. 4 จะเขียนรัฐธรรมนูญไม่ได้ เราจะทำให้ดูภายในปีนี้ ใครที่คิดว่าจบกฎหมาย จบรัฐศาตร์ อย่าคิดว่ายิ่งใหญ่กว่าประชาชน คนเสื้อแดงและประชาชนต่างหากที่ยิ่งใหญ่โดยไม่ต้องจบด็อกเตอร์เลยก็ได้ ปีใหม่นี้เราจะต้องมีรัฐธรรรมนูญใหม่ให้ได้ ฝากไปยังพรรคเพื่อไทย และพรรคอื่นๆ ในรัฐสภาว่าขอให้ท่านโปรดรู้ไว้ด้วยว่าแลกมาด้วยการเสียชีวิตและการบาดเจ็บของประชาชน เราต้องการรัฐธรรมนูญที่ดีที่สุด เพื่อผลประโยชน์ของประชาชน ไม่ใช่ของอำมาตย์ครึ่ง ประชาชนครึ่ง ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ไม่เอา เราต้องการประชาธิปไตยที่เป็นของประชาชน ทั้งนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ จะมาประเทศนี้ได้ ก็เมื่อประเทศนี้เป็นประชาธิปไตย มีนิติรัฐ นิติธรรม เท่านั้น” นางธิดา กล่าว

ทั้งนี้นางธิดาได้ประกาศแนะนำตัวรองประธานและผู้ประสานงาน นปช. ทุกภาคบนเวที ประกอบด้วย นายพิพัฒน์ชัย ไพบูลย์ เป็นผู้ประสานงาน นปช. กทม. นายพายัพ ปั้นเกตุ ประสานงานภาคกลาง นายสมหวัง อัสราษี ประสานงานภาคตะวันตก นายอารี ไกรนรา ประสานงานภาคตะวันออก นายนิสิต สินธุไพร ประสานงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ นายวิภูแถลง พัฒนภูไท ประสานงานภาคใต้ และ พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรรัตน์ เป็นผู้ประสานงานภาคเหนือ รวมทั้งนายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง และนายชินวัฒน์ หาบุญพาด แกนนำนปช. ที่มาร่วมงานด้วย.

ย้อนรอยคดีไออีซี-ขุดพฤติการณ์จำเลยร่วมก่อนถึงวันศาลจำคุก "สนธิลิ้ม" 85 ปี


ารรับสารภาพของนายสนธิ ลิ้มทองกุล ในฐานะกรรมการบริษัท แมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) จำเลยในคดียื่นเอกสารเท็จค้ำประกันเงินกู้ให้กับบริษัทเดอะ เอ็มกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กับธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) รวม 6ครั้ง จำนวน 1,078 ล้านบาท ต่อศาลอาญา รัชดาฯ เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา สร้างความประหลาดใจให้กับบรรดาคอการเมืองและนักกฎหมายไม่น้อยทีเดียว

หากต้องการยื้อคดีออกไปได้อีก นายสนธิสามารถสู้คดีด้วยการปฏิเสธข้อกล่าวหา เพราะคดีนี้ยืดเยื้อมานานตั้งแต่ปี2539อีกทั้งฐานความผิดตามพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 307  311  312(2) ประกอบ 313 มีโทษจำคุกสูงสุดไม่เกิน 20 ปี

น่าแปลกตรงที่นายสนธิกลับรับสารภาพอย่างหมดเปลือกและขอเมตตาธรรมจากศาล

"ผมเพียงแต่ขำเท่านั้นเองว่าผมผิด พ.ร.บ.หลักทรัพย์ ผมโดนไป 80 ปี ทั้ง ๆ ที่ผมไม่ใช่คนที่ค้ายาเสพติด หรือไม่ได้ไปเผาบ้านเผาเมืองใคร แต่ไม่เป็นไร ในฐานะที่ผมรับสารภาพก่อนการสืบคดีสิ้นสุด ศาลสถิตยุติธรรมมีมติจะพิพากษาผมอย่างไร ผมยอมรับในมตินั้น ไม่ตัดพ้อต่อว่า เพราะผมต้องการทำให้ผมเป็นตัวอย่างให้เห็นว่าเมื่อผิดต้องยอมรับผิด"
    นั่นเป็นถ้อยคำให้สัมภาษณ์ของนายสนธิ  ปัจจุบันเป็นแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หลังศาลให้ประกันตัว 

ความจริงแล้วคดี แมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ป ยื่นเอกสารเท็จค้ำประกันเงินกู้แบงก์กรุงไทยดังกล่าว ค้างอยู่ในศาลอาญานานถึง 16 ปีเต็ม ๆ  ถือได้ว่าเป็นคดีที่ค่อนข้างมีเงื่อนงำซับซ้อน
 
ถ้าย้อนอดีตจะพบมีคดีที่เกี่ยวโยงกับเดอะ เอ็มกรุ๊ป  พฤติกรรมในคดีคล้ายคลึงกันอย่างยิ่ง

กล่าวคือทำเอกสารเท็จ และมีเป้าหมายเพื่อกู้เงินแบงก์กรุงไทย อีกทั้งผู้กระทำผิดคือนายสุรเดช มุขยางกูร ก็เป็นจำเลยร่วมกับนายสนธิ

คดีดังกล่าวนั้น เริ่มขึ้นเมื่อวันที่  28 พฤศจิกายน 2542 คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ก.ล.ต.)  กล่าวโทษ นายสุรเดช มุขยางกูร กรณีลงข้อความเท็จในรายงานการประชุมคณะกรรมการบริษัทที่มีข้อความว่าที่ประชุมคณะกรรมการของบริษัทอินเตอร์แนชั่นแนลเอ็นยิเนียริ่งจำกัด(มหาชน)หรือไออีซีอนุมัติให้ไออีอีซี เข้าทำสัญญาเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ของบริษัทเดอะ เอ็ม.กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ต่อธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ในนามของไออีซี อันเป็นกิจการที่เกินขอบเขตที่คณะกรรมการของไออีซี กำหนดไว้และต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการของ ไออีซี ก่อน

พฤติการณ์ของนายสุรเดช ทำให้ ไออีซี มีภาระหนี้ค้ำประกันจำนวน 1,178 ล้านบาท อันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 307 311 312(2) ประกอบ 313 แห่ง พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535

ต่อมาในวันที่ 28 มิถุนายน 2554  ศาลอาญากรุงเทพใต้พิพากษาว่านายสุรเดช มุขยางกูร มีความผิดตามมาตรา 307 311 312(2) และ 313 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ฯ การกระทำความผิดของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้เรียงกระทงลงโทษตามมาตรา 91 แห่งประมวลกฎหมายอาญา โดยลงโทษ

(1) ฐานเป็นกรรมการลงข้อความเท็จในรายงานการประชุมเพื่อลวงให้นิติบุคคลหรือผู้ถือหุ้นขาดประโยชน์อันควรได้ตามมาตรา312(2)แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ฯให้จำคุก5ปีและปรับ 500,000 บาท

(2) ฐานเป็นกรรมการกระทำผิดหน้าที่ของตนโดยทุจริตจนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินของนิติบุคคล

(3)ฐานเป็นกรรมการกระทำการเพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายเพื่อตนเองหรือผู้อื่นตามมาตรา307311ประกอบ313 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ฯ เป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท จึงลงโทษตามมาตรา 313 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ฯ ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามมาตรา 90 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ให้จำคุก 5 ปี และปรับ 2,356,000,000 บาท

แต่เนื่องจากจำเลยรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ จึงลดโทษกระทงละกึ่งหนึ่ง เหลือกระทงละ 2 ปี 6 เดือน ปรับกระทงละ 250,000 บาท และ 1,178,000,000 บาท ตามลำดับ รวมลงโทษจำคุก 4 ปี 12 เดือน โดยไม่รอลงอาญา และปรับ 1,178,250,000 บาท
  
พฤติการณ์ความผิดของนายสุรเดช ในคดีไออีซี กับพฤติการณ์ของนายสุรเดช ในคดีแมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ป ที่ตกเป็นจำเลยร่วมกับนายสนธินั้น จึงน่าจะไม่ใช่เรื่องขำ ๆ เหมือนเช่นนายสนธิให้สัมภาษณ์ที่บันไดของศาลอาญา รัชดา








วันที่ 01 มีนาคม พ.ศ. 2555 เวลา 02:38 น.  ข่าวสดออนไลน์

ปฏิกิริยาหลัง 2 คนร้ายบุกชก "วรเจตน์" แกนนำนิติราษฎร์





หมายเหตุ : ภายหลังเกิดกรณีคนร้ายสองราย ขี่จยย.มาดักรอที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ และทำร้ายนายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และแกนนำกลุ่มนิติราษฎร์ซึ่งเคลื่อนไหวเรียกร้องให้มีการแก้ไขกฎหมายอาญา มาตรา 112 เกี่ยวกับคดีหมิ่นสถาบันเพื่อไม่ให้ตกเป็นเครื่องมือทำลายล้างทางการเมือง มีนักวิชาการและนักกิจกรรมประชาธิปไตย แสดงความคิดเห็นดังนี้

---------

′สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล′
อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.)
  
ระเทศนี้ป่วยมากๆ

คนที่ออนไลน์แสดงความ "สะใจ" หรือเชียร์ว่า "น้อยไป" ต่อการทำร้ายวรเจตน์จะเป็นคนระดับใดบ้าง คงพูดให้ตายตัวไม่ได้ เพราะสมัยนี้คนระดับล่างๆ ของสังคม ก็เริ่มออนไลน์กันไม่น้อย แต่คงไม่ผิด ถ้าจะกล่าวว่า ส่วนใหญ่ทีสุดยังเป็นคนระดับกลาง และมีการศึกษา อาจจะเป็นคนที่กำลังเรียนอยู่ในระดับมัธยมหรือมหาวิทยาลัยจำนวนไม่น้อย

อันที่จริง ต่อให้ถ้าพูดแบบ "คติไทยๆ" การลอบทำร้ายก็เป็นการแสดงความขี้ขลาดตาขาว เพราะแสดงว่า คนที่ทำไม่กล้าแม้แต่จะมา "ท้าเผชิญหน้า" กันตัวต่อตัว ซึ่งๆ หน้า ต้องใช้วิธีลอบทำร้าย แล้วหนีไป

คนที่เชียร์การกกระทำแบบนี้ ก็แสดงความขี้ขลาดตาขาวของตนด้วย เพราะพูดตามคติ "ไทยๆ แบบโบราณ" ที่พวกนี้ชอบอ้างการกระทำที่พวกเขาเชียร์นี้ เรียกกันในภาษาบ้านๆว่า เป็นการกระทำแบบ "หน้าตัวเมีย" ไม่มีความเป็น "นักเลง" ไม่มีความกล้าหาญอะไรอยู่เลย (ขออภัย ผมไม่ได้เห็นด้วยกับการเรียกแบบนี้ เพียงแต่ยกให้เห็น ด้วยคติของคนเหล่านั้นเอง)

แต่ที่สำคัญกว่านั้น คือการทีคนระดับที่มีการศึกษา ระดับ "คนชั้นกลาง" จำนวนไม่น้อยเห็นว่า การลงมือทำร้ายนักวิชาการที่ไม่เคยแม้แต่จะพูดจาก้าวร้าวไม่สุภาพ บุคคลิกรูปร่างก็ออกไปในทางคนตัวเล็กๆเรียบร้อยธรรมดาๆ เพียงเพราะสิ่งที่เขาเสนอด้วยคำพูดและงานเขียน ไม่เป็นที่ถูกใจ เป็นอะไรทีทำให้รู้สึก "สะใจ" หรือ ชอบใจได้

ต้องเป็นสังคมหรือประเทศที่ "ป่วย" มากๆ ทีแม้แต่คนที่มีการศึกษา ผ่านการอบรมบ่มเพาะเรื่องความรู้สมัยใหม่ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องคุณธรรมจริยธรรม ที่คนเหล่านั้นชอบยกมาเป็นข้ออ้าง สามารถที่จะป่าเถื่อนทางจิตใจเช่นนี้ได้

ความรู้สึกตอนนี้คือโกรธ เพิ่มขึั้นๆ

ส่วนหนึ่งของความโกรธ คือ นึกย้อนหลังไปเมื่อเดือนมกรา ช่วงที่มี คนใน รบ.บางคน และสื่อบางฉบับออกมาโจมตีนิติราษฎร์ รายวัน

คนเหล่านี้ (ทั้งคนใน รบ. และสื่อ) จะต้องรับผิดชอบทางคุณธรรมอะไรหรือไม่ ที่ช่วยกันสร้าง "กระแส" และ "บรรยากาศ" ของความไม่มีเหตุผล ความ "คลั่ง"?

การสร้างบรรยากาศหรือกระแสไร้เหตุผล คลั่งรายวัน ในเดือนก่อน ก็เป็น "แบ็กกราวน์" หรือการ "ปูทาง" สำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้

คล้ายๆ ตอนที่ปีกลาย อภิสิทธ์ปล่อยให้ทหารออกมา "ตบเท้า" รายวันขู่คนเรื่อง "ล้มสถาบัน" นั่นแหละ (เนื้อหาบางส่วนจากเฟซบุ๊กของนายสมศักดิ์)

---------

สุรพศ ทวีศักดิ์
นักวิชาการและคอลัมนิสต์

ข่าว อ.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ ถูกทำร้าย กับคำถามถึง “นักสันติวิธี”

เท่าที่ติดตามการแสดงความคิดเห็นของ อ.วรเจตน์ ผมชื่นชมมากในเรื่องความรัดกุมในหลักการ เหตุผล ไม่เคยเห็น อ.ใช้คำพูดรุนแรง เสียดสี หรือใช้ “อารมณ์เหนือเหตุผล” ในการแสดงความเห็นเลย 

การทำร้ายร่างกาย อ.วรเจตน์จึงสะท้อน “ความป่าเถื่อน” ต่อการใช้ “เหตุผล” อย่างรุนแรงที่สุดในบ้านเมืองนี้!

ถามว่ากับ “ความป่าเถื่อนต่อการใช้เหตุผล” เช่นนี้ บรรดานักสันติวิธีที่เสียงดังในสังคม ควรเลิกเป็น “แผ่นเสียงตกร่อง” ได้หรือยังครับ?

เลิกประเมินค่า “ความชอบธรรมทางศีลธรรม” ของทั้งสองฝ่ายเสมือนมี “ค่าความชอบธรรมเสมอกัน” ได้หรือยังครับ?

และนักสันติวิธีควรตั้งคำถามอย่างไร ต่อ “โครงสร้างอำนาจอันอยุติธรรมและรุนแรง” และกระบวนการสร้างความเกลียดชังทุกรูปแบบที่สนับสนุนโครงสร้างอันอยุติธรรมและรุนแรงนั้น จนส่งผลมาสู่ปรากฏการณ์ “ป่าเถื่อนต่อเหตุผล” ณ วันนี้ และ/หรือที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต?

หรือรอให้ฆ่ากันก่อน จึงค่อยออกมาจุดเทียน นั่งภาวนา ฯลฯ

ทหารเสียงดังกว่านักวิชาการและประชาชน
นักการเมืองและสื่อพินอบพิเทาต่อทหารและอำมาตย์
เสรีชนที่ใช้เหตุผลต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยและความยุติธรรมไม่มีที่ยืน (เนื้อหาบางส่วนจากเฟซบุ๊กนายสุรพศ)

---------

สมบัติ บุญงามอนงค์
หรือ บก.ลายจุด
แกนนำกลุ่มอาทิตย์สีแดง

มรู้จักแกนนำเสื้อแดงในท้องถิ่นคนหนึ่ง หลังรปห. เขาออกมาเคลื่อนไหว โดนทหารจับ กอ.รมน.ตาม โดนค้น โดนขู่ จนเขาต้องหนี หลบไปอยู่ที่อื่น
แกนนำคนนี้เคยโทร.มาปรึกษาผมตั้งแต่ปี 50 ว่า จะใช้ชีวิตยังไง เพราะเขากลัวเหลือเกิน เปลี่ยนที่นอน เปลี่ยนเบอร์โทร เพราะโดนฝ่ายความมั่นคงตาม  ความกลัวทำให้เขาหายไปสักหนึ่ง จากนั้นผมเห็นเขากลับมาที่เดิม รวบรวมคน เปิดสถานีวิทยุชุมชน เคลื่อนไหวไปจวนผู้ว่า ค่ายทหาร สถานีตำรวจ ดุดัน
ผมเชื่ออยู่ว่า คนเราเมื่อถูกความกลัวปั่นประสาทถึงจุดหนึ่ง เขาจะโต้คืน เขาต้องเรียนรู้ว่าจะจัดการกับความกลัวและคนที่ทำให้เขากลัวอย่างไร  เขากลัวเพราะมีคนน่ากลัวกว่าเขา ดังนั้นถ้าจะสู้กับความกลัวนี้ เขาต้องน่ากลัวกว่าคนที่ทำให้เขากลัว การจะสู้กับผีก็ต้องทำตัวให้เป็นปีศาจ
หลายคนที่ใช้ความรุนแรง ทั้งๆ ที่ไม่มีพื้นฐานเป็นคนเช่นนั้น ส่วนหนึ่งอาจเกิดจากสภาวะที่ทำให้เขากลัว แล้วกดความกลัวด้วยความโหดเหี้ยม
คนที่สั่งคนให้ไปฆ่าหรือทำร้ายคนอื่น ถ้าให้เขาไปลงมือเองก็คงไม่กล้า นั่นเพราะคนที่ทำให้คนอื่นกลัว ตนเองก็อยู่ในความกลัว
การต่อสู้ทางการเมืองสร้างคน 2 ประเภท คือ วีรบุรุษ และ ปีศาจ นั่นขึ้นอยู่ว่าระหว่างการต่อสู้พวกเขาดึงความเป็นมนุษย์ออกมา หรือทิ้งมันลง  คนที่ลงมือทำเรื่องเลวร้ายมากมาย พวกเขาก็ล้วนมีเหตุผลและอ้างเหตุแห่งการกระทำภายใต้ความดีงามทั้งสิ้น
สังคมไทยกำลังก้าวผ่านยุคสมัยที่สำคัญ ความรุนแรงไม่ใช่เป้าหมาย แต่มันคือกับดักที่ระหว่างการเปลี่ยนผ่านอาจตกหลุมพรางข้อนี้

ปัญญาชนในทุกปีก ต้องทำงานอย่างหนัก ในการไม่ปล่อยให้เหยี่ยวในปีกของตนออกมาคุมเกม และเปลี่ยนสถานการณ์เป็นสงคราม
วันนี้อาจมีคนสะใจ ดีใจที่ วรเจตน์ โดนทำร้าย แต่ให้นึกถึงภาพเด็กน้อยที่ยืนหัวเราะที่ต้นมะขาม เมื่อมีคนเอาเก้าอี้ฟาดร่าง น.ศ. 6 ต.ค.

ทุกวันนี้เราแทบไม่เคยได้ยินใครเปิดเผยตัวเองว่า เป็นคนที่อยู่สนามหลวง คอยเชียร์ และสนับสนุนการฆ่าน.ศ. ในเช้าวันที่ 6 ต.ค. อีกเลย (จากเฟซบุ๊ก บก.ลายจุด)

---------

สมคิด เลิศไพฑูรย์ 
อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 

อประณามคนที่ทำร้ายอ.วรเจตน์ 

กล้องจับภาพคนร้ายได้ทั้ง 2 คน

ได้ชื่อ ที่อยู่คนร้ายคนแรกแล้ว 
ผมขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายใช้เหตุและผลในการพูดคุยเพื่อแก้ปัญหาของประเทศและขอประณามความรุนแรงทุกประเภทที่กระทำต่อคนธรรมศาสตร์และคนไทยด้วยกัน

มหาวิทยาลัยมีมาตรการในการรักษาความปลอดภัยดีพอสมควร เช่นการจัดเวรยาม การมีบัตรเข้าออก การมี CCTV ทั้งมหาวิทยาลัย การประสานงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ และจะได้เพิ่มมาตรการให้เพิ่มขึ้นอีก

---------

แถลงการณ์ 8 องค์กรสิทธิมนุษยชน
ประณามการทำร้ายร่างกาย 
รศ.ดร.วรเจตน์ แกนนำกลุ่มนิติราษฎร์

ร้องสังคมไทยให้มีความอดทนอดกลั้นรับฟังความเห็นต่าง

รัฐมีหน้าที่คุ้มครองไม่ให้สังคมตกอยู่ในบรรยากาศแห่งความกลัวและต้องนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษโดยเร็ว

ตามที่รศ.ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์  อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และเป็นหนึ่งในกลุ่มอาจารย์คณะนิติราษฎร์ ถูกชายสองคนทำร้ายร่างกายภายในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ในช่วงบ่ายวันที่ ๒๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕  บริเวณลานจอดรถของคณะนิติศาสตร์นั้น

องค์กรดังมีรายชื่อแนบท้ายนี้ มีความห่วงกังวลอย่างยิ่งว่าสาเหตุในการทำร้ายร่างกายดังกล่าวจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการแสดงบทบาทในฐานะนักวิชาการของกลุ่มอาจารย์คณะนิติราษฎร์  เนื่องจากที่ผ่านมาไม่ปรากฏว่ารศ.ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ เคยมีความขัดแย้งกับบุคคลใดเป็นการส่วนตัว ในทางตรงกันข้ามการดำเนินกิจกรรมของคณะนิติราษฎร์ที่ได้มีข้อเสนอแนะในทางวิชาการให้ลบล้างผลพวงของรัฐประหาร ๑๙ กันยายน ๒๕๕๕   การจัดทำข้อเสนอเพื่อการรณรงค์แก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๑๒  และการล่ารายชื่อประชาชน ๑๐,๐๐๐ รายชื่อ เพื่อเสนอร่างแก้ไขกฎหมายดังกล่าวโดยคณะกรรมการรณรงค์แก้ไขมาตรา ๑๑๒ กลับทำให้กลุ่มอาจารย์คณะนิติราษฎร์ต้องตกอยู่ภายใต้การวิพากษ์วิจารณ์ทั้งที่อยู่ในกรอบของกฎหมายและเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นตามหลักการประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนสากล  จนเลยไปถึงการดูหมิ่น หมิ่นประมาท และการข่มขู่ทำร้ายร่างกายอันเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและเป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพ  ทั้งปรากฏว่า เคยมีการแสดงความรุนแรงโดยการเผาหุ่นของดร.วรเจตน์เมื่อวันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๕๕ บริเวณหน้าประตูทางเข้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จนกระทั่งเกิดการทำร้ายร่างกาย รศ.ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ขึ้นภายมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในวันนี้    

เราเห็นว่า เหตุการณ์ดังกล่าวย่อมทำให้สังคมตกอยู่ในภาวะความหวาดกลัวถึงการใช้สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญว่าอาจมีบุคคล กลุ่มบุคคลซึ่งมีความเห็นต่างจะมุ่งประสงค์ร้าย จนถึงขั้นทำร้ายร่างกายหรือทำให้เสียชีวิต เนื่องจากการดำเนินกิจกรรมของคณะนิติราษฎร์ และการล่ารายชื่อของคณะกรรมการรณรงค์แก้ไขมาตรา ๑๑๒ นั้นเป็นการกระทำบนพื้นฐานของสิทธิเสรีภาพทางวิชาการ และสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกซึ่งเป็นพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตย  และกล่าวได้ว่ากลุ่มอาจารย์ดังกล่าวเป็นนักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน ซึ่งรัฐมีหน้าที่คุ้มครองและปกป้องไม่ให้ผู้ใดมาละเมิดสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ  และตามหลักกติกาสากลว่าด้วยการคุ้มครองนักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน

เราเห็นว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการละเมิดสิทธิในร่างกาย การไม่เคารพต่อเสรีภาพของบุคคลอื่น การไม่รับฟัง และขาดความอดทนอดกลั้นต่อความคิดเห็นที่แตกต่างอันเป็นพฤติกรรมที่ยิ่งจะบ่อนทำลายคุณค่าแห่งสังคมประชาธิปไตย และเห็นว่าการทำร้ายร่างกายดังกล่าวไม่ใช่เรื่องการทำร้ายร่างกายส่วนบุคคลแต่เป็นเรื่องสวัสดิภาพและความปลอดภัยของประชาชนในการแสดงออกตามสิทธิและเสรีภาพขั้นพี้นฐาน จึงมีข้อเสนอและข้อเรียกร้องดังต่อไปนี้

๑. เราขอประนามการกระทำความรุนแรงครั้งนี้ และขอให้รัฐบาลรีบดำเนินการหาตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษโดยเร็วที่สุด เพื่อแสดงให้เห็นว่ารัฐสามารถปกป้องคุ้มครองประชาชนในการใช้สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญได้และไม่ตกอยู่ภายใต้ความหวาดกลัวในการใช้เสรีภาพดังกล่าว

๒. ขอเรียกร้องต่อประชาชนชาวไทยให้ใช้ความอดทนอดกลั้นต่อการแสดงความเห็นที่แตกต่าง แม้ความเห็นที่คณะนิติราษฎร์หรือคณะกรรมการรณรงค์แก้ไขมาตรา ๑๑๒ จะขัดแย้งต่อความรู้สึกของประชาชนชาวไทยบางกลุ่ม แต่การดำเนินการดังกล่าวเป็นการดำเนินการภายใต้กรอบของรัฐธรรมนูญและเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของหลักประชาธิปไตยในการอยู่ร่วมกัน

ด้วยความเคารพต่อสิทธิและเสรีภาพของประชาชน

เครือข่ายนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน(คนส.), สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน(สสส.), มูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา (มสพ.), คณะกรรมการรณรงค์เพื่อสิทธิมนุษยชน (ครส.), โครงการนิติธรรมสิ่งแวดล้อม(Enlaw), มูลนิธิผสานวัฒนธรรม(CrCF), ศูนย์พิทักษ์และฟื้นฟูสิทธิชุมชนท้องถิ่น และศูนย์ข้อมูลชุมชน

---------

สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ 
อาจารย์คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรมหาวิทยาลัย 
ฐานะสมาชิกคณะรณรงค์แก้ไข ม.112 (ครก.112) 

นวันที่ 1 มี.ค. เวลา 12.00 น. กลุ่มโดมรวมใจ ประมาณ 10-20 คนจะเดินทางไปให้กำลังใจนายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แกนนำกลุ่มนิติราษฎร์ที่คณะ หลังจากโดนกลุ่มคนทำร้าย เบื้องต้นตามข่าวทราบว่ากลุ่มที่ทำร้ายนายวรเจตน์ เป็นกลุ่มคนที่เคยร่วมกิจกรรมเผาหุ่น เพื่อคัดค้านกิจกรรมของกลุ่มนิติราษฎร์

หากเป็นจริงเท่ากับว่าเป็นกลุ่มที่ พล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน และนายชัยวัฒน์ สินสุวงศ์ เป็นแกนนำคนไทยหัวใจรักชาติ โดยข้อเท็จจริงบุคคลทั้ง 2 อาจไม่มีส่วนรู้เห็น แต่ในความเห็นที่แตกต่าง ควรแสดงออกด้วยการพูดคุย ไม่ใช่ใช้กำลังทำร้าย

การคุกคามนี้ ไม่ได้ทำให้ครก.112 กลัวและหยุดเดินหน้าล่าชื่อประชาชนเพื่อร่วมสนับสนุนการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 แต่อย่างใด สำหรับท่าทีของกลุ่มขณะนี้ยังไม่ได้หารือ แต่คิดว่าจะออกแถลงการณ์ประณามการกระทำที่ป่าเถื่อน ซึ่งถือว่าเป็นการที่คุกคาม และไม่ถูกต้องในการแสดงออก



วันที่ 01 มีนาคม พ.ศ. 2555 เวลา 01:59 น.  ข่าวสดออนไลน์