วันอาทิตย์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2555

ม.ล.มิ่งมงคล โสณกุล : 6 ปี 19 กันยา 49 “การทำรัฐประหารคือการขู่ให้ลูกเป็นเด็กไม่มีวันโตตลอดไป”


                 "หม่อมเต่านา" และรอยสัก "นวมทอง" ที่แขนขวา


ที่มา มติชนออนไลน์

สัมภาษณ์โดย  ฟ้ารุ่ง ศรีขาว 

สัปดาห์หน้าจะถึงวันครบรอบ 6 ปี รัฐประหาร 19 กันยายน  2549 “มติชนออนไลน์” สัมภาษณ์  ม.ล.มิ่งมงคล โสณกุล หรือ หม่อมเต่านา  ถึงความเห็นต่อความเปลี่ยนแปลงกว่าครึ่งทศวรรษ ในฐานะผู้สังเกตการณ์และที่มารอยสัก "นวมทอง" ที่แขนข้างขวา  


@ มอง 6 ปี รัฐประหาร อย่างไร


พูดอย่างเลวๆก็คือ มองอย่างสะใจที่ตกลง เราสรุปไว้ถูก เพราะตอนนั้นก็เชื่่อมั่นว่าจะเป็นการกระทำที่ล้มเหลว ทุกอย่างผิดที่ผิดทาง มีผลแค่ปลุกระดมความกลัวและเกลียดชังระหว่างคนในชาติให้เพิ่มขึ้น ผ่านมา 6 ปี รัฐประหารปี 49 มีผลดีอย่างเดียวคือทำให้ประชาชนรากหญ้าที่เดิมไม่ค่อยได้สนใจการเมืองระดับประเทศนัก มีความตื่นตัวอย่างมากในการที่จะรักษาไว้ซึ่งอำนาจ ศักดิ์ศรีและสิทธิของเขาเองอย่างที่ไม่เคยปรากฎมาก่อนในประวัติศาสตร์ไทย


@ สาเหตุ ที่สัก “นวมทอง” ไว้ที่แขน เพราะอะไร จึงต้องเป็นคำนี้


ตอนที่เกิดรัฐประหาร คนรอบๆ ตัวเราทุกคนมีแต่ความดีใจ ยินดี ปลาบปลื้ม ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกแปลกแยกมากๆ รู้สึกเหมือนว่าเราเองผิดปรกติอย่างมากที่กลับไม่รู้สึกดีเหมือนคนอื่นๆ ซ้ำร้ายยิ่ง ยิ่งรู้สึกเสียใจ สิ้นหวัง เหมือนโดนกระทืบหัวใจจนแหลกละเอียด ในชีวิตเคยรู้สึกเช่นนี้ 2 ครั้งเท่านั้นคือ ตอนที่คุณแม่ป่วยและเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง กับอีกครั้งคือ เมื่อหลังรัฐประหาร 3 วัน ช่วงนั้นเราไปทำงานอยู่ที่ประเทศสิงค์โปร์


เมื่อกลับมาเพื่อนได้เล่าให้ฟังว่ามีแท็กซี่ใช้สีสเปรย์พ่นตัวถังรถว่า "ไม่เอารัฐประหาร"  แล้วขับรถพุ่งชนรถถังเพื่อเป็นการแสดงออกถึงการประท้วงคณะปฎิวัติ คนขับแท็กซี่รอดชีวิต แต่อาการหนักมาก ต้องเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลเป็นเวลากว่า 3 สัปดาห์ระหว่างที่รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองต่างส่งคนมาเยี่ยม มาบอกเขาว่ารัฐประหารจะทำให้ประเทศไทยดีขึ้น เป็นสิ่งที่เขาในฐานะประชาชนควรจะดีใจ ซึ่งเป็นการปลอบที่ขัดกับความเชื่อ เจตนารมณ์และจุดยืนของเขาอย่าสิ้นเชิง


เมื่อออกจากโรงพยาบาลเขาได้ทราบว่า ข่าวการขับรถชนรถถังของเขาถูกนำไปบิดเบือนความจริง โดยเขียนทำนองว่า คนขับแท็กซี่ขับรถพุ่งชนรถถังเพราะสายตาไม่ดีบ้าง สติไม่ดีบ้าง ทหารผู้ใหญ่ในคณะรัฐประหารบางท่านถึงกับพูดว่า "ไม่มีใครเขายอมตายเพื่อความเชื่อของตัวเองหรอก " ซึ่งก็เป็นการพูดถึงจิตใจคนได้แปลกมาก เพราะนัยว่าการทำรัฐประหาร นั้นคือการที่ผู้ทำรัฐประหารบอกกับประชาชนว่าจะขอพลีชีพเพื่อรักษาไว้ซึ่งสถาบันและประเทศชาติ เป็นการเอาความเชื่อในความดีงาม และอุดมการณ์มาพุ่งชน แบบยอมตายเพื่อจะทำลาย พ.ต.ท. ทักษิณ และคณะ  แต่คนทำรัฐประหารกลับดูถูกน้ำใจประชาชนเอง ดังนั้น พออาการคุณนวมทองดีขึ้นออกจากโรงพยาบาลได้ เขาจึงเขียนจดหมายอธิบายเจตนารมณ์ที่แน่วแน่ของเขาอีกครั้ง แล้วใส่เสื้อสีดำที่มีข้อความต่อต้านรัฐประหาร แล้วไปผูกคอตายอยู่ใต้สะพานลอย


เนื่องจากตัวเราเองพื้นฐานเป็นคนขี้เกียจ รักสบาย ไม่ค่อยสนใจคนอื่นนัก แต่เมื่อได้รับรู้ในความแน่วแน่ในสิ่งที่เขาได้ทำลงไป เรารู้สึก สะอึกและตื้นตันใจอย่างบอกไม่ถูก เรียกได้ว่า ณ จุดนั้นเขาคือ คนไทยคนแรกที่เราได้เห็นจะๆ ว่ายอมฆ่าตัวตายเพื่อยืนยันในความเชื่อของตนเอง เป็นการกระทำที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน และทุกครั้งที่เราเล่าเรื่องนี้ให้คนฟัง เพราะตอนนั้นยังไม่มีใครรู้เรื่องนี้มากนัก เพราะรัฐบาลคณะปฎิวัติเหมือนจะพยายามปิดๆข่าว ทุกครั้งที่เราเล่าเรื่องนี้ โดยยังไม่บอกว่าเขาประกอบอาชีพอะไร ทุกคนที่ได้ฟังจะบอกว่า เออ เจ๋งดีหวะคนนี้


แต่แล้วพอเราบอกว่าเขาเป็นคนขับแท็กซี่ คนเหล่านั้นก็จะพูดประมาณว่าคนขับแท็กซี่ก็งี้หละแม่งบ้า อาจกินยาบ้า เมา หรือมีคนจ้างวานให้มาทำ คือกลายเป็นพยายามลบล้างสิ่งที่เขายืนยันกระทำลงไปจนสำเร็จด้วยวิธีการดูแคลนในอาชีพสุจริตที่เขาเป็น ซึ่งยิ่งทำให้เราหดหู่มาก
 ปีนั้นเราอายุสามสิบหก คือครบสามรอบพอดี เราคิดว่าเราแก่และเห็นทุกอย่างมามากแล้ว แต่เราก็กลับไม่สามารถวางความรู้สึกช้ำใจอันนี้ได้ ในวันรัฐธรรมนูญ 10 ธันวาคม 49 เราจึงไปสักชื่อของคุณ นวมทอง ไว้ที่แขนขวาของเรา เอาให้ทุกคนเห็นกันจะๆ กันไปเลย เราไม่เคยสักหรือคิดจะสักชื่อใครอะไรมาก่อนเลยในชีวิต แต่เราถือว่าการที่ได้สักชื่อของคนที่มีเกียรติและความกล้า พูดจริงทำได้จริง เช่น คุณนวมทองถือเป็นเกียรติแก่ตัวเรา และคือของขวัญที่ดีที่สุดที่เราจะให้ตัวเองได้ ในปีเกิดครบสามรอบของเราค่ะ



@ ทำไมจึงไม่เชื่อว่า คนขับรถแท็กซี่ ถูก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จ้างมาสร้างสถานการณ์อย่างที่หลายคนเชื่อ ในขณะนั้น


เพราะเขาทำในสิ่งที่เรารู้สึกอยากทำมากๆ แต่ไม่กล้าทำ และต่อให้ พ.ต.ท. ทักษิณ โอนเงินมาให้เราสักหนึ่งพันล้านบาท  เราก็ยังไม่กล้าทำสิ่งที่คุณนวมทองทำอยู่ดี หรือต่อให้เราจนมากๆ ไม่มีเงินหรือสิ่งที่คนชอบเรียกมันว่าต้นทุนทางสังคม เราก็ไม่กล้าฆ่าตัวตายเพื่อเงินอยู่ดี


หลังจากนั้นเราก็ส่งเลขาให้ไปพบกับครอบครัวของคุณนวมทอง ไปให้กำลังใจ และแสดงความคารวะ ได้พูดคุยกับครอบครัวของคุณนวมทอง เราไม่กล้าแม้แต่จะไปเองเพราะไม่อยากจะรู้สึกสะเทือนใจไปมากกว่านี้ การกระทำของคุณนวมทองได้ใจเพื่อนๆ เราหลายคน


บางคนตอนเกิดปฎิวัติยังมึนๆ เฉยๆ นิ่งๆ เซ็งแต่ก็ไม่อยากรู้สึกเหมือนฝืนกระแสสังคม แต่พอคุณนวมทองฆ่าตัวตายอย่างมุ่งมั่น พร้อมทิ้งจดหมายลาตายที่เขียนได้กินใจมากๆ ไว้  คนหลายๆ คน ที่พยายามเก็บความรู้สึกไว้ก็กล้าพูดความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเอง ความไม่พอใจกับการทำรัฐประหารออกมา เรียกได้ว่าความตายของคุณนวมทองคือแรงกระแทกอันแรกที่สำคัญอย่างยิ่งที่ทำให้เราและเพื่อนหลายๆคนรู้สึกกล้าที่จะยอมรับในความโกรธของตัวเองซึ่งความรู้สึกที่รุนแรงและความรู้สึกที่จริงขนาดนั้นไม่สามารถซื้อหรือปลุกได้ด้วยเงินเพียงอย่างเดียวไม่ว่าคุณจะเป็นคนรวยหรือคนจน


@ ปรากฏการณ์ “ดารุณี กฤตบุญญาลัย” ถูกตั้งคำถามเสียงดังกลางห้างดัง ไม่ว่าจะเข้าใจผิดคิดว่าเป็น “ดารณี ชาญเชิงศิลปกุล” (ดาร์ตอปิโด) หรืออาจจะตั้งใจถามเพราะเห็นว่าเป็นคนเสื้อแดง แต่ข้องใจในประเด็น “รักในหลวง” คุณเต่านา มองเหตุการณ์นี้อย่างไร


สำหรับเรา เราไม่แน่ใจว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำที่บ่งบอกถึง ความรักในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ อย่างแท้จริงหรือไม่ แต่เราแน่ใจว่าเป็นการกระทำที่บ่งบอกถึงความเกลียดชังและความสับสนอย่างยิ่งกับการต้องมีชีวิตอยู่ด้วยความเกลียดชังนั้นซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเศร้าเพราะมันเป็นการกระทำที่ตรงข้ามกับสิ่งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯเพียรสอนพวกเรามาในเรื่องการมีสติและการกระทำความดีขณะที่ ความเกลียดชังอย่างไร้สติ ไม่สามารถเกิดขึ้นจากความรักและนับว่าเป็นการกระทำความดีได้อย่างแน่นอน


@ ข้อความทางเฟซบุค “อย่าโหนเจ้า เพราะ เจ้าก็ต้องพึ่งประชาชนค่ะ” สเตตัสนี้ มองความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันต่างๆ กับภาคประชาชนมีความเปลี่ยนแปลงไป หรือไม่


คนไทยชอบคิด และอยากเชื่อว่าใครหรือองค์กรใดองค์กรหนึ่งมีอำนาจอย่างเด็ดขาดเหนือองค์กรอื่น แต่ในความเป็นจริงไม่ได้เป็นอย่างนั้น ทุกสิ่งอย่างมีความสัมพันธ์ที่จำเป็นต้องพึ่งพิงและให้ความจริงใจกันอยู่ตลอดเวลา พร้อมๆ กับการระมัดระวังตัวไม่ให้ตัวเองเกิดการลุกล้ำล่วงเกินไปในอำนาจหน้าที่คนอื่นทั้งแบบตั้งใจและไม่ตั้งใจจนเกินไปนักเพราะวิธีการใช้กฎหมายกติกาของสังคมไทยเป็นระบบพึ่งพิงแต่ช่วงหลังๆกลับกลายไปเน้นระบบอ้างอิงซะมากกว่า


@ มองเรื่องนี้อย่างไรต่อความเห็นของฝ่ายต่างๆ ที่คิดแตกต่างกันเรื่องกฎหมายอาญามาตรา 112 


เรามีความเชื่ออย่างโรแมนติกๆ ในแบบของเราเองว่า วันหนึ่งสถาบันจะเป็นผู้ประกาศยกเลิกกฎหมายอาญา มาตรา 112 นี้ด้วยตนเอง เพราะทุกครั้งที่มีการนำมาตรานี้ไปใช้ เรื่องยิ่งหลุดมือไป สถานการณ์บานปลายออกไป คนที่เสียหายที่สุดก็คือสถาบันเองค่ะ


@ ความกลัวทางการเมือง ที่แต่ละฝ่ายควรเปิดเผยออกมา จะเป็นไปได้แค่ไหน


ในที่สุดจะเป็นไปได้หมด และจะมีความจำเป็นที่จะต้องเปิดเผยออกมาเพราะภายในอีก 5 ปีประเทศไทยจะเป็นประเทศที่มีประชาชนสองแบบ แบบที่หนึ่งคือพวกที่ไม่สนใจการเมืองมากนัก แค่รู้ไว้ ใช้จับทิศทางในการทำมาหากินให้สำเร็จ เอาเวลาไปมุ่งมั่นตั้งสติทำงาน ทำตัวเองและครอบครัวให้ดีขึ้นเรื่อยๆ   กับ แบบที่สองคือพวกที่ตั้งหน้าตั้งตาปล่อยข่าวลือ จริงบ้าง ไม่จริงบ้างเพื่อทำลายคนอื่นไปๆมาๆ วนเวียนๆ ดังนั้นในที่สุดคนที่รักและเชื่อในความจริง คนที่เชื่อว่าการยอมรับความจริงจะเป็นทางออกของทุกสิ่ง เขาก็จะตั้งหน้าตั้งตาเผยแพร่ความจริง ที่เขาเองเชื่อว่าจริงออกมาสู่มวลชน ก็คงจะมีกันคนละแบบคนละเล่ม แล้วก็คงจะมีการถกเถียง คัดคาน พยายามพิสูจน์ข้อเท็จจริงของแต่ละฝ่ายกันไปเรื่อยๆ ซึ่งถือว่าเป็นพัฒนาการที่ดีมากกับสังคมไทย เพราะความจริงไม่เคยทำร้ายใคร ในขณะที่อคติและข่าวลือ เมื่อถูกนำมาผสมกับความเกลียดกลัวและใจเสีย สามารถฆ่าคนบริสุทธ์ได้ ทั้งทางตรงและทางอ้อม


@ มองว่ารูปแบบการยึดอำนาจด้วยรถถัง กำลังทหาร ยังเป็นตัวเลือกของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอยู่หรือไม่


คงจะมีคนคิดฝันๆ อยู่เรื่อยๆ แต่ในทางปฏิบัติจริงจะเป็นไปได้ยากมากๆ และถ้าหากทำอีกทีหนึ่งก็คงจะได้ล้มล้างกันทุกอย่างเลย ไม่ใช่แค่รัฐบาล


สังคมไทยชอบโทษว่าเป็นเพราะนักการเมืองเลว โกงกิน จึงต้องมีการทำรัฐประหาร เราอยากให้ลองมองย้อนกลับดูสักนิดว่าพอทำเสร็จแล้ว ซึ่งประเทศไทยก็มีรัฐประหารมาไม่รู้จะกี่หนแล้ว ประเทศชาติดีขึ้นจริงหรือ ถ้าหากการทำรัฐประหารเป็นอะไรที่มีผลดีจริงๆ คงไม่ต้องทำบ่อยขนาดนี้กระมัง ??? นักการเมือง คือตัวแทนของประชาชน ถ้าหากจะพูดว่านักการเมืองส่วนมากเป็นคนเลว ก็หมายความว่าประชาชนส่วนมากก็เลวด้วย เพราะประชาชนจะเลือก ส.ส. ที่เขาเชื่อว่าเป็นตัวแทนในคุณค่าของเขา


แนวความคิดที่ชอบนำเรื่องการการทำรัฐประหารมาคอยขู่ๆ นักการเมือง ซึ่งจะดีจะเลวอย่างไรก็คือตัวแทนของประชาชน นี่มันคล้ายๆกับ พ่อแม่ที่เลี้ยงลูกมาในแบบหนึ่ง อยากให้ลูกโตขึ้นเป็นคนแบบหนึ่ง แต่พอไม่ได้อย่างใจก็ขู่ว่าจะตัดออกจากกองมรดก ขู่เสร็จก็คิดว่าลูกจะกลัวแล้วก็จ๋อยๆ ยอมทำตามทุกอย่างที่พ่อแม่อยากให้ทำ ทั้งๆ ที่ลูกถึงแม้ว่าต้องมีความกตัญญู รู้คุณ และมีหน้าที่ดูแลตอบแทนคุณบิดามารดา แต่ลูกก็เป็นคนเหมือนกัน มีความต้องการในตัวในการพัฒนาที่จะเป็นในสิ่งที่ตัวเองต้องการให้ดีขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน ซึ่งอาจจะไม่ใช่สิ่งเดียวกับที่พ่อแม่ต้องการร้อยเปอร์เซนต์ เพราะมันฝืนธรรมชาติเขา หลังจากพ่อแม่ขู่และตัดเขาออกจากกองมรดกจริงๆ กลับกลายเป็นว่าเขาก็อยู่ของเขาเองได้ ซ้ำร้ายยังแข็งแกร่งขึ้น มีตัวตนที่ชัดเจน เข้มแข็งกว่าลูกที่พ่อแม่ตั้งหน้าตั้งตาตามใจให้ทุกอย่าง เพียงเพราะเขายอมทำตามความต้องการทุกอย่างของพ่อแม่ จบลงในที่สุดพ่อแม่ก็ต้องหันกลับมาพี่งลูกที่ถูกตัดออกจากกองมรดกออกไป เพราะเขายืนหยัดและแข็งแกร่ง ส่วนลูกที่ยอมทำตามทุกอย่างไม่คิดที่จะสู้ชีวิตด้วยตัวเอง นอกจากพ่อแม่จะพึ่งอะไรไม่ได้แล้ว ยังต้องเป็นภาระทางใจให้พ่อแม่ไปอีกชั่วชีวิต เพราะลูกคนนี้จะไม่สามารถอยู่ด้วยตัวเองได้


การทำรัฐประหารคือการขู่ให้ลูกเป็นเด็กไม่มีวันโตตลอดไป คอยแต่จะแหงนหน้าขึ้นมองและพร้อมที่จะแบมือขอของ
ได้ทุกอย่างทางวัตถุที่อยากได้แต่ไม่เคยได้รับความสุขที่แท้จริงเพราะเขาต้องติดอยู่กับกับดักแห่งการแบมือขอในสิ่งที่เขาควรที่จะยืนยันที่จะต้องสร้างและรักษาไว้ด้วยตัวเอง...


@ มองศักยภาพฝ่ายค้าน กับการตรวจสอบหรือดุลอำนาจรัฐบาล ในปัจจุบันเป็นอย่างไร


ปัจจุบันประเทศไทยไม่มีฝ่ายค้านอยู่ค่ะ


@ หมายความว่า พรรคประชาธิปัตย์ มีปัญหาในแง่บทบาทตรวจสอบถ่วงดุลรัฐบาลในยามที่ตัวเองเป็นฝ่ายค้าน หรือไม่


พรรคการเมืองที่ไม่มี ส.ส. สักคนที่สามารถยืนยืด อกสบตากับประชาชนแล้่วพูดดังๆให้พวกเราฟังได้ว่า พรรคการเมืองของเรามีจุดยืนคือการต่อต้าน ไม่เอา ไม่รับหลักการ ของการทำรัฐประหาร อย่างสิ้นเชิง ถือว่าเป็นสถาบันการเมืองที่ล้มเหลวอย่างหมดความน่าเชื่อถืออยู่แล้วในตัวเองค่ะ ความพยายามที่จะต่อยอดอะไรต่อไป ก็จะไม่มีประสิทธิภาพหรือได้ผลอย่างที่ควรจะเป็น เพราะประชาชนถือว่าท่านไม่มีความจริงใจในหลักของประชาธิปไตยเป็นพื้นฐานในหัวใจ ดังนั้นเมื่อท่านเป็นเช่นนี้แล้ว ท่านจะอ้างตัวว่าท่านจะต่อสู้เคียงข้างประชาชนได้อย่างไร


@ รัฐบาลปัจจุบัน จะยังคงบริหารต่อไป ได้หรือไม่ ภายใต้เงื่อนไขใด


ได้อย่างสบายๆ  เพราะผู้นำคือนายกรัฐมนตรี ได้อำนาจมาด้วยการชนะเลือกตั้งอย่างชอบธรรม อย่างขาดลอย และในเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมาท่านก็แสดงออกให้เห็นถึงความนิ่ง ความแมน และการให้เกียรติผู้อื่น แม้กระทั่งกลุ่มคนที่ไม่ได้เลือกท่าน  ตราบใดที่ท่านสามารถทำให้เศรษฐกิจเดินหน้า ประชาชนมีโอกาส มีความหวัง และความเชื่อมั่นในอนาคตที่ดีขึ้นของพวกเขาเองและลูกหลาน  ความก้าวหน้าทางเศรษกิจอาจจะเดินไปช้าๆแต่ต้องทำให้เดินไปข้างหน้า พร้อมๆไปกับการค่อยๆพยายามสร้างพื้นที่ให้คนทุกคนได้มีที่ยืน   ให้การถกเถียงถึงแนวคิดที่แตกต่างกันเป็นเรื่องปกติ ที่ไม่ได้หมายความว่าใครเป็นคนดีกว่าใคร    ถ้าหากทำได้อย่างนี้แล้วเรื่องทางกฎหมายและทางการเมืองก็จะค่อยๆถ่วงดุลกันไป อะไรที่ไม่ยุติธรรมมากๆ จนคนทนไม่ได้ เขาก็จะรวมตัวกันสร้างมวลชนขึ้นมาเพื่อส่งข้อความไปที่ตัวแทนของประชาชน หรือ ส.ส. ให้ นำมาถกเถียง จัดการ ปรับปรุง โดยผ่านระบบรัฐสภา ก็เป็นไปตามกลไกไป ช้าบ้างเร็วบ้าง แต่ทุกสิ่งจะค่อยๆมุ่งหน้ากลับเข้าสู่ระบบกลไกที่มันควรจะเป็น 
ที่มาข่าว ;; ไทยอีนิวส์ 16 กันยายน 2555

วันเสาร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2555

ชูวิทย์ อึ้ง เจอหญิงฝ่าตำรวจบุกฟัน หน้า สภ.หาดใหญ่ เลขาเจ็บ

'ชูวิทย์'ฉุนถูกบุกฟันคาโรงพักหาดใหญ่

สาวรุ่นบุกฟัน 'ชูวิทย์' คาโรงพักหาดใหญ่ เลขาฯรับเคราะห์แทนบาดเจ็บสาหัส เย็บ 17 เข็ม ด้าน ผกก.หาดใหญ่ เผยมือฟันสติไม่ดี




             14 ก.ย.55 ที่บริเวณภายในสถานีตำรวจภูธร อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ได้เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น เมื่อมีหญิงสติไม่สมประกอบ เดินถือมีดพร้าเข้าไปฟันกกหูขวาของนายเทพทัต บุญพัฒนานนท์ อายุ 29 ปี อยู่บ้านเลขที่ 38/174 ถนนวังตอ ต.ทับเที่ยง อ.เมือง จ.ตรัง ซึ่งเป็นเลขานุการของนายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย ทางด้านหลังได้รับบาดเจ็บ ท่ามกลางความตกตะลึงของเจ้าหน้าที่ตำรวจและคณะของนายชูวิทย์ที่ได้เดินทางมาตรวจเยี่ยมและติดตามเรื่องการค้ามนุษย์ รวมถึงบ่อนการพนันในพื้นที่ อ.หาดใหญ่ หลังมีคลิปแฉปล่อยออกมาเป็นข่าวดังในช่วงที่ผ่านมาเมื่อเร็วๆนี้

              หลังเกิดเหตุทางเจ้าหน้าที่ตำรวจที่อยู่ในที่เกิดเหตุ ได้รีบช่วยกันนำตัวนายเทพทัตส่งโรงพยาบาลหาดใหญ่ทันที เพื่อให้แพทย์รักษาและทำบาดแผลให้ ล่าสุดอาการปลอดภัยแล้ว ส่วนหญิงไม่สมประกอบที่ก่อเหตุ ได้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจช่วยกันจับกุมตัวเอาไว้ได้ พร้อมกับมีดพร้าของกลาง
  
              ทั้งนี้สืบเนื่องจากนายชูวิทย์พร้อมด้วยคณะกรรมาธิการตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร ได้เดินทางลงพื้นที่ อ.หาดใหญ่ เพื่อตรวจเยี่ยมสถานีตำรวจภูธรหาดใหญ่ พร้อมติดตามเรื่องการค้ามนุษย์ ในพื้นที่ อ.หาดใหญ่ ตามที่มีคลิปข่าวออกมาแฉเมื่อไม่นานมานี้ รวมถึงการติดตามเรื่องบ่อนการพนันด้วย
  
              ซึ่งการติดตามความคืบหน้าในกรณีดังกล่าวของนายชูวิทย์พร้อมด้วยคณะ ได้มีขึ้นที่ห้องประชุมชั้น 3 สถานีตำรวจภูธรอำเภอหาดใหญ่ โดยมีนายตำรวจระดับสูง เป็นผู้บรรยายให้คณะดังกล่าวรับฟัง โดยสรุปใจความว่า ทางสถานีตำรวจทุกสถานีในพื้นที่ มีการปราบปรามการค้ามนุษย์ และซ่องโสเภณีรวมถึงบ่อนการพนันมาโดยตลอดต่อเนื่อง ที่ผ่านมาจะมีสถิติการจับกุมอยู่ ซึ่งการบรรยายสรุปดังกล่าว ทำให้คณะของนายชูวิทย์พึงพอใจต่อการชี้แจงดังกล่าว
  
              กระทั่งรับฟังคำบรรยายเสร็จสิ้น ทางคณะของนายชูวิทย์ได้เดินลงมาจากห้องประชุมชั้น 3 ของสถานีตำรวจภูธรหาดใหญ่ เมื่อเดินมาถึงบริเวณชั้นล่างด้านข้างของศูนย์จราจรสถานีตำรวจภูธรหาดใหญ่ ทางคณะดังกล่าวได้ยืนพูดคุยกัน ในทันใดนั้นเองได้มีหญิงสติไม่สมประกอบดังกล่าวเดินเข้ามา พร้อมกับใช้มีดพร้าที่ถือในมือฟันที่กกหูขวาของนายเทพทัต 1 ครั้ง จนได้รับบาดเจ็บ ท่ามกลางความตกตะลึงของคณะของนายชูวิทย์ และตำรวจ สภ.หาดใหญ่ ก่อนที่ทุกคนในที่นั้น ตั้งสติได้และช่วยกันจับกุมตัวหญิงดังกล่าวไว้ พร้อมกับรีบนำตัวนายเทพทัต ส่งโรงพยาบาลหาดใหญ่ทันที เพื่อให้แพทย์รักษาบาดแผลให้

              ส่วนหญิงสติไม่สมประกอบรายนี้ ในเบื้องต้นเจ้าหน้าที่ ทราบชื่อว่า นางสาวคำหล้า มั่งมี อายุ 27 ปี อยู่บ้านเลขที่ 116 ม.2 ต.วังเพิ่ม อ.สีชมพู จ.ขอนแก่น ส่วนสาเหตุนั้นยังไม่ทราบจุดประสงค์ที่ชัดเจน จึงแจ้งข้อหาพยายามฆ่า พร้อมกับควบคุมตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.หาดใหญ่ เพื่อดำเนินคดีทันที

หลังจากเกิดเหตุนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ รู้สึกไม่พอใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นอย่างมาก พร้อมกับต่อว่าการปฎิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจโรงพักหาดใหญ่ไม่เข็มงวด หลังปล่อยให้มีคนเดินถือมีดเข้ามาโดยไม่มีใครควบคุมดูแล และปล่อยให้ไล่ฟันลูกน้องของตนบริเวณสถานีตำรวจได้ โดยเปรียบเทียบว่าหากตนเองไม่ระวังคงถูกฟันเหมือนลูกน้องแล้วก็เป็นได้ แต่ได้ตั้งข้อสังเกตว่าทำไมถึงมาฟันลูกน้องของตน มีใครเป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลังหรือเปล่าแต่ถ้าเป็นหญิงสติไม่ดีก็ไม่เป็นไร หากเป็นคนสติดีอยากให้ตำรวจดำเนินการไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ในขณะเดียวกันเมื่อคืนที่ผ่านมาก่อนหน้าที่คณะของนายชูวิทย์ จะเข้ามาตรวจเยี่ยมโรงพักได้มีคนนำใบปลิวที่มีข้อความว่า ขอบคุณท่านชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ที่ทำธุรกิจหาดใหญ่เจ๊งโปรยแจกทั่วเมืองหาดใหญ่



มี่มาข่าว  คมชัดลึกออนไลน์  วันที่ 15-09-2555
http://www.komchadluek.net/detail/20120914/140037/%E0%B8%94%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%99!!%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%81%E0%B8%9F%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%8A%E0%B8%B9%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B8%84%E0%B8%B2%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%8D%E0%B9%88.html

โบ้ยชุดดำ คอป.อู้อี้ผลสอบรั่ว


                                                                         




"ธิดา-นปช."เมิน ฉะไม่น่าเชื่อถือ ศาลเปิดไต่สวน เหยื่อ10เมย.53 ลูกจ้างในเขาดิน


นปช.ไม่สนรายงาน "คอป." สรุปเหตุการณ์สลายม็อบ 98 ศพ "ธิดา" ชี้ไม่เชื่อมั่น ไร้หลักคิด ไม่มีข้อมูลหลักฐาน ด้าน กก.คอป.พัลวันรายงานรั่ว โบ้ยชุดดำ คืน 10 เม.ย.53 ปะปนกับผู้ชุมนุม มีอาวุธสงคราม โวยเอามาจากไหน ยันฉบับจริงอยู่ในขั้นปรับถ้อยคำ ให้รอฟังแถลงวันที่ 17 ก.ย. ส่วน "ถวิล" ให้การต่ออีกวัน ยังอ้างอีกมีชุดดำ ดีเอสไอประกาศใครรู้ให้แจ้งเบาะแสชายชุดดำด้วย แต่ตรวจสอบจากภาพที่ทหารและรัฐบาล "มาร์ค" ส่งให้ กลับไม่มีพยานหลักฐานยืนยัน ซ้ำยังไม่พบว่าใช้อาวุธสงครามยิงใครตาย ย้ำทำตามหลักฐาน ต้องแยกให้ชัด ไม่ใช่ชุดดำฆ่าทั้งหมด 98 ศพ ศาลไต่สวนยิง "มานะ" ลูกจ้างเขาดิน พยานระบุเห็นเจ้าหน้าที่หมอบ วิ่งหลบ แล้วยิงปืน อ้างถูกคนเสื้อแดงไล่ยิง



ตร.เบิกความคดีหนุ่มเขาดิน

เมื่อวันที่ 14 ก.ย. ที่ศาลอาญา ศาลนัดไต่สวนคำร้องชันสูตรพลิกศพ คดีหมายเลขดำที่ อช.8/2555 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 7 เป็นโจทก์ยื่นคำร้องขอให้ชันสูตรการเสียชีวิตของนายมานะ อาจราญ ลูกจ้างแผนกบำรุงรักษา สวนสัตว์ดุสิต เพื่อทำคำสั่งแสดงว่าผู้ตายเป็นใคร ตายที่ไหน เมื่อใด และถึงเหตุและพฤติการณ์ที่ตาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 150 โดยนายมานะถูกยิงเสียชีวิตเมื่อวันที่ 10 เม.ย.2553 บริเวณสวนสัตว์ดุสิต ถนนพระราม 5 แขวงจิตรลดา เขตดุสิต กทม. ระหว่างเหตุการณ์รัฐบาลขอคืนพื้นที่การชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิป ไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่ถนนราชดำเนิน

โดยพนักงานอัยการนำพยานไต่สวนรวม 3 ปาก ปากแรก ร.ต.ต.ณรงค์ คำโพนรัตน์ ตำรวจ สน.สามเสน เบิกความว่า ขณะเกิดเหตุยศส.ต.อ. ปฏิบัติหน้าที่ สน.สามเสน โดยเมื่อวันที่ 10 เม.ย.2553 ได้รับคำสั่งผู้บังคับบัญชาให้ไปยังจุดรวมพลกองร้อยที่ 1 ปราบจลาจล ที่สวนสัตว์ดุสิต ตั้งแต่เวลา 08.00 น. หลังจากนั้นได้รับคำสั่งให้ไปประจำจุดวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม



เห็นจนท.วิ่งหลบ-ยิงปืน

ร.ต.ต.ณรงค์เบิกความว่า แต่ปรากฏว่าทหารที่รักษาการณ์อยู่ที่วัดเบญจมบพิตรฯ ไม่ยินยอมให้เข้าไป พยานจึงกลับมาที่สวนสัตว์ดุสิต พบว่าเหลือเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ภายในสวนสัตว์ดุสิตเพียง 7 นาย จากทั้งหมด 120 นาย โดยตำรวจจะไม่มีอาวุธปืน มีเพียงกระบองเท่านั้น ส่วนพยานทำหน้าที่เฝ้าวิทยุสื่อสารอยู่ที่ลานจอดรถชั้น 1 สวนสัตว์ดุสิต กระทั่งเวลา 23.30 น. ขณะนอนหลับพักผ่อนก็มีกำลังทหารวิ่งเข้ามาหลบหาที่กำบังภายในบริเวณลานจอดรถ พยานจึงหมอบลงกับพื้นและได้ยินเสียงปืนดังขึ้น จากนั้นทหารยิงปืนขึ้นฟ้ามุมเฉียง 45 องศา เสียงปืนดังอยู่นาน 30 นาทีจึงสงบลง

ส่วน พ.ต.ท.สำเริง ส่งเสียง ตำรวจกองกำกับการสวัสดิภาพเด็กและสตรี บช.น. เบิกความเป็นพยานปากที่ 2 ระบุว่า ช่วงเกิดเหตุเป็นรอง ผกก.ป. สน.ดุสิต เมื่อวันที่ 10 เม.ย.2553 เวลา 23.30 น. ขณะกำลังตรวจท้องที่ย่านราชวัตรได้รับแจ้งทางวิทยุสื่อสารว่ามีเหตุยิงกันที่รัฐสภา จึงรีบไปที่เกิดเหตุพบทหาร 30 นายนอนอยู่ในสภาพหมอบบนพื้นที่ถนนอู่ทองใน เล็งอาวุธปืนเอ็ม 16 ไปยังรัฐสภา พยานจึงสอบถามผู้บังคับบัญชาของทหาร ทราบว่ามีบุคคลยิงปืนจากทางรัฐสภามายังฝ่ายทหาร ซึ่งทหารเรียกให้บุคคลที่อยู่ภายในรัฐสภาออกมา แต่ไม่มีบุคคลใดออกมา



จนท.อ้างถูกเสื้อแดงไล่ยิง

พ.ต.ท.สำเริงเบิกความต่อว่า พยานจึงอาสาจะไปเรียกบุคคลเหล่านั้น แต่พบว่าขณะนั้นมีตำรวจประจำรัฐสภา 2 นาย ที่รู้จักกับพยานดี เมื่อตำรวจทั้ง 2 นายออกมาทหารสั่งให้ยกมือขึ้นกุมศีรษะ แล้วเมื่อทหารจะเข้าไปตรวจสอบภายในรัฐสภา ตำรวจประจำอาคารรัฐสภาขอให้ทหารปลดอาวุธก่อน โดยมีทหาร 6 นายเข้าไปตรวจสอบนาน 15 นาที แต่ไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ จากนั้นจึงได้รับแจ้งทางวิทยุสื่อสารว่าพบศพภายในสวนสัตว์ดุสิต พยานและทหารได้ตรวจสอบเหตุการณ์พร้อมกัน จนทราบว่าผู้ตายคือนายมานะ แต่ไม่ทราบว่าถูกยิงด้วยสาเหตุใด

ขณะที่นายนภดล ทิพย์ธัญญา พนักงานบำรุงรักษาสัตว์ สวนสัตว์ดุสิต เบิกความว่า เมื่อวันที่ 10 เม.ย.2553 ได้รับคำสั่งให้ดูแลความปลอดภัยบริเวณกรงเสือ ติดกับถนนราชวิถี เนื่องจากเกรงว่าอาจจะมีคนปีนเข้ามาภายในสวนสัตว์ จนถึงเวลา 23.30 น.ได้ยินเสียงปืนหลายนัด แต่จะยิงมาจากทิศทางใดไม่ทราบ หลังจากนั้นได้รับการติดต่อทางวิทยุสื่อสาร ว่า นายมานะโดนยิงบริเวณกรงเก้งหม้อ ที่เป็นบ่อพักเต่ายักษ์ ขณะเดียวกันมีบุคคลแต่งกายคล้ายทหาร 2 นาย วิ่งมาขอความช่วยเหลือบอกว่าถูกคนเสื้อแดงไล่ยิงมา พยานกับเพื่อนที่เข้าเวรด้วยกันจึงให้ไปหลบในกรงแพนด้าแดง โดยพยานกับเพื่อนจะเป็นผู้ดูต้นทางให้ แต่ก็ไม่ปรากฏว่ามีบุคคลใดตามทหารทั้ง 2 นายมา

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังไต่สวนพยานเสร็จสิ้นแล้วในวันนี้ศาลนัดไต่สวนพยานครั้งต่อไปวันที่ 17 ก.ย. เวลา 09.00 น.



คอป.ปัดรายงานมี"ชุดดำ"

วันเดียวกัน นางจุฑารัตน์ เอื้ออำนวย หนึ่งในกรรมการคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) กล่าวถึงกรณีที่มีรายงานฉบับหนึ่งเกี่ยวกับเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองเมื่อปีพ.ศ.2553 มีผู้เสียชีวิต 98 ศพ และบาดเจ็บอีกกว่า 2,000 คน โดยอ้างว่าเป็นข้อสรุปของ คอป.หลุดออกมา และเนื้อหาส่วนหนึ่งระบุว่า มีชายชุดดำอยู่จริง ซึ่งสวนทางกับการสอบสวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ว่าไม่ทราบว่ารายงานดังกล่าวมีที่มาจากไหน เพราะขณะนี้รายงานสรุปของ คอป.ยังอยู่ในขั้นปรับแต่งถ้อยคำในขั้นสุดท้าย และหลังจากมีกระแสข่าวออกมา คอป.ก็ยังไม่ได้พูดคุยกันเลย

กรรมการ คอป.กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีที่บอกว่ารายงานของ คอป.ระบุว่ามีชายชุดดำจริงๆ นั้น สงสัยว่าทำไมคนปล่อยข่าวจึงรู้ดี ขนาดตนยังไม่รู้เลย เพราะ คอป.แบ่งงานเป็นหลายด้าน ตนรับผิดชอบในส่วนของรากเหง้าปัญหา ขอให้ฟังข้อสรุปทั้งหมดในวันที่ 17 ก.ย.นี้ดีกว่า อย่างไรก็ตาม ไม่หวั่นต่อเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่จะตามมา เพราะ คอป.ไม่ได้ทำงานตามกระแส หรือทำให้ถูกใจใคร แต่เกิดเสียงต่อต้าน คอป.ก็ต้องมีข้อเท็จจริงที่ทำให้สังคมยอมรับได้

ส่วนนายคณิต ณ นคร ประธานคอป. กล่าวสั้นๆ ว่า ให้ทุกฝ่ายรอฟังรายงานสรุปของคอป.ในวันที่ 17 ก.ย. ยังไม่ขอเปิดเผยรายละเอียดรายงานในขณะนี้แน่นอน เพราะต้องการให้ได้รับฟังร่วมกัน ขอว่าอย่าเพิ่งใจร้อนในสิ่งที่ คอป.ได้ดำเนินการตลอดมา



เปิดรายงาน-ฉบับอ้างคอป.

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับรายงานสลายม็อบที่อ้างว่าเป็นของคอป.นั้น มีความยาวทั้งหมด 515 หน้า มีเนื้อหาสรุปว่าทั้ง 2 ฝ่ายมีส่วนต่อความรุนแรงในกรณีสลายการชุมนุม โดยระบุว่ากลุ่มติดอาวุธชายชุดดำได้รับความร่วมมือจากกลุ่มผู้ชุมนุม นปช. ขณะที่รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ ใช้ทหารปฏิบัติหน้าที่ด้วยกระสุนจริง มีการใช้พลซุ่มยิง หรือสไนเปอร์ และยังระบุว่า ผู้เสียชีวิต 6 ศพในวัดปทุมวนาราม เป็นฝีมือของเจ้าหน้าที่

"ทั้ง 2 ฝ่ายต่างเชื่อว่าตนเองเป็นเหยื่อจากอีกฝ่ายหนึ่ง ปฏิบัติการของชายชุดดำ เป็นสาเหตุหลักที่สร้างและยกระดับความรุนแรง เพื่อยุยงให้เกิดการโต้ตอบด้วยอาวุธจากเจ้าหน้าที่ เนื่องจากกลุ่มชายชุดดำต้องการก่อให้เกิดความสูญเสียชีวิตจำนวนมาก" ข้อความตอนหนึ่งจากรายงานในหน้า 184 และระบุต่อว่า หลังจากชายชุดดำสังหาร พ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม เกิดความวุ่นวาย และการใช้อาวุธอย่างไม่มีการควบคุมโดยเจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่ยิงกระสุนจริงจำนวนมากไปยังทิศทางของผู้ชุมชุม และมีผู้ชุมนุมเสียชีวิตจากกระสุนปืน แต่รายงานดังกล่าวมิได้ชี้ชัดว่าเป็นฝีมือของเจ้าหน้าที่แต่อย่างใด



"ชุดดำ"มารถตู้-มีม็อบคุ้มกัน

รายงานในหน้าที่ 163-164 ระบุด้วยว่า ชายชุดดำโดยสารด้วยรถตู้มาบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เมื่อเวลา 19.00 ของวันที่ 10 เม.ย.2553 เมื่อชายชุดดำพร้อมอาวุธลงมาจากรถ หน่วยรปภ.ของกลุ่มนปช.ก็รีบกันให้ชายชุดดำเหล่านี้เดินไปยังบริเวณที่เจ้าหน้าที่ประจันหน้ากับผู้ชุมนุม โดยตลอดทางการ์ดเหล่านี้ห้ามไม่ให้ใครบันทึกภาพ และมีผู้ชุมนุมบางคนร้องตะโกนว่า "มีคนมาช่วยเราแล้ว มีคนมาช่วยเราแล้ว" นอกจากนี้ รายงานยังระบุว่าชายชุดดำอย่างน้อย 1 คน มีส่วนเกี่ยวข้องกับ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือเสธ.แดง

สำหรับการเสียชีวิตของเสธ.แดงนั้น รายงานดังกล่าวระบุว่า กระสุนความเร็วสูงที่สังหารเสธ.แดง ถูกยิงมาจากอาคารสีลมพลาซ่า ที่อยู่ในการควบคุมของเจ้าหน้าที่มาตั้งแต่วันที่ 18 เม.ย.แล้ว



ชี้เจ้าหน้าที่ยิง6ศพวัดปทุมฯ

นอกจากนี้ ในรายงานยังอ้างถึงกรณี 6 ศพวัดปทุมวนาราม ด้วยว่า หลังแกนนำนปช.ยุติการชุมนุมเมื่อ 19 พ.ค.2553 ผู้ชุมนุม 4,000 คน หลบหนีเข้าไปในวัดปทุมฯ ซึ่งเป็นเขตอภัยทาน เมื่อถึงเวลาประมาณ 18.00 น. มีเจ้าหน้าที่ 7 นายเข้าประจำที่บนรางรถไฟฟ้าชั้นที่ 1 ใกล้สถานีสยาม อีก 5 นายประจำที่หน้าวัดปทุมฯ ทั้งหมดมีอาวุธปืนเอ็ม 16 และกระสุนจริง

รายงานระบุต่อว่า เจ้าหน้าที่กลุ่มนี้เล็งและยิงอาวุธปืนเข้าไปในวัดปทุมฯ โดยมีปลอกกระสุน .223 ของปืนเอ็ม 16 หล่นอยู่บริเวณรางรถไฟฟ้าด้วย พร้อมทั้งสรุปว่า ผู้เสียชีวิตทั้ง 6 ศพในวัดปทุมฯ จึงน่าจะเป็นฝีมือของเจ้าหน้าที่ โดยเจ้าหน้าที่นายหนึ่งที่อยู่ในเหตุการณ์ ระบุว่ายิงเข้าไปในวัด เพราะคิดว่ามีชายชุดดำแอบซุ่มอยู่ และยังพบปืนเอ็ม 16 ในบริเวณวัดปทุมฯ ด้วย



"เหลิม"ลุ้นศาลสั่งคดียิงแท็กซี่

ที่ทำเนียบรัฐบาล ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีเรื่องเดียวกันว่า คอป.ไม่ใช่พนักงานสอบสวน พนักงานสอบสวนบอกแล้วว่าไม่มีชายชุดดำ พนักงานสอบสวนมีอำนาจตามกฎหมาย แต่คอป.ไม่มีอำนาจทางกฎหมาย ไปชี้ถูกชี้ผิดไม่ได้ เมื่อถามถึงกรณีที่ดีเอสไอเตรียมเรียกสอบรัฐมนตรีทุกคนสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในคดีสลายม็อบ 98 ศพ ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวว่า ตามหลักการสอบสวน เมื่อคำให้การของแต่ละฝ่ายพาดพิงถึงใครก็ต้องเรียกไปสอบสวน แต่ไม่ใช่สรุปว่าใครผิดใครถูก และถ้าวันที่ 17 ก.ย. ที่ศาลนัดฟังคำสั่งไต่สวนคดีนายพัน คำกอง โชเฟอร์แท็กซี่ที่ถูกยิงเสียชีวิตบริเวณถนนราชปรารภ หากศาลชี้ว่าตายโดยการกระทำของเจ้าพนักงาน นั่นถือเป็นบรรทัดฐานที่รวดเร็ว และภูมิใจที่เข้ามาทำงาน 1 ปีแล้วทำความจริงให้ปรากฏ ส่วนใครผิดถูก ไม่ทราบ

ผู้สื่อข่าวถามว่าจำเป็นต้องเชิญพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. มาให้ถ้อยคำด้วยหรือไม่ รองนายกฯ กล่าวว่า ไม่ทราบเรื่องสำนวน แต่อย่าลืมว่าศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ตั้งโดยนายอภิสิทธิ์ แล้วตั้งนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ เป็นผอ.ศอฉ. ดังนั้น ในรายละเอียดต่างๆ การเคลื่อนย้ายกำลังต่างๆ ย่อมเคลื่อนย้ายตามคำสั่งศอฉ. ไม่ได้เคลื่อนย้ายในนามเหล่าทัพ เพราะฉะนั้นเหล่าทัพไม่เกี่ยว ปลอดภัยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 62 และมาตรา 70



แต่ห่วงจะมีรุนแรงตามมา

ต่อข้อถามว่าหากความยุติธรรมเกิดขึ้น แล้วจะทำให้สถานการณ์ทางการเมืองคลี่คลายหรือไม่ ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวว่า ไม่คลาย และก็ห่วงว่าจะทวีความรุนแรงในระยะต้น เพราะถ้ามีความยุติธรรมเกิดขึ้น ฝ่ายหนึ่งก็พึงพอใจตนและรัฐบาล แต่อีกฝ่ายก็ต้องคิดว่าร.ต.อ.เฉลิมตั้งธง วางธง แต่ไม่ทำแน่ เพราะชีวิตของตนจะเล่นการเมืองในรอบนี้แล้วไม่เอาแล้ว ไม่คิดทำชั่ว ไม่คิดแกล้งใคร เดินมาถึงวันนี้ได้เพราะทำดี

ผู้สื่อข่าวถามว่า ที่บอกว่ารอบนี้ไม่เอาแล้ว คืออยู่ 4 ปี หรือ 8 ปี รองนายกฯ กล่าวว่า แล้วแต่สถานการณ์ เมื่อถามว่าหรือหากมีปรับครม.ก็ไม่เอาแล้ว ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวว่า ถ้าน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกฯ ปรับออกแล้วจะอยู่ได้อย่างไร เพราะใจคิดว่าหากอยู่รัฐบาลครบเทอมก็อายุ 68 ปี

ต่อข้อถามย้ำว่าหมายความว่าหลังรัฐบาลชุดนี้จะวางมือแล้วอย่างนั้นหรือ ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวว่า ไม่วางมือ เพราะจะวางได้อย่างไร ก็ต้องช่วยพรรคปราศรัย เพราะไม่มีตนคงไม่มีใครมาฟัง



"ธิดา"ตีปี๊บงาน 6 ปีรัฐประหาร

ส่วนที่ห้างอิมพีเรียล ลาดพร้าว นางธิดา โตจิราการ ประธานนปช. แถลงว่า จะจัดงานครบรอบ 6 ปีรัฐประหาร 19 ก.ย.2549 ในวันที่ 15 ก.ย.นี้ ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ตั้งแต่เวลา 12.00- 01.00 น. ในการปราศรัยบนเวทีจะมีแกนนำนปช.ทยอยขึ้นปราศรัยทั้งหมด เนื้อหาหลักจะเน้นผลพวงจากการทำรัฐประหาร พร้อมทั้งเปิดให้ลงชื่อถอดถอนตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และลงชื่อให้แก้ไขรัฐธรรมนูญด้วย

"ขณะนี้การรัฐประหารเปลี่ยนรูปแบบจากการใช้รถถังมาเป็นการรัฐประหารด้วยกฎหมาย หากมีการทำรัฐประหารคนเสื้อแดงจะเป็นกองหน้าต่อต้านรัฐประหาร การแก้รัฐธรรมนูญก็เป็นสิ่งจำเป็น เนื่องจากรัฐธรรมนูญทุกวันนี้ล้าหลัง และขอยืนว่าเรายินดีที่นักวิชาการเสื้อสีอื่นจะมาเข้าร่วมการแก้ไขรัฐธรรมนูญด้วย ขณะเดียวกันเรียกร้องให้คนเสื้อแดงมาร่วมชุมนุมกันให้มาก เพื่อแสดงพลังให้เห็นว่าเราต่อต้านการรัฐประหาร" นางธิดากล่าว

ประธานนปช.กล่าวถึงกรณีที่คณะกรรมการประสานและติดตามการดำเนินงานตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (ปคอป.) จะจัดสานเสวนาเรื่องความปรองดองนั้น เราสนับ สนุนพ.ร.บ.ปรองดองฉบับนปช. ที่ไม่นิรโทษกรรมคนสั่งฆ่าประชาชน รวมถึงแกนนำเสื้อแดงด้วย แต่ต้องทำความจริงให้ปรากฏเพื่อการปรอง ดอง แต่อนาคตหากรัฐสภาจะโหวตออกมาเป็นอย่างไรเราก็ยอมรับ



ไม่เชื่อมั่นรายงาน"คอป."

นางธิดากล่าวต่อว่า ขณะนี้คดี 98 ศพก็จะคลี่คลายแล้ว หลังจากนี้ขอให้ทำความจริงให้ปรากฏ และฝากไปยังคอป.ที่มีนายคณิต ณ นคร เป็นประธาน และเตรียมแถลงรายงานสรุปในวันที่ 17 ก.ย.นี้ว่า มองรายงานที่สรุปออกมาด้วยความไม่เชื่อมั่น เพราะคอป.มีวัตถุประสงค์แต่ต้นแล้วว่าจะไม่ชี้ถูกชี้ผิด ทำให้ความจริงไม่ปรากฏ แต่ใช้ต้นทุนทางความรู้และความคิดของกรรมการแต่ละคนมาสรุปเอาเองโดยไม่มีข้อมูลหลักฐาน และทำการวิจัยน้อยเกินไปหรือไม่

ประธานนปช.กล่าวอีกว่า อีกทั้งนายสมชาย หอมลออ หนึ่งในกรรมการคอป. ยังระบุชัดว่าได้ไปขอข้อมูลบางส่วนมาจากศูนย์ข้อมูลประชาชน ผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุมกรณีเม.ย.-พ.ค.2553 (ศปช.) มารวมกับรายงานของคอป.ด้วย จึงเห็นว่าคอป.ไม่น่าเชื่อถือ ไม่มีหลักคิด โดยเฉพาะการที่คอป.สรุปว่าพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ เป็นต้นเหตุของปัญหาความขัดแย้งทั้งหมด เพียงเท่านี้ก็รู้แล้วว่าคอป.คิดผิดตั้งแต่แรก เราไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน เพราะคิดหรือว่าหากไม่มีพ.ต.ท.ทักษิณ แล้วจะไม่มีคนเสื้อแดงเกิดขึ้น ส่วนรายละเอียดต่างๆ รอคอป.รายงานออกมาก่อนแล้วจะชี้แจงอีกครั้ง



                                               "ถวิล"ให้การต่อ-ยังอ้าง"ชุดดำ"


ส่วนที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เวลา 08.30 น. นายถวิล เปลี่ยนศรี อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) และอดีตเลขานุการศอฉ. เข้าให้ปากคำเป็นวันที่ 2 ในคดีสลายม็อบ 98 ศพ โดยให้ถ้อยคำเกี่ยวกับขั้นตอนการปฏิบัติในเหตุการณ์ และคำสั่งของศอฉ. บรรยากาศการสอบสวนเป็นไปอย่างเรียบร้อย ไม่เคร่งเครียด เพราะส่วนใหญ่ให้ข้อมูลไปในการสอบสวนวันแรกหมดแล้ว รวมเวลาการสอบปากคำนาน 8 ชั่วโมง

นายถวิลให้สัมภาษณ์ภายหลังให้การว่า ให้ปากคำเพิ่มเติม โดยเฉพาะประเด็นของชายชุดดำ ยืนยันว่ามีอยู่จริง และไม่ใช่เฉพาะผู้ที่แต่งชุดดำอำพรางใบหน้า แต่พอถอดชุดดำออกก็ใส่เสื้อชุดอื่น ชุดดำในความหมายของศอฉ. คือกลุ่มคนติดอาวุธที่ใช้กำลังและอาวุธทำร้ายเจ้าหน้าที่ กรณีชายชุดดำที่เห็นได้ชัด คือเหตุการณ์เมื่อวันที่ 10 เม.ย. 2553 ที่บริเวณโรงเรียนสตรีวิทยา และแยกคอกวัว หลังจากนั้นยังพบว่ามีการใช้อาวุธกระทำต่อเจ้าหน้าที่ และเป้าหมายอื่นๆ ดังนั้น ชายชุดดำจึงไม่ได้หมายความว่าแต่งกายชุดดำใช้หมวกอำพรางใบหน้า เพราะฉะนั้นจะเป็นชายชุดดำหรือไม่ ก็ไม่สำคัญ สำคัญที่เป็นคนที่ใช้ความรุนแรงและใช้อาวุธต่อสู้เจ้าหน้าที่



ยันมีจริง-แต่ไม่รู้เท่าไหร่

ผู้สื่อข่าวถามว่า พนักงานสอบสวนสอบถามในประเด็นชายชุดดำ และนำภาพชายชุดดำมาให้สื่อมวลชนเผยแพร่ช่วยแจ้งเบาะแส นายถวิล กล่าวว่า พนักงานสอบสวนมีหน้าที่สอบสวนหาตัวบุคคลที่เป็นชายชุดดำออกมาให้ได้ และก็ให้การยืนยันว่ามีชายชุดดำ และซักถามว่าชายชุดดำปรากฏตัวที่ไหน ทำอะไรบ้าง ในส่วนศอฉ.มีข้อมูลชายชุดดำ แต่จำไม่ได้ว่ามีจำนวนเท่าใด นอกจากนี้ ยังให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ชายชุดดำคือผู้ที่นำอาวุธสงครามเข้ามาใช้ก่อเหตุรุนแรง หลายคดีก็ได้แยกฟ้องร้องดำเนินคดีไปแล้ว จึงเชื่อว่าดีเอสไอจะนำข้อมูลชายชุดดำที่ปรากฏในสำนวนคดีอื่น มาประกอบการพิจารณาคดีนี้ด้วย

"เมื่อพูดถึงคนชุดดำ ก็หมายถึงคนที่ใช้อาวุธ หลังจากนั้นจับกุมคนบางกลุ่มได้ และส่งฟ้องศาล บางรายมีผลการตัดสิน รวมทั้งยังอยู่ระหว่างการพิจารณาคดี เช่น กรณีที่มีคนไปจุดไฟ วางเพลิง ที่ตัดสินลงโทษไปแล้ว ส่วนคนที่ใช้อาวุธและยังจับไม่ได้ ก็ต้องตามตัวจับกุมมาดำเนินคดีให้ได้" นายถวิล กล่าว

ต่อข้อถามว่ามีความเป็นได้หรือไม่ที่จะสอบพยานปากอื่น เพื่อเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงเรื่องชายชุดดำ นายถวิล กล่าวว่า มั่นใจว่าความจริงของเหตุการณ์ ไม่ว่าจะผ่านไป 10 วัน 10 ปี หรือ 100 ปี ก็ยังเป็นข้อเท็จจริงชุดเดียวกัน อยากทำข้อเท็จจริงให้ปรากฏ เพราะเชื่อว่าความจริงจะทำให้ทุกอย่างยุติได้



ดีเอสไอโชว์ 2 ชายชุดดำ

ด้านพ.ต.อ.ประเวศน์ มูลประมุข รองอธิบดีดีเอสไอ กล่าวว่า จำเป็นต้องเรียกนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ เข้าสอบปากคำในฐานะกรรมการศอฉ. แต่อยู่ระหว่างการพิจารณาตามขั้นตอน ว่าจะกำหนดเรียกเข้าปากคำวันใด ส่วนตัวไม่ต้องการให้เข้าใจผิดว่าจะเอนเอียงเข้าข้างผู้บังคับบัญชา โดยหลังจากนี้จะเรียกบุคคลที่ถูกพาดพิงทุกคนเข้าให้การ รวมถึงครม.สมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ แต่จะรอมติที่ประชุมพนักงานสอบสวน ว่าจะเรียกเข้าสอกปากคำทั้งหมด หรือให้ชี้แจงเป็นเอกสาร

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในระหว่างการสัมภาษณ์ พ.ต.อ.ประเวศน์ ยังนำภาพบุคคลที่ถูกระบุว่าเป็นชายชุดดำ ที่ใช้อาวุธสงครามในเหตุการณ์แยกคอกวัว เมื่อวันที่ 10 เม.ย.2553 จำนวน 2 คน มาเผยแพร่ต่อสื่อมวลชน เพื่อให้ผู้ที่พบเห็นแจ้งเบาะแสมาที่ดีเอสไอ หรือหากบุคคลในภาพต้องการแสดงความบริสุทธิ์ ก็สามารถเข้ามามอบตัวกับพนักงานสอบสวน



แต่ไม่พบหลักฐานใช้อาวุธ

รองอธิบดีดีเอสไอ กล่าวต่อถึงการสอบปากคำนายถวิลว่า สำหรับประเด็นเรื่องเอกสารมติการประชุมศอฉ.นั้น นายถวิลบอกว่าการทำงานของศอฉ.คล้ายกับศูนย์ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) สมัยรัฐบาลนี้ มีจำนวนคนเกี่ยวข้องกับจำนวนมาก ดังนั้น เอกสารต่างๆ จึงมีระบบจัดเก็บไม่ค่อยเรียบร้อย เพราะเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ได้อยู่ในภาวะปกติ ทั้งนี้ในศอฉ. จะมีเจ้าหน้าที่ของศอฉ.เป็นผู้จัดเก็บเอกสาร แต่นายถวิลไม่ได้เก็บเอกสาร อีกทั้งตอนนี้ศอฉ.สลายไปแล้ว จึงต้องไปตรวจสอบว่าหน่วยงานใดเก็บ หรือเกี่ยวข้องกับเอกสารใดบ้าง ทางพนักงานสอบสวนจะทำหนัง สือสอบถาม หรือขอไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับเอกสารในการประชุมศอฉ.ที่ผ่านมา

พ.ต.อ.ประเวศน์ กล่าวถึงเรื่องชายชุดดำว่า เมื่อวันที่ 13 ก.ย.ที่ผ่านมา เรียกพนักงานสอบสวนคดีก่อการร้าย มาสอบถามถึงการดำเนินคดีก่อการร้ายกับชายชุดดำ ตามภาพที่ทหารและรัฐบาลชุดก่อนส่งข้อมูลมาให้พนักงานสอบสวน เช่น รูปภาพ ชายชุดดำที่ระบุว่าเป็นกลุ่มนักรบพระเจ้าตาก หรือการ์ดนปช. ที่อยู่กับ พล.ต.ขัตติยะ รวมทั้งชายชุดดำที่มีข่าวว่าถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมได้พร้อมอาวุธและหลบหนี ทั้งหมดนี้ดีเอสไอตรวจสอบอย่างละเอียดแล้ว พบว่าประการที่ 1 ไม่ปรากฏว่าเป็นผู้ต้องหาในสำนวนคดีใช้อาวุธปืนสงครามทำร้ายผู้อื่น เพราะไม่มีพยานหลักฐาน



ในคลิป 10 เม.ย.ก็ไม่รู้เป็นใคร

ห้วหน้าพนักงานสอบสวนคดี 98 ศพ กล่าวต่อว่า ประการที่ 2 ชายชุดดำที่ปรากฏในภาพของฝ่ายสืบสวนบก.น.1 ที่นำมามอบให้ดีเอสไอระบุว่าควบคุมตัวได้ พร้อมยึดอาวุธเอ็ม 79 ตรวจสอบกับเจ้าหน้าที่พบว่ามีออกหมายจับตามภาพสเกตช์ไว้ ต่อมาทหารส่งรูปเดียวกันให้ดีเอสไอ โดยระบุว่าเป็นชุดดำที่ถือปืนอาก้า แต่ตรวจสอบก็ยังไม่พบว่าบุคคลทั้ง 2 ปรากฏในสำนวน ดังนั้น จำเป็นต้องตรวจสอบที่มาของภาพว่าใครเป็นคนถ่าย ทางตำรวจระบุว่ามีตำรวจสายสืบชื่อ ด.ต.วิชิต อยู่ในที่เกิดเหตุและอ้างว่าควบคุมตัวได้ แต่นปช.ปล่อยตัวไป ขณะนี้ดีเอสไอกำลังออกหมายเรียกตำรวจรายดังกล่าวมาให้ปากคำ ถึงที่มาของภาพ หากใครเห็นบุคคลในภาพดังกล่าว แล้วทราบว่าเป็นใครชื่ออะไร ช่วยแจ้งพนักงานสอบสวนด้วย เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง

พ.ต.อ.ประเวศน์ กล่าวว่า ประการที่ 3 ภาพที่ปรากฏชายชุดดำ สวมเสื้อสีดำ สวมหมวกในคลิปยิงปืนในวันที่ 10 เม.ย. แยกคอกวัว ก็ไม่ปรากฏหลักฐานว่าเป็นผู้ใด หรือมีความเชื่อมใยงอย่างไรกับกลุ่มผุ้ชุมนุมในคดีก่อการร้าย ส่วนกรณีของนายมานพ ชาญช่างทอง ซาเล้งเก็บของเก่า ก็ไม่ปรากฏว่านายมานพถูกแจ้งข้อหาว่าใช้อาวุธปืนสงครามไปทำเจ้าหน้าที่ หรือประชาชนคนใดถึงแก่ความตาย แต่มีข้อกล่าวหาในคดีก่อการร้าย ตอนนี้พนักงานสอบสวนกำลังรวบรวมภาพชายชุดดำที่ปรากฏในเว็บไชต์ ยูทูบ ว่ามีจำนวนเท่าไหร่ เพื่อแยกออกมาให้ชัดเจน



ย้ำทำคดีไปตามหลักฐาน

"ดีเอสไอทำความคู่กันไป ไม่ได้แยกทำเรื่องใดก่อนหลัง เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเหตุการณ์เดียวกัน ระหว่างกลุ่มคน 2 กลุ่มคือเจ้าหน้าที่และผู้ชุมนุม ส่วนชุดดำจะเข้ามาแทรกตอนไหน ก็ต้องว่ากันไป พนักงานสอบสวนก็ต้องถามทั้ง 2 ฝ่าย หากฝ่ายหนึ่งบอกว่าไม่เห็นชุดดำ อีกฝ่ายบอกว่าเห็น ก็ต้องถามต่อว่าเห็นแล้วมีหลักฐานหรือไม่ การทำสำนวนจะกล่าวอ้างลอยๆ คงไม่ได้ ต้องดูที่พยานหลักฐาน ไม่ใช่ความรู้สึก" พ.ต.อ.ประเวศน์ กล่าวว่า

รองอธิบดีดีเอสไอ กล่าวกล่าวถึงรายงานที่อ้างว่าเป็นของคอป. ระบุมีกลุ่มชายชุดดำยิงใส่ทหารบริเวณแยกคอกวัว เมื่อวันที่ 10 เม.ย. ว่าหากชายชุดดำที่อ้างนั้น หมายถึงภาพที่ปรากฏในคลิปถือปืนยิง และยิงอาวุธปืนตามภาพที่ปรากฏ แต่ในข้อเท็จจริงยังไม่มีการยืนยัน หรือให้การในสำนวนเลยว่ากลุ่มคนในภาพที่ปรากฏยิงใครเสียชีวิต และบุคคลนั้นเป็นใคร อีกทั้งวิถีการยิงไปในทิศทางใด ยิงใส่กลุ่มใด ดังนั้น ในทางสำนวนคดีคงยังสรุปไม่ได้ ว่าเป็นการยิงใส่กลุ่มทหาร แล้วทำให้เกิดการเสียชีวิต เป็นเรื่องที่ต้องพิสูจน์ต่อไป


ต้องแยกชุดดำกับเจ้าหน้าที่

"ดีเอสไอไม่ได้นิ่งนอนใจ เราตรวจสอบภาพที่ส่งมาให้อย่างละเอียด แต่ภาพที่กล่าวอ้างนั้น หลายภาพไม่ปรากฏอยู่ในสำนวคดีชุดสอบสวนที่ผ่านมาในสมัยรัฐบาลแล้วเช่นกัน ตอนนี้พอพูดถึงชายชุดดำ ข่าวที่ออกไปคือเป็นพวกเข้าไปยิงเจ้าหน้าที่และประชาชนตายหมดเลย ต้องแยกให้ชัดเจน ไม่ใช่ชุดดำฆ่าคนตายหมด ต้องแยกเป็นเรื่องๆ ไป ตอนนี้เรื่องชายชุดดำยังไม่มีหลักฐานเลยว่าไปฆ่าใครตาย เพียงแต่เป็นผู้ต้องหาในคดีก่อการร้าย ที่สำนวนสั่งฟ้องส่งอัยการไปแล้ว มันคนละส่วนกัน ผมทำหน้าที่หาว่าใครทำให้เกิดการเสียชีวิต 98 ศพ และจนถึงวันนี้ก็ไม่ปรากฏหลักฐานเลยว่า ที่กล่าวหา กล่าวอ้างว่าชุดดำที่ปรากฏในคลิป ภาพถ่าย เป็นคนยิงฆ่าทหารหรือฆ่าประชาชน"พ.ต.อ.ประเวศน์ กล่าว

พ.ต.อ.ประเวศน์กล่าวอีกว่า ปลายเดือนก.ย.นี้จะเริ่มตรวจสอบ ว่าต้องสอบใครเพิ่มเติมอีกบ้างในระดับนโยบาย โดยในขณะนี้กำลังรอเอกสารที่ประชุมครม. ที่มีมติให้ประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน คงไม่ใช่ครม.ทั้งหมด ต้องดูว่ามีใครบ้าง รวมทั้งมติการออกคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ใช้อาวุธ และการควบคุมพื้นที่



"เจ๋ง"ทำหนังสือขอโทษศาล

ที่เรือนจำชั่วคราวหลักสี่ นายวิญญัติ ชาติมนตรี และทีมทนายความ เข้าเยี่ยมนายยศวริศ ชูกล่อม หรือเจ๋ง ดอกจิก แกนนำนปช. และเปิดเผยว่า หารือเรื่องการทำหนังสือขอโทษ และแสดงความสำนึกผิดต่อตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ทั้ง 7 ท่าน โดยการพูดคุยกันพบว่านายยศวริศมีสุขภาพจิต และสุขภาพกายดี สอบถามถึงเรื่องวันเวลาไหนจะยื่นขอประกันตัวต่อศาลได้ เรื่องการยื่นขอประกันตัวนี้ ก็ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขคำสั่งของศาลที่ให้ปฏิบัติ เพราะศาลยังไม่เชื่อว่านายยศวริศจะสำนึกถึงความผิดที่ทำไป และหลังจากการไปให้การกับศาลที่ผ่านมา นายยศวริศก็ยังไม่ได้ทำหนังสือขอโทษและแสดงความสำนึกผิดถึงตุลาการทั้ง 7 ท่าน และศาลก็ยังไม่เห็นหนังสือ ดังนั้น วันนี้จึงเป็นวันแรกนายยศวริศจะส่งหนังสือขอโทษ และแสดงความสำนึกผิดไปยังตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและศาล รวมทั้งเผยแพร่ข้อความขอโทษ และแสดงความสำนึกผิดทางหนังสือพิมพ์ข่าวสดและมติชนทุกวัน

"เมื่อทำหนังขอโทษและแสดงความสำนึกผิดแล้ว คงต้องเว้นช่วงเวลาไปสักระยะ จากนั้นจึงจะยื่นเรื่องขอประกันตัวได้ เพราะต้องให้ศาลเชื่อว่า คุณเจ๋งได้สำนึกผิดในสิ่งที่ทำไปได้แล้ว ขณะนี้ จึงยังไม่ได้ระบุเงื่อนเวลาในการประกันตัว และในขณะนี้มีเหตุการณ์อุทกภัย และคุณเจ๋งทำงานในกระทรวงมหาดไทย ถ้าคุณเจ๋งได้ประกันตัว ออกไปก็จะได้ไปช่วยเหลือประชาชน ให้เป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติได้" ทนายความของเจ๋งกล่าว

ที่มา....วันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2555 ปีที่ 22 ฉบับที่ 7961 ข่าวสดรายวัน

คำสาป.....แยกราชประสงค์

ยามค้นหาจากหลายที่และถามจากปากคนเล่าหลายๆคน ก็มีเรื่องจากคำบอกเล่าที่ตรงกันคือเรื่องคำสาปที่ดินแยกราชประสงค์ ... จึงนำเรื่องเล่าบางตอนมานำเสนอเล่าบอกต่อ


แยกราชประสงค์ในอดีต





วังเพชรบูรณ์ในดีต

เรื่องคำสาบมีมานานนักหนาตั้งแต่ตำนานกำเนิดรามเกียรติ์โน่น แต่คำสาบเกี่ยวกับวังอันลือชา มีอยู่ 2 วังคือวังหน้ากับวังเพชรบูรณ์
วังหน้าแห่งรัตนโกสินทร์นั้น เป็นของสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทในรัชกาลที่ 1 ทรงรักหวงห่วงมากไม่อยากให้ตกเป็นสมบัติคนอื่น 
จึงทรงสาปแช่งไว้เป็นสาหัสว่า ถ้าผู้ใดที่มิใช่เชื้อสายมาเป็นเจ้าของครอบครอง ให้มีอันฉิบหานตายโหงสามชั่วโคตร และทรงอาราธนาสงฆ์สวดญัตติคำสาบด้วย

หลังเสด็จสวรรคตแล้ว ไม่มีผู้ใดกล้ารับเป็นเจ้าของครอบครอง แม้พระเจ้าอยู่หัวก็ไม่มีพระราชประสงค์จะให้วิบัติตกแก่ท่านผู้ใด เพราะเกรงคำสาบนั้น 
จนกระทั่งรัชกาลที่ 5 ทรงยกเลิกตำแหน่งวังหน้าหรือตำแหน่งกรมพระราชวังบวรแล้ว ก็ไม่มีท่านผู้ใดกล้ารับเป็นเจ้าของครอบครอง จนเปลี่ยนแปลงการปกครอง
ทางราชการจึงต้องปรับใช้เป็นพิพิธภันฑ์แห่งชาติมาจนทุกวันนี้ แต่ก็มีที่ปลายวังแสดงความขลังให้ปรากฎ โดยท่านปรีดี ได้ใช้เป็นที่ทำการของนายก ในที่สุดท่านปรีดีผู้มีคุณูปการยิ่งต่อชาติก็มีอันเป็น ครั้งหนึ่งพันโทชาติชาย ชุณหวัน เอารถถังบุกพังทำเนียบท่าช้างวังหน้านั้น เพราะมีรัฐประหาร 
ท่านปรีดีต้องลี้ภัยอยู่ในต่างประเทศจนตลอดชีวิต นี่ก็แค่ที่ปลายวังหน้าข้างที่อาบน้ำช้างเท่านั้น ถ้าตรงที่ตั้งวังจะขนาดไหน

อีกวังหนึ่งคือวังเพชรบูรณ์อันเป็นที่ตั้งเซ็นทรัลเวิลในทุกวันนี้ เดิมเป็นของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก ในรัชกาลที่ 5 สมเด็จเจ้าฟ้าพระองค์นี้ทรงกรมในพระนามว่ากรมขุนเพ็ชรบูรณ์อินทราชัย สิ้นพระชนม์ในปี 2466 ขณะมีพระชันษาเพียง 31 พรรษา 

ระหว่างทรงพระชนม์ รัชกาลที่ 6 ได้พระราชทานที่ดินตรงนี้สร้างวังให้ เรียกว่าวังเพชรบูรณ์ ทรงปราถนาให้ตกทอดเฉพาะเชื้อสายของพระองค์เท่านั้น ทรงเกรงว่าทายาทยังเล็กหากทรงเป็นไปจะถูกผู้อื่นฉ้อโกงเอาไป จึงทรงทำพิธีสาปโดยนัยทำนองเดียวกับคำสาบของสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท 
แต่ทรงเชี่ยวชาญด้านศิลปและดนตรีจึงมีน้ำพระทัยอ่อนผ่อนปรน ตั้วข้อยกเว้นไว้ว่าในกาลเบื้องหน้าถ้าผู้ใดมีน้ำใจเป็นกุศลใคร่ได้วังนี้ไปก็ต้องทดแทน ทรงรุบะในข้อยกเว้นแห่งคำสาปว่า ต้องไปสร้างศาลเจ้าพ่อเสือในที่ดินแปลงหนึ่งที่รังสิต มีรายละเอียดอีกบางประการซึ่งผมจำไม่ได้เสียแล้ว

ล่วงมาราวปี 2520 บวกลบเล็กน้อยจำไม่ได้แล้ว มีนักกฎหมายเพื่อนกันที่ทำงานรับใช้เจ้านายมาหาผมเชิญให้ไปนั่งเป็นพยานเปิดพินัยกรรมของทายาทท่าน ได้ความว่าที่มาหา ก็เพราะทราบว่าผมเกิดตรงวันที่กำหนดให้นั่งเป็นพยาน และมีวิชาพอสมควรซึ่งเพื่อนๆพอรู้จัก ก็รับงานเลย 
จึงได้ทราบเรื่องราวจากผู้ดูแลที่ดินแปลงนี้และผู้ใหญ่ที่เกี่ยวข้องในขณะนั้น หลังเปิดพินัยกรรมแล้วต่อมาก็มีการนำที่ดินนี้ออกประมูลหาผู้ลงทุน

ผลประมูลกลุ่มนายอุเทน เตชะไพบูลย์ชนะ ขณะนั้นตระกูลนี้เป็นมหาเศรษฐีเมืองไทย ก็ตั้งใจตามดูว่าคำสาบจะเป็นอย่างไร 
ปี2532 เรียน วปอ.อยู่ก็ได้เตือนเพื่อน คนในตระกูลนั้นว่าให้แก้คำสาบ ไม่งั้นคงเสี่ยงในสิ่งที่มองไม่เห็นแน่ เขาไม่เชื่อบอกว่าพ่อเขามีซินแสดี มีการแก้ในเชิงฮวงจุ้ยที่หัวมุมตามหลักวิชาฮวงจุ้ย ทำเป็นเนินดินคล้ายฮวงซุ้ย และทำพิธีกรรมโดยผู้มีวิชาของปอเต๊กตึ้งอีกหลายอย่าง แต่ก่อสร้างไม่ทันเสร็จทั้งโครงการ ตระกูลเตชะไพบูลย์ที่มหามั่งคั่งก็มีอันเป็นไป ทั้งครอบครัวและทรัพย์สิน ดังที่รู้กันอยู่

ตระกูลจิราธิวัฒน์ก็มารับช่วงที่ดินและโครงการนี้ต่อมา คราวนี่หาผู้มีวิชาทางพราหมณ์ แนะให้แก้โดยสร้างตรีมูรติ ซึ่งเป็นมหาเทพในฮินดู ผลก็คือมีเทพต่างๆเต็มไปหมดทั้งพระอินทร์ พระพิฆเณศ หวังดูดซับพลังมาจากฝั่งท้าวมหาพรหมด้วย แต่วันนี้ก็คงเห็นกันแล้วว่าแก้คำสาบได้หรือไม่ 
ก็ต้องคอยดูอนาคตของตระกูลจิราธิวัฒน์กันต่อไป เพราะตอนนี้ก็ยังไงๆพิกลอยู่
อันคำสาบนั้นเป็นการกระทำอธิษฐานชนิดหนึ่งในจำพวกอธิษฐานฤทธิ์ แต่จัดเป็นฤทธ์จำพวกไสบเวย์ คือมเชิญเทพหรือภูตหรือวิญญาณกำกับให้เป็นตามคำสาป 

หลังผู้สาบสิ้นแล้วก็จะต้องมารักษาคำสาบจนกว่าจะพ้นกรรมหรือมีผู้มารับหน้าที่แทน คราวนี้มี 9 วิญญาณเข้ารับช่วงแล้ว และน่าจะยิ่งแรงกว่าเก่าก่อน

เจ้านายบางท่านไม่ต้องการเฝ้าคำสาบแต่ไม่ต้องการให้ที่มรดกตกแก่คนอื่นก็ใช้หนทางตามกฎหมาย คือทำเป็นพินัยกรรมและทูลเกล้าถวาย 
เมื่อพระเจ้าแผ่นดินมีพระรบรมราชโองการว่าให้พินัยกรรมมีผลบังคับเป็นกฎหมาย พินัยกรรมนั้นก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้นอกจากออกฎหมาย 
ศาลฎีการเคยตัดสินว่าพระบรมราชโองการนั้นใช้บังคับได้เหมือนกฎหมาย มีที่ดินมากแปลงที่เป็นแบบนี้เช่นที่ดินแถวบ้านหม้อ
หลังเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้ว


..................................

วันศุกร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2555

เปิดชีวิต"ชายชุดดำ" มานพ ชาญช่างทอง ผู้ก่อการร้ายซาเล้ง


วันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2555 เวลา 00:01 น. 
 ที่มา ข่าวสดออนไลน์



ตกเป็นข่าวโด่งดังไปทั่ว เมื่อปรากฏภาพชายชุดดำหอบอาวุธสงครามทั้งทาโวร์ และเอ็ม 16 นำขบวนคนเสื้อแดง ขึ้นไปบนเวทีชุมนุมสะพานผ่านฟ้าฯ หลังการปะทะเดือดระหว่างกลุ่มผู้ชุมนุมและทหาร ในการเข้ากระชับพื้นที่ในช่วงค่ำวันที่ 10 เม.ย.53 



ยิ่งตามด้วยการกระพือข่าวของพรรคประชาธิปัตย์ ที่ระบุว่าบุคคลในภาพนี้คือชายชุดดำซึ่งเป็นอดีตทหารพรานจากค่ายปักธงชัย ที่พกอาวุธในที่ชุมนุม และเป็น ต้นเหตุของการสูญเสียชีวิตของประชาชนในการกระชับพื้นที่ และจี้ให้ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) เร่งติดตามตัวมาดำเนินคดีให้ได้



แม้แกนนำนปช.จะนำตัวชายชุดดำคนดังกล่าวมาแถลงข่าว ระบุชื่อชัดเจนว่าคือ นายมานพ ชาญช่างทอง การ์ดอาสา ที่ทำอาชีพเก็บของเก่า และมีหน้าที่คอยซื้อหนังสือพิมพ์ให้แกนนำ 



แต่สุดท้ายหลังการชุมนุม นายมานพก็ตกเป็นจำเลยลำดับที่ 22 ในข้อหาก่อการร้าย ต้องถูกขังอยู่ในเรือนจำนานนับเดือน จนมีผู้ใหญ่คนหนึ่ง ใช้เงิน 6 แสนบาทยื่นประกัน และอยู่ระหว่างการรอฟังคำสั่งของศาลในวันที่ 29 พ.ย.



นายมานพกลับมาเป็นที่สนใจอีกครั้ง เมื่อคดี 98 ศพทยอยขึ้นสู่ชั้นศาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกฯ และ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกฯ และอดีตผอ.ศอฉ. ต่างต้องวิ่งรอกให้การคดี 98 ศพ ทั้งที่ศาลและดีเอสไอ



ระหว่างนี้เองลูกพรรคประชาธิปัตย์ นำภาพนายมานพสวมไอ้โม่งใส่ชุดดำถือปืนออกมาประโคมอีกครั้ง



"ข่าวสด" จึงติดตามหาตัวของ "มานพ" เพื่อให้เล่าถึงชีวิตและความเป็นอยู่ของเขาตั้งแต่ก่อนชุมนุมจนกระทั่งปัจจุบัน 



ภาพแรกที่พบเห็นเมื่อไปถึง คือ "มานพ"ในชุดเสื้อยืดสีดำ กางเกงขาสั้น กำลังแยกขยะพลาสติกเพื่อเอาไปขายภายในกระต๊อบเล็กๆ ย่านบางบัวทอง ที่ใช่แผ่นป้ายโฆษณามาทำเป็นฝาบ้าน และใช้สังกะสีเก่าๆ มุงหลังคา ที่อยู่กับภรรยาและลูกรวม 4 คน ขณะที่อีกมุมหนึ่งยังเลี้ยงเป็ดและปลูกผักเล็กๆ น้อยๆ ไว้กิน



"มานพ"เล่าให้ฟังถึงการเข้าไปร่วมชุมนุมจนกลายเป็นชายชุดดำว่า "ผมร่วมชุมนุมตั้งแต่ 12 มี.ค.53 ที่เวทีผ่านฟ้าฯ เพราะเห็นว่ากลุ่มอำมาตย์เอาประชาธิปไตย ของประชาชนไป ต่อมาก็ตามไปชุมนุมที่ราชประสงค์ แล้วสมัครเข้าไปเป็นการ์ดอาสา โดยเข้าเวรตั้งแต่เที่ยงคืนถึงเช้า ก่อนออกเวรก็มีหน้าที่ไปซื้อหนังสือพิมพ์ให้แกนนำ ส่วนเวลาอื่นๆ ก็จะเดินเก็บขวดน้ำ กระป๋องน้ำอัดลม เอาไปขายหารายได้เสริม"



"จนกระทั่งวันที่ 10 เม.ย.53 ผมอยู่ที่แยกราชประสงค์ แต่ก็ติดตามฟังการชุมนุมที่ผ่านฟ้าฯตลอด จนช่วงค่ำ แกนนำสั่งให้เคลื่อนย้ายผู้ชุมนุมไปช่วย ผมก็ไปด้วย เมื่อไปถึงก็ไปตรงแยกคอกวัว ใกล้กับโรงเรียนสตรีวิทยา สักประมาณเกือบเที่ยงคืน เสียงปืนเงียบลงแล้ว เห็นกลุ่มทหารกว่า 30 นาย พร้อมอาวุธปืน ตกอยู่ในวงล้อมคนเสื้อแดง จึงประสานแกนนำว่าทำอย่างไรดี เพราะปล่อยไว้คงเกิดอันตรายแน่ จากนั้นผมจึงเข้าไปพูดคุยกับนายทหารที่คุมกำลังเพื่อขอปลดอาวุธเพื่อความปลอดภัย เขาก็ยอม ผมจึงถือปืน ทาโวร์ 4 กระบอก เอ็ม 16 อีก 1 กระบอก ไปให้แกนนำที่เวที"



"ส่วนที่มีรูปผมถือปืนก็ผมเป็นคนเดินนำไป เขาก็ถ่ายรูปผมได้ แล้วกลายเป็นว่าผมถูกกล่าวหาเป็นชายชุดดำ เอาปืนมายิงกับทหาร ทั้งที่ถือปืนเยอะขนาดนั้นจะเป็นไปได้ยังไงที่จะยิงได้ สำหรับเรื่องเสื้อดำ หมวกไอ้โม่งก็ใส่จริง เพราะคิดว่าเท่ดี แล้วผมก็เป็นคนหัวล้าน อยู่บ้านก็ใส่ ถุงมือที่ใส่ก็เอาไว้ปาแก๊สน้ำตาที่เจ้าหน้าที่ยิงใส่ ถ้ารู้มาก่อนว่าใส่ไม่ได้ผมคงไม่ทำหรอก" มานพเล่าด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่าย 



"หลังมีภาพผมออกไปก็มีคนมาใส่ร้ายว่าเป็นผมเป็นผู้ก่อการร้าย ก็ออกมาแถลงพร้อมแกนนำแล้วรอบหนึ่ง นึกว่าจะจบแล้ว แต่หลังจากการชุมนุม ที่ผมหลบอยู่ภายในวัดปทุมวนาราม มีเสียงปืนดังตลอดคืน จนกระทั่งตำรวจเข้าไปช่วย ก็กลับบ้านที่บางบัวทอง พร้อมขับซาเล้งเก็บขวดเหมือนเดิม





มาอยู่บ้านได้แค่ 2 เดือน ก็มีเจ้าหน้าที่ดีเอสไอกว่า 30 คน นำหมายจับคดีก่อการร้ายมาจับผม ตั้งข้อหาขโมยปืน แล้วบุกรุกโรงแรมเอสซี ปาร์ค โรงแรมนั้นอยู่ไหนผมก็ไม่รู้ พยายามอธิบายอย่างไรก็ไม่มีใครเชื่อ จนต้องนอนคุกอยู่หลายเดือน จนมีคนมาช่วยประกันตัวชั่วคราว ซึ่งก็รอดูอยู่ว่าศาลจะมีคำสั่งในคดีนี้ว่าอย่างไร 



หากผมเป็นผู้ก่อการร้ายจริง คงไม่ต้องมาอยู่กระต๊อบโทรมๆ เก็บขยะหาของเก่ามีรายได้เฉลี่ย 2-3 วันเพียงแค่ 300 บาทอย่างนี้หรอก ผมหวังแค่ความเป็นธรรม ซึ่งเชื่อว่าสังคมไทยน่าจะยังมีอยู่"

นี่คือเสียงของชายชุดดำ ที่เก็บขยะขายเป็นอาชีพ


..........................................................





ผมหวังแค่ความเป็นธรรม ซึ่งเชื่อว่าสังคมไทยน่าจะยังมีอยู่"

นี่คือเสียงของชายชุดดำ ที่เก็บขยะขายเป็นอาชีพ


แล้วนักการเมืองอย่างประชาธิปัตย์ที่มี นักกฏหมา......ย มาร่วมทำงานมากมายคิดได้บ้างไหม

เห็นคุณค่าคนจนๆคนธรรมดาบ้างไหม ..คงจะไม่แน่ๆเพราะล่าสุด ได้นักร้องสาวนักกฏหมาย อย่าง ศิรินทรา นิยากร ไปร่วมงานเดินตาม สดใส รุ่งโพธิ์ทอง ล่าสุดได้ข่าวว่า จีบตื้อ รุ่ง  สุริยา กลางงานเลื้องของพรรค.. ตามสบายเถอะครับ  สำหรับคนที่ไปร่วมมือร่วมงานกับ คนใจหยาบชั่วช้าบาปหนาที่สั่งฆ่าประชาชน ชาวบ้านเขามีคำตอบอยู่ในใจแล้ว ว่า คนพวกนี้ อนาคตจะเป็นเช่นไร ...



..........

วันพุธที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2555

งดเหล้าเข้าพรรษา แต่ยังต้องด่า...ประชาธิเปรต!!!

วาทตะวัน สุพรรณเภษัช
    

    ปีนี้สติ๊กเกอร์ “งดเหล้าเข้าพรรษา” ที่ทางการเขาทำออกมา เพื่อต่อต้านอบายมุข มีสีสันสดใส คงสะกิดใจผู้คนที่กินเหล้ากันทุกวันเป็นอาจิณได้ระลึกว่า
        วันสำคัญทางศาสนามาถึง ได้เวลาที่คอสุราทั้งหลาย งดเหล้ากันแล้ว
content/picdata/380/data/photo0908.jpg
        ระหว่างที่พระท่านกำลังอยู่ในพรรษา ปวงประชาที่นิยมสุราพากัน “วิรัติ” ตลอดห้วงเวลาแห่งการสร้างกรรมดี แต่อีกฝั่งฟากหนึ่งนั้น ชาวบ้านอย่างเราๆท่านๆ กลับได้ยินเสียงร้องขู่กู่ก้องจากกองกำลังฝ่ายค้าน ซึ่งมี “นายมาร์ค หัวปลอก” เป็นหัวโจก กระหน่ำกลองสัญญาณอึกทึกครึกโครม อันเป็นเครื่องหมายว่า         ได้เวลาที่พวกตัวซึ่งเป็นฝ่ายค้าน จะบุกโจมตีรัฐบาลของนายกฯปูในสภาผู้แทนราษฎร โดยจะยื่น “อภิปรายไม่ไว้วางใจ” นายกฯสตรีคนแรกของประเทศ เพียงคนเดียวโดดๆ รัฐมนตรีคนไหนๆในรัฐบาล         ฝ่ายแค้น...ไม่สนแล้ว!
        ตามข่าวเขาบอกว่า จะยื่นอภิปรายกันต้นเดือนกันยาที่จะถึงไม่กี่วันนี้ ต่อมากลับเปลี่ยนว่า จะรอยื่นหลังการอภิปรายงบประมาณผ่านไปก่อน คล้ายจะใช้สนามอภิปรายงบประมาณ เป็นที่ฝึกซ้อมลับฝีปาก ก่อนจะลงสนามจริง คือ การอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯปูคนเดียวโดดๆ
        บรรดาลิ่วล้อของ “นายหัวปลอก” ออกศักดาอ้าซ่ามา ในท่วงทำนองว่า คราวนี้แหละ...
       
จะรุมตีนายกฯปู ให้อยู่หมัดเลย ทีเดียวเชียว!        พอพวกนี้มันออกมาตีปี๊บ ชาวบ้านที่รู้ไม่ทันไอ้พรรคโลซก อาจพากันตกอกตกใจก็เป็นได้ ทำให้ผู้เขียนถูกขอร้องจากพรรคพวก ที่ตั้งวงสนทนาถกปัญหาบ้านเมืองกันประจำ ให้พูดถึงเรื่องนี้ ทาง www.vattavan.com ให้แฟนๆ ได้อ่านกันบ้าง
        ผมเองเคยดู “การอภิปรายไม่ไว้วางใจ” มาแล้วหลายครั้งหลายหน แต่ระยะหลังหมดความสนใจไป เพราะถึงฝ่ายค้านจะมีฝีปากดีอย่างไร ก็ไม่เคยเอาชนะรัฐบาล ที่มีจำนวนมือ ส.ส.ในสภามากกว่า ไม่ได้เลยสักครั้ง
        มีบางครั้งเท่านั้น ที่รัฐบาลชิงถอดใจไปก่อน เพราะสาเหตุมาจากเนื้อในของรัฐบาลที่ “เน่า” เอง
        เหตุการณ์ “เน่าใน” ที่ว่านั้น เกิดขึ้นในสมัยรัฐบาลของนาย ชวน หลีกภัย แห่งพรรคประชาธิเปรต ถูกฝ่ายค้านเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ และประเด็นหลักที่ถูกยกขึ้นมา เพื่อใช้ในการโจมตี คือ
       
กรณีคอรัปชั่นของรัฐบาลประชาธิเปรต ในการออก สปก.ให้เศรษฐีภูเก็ต จนพรรคของ “เถนจำลอง” (ผู้นำคนสำคัญแห่งอาศรม “สันติกระโปก”) ซึ่งตอนนั้นมีตำแหน่งแห่งที่หัวหน้าพรรคพลังธรรม (ปัจจุบัน “พลังหมด” ไปเรียบร้อยแล้ว) และร่วมอยู่ในรัฐบาลของนายหัวด้วย ได้ส่งสัญญาณชัดเจนว่า        จะ “โหวตสวน” รัฐบาล!
        แปลความได้ว่า อีตาเถนจำลองแกไม่เอาด้วยแล้ว กับรัฐบาลที่ตัวร่วมหัวจมท้ายอยู่ในคณะเดียวกันด้วย แต่กลับจะโหวต “ไม่ไว้วางใจ” รัฐบาลที่ตัวเองร่วมอยู่ด้วย
        นายหัวชวนคงพิจารณาแล้ว เห็นว่า คงถึงทางตันแล้ว เพราขืนให้มีการโหวต รัฐบาลของตัวจะพ่ายแพ้ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจอย่างแน่นอน
        ดังนั้น ในฐานะผู้นำรัฐบาล แกจึงตัดสินใจประกาศ “ยุบสภา” ให้เลือกตั้งกันใหม่ แต่ผลปรากฏว่า พรรคโลซกของอีตาชวน...
       
แพ้เรียบร้อยโรงเรียน สปก.ไป!
        ปัญหาเรื่อง สปก. นั้น เป็นความถึงโรงถึงศาล ยืดเยื้อมาอย่างยาวนานถึง 10 ปี เต็ม กว่านายหัวชวนและคนในพรรคดักดาน จะโดนคำพิพากษาของศาลฎีกาประจานซ้ำ เพราะศาลท่านสั่งให้บรรดาเศรษฐี พรรคพวกของพรรคดักดาน ที่ได้รับ สปก.ไปแล้วนั้น
      
  ต้องคืนที่ให้หลวง!        นี่เป็นหลักฐานชัดแจ้ง ที่ย้ำเตือนพี่น้องประชาชน ถึงนโยบายที่ไม่สุจริต คอรัปชั่นด้วยการเอื้อประโยชน์ ให้กับพรรคพวกตัวเอง ของแก๊งการเมืองโลซกอย่าง...         ...ประชาธิเปรต!!
        มื่อวันจันทร์ ที่ 6 สิงหาคม 2555 ผมฟัง ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย รองอธิการ ม.หอการค้าฯ ออกโทรทัศน์ช่อง TNN ช่วงบ่ายแก่ๆ คุณด๊อกเตอร์แกให้ความเห็น เกี่ยวกับการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ ว่า
        หากฝ่ายค้านมุ่งโจมตีเรื่อง นโยบายจำนำข้าว จะเป็นการยิงกระสุนนัดเดียวที่ได้ผล เพราะจะได้นกหลายตัว เพราะมีข้อบกพร่องจากการบริหารโครงการนี้ ให้โจมตีมากมาย!
        แต่...
        ผมกลับ “เห็นต่าง” จากคุณธนวรรธน์ เพราะเห็นว่า เรื่องนี้ไม่เป็นปัญหาเลย เพราะเป็นโครงการจำนำข้าว ที่รัฐบาลมุ่งช่วยพี่น้องชาวนาอย่างชัดเจน ซึ่งการขาดทุนหรือกำไร ไม่ใช่ประเด็นหลัก อีกทั้งตัวเลขจำนวนเงิน ที่รัฐใช้จ่ายไปในการจำนำข้าวนั้น เมื่อเปรียบเทียบกับการ “ประกันราคาข้าว” ของพรรคดักดาน ปรากฏ ชัดเจนว่า
       
การประกันราคาข้าว ครั้งนายมาร์ค หัวปลอก กับฝ่ายค้านปัจจุบันเป็นรัฐบาล ซึ่งพรรคประชาธิเปรตเอง ตีปี๊บบอกว่า เป็นนโยบายที่ดีกว่าการจำนำข้าว นั้น
        ปรากฏว่าเมื่อปิดบัญชีกัน ข้อเท็จจริงกลับไม่ใช่อย่างที่มิสเตอร์หัวปลอกกล่าวอ้าง เพราะทางกระทรวงการคลังมีหลักฐานชัดเจนว่า รัฐต้องควักเงินจ่ายไปเป็นค่าเสียหาย ในการประกันราคาข้าวนั้น...
        สูงถึง 1.4 แสนล้านบาท!
        ตัวเลขอย่างนี้หลอกกันไม่ได้ เพราะเงินหลวงที่ควักออกไปนั้น เขามีหลักมีฐานว่า ใครรับ-ใครจ่าย เท่าใด และเพราะข้อเท็จจริงเป็นเพราะอย่างนี้เอง ทางรัฐบาลของนายกฯปู ถึงไม่เกรงกลัว ต่อการโจมตีในประเด็นจำนำข้าวนี้ เพราะหลักฐานทางการเงินปรากฏชัดเจนอยู่แล้วว่า การจำนำนั้น ถึงจะมีความใช้จ่ายเงินจนต้องขาดทุนบ้าง...
       
แต่กระนั้น....ก็ใช้เงินในการจำนำน้อยกว่า การประกันราคาของพรรคดักดานอยู่มาก!        ผมต้องขอเตือนความจำ ของนายธนวรรธน์ว่า ตัวเขาเองเพิ่งให้สัมภาษณ์ ASTVผู้จัดการออนไลน์ 19 กรกฎาคม 2555 ในเรื่องจำนำข้าว ซึ่งทางสื่อนี้ เขาลงรายละเอียด ว่า
       
...นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงผลสำรวจทัศนะของกลุ่มเกษตรกรต่อนโยบายการรับจำนำข้าว และมันสำปะหลังของรัฐบาลว่า         ในนโยบายรับจำนำข้าว ผู้ตอบส่วนใหญ่ 69.8% ระบุ พอใจ เพราะทำให้มีรายได้มากขึ้น มีเงินออมมากขึ้น เป็นหนี้ลดลง มีกำลังซื้อสินค้า และวัสดุอุปกรณ์ทางการเกษตรได้มากขึ้น จึงต้องการให้รัฐบาลดำเนินนโยบายนี้ต่อไป โดยระดับราคาจำนำที่ต้องการ คือ เฉลี่ยตันละ 18,361.37 บาท..        การให้สัมภาษณ์ของนายธนวรรธน์ อย่างนี้เองมิใช่หรือ เป็นเหตุให้สื่อค่ายโพกผ้าเหลือง ถึงกับพาดหัวว่า
        นโยบายจำนำข้าว-มัน โดนใจชาวไร่-ชาวนา ผลสำรวจชี้ยกระดับราคาได้จริง!!!
        ดังนั้น การที่นักวิชาการอย่าง นายธนวรรธน์ฯ พูดจากลับไปกลับมาอย่างนี้ ผมว่า...
        มันเสียนะครับ!
        การที่รัฐบาล ต้องเข้ารับจำนำข้าวนั้น ก็เพื่อช่วยเหลือชาวนาและครอบครัว ซึ่งมีจำนวนเกินกว่า 10 ล้านครอบครัว และเป็นกระดูกสันหลังของชาติ ให้มีรายได้ที่สูงขึ้น อย่างที่ทุกคน (นอกจากพวก...ตะแบง) เข้าใจนั้น เป็นเรื่องถูกต้อง
        เรื่องนี้ใช่แต่ไทยเราเท่านั้นที่มีนโยบายแบบนี้ ชาติที่เป็นคู่แข่งอย่างเวียตนาม จ่ายเงินสดอุดหนุนชาวนาของเขา เกือบ 800 บาท ต่อตัน/ข้าวส่งออกเลยทีเดียว
        นั่นหมายความว่า ชาวนาตระกูลเหงียนส่งออกข้าวได้มากเท่าไร กระเป๋าเงินของรัฐบาลเวียตนาม
        ก็แฟบลงตามไปด้วย!
        ถ้าเวียตนามต้องการส่งข้าวออก ให้ถึง 9 ล้านตัน โดยหวังจะแซงหน้าไทย นั่นหมายความว่า
        รัฐบาลเวียตนามต้องจ่ายเงินอุดหนุน ไปเปล่าๆ 7,200 ล้านบาท ซึ่งเป็นภาระหนักด้านงบประมาณของรัฐบาลเหงียน ซึ่งไม่ใช่เรื่องเล็กๆสำหรับเขา เพราะเศรษฐกิจของเวียตนาม นั้น
       
มีขนาดเพียง 1 ใน 3 ของไทยเราเท่านั้น!        นี่ก็เพิ่งมีข่าวเข้ามาว่า เวียตนามเริ่มชะลอการส่งออกข้าวแล้ว เพื่อรอการกำหนดราคาข้าวไทย และกำลังจะส่งคณะผู้แทนมากำหนดยุทธศาสตร์การค้าข้าว ร่วมกันกับทางไทยเรา
        นี่เป็นเครื่องแสดงว่า เวียตนามเริ่มเห็นสัจธรรม “ส่งข้าวออกมาก แต่ได้เงินน้อย” เพราะขายข้าวออกไป ในราคาที่ไม่เหมาะสม ทั้งยังมีภาระต้องจ่ายเงินให้กับชาวนาของตน ในอัตราคงเส้นคงวาอีกด้วย
        ส่วนอินตระเดียนั้น ที่ว่าจะแซงไทยในการส่งออกอีกประเทศหนึ่งนั้น แทบไม่ต้องพูดถึงกันเลย เพราะการปลูกข้าวของเมืองแขกปีนี้ เสียหายหนักถึง 19% และมีปัญหาความยากจนทับทวี และประการที่สำคัญยิ่ง คือ
       
การขาดแคลนพลังงานขนาดหนัก จนไฟดับไปครึ่งประเทศแล้ว!         ดังนั้น รัฐบาลโรตีจำต้องเก็บข้าวเอาไว้ เพื่อการบริโภคภายในของเขาอย่างแน่นอน เพราะขืนขาดข้าว เหมือนขาดไฟฟ้า ผมรับรองว่า
        รัฐบาลอินเดีย อยู่ไม่ได้แน่!
        จึงเป็นโอกาสที่เปิด สำหรับรัฐบาลไทย ในการส่งออกข้าวอย่างแน่นอน
        คราวนี้เห็นกัน หรือยังล่ะ!? 
        หัวข้อในการอภิปราย “ไม่ไว้วางใจ” ตัวนายกรัฐมนตรีเพียงคนเดียวในเรื่องอื่นๆ นอกเหนือจากการจำนำข้าว ไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัวอะไรเลย
        ยกตัวอย่างเรื่องชายแดนเขมร ที่ผมเห็นมีรวมอยู่ในหัวข้อที่คาดว่า จะใช้เป็นประเด็นโจมตีนายกฯปู นั้น
        ขืนฝ่ายแค้นนำเรื่องนี้ขึ้นมาถกในสภา ฝ่ายที่เสียเปรียบชัดๆ ก็คือ ประชาธิเปรต นั่นเอง เพราะเสือกชักนำสงคราม เข้ามายังบ้านเมืองเราด้วยความโง่เขลาทางการทูต และเป็นตัวการสำคัญ ทั้งยังทำให้ความสัมพันธ์กับเพื่อนบ้าน ไม่ใช่แต่เฉพาะเขมรเท่านั้น ที่ความสัมพันธ์เสื่อมโทรมทรุดทรามลง แม้แต่กับประเทศอื่น ก็พลอยอับเฉาไปด้วย จนมีวลีที่ว่า
       
“ทะเลาะกับเขมร เขม่นพม่า ด่าญวน กวนส้นตีนลาว”         กลายเป็นตราบาป ที่ประทับให้พรรคโลซกนี้ตลอดไป หากดันนำเรื่องนี้ มาเป็นหัวข้อในการโจมตีนายกฯปู ซึ่งเธอเอง เป็นผู้นำความสงบชายแดน ให้กลับคืนมา และทำให้ความสัมพันธ์เดินหน้าต่อไป โดยไร้เสียงปืน
       
การค้าขายชายแดนเฉพาะด้านพม่าด้านเดียว มียอดพุ่งสูงกว่า 1 แสนล้านบาท/ปี แล้วครับ        เราจะเห็นได้ว่า
        เรื่องการค้าขายระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน ที่รุดหน้าไปไกล สมัย “นายมาร์ค หัวปลอก” นั้น
        คนไทยเรา ไม่มีโอกาสได้เห็นกัน!
        หากฝ่ายแค้นนำประเด็นนี้ ขึ้นมาเล่นกันในสภาฯ ผมว่าสนุกแน่ เพราะจะยิ่งเป็นการสาว “ไส้เน่า” ของตัวเอง ต่อหน้าสาธารณะชนเลยทีเดียวเชียว
        คำวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล ที่น่าจะรับฟัง และมีน้ำหนักพอ ที่จะทำให้ประชาธิเปรตต้องคิดหนัก ผมเห็นว่า
        น่าจะเป็นคำพูดของ นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และประธานกรรมการบริหาร ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ที่ได้กล่าวในงานอบรมโครงการพัฒนาศักยภาพผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจระดับสูง (พศส.) จัดโดยสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ และมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ในหัวข้อเรื่อง “เปิดมุมมองเศรษฐกิจไทยในกรอบอาเซียน” โดยระบุว่า
       
... หากมองในแง่การบริหารงานของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เกือบ 1 ปีที่ผ่านมา ถือว่าสามารถบริหารประเทศไปในทิศทางที่ดีขึ้น แม้ในบางช่วงอาจจะมีปัญหาทางการเมืองอยู่บ้าง แต่เมื่อทุกอย่างผ่านพ้นไป ไม่มีความรุนแรงเกิดขึ้น และไม่มีปัญหาการบริหารงานไปในทางทุจริต หรือหาผลประโยชน์เกิดขึ้น ก็เชื่อว่าน่าจะบริหารประเทศต่อไปได้...        ไม่รู้ไอ้พวกสมาชิกพรรคดักดาน มันได้ยินกันบ้างหรือเปล่า!?
        การที่นายโฆษิตฯพูดออกมาอย่างนี้ คงจะมีน้ำหนัก และเมื่อผมย้อนไปคิดถึงคราว “นายมาร์ค หัวปลอก” วิ่งราวอำนาจเข้ามาบริหารบ้านเมือง ซึ่งมีการ เตรียมกิน-เตรียมโกง มาล่วงหน้าอย่างชัดเจน นั่นคือ
       
โครงการไทยเข้มแข็ง ซึ่งยัดเยียดสิ่งของที่ประชาชนไม่ต้องการไปให้ ไม่ว่าจะเป็นตู้น้ำ แผงวงจรไฟฟ้าอุบาทว์ ที่ตอนนี้ชาวบ้านเอาไปตากปลาแห้งเรียบร้อยแล้ว
        สิ่งของเหล่านั้น มีราคาสูงกว่าท้องตลาดลิบลิ่ว จัดส่งโดยบริษัทที่มีหลักฐานสนับสนุนพรรคประชาธิเปรต
        ส่อถึงเจตนา ‘ฉ้อฉล’ ชัดเจน!
        การบริหารบ้านเมือง ที่ “ส่อ” ไปในทางทุจริตของพรรคประชาธิเปรต ในยุคที่ผ่านมานั้น
        ส่งผลให้รัฐมนตรีกระทรวงสำคัญ ของรัฐบาลประชาธิเปรต จำใจต้องยื่นใบลาออกไปทั้งน้ำตา (จระเข้) เพราะทนแรงกดดันจากสื่อและประชาชนไม่ไหว
        ทั้งนี้ สาเหตุมาจาก “ความไม่โปร่งใส” ในการบริหารงานของเขา รวมถึงคณะที่ปรึกษา ที่มีพฤติกรรม “ไดแหวก” แต่ต้องจำนนด้วยหลักฐาน ในการนัดพบกับบริษัทต่างๆ เพื่อเจรจาผลประโยชน์
       
จึงจำเป็นต้องพับเสื่อ เก็บของออกจากกระทรวงไป พร้อมๆกับตัวท่านรัฐมนตวยด้วย!...555        (ท่านผู้อ่าน จะสามารถติดตามรายละเอียด เกี่ยวกับพฤติกรรมของพรรคดักดานนี้ ได้โดยละเอียด เพราะผมเขียนไว้เป็นจำนวนมากกว่า 50 คอลัมน์ ใช้เป็นข้อมูลในการทำรายงานหรือวิทยานิพนธ์ได้เลย
        กรุณาดูที่ “ท้ายบท” ของบทความประจำสัปดาห์ 
        ประชาธิเปรต= พรรค...กเฬวราก!!!?
(
http://vattavan.com/detail.php?cont_id=357)
        เรื่องราวกาลีหลากหลาย ที่เกิดระหว่างที่พรรคประชาธิเปรตเป็นรัฐบาล ล้วนเป็นสาเหตุสำคัญที่ “นายมาร์ค หัวปลอก” กับพรรคพวกของเขา ต้องพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อปีกลาย แบบยับเยินยู่ยี่ หาชิ้นดีไม่เจอ ได้ผู้แทนน้อยกว่าครั้งก่อนด้วยซ้ำ และส่งผลให้สตรีหน้าใหม่ ที่หาเสียงไม่ถึง 50 วัน  ชื่อ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” สามารถขึ้นเป็น “นายกรัฐมนตรี” ของประเทศไทย ได้อย่างสะดวกโยธินบูรณะเลยทีเดียว
        แต่...
        มิสเตอร์หัวปลอกยังใช้ตราช้าง หนาพอทีจะเป็นหัวหน้าพรรคสังคโลกต่อไป!
        าถึงวันนี้ อีตาหัวปลอกออกมุกนักเลง แสดงทีท่าจะถล่มนายกฯปู คนเดียวโดดๆ แต่อีกฟากหนึ่ง ซีรีย์ที่เกี่ยวกับการหนีทหารของตัวเขา เริ่มเพิ่มความเข้มข้นขึ้นทุกที มีตัวละครใหม่ๆ โผล่ออกมา อย่างนายพันทหารบก สัสดีเจ้าปัญหา ก็โผล่มาปฏิเสธลายเซ็นในใบ ส.ด. ซึ่งเป็นประเด็นใหม่ ทำให้เกิดหลักฐานใหม่ ยืนยันถึงการปลอมเอกสารของ “นายมาร์ค หัวปลอก” อีกทางหนึ่งด้วย
        ผมจึงคิดว่า ตอนนี้น่าจะเป็นเวลาดี ในการที่พวกไม่ชอบพฤติกรรมของฝ่ายค้าน ร่วมมือร่วมใจช่วยกันฉายภาพของ...
        คนที่...พูดจาโกหกพกลม
        คนที่...หวังจะเป็นใหญ่ ยอมแม้จะไปตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร
        คนที่...ถูกกล่าวหาว่า...สั่งฆ่าประชาชน
        คนที่...ขาดความกล้าหาญ ที่จะรับใช้ชาติด้วยการเป็นทหาร
       
คนที่...ดีแต่พูด!        คนที่...คนที่...คนที่...คนที่...ฯลฯ
(ใส่กันไม่หวัดไม่ไหว ท่านผู้อ่านใส่เอาเอง บ้างเถอะครับ!!)
        ระหว่างที่รอ “นายมาร์ค หัวปลอก” อยู่ระหว่างกำหนดวันโจมตีนายกฯปูในสภา ระหว่างนี้ “วาทตะวัน” คงไม่อยู่เฉยหรอกครับ เพราะมีภารกิจที่จะต้องวิพากษ์วิจารณ์ ถล่มโจมตีไอ้หัวปลอก ให้หัวถลอก และเอายางหัวมันออกเสียบ้าง
        ท่านผู้อ่านอาจท้วงว่า ระยะนี้อยู่ในห้วงรักษาศีล ถืออุโบสถผมไม่ควรทำอย่างนั้นเลย
        ก็ต้องขอเรียน ว่า
        เห็นทีจะต้องยอมผิดศีลกันคราวนี้ ก็หัวเรื่องบอกชัดแล้วนี่ครับว่า...
       
 งดเหล้าเข้าพรรษา แต่ยังด่า...ประชาธิเปรต!!!



        (คอลัมน์ งดเหล้าเข้าพรรษา แต่ยังต้องด่า...ประชาธิเปรต!!! ออนไลน์ 11 สิงหาคม 2555)