วันพุธที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2555

จดหมายแจ้งต่อไอซีซีถึงกรณีที่พลเอกประยุทธ์ข่มขู่พนักงานสอบสวนและผู้วิจารณ์.....เสียงจาก ชาวดิน ออนเน็ต เข้าใจครับว่าทหารทำตามหน้าที่และทำตามคำสั่ง



หลังจากที่ผู้บัญชาการทหารบกพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาแจ้งความดำเนินคดีอาญาหมิ่นประมาทต่อผมและล่าม ผมได้ส่งข้อมูลดังกล่าวพร้อมคำแถลงการณ์ขององค์กรฮิวแมนไรท์วอซซ์ไปให้กับสำนักงานอัยการศาลอาญาระหว่างประเทศ (โอทีพี) เพื่อประกอบการพิจารณาตัดสินเปิดการตรวจสอบเบื้องต้นกรณีความรุนแรงทางการเมืองที่เกิดขึ้นในประเทศไทยปี 2553 เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2555 โดยมีใจความดังนี้
เราได้แนบเอกสารคำแถลงการณ์ขององค์กรฮิวแมนไรท์วอซซ์ ลงวันที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2555 เพื่อประกอบการพิจารณาตัดสินของสำนักงานอัยการไอซีซี (โอทีพี) ที่ประกาศต่อจะสาธารณชนว่าจะเริ่มการตรวจสอบเบื้องต้นกรณีการสังหารและอาชญากรรมต่อมนุษยชาติในประเทศไทยที่เกิดขึ้นในปี 2553
โดยมีประเด็นที่องค์กรฮิวแมนไรท์วอซซ์กล่าวถึงดังนี้:
  • ผู้บัญชาการทหารบกแทรกแซงการสอบสวนเหตุการณ์ความรุนแรงปี 2553 โดยบอกให้กระทรวงยุติธรรมหยุดกล่าวหาทหารว่าสังหารผู้ชุมนุมและห้ามแถลงรายงานความคืบหน้าการสอบสวนต่อสาธารณชน
  • ผู้บัญชาการทหารบกพยายามข่มขู่ผู้วิจารณ์โดยสั่งให้เจ้าหน้าที่ทหารแจ้งความดำเนินคดีภายใต้กฎหมายอาญาหมิ่นประมาทอันล้าหลังต่อนายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ซึ่งเป็นหนึ่งในทนายของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (“นปช.”) และล่าม
  • “การทำร้ายโดยทหารเกิดขึ้นต่อหน้าของประชาชนไทยและสื่อมวลชนทั่วโลก แต่ตอนนี้ผู้บัญชาการทหารบกพยายามข่มขู่พนักงานสอบสวนและผู้วิจารณ์ให้ปิดปากเงียบ”
  • “จนถึงปัจจุบันไม่มีทหารหรือเจ้าหน้าที่คนใดต้องรับผิดต่อเหตุการณ์ความรุนแรงปี 2553 เนื่องจากการสอบสวนดำเนินไปอย่างเชื่องช้า”
  • การไม่ยอมรับความจริงของผู้บัญชาการทหารบกที่ว่ามีการใช้พลซุ่มยิงทหารเป็นเรื่องที่ “น่าขบขัน” เพราะรองนายกรัฐมนตรีในขณะนั้นลงลายมือชื่อในเอกสารอนุมัติการใช้พลซุ่มยิง
  • “จำนวนพลเรือนผู้บาดเจ็บเสียชีวิตจำนวนมาก – รวมถึงผู้ชุมนุมมือเปล่า อาสาพยาบาล นักข่าว ช่างภาพและผู้ยืมมุงดูเหตุการณ์เกิดจากการกำหนด ‘เขตใช้กระสุนจริง’ ของรัฐบาลในบริเวณสถานที่ชุมนุมของนปช.ในกรุงเทพฯ”
เราเชื่อว่าข้อมูลนี้จะช่วยสนับสนุนการตัดสินของท่านในการประกาศต่อสาธารณชนว่าจะเริ่มการตรวจสอบเบื้องต้นในกรณีนี้เพิ่มขึ้น
เราขอขอบคุณท่านล่วงหน้าในพิจารณาดังกล่าว

ด้วยความเคารพ
โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม


 

จดหมายเปิดผนึกถึงพลเอกประยุทธ์ จันโอชา



เรียนพลเอกประยุทธ์ จันโอชา
แม้ว่าข่าวที่ท่านสั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาแจ้งความดำเนินคดีอาญาหมิ่นประมาทต่อผมและล่ามอาจทำให้หลายคนรู้สึกตกตะลึง แต่สำหรับผมแล้วข่าวนี้ไม่ใช้เรื่องน่าแปลกประหลาดเลย เป็นเวลานานที่กลุ่มบุคคลซึ่งหวาดกลัวในระบอบประชาธิปไตยและความจริงในประเทศไทยใช้ระบบตุลาการเป็นเครื่องมือปิดปากและข่มขู่ฝ่ายตรงข้าม อย่างไรก็ตาม บทบาทการทำงานของผมในนามของเหยื่อจากเหตุการณ์ความรุนแรงโดยรัฐที่แย่ที่สุดในประวัติศาสตร์มีความสำคัญมากและไม่ทำให้ผมรู้สึกกลัว ท่านและพวกพ้องของท่านในพรรคประชาธิปัตย์ไม่ควรเข้าใจผิด — ผมยังคงยืนกรานมุ่งมั่นเพื่อนำผู้กระทำผิดในเหตุการณ์ปี 2553 มารับผิดทางกฎหมาย
หลังจากอ่านคำสัมภาษณ์ของท่านล่าสุดตามหน้าสื่อมวลชน ผมรู้สึกประหลาดใจที่ท่านบอกว่าต้องการ “ปกป้องชื่อเสียงของทุกคนในกองทัพ” ผมขอพูดว่า ผมเชื่อว่าคนส่วนใหญ่ในกองทัพเป็นชายหนุ่มซึ่งมีเกียรติ มีความซื่อสัตย์ และกล้าหาญ ทหารบางนายต้องเสี่ยงชีวิตตนเองระหว่างการปฏิงานในภาคใต้และที่อื่นๆทุกวัน แน่นอนว่าชื่อเสียงของพวกเขามีคุณค่าและควรที่จะได้รับการปกป้องคุ้มครอง
อย่างไรก็ตาม คำถามของผมถึงท่านคือ ใครคือผู้รับผิดชอบต่อการทำลายชื่อเสียงของทหารผู้มีเกียรติและรักชาติหลายพันนายในกองทัพไทย? ผมขอบอกท่านว่าชื่อเสียงของชายหนุ่มเหล่านี้แปดเปื้อนอย่างมาก มิใช่เพราะคำพูดของกลุ่มบุคคลที่ต้องการนำตัวผู้บังคับบัญชาของพวกเขามารับผิดทางกฎหมาย แต่เกิดจากการกระทำของผู้บังคับบัญชาของพวกเขาในหลายทศวรรษที่ผ่านมา การเสวยสุขจากระบบการทำผิดแล้วลอยนวล ตลอดระยะเวลาดังกล่ว รวมถึงคำสั่งให้ใช้พลซุ่มยิงและพลแม่นปืนยิงพลเรือน  เนื่องจากผมให้ความเคารพต่อทหารไทยอย่างมาก ดังนั้นผมจึงไม่พอใจที่ท่านพยายามจะใช้ทหารเหล่านี้เป็นเกราะกำบังเพื่อปกป้องระบบการทำผิดแล้วลอยนวลและผู้มีอำนาจ
หากท่านจริงจังในการปกป้องชื่อเสียงของทหาร ท่านไม่ควรจะใช้เวลาที่เหลืออยู่ในดำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกหาข้ออ้างให้กับพฤติกรรมการกระทำอาชญากรรม แต่ควรสร้างกองทัพไทยให้เป็นสถาบันที่บุคคลซึ่งละเมิดสิทธิมนุษยชนต้องรับผิดทางกฎหมาย  และขั้นตอนแรกที่จะเป็นประโยชน์คือ ปล่อยให้มีการสอบสวนอย่างเหมาะสม โดยการตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างยุติธรรมโดยไม่คำนึงถึงสถานะของผู้กระทำความผิด และพนักงานสอบสวนนั้นจะต้องไม่ถูกขู่เข็ญให้ “ขอโทษ” ท่าน เพราะการทำงานของเขา การสอบสวนที่เปิดเผยและโปร่งใสควรจะรวมถึงการค้นหาสาเหตุการเสียชีวิตของเหล่าทหารที่คอกวัวและที่อื่น แน่นอนว่าท่านคงไม่ปฏิเสธโอกาสที่จะนำความยุติธรรมมาให้กับครอบครัวทหารซึ่งเสียชีวิตในปี 2553 เหมือนเช่นเหยื่อทุกคน ใช่หรือไม่?
โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม

19
ส.ค.

ข้อแนะนำพลเอกประยุทธ์เรื่องการปกป้องชื่อเสียงกองทัพ

หนึ่งวันหลังจากประกาศแผนการแจ้งความดำเนินคดีหมิ่นประมาทต่อนายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัมที่ปรึกษากฎหมายของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการ แห่งชาติ (นปช.)ผู้บัญชาการทหารบก พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาอธิบายต่อสื่อว่าทำไปตามหน้าที่เพื่อ “ปกป้องชื่อเสียงของทุกคนในกองทัพ”
นายอัมสเตอร์ดัมต้องการย้ำเตือนพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาว่าชื่อเสียงอันย่ำแย่ซึ่งกองทัพไทยได้รับในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเกิดจากการที่ผู้นำกองทัพโปรดปรานการทำรัฐประหารและการทำลายประชาธิปไตย ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับการกระทำของกลุ่มบุคคลที่ต้องการปกป้องสิทธิมนุษยชน
หากพลเอกประยุทธ์ต้องการที่จะปรับปรุงชื่อเสียงกองทัพ จริงๆ ซึ่งตรงข้ามกับการปกป้องการทำผิดแล้วลอยนวลของตนเอง พลเอกประยุทธ์ควรหยุดข่มขู่เจ้าหน้าที่สอบสวนและร่วมมือกับนายอัมสเตอร์ดัมเรียกร้องให้มีการสอบสวนกรณีการปราบปรามปี 2553 อย่างเต็มที่และสมบูรณ์ และเมื่อพิจารณาจากหลักฐานจำนวนมากที่ยืนยันการกระทำอาชญากรรมต่อมนุษยชาติซึ่งก่อโดยกองทัพของพลเอกประยุทธ์ การโจมตีผู้ส่งสารจะนำมาซึ่งความฉ่าวโฉ่อันมากขึ้นเท่านั้น

18
ส.ค.

แถลงการณ์นายอัมสเตอร์ดัมกรณีกองทัพไทยเข้าแจ้งความข้อหาหมิ่นประมาท

ในวันเสาร์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2555 หนังสือพิมพ์รายวันภาษาไทยมติชนรายงานว่าผู้บัญชาการทหารบก พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชามอบหมายให้ พ.ท.สายัณห์ ขุนขจีฟ้องร้องดำเนินคดีหมิ่นประมาททางอาญาต่อนายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ที่ปรึกษากฎหมายของอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรและแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการ แห่งชาติ (นปช.)
การแจ้งความเกิดจากคำปราศรัยของนายอัมสเตอร์ดัมในกรุงเทพฯเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2555 วันครบรอบที่กองทัพปราบปรามการชุมุนมอย่างทารุณซึ่งนำไปสู่การเสียชีวิตของประชาชน 98 ราย ในระหว่างการปราศรัย ซึ่งสามารถเข้าไปดูวิดีโอแบบเต็มได้ที่นี่ นายอัมสเตอร์ดัมประณามประวัติการสังหารหมู่พลเรือนของกองทัพไทยและวิจารณ์รัฐบาลสหรัฐว่าขายอาวุธและฝึกกองทัพไทยเพื่อสังหารพลเรือนอยู่เป็นประจำ คำปราศรัยของนายอัมสเตอร์ดัมถูกแปลเป็นภาษาไทย ดังนั้นจึงมีการแจ้งความดำเนินคดีต่อล่ามด้วยเช่นกัน พลเอกประยุทธ์กล่าวหาว่าข้อความดังกล่าวทำลายชื่อเสียงของกองทัพไทย
ข่าวเรื่องการแจ้งความทางอาญาต่อนายอัมสเตอร์ดัมและล่ามเกิดขึ้นในปลายสัปดาห์นี้ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่กองทัพไทยและอดีตนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ได้ออกมาข่มขู่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ซึ่งมีหน้าที่สอบสวนการปราบปรามการชุมนุมปี 2553 อย่างเปิดเผย รวมถึงตอบโต้สื่อที่ถามเรื่องการใช้พลซุ่มยิงสังหารประชาชนในปี 2553 อย่างรุนแรง เป็นเรื่องชัดเจนที่นายอภิสิทธิ์และพลเอกประยุทธ์รู้สึกจนตรอกมากขึ้นเรื่อยๆ ในความพยายามที่จะปกป้องระบบการทำผิดแล้วลอยนวลซึ่งบ่งบอกถึงถึงความมีประสิทธิภาพของการทำงานของนายอัมสเตอร์ดัมและทีมงาน
นายอัมสเตอร์ดัมยังคงยืนยันตามคำปราศรัยของเขาและมุ่งมั่นทำงานเพื่อนำตัวผู้นำระดับสูง (รวมถึงพลเอกประยุทธ์และอดีตนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ) มาลงโทษในข้อหาอาชญากรรมต่อมนุษยชาติที่ก่อขึ้นในระหว่างการปรามปรามการชุมนุมของคนเสื้อแดงในเดือนเมษายนและพฤษภาคมปี 2553 อย่างไรก็ตาม สิ่งที่แน่นอนในครั้งนี้คือ คนที่สังหารพลเรือนเพื่อปกป้องอำนาจและอภิสิทธิ์ของตนจะไม่สามารถรอดพ้นจากการรับผิดในการกระทำของพวกเขาอย่างแน่นอน

8
ส.ค.

สหภาพรัฐสภาสากลรับพิจารณากรณีการถอดถอนนายจตุพรออกจากการเป็นสส.

คณะกรรมาธิการว่าด้วยสิทธิมนุษยชนของสมาชิกรัฐสภา
สหภาพรัฐสภาสากล
เรียน คณะกรรมาธิการ
เมื่อพิจารณาว่าผู้ให้ข้อมูลยืนยันว่าข้อหาทางอาญาของนายจตุพรที่เกี่ยวข้องกับการมีส่วนร่วมของเขาในการชุมนุมของคนเสื้อแดงปี 2553 เป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมอย่างสิ้นเชิง เนื่องจาก ข้อหาการเข้าร่วมในการชุมนุมที่ผิดกฎหมายมาจากใช้อำนาจฉุกเฉินที่มิชอบด้วยกฎหมายของรัฐบาลที่แล้ว และการแจ้งข้อหาก่อการร้ายที่นายจตุพรและแกนนำเสื้อแเดงคนอื่นเกิดจากแรงจูงใจทางการเมือง (ผู้ให้ข้อมูลระบุว่าในขณะที่รัฐบาลกล่าวหาว่าคนเสื้อแดงก่อความรุนแรงหลายครั้ง แต่ไม่มีหลักฐานว่าแกนนำของพวกเขามีบทบาทในการวางแผนโจมตีทำร้าย หรือแม้แต่ล่วงรู้แผนการเหล่านั้น)
เมื่อพิจารณาว่าจะมีการพิจารณาคดีดังกล่าวในวันที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 และผู้ให้ข้อมูลกลัวว่าศาลจะสั่งคุมขังนายจตุพรอีกครั้ง และข้อเท็จที่คณะกรรมาธิการควรรู้คือประเทศไทยเป็นภาคีกับ กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ไอซีซีพีอาร์) และดังนั้นจึงมีพันธะที่จะปกป้องสิทธิดังกล่าว
1. มีความกังวลอย่างมากว่านายจตุพรถูกถอดถอนจากการเป็นสส.ด้วยมูลเหตุที่ปรากฎว่าฝ่าฝืนพันธะในการปกป้องสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศของประเทศไทยโดยตรง
2. เมื่อพิจารณาว่ารัฐธรรมนูญไทยบัญญัติว่าการตัดสิทธิ์ทางการเมืองของบุคคลที่ “ถูกคุมขังโดยคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย” ในวันเลือกตั้ง เป็นการขัดขวางไม่ให้บุคคลซึ่งถูกกล่าวหาทางอาญาจากการใช้สิทธิ์เลือกตั้งซึ่งขัดแย้งกับบทบัญญัติในไอซีซีพีอาร์ มาตรา 25 ซึ่งรับรองสิทธิในการ “เข้าร่วมกับกิจกรรมทางสาธารณะ” และ “ลงคะแนนเสียงหรือลงสมัครรับเลือกตั้งในการเลือกตั้งที่จัดขึ้นอย่างแท้จริงตามกำหนดเวลา” โดยปราศจาก “ข้อจำกัดอันไม่สมเหตุสมผล”
3. พิจารณาได้ว่าในกรณีนี้ว่าการปฏิเสธไม่ให้มีการปล่อยตัวชั่วคราวของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากเรือนจำเพื่อใช้สิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้งคือ “ข้อจำกัดอันไม่สมเหตุสมผล” โดยเฉพาะในบทบัญญัติไอซีซีพีอาร์ที่รับรองให้สัณนิษฐานบุคคลซึ่งถูกกล่าวหาทางอาญาว่าเป็นผู้บริสุทธ์ (มาตรา 14) และ “ต้องแยกการปฏิบัติให้เหมาะสมต่อสถานะของบุคคลที่ยังไม่ถูกพิพากษาลงโทษ” (มาตรา 10(2)(a)) การถอดถอนนายจตุพรยังขัดกับจิตวิญญาณของมาตรา 102(4) ของรัฐธรรมนูญไทยซึ่งบัญญัติว่าบุคคลซึ่งต้องโทษทางอาญาไม่รวมถึงบุคคลที่ถูกกล่าวหาทางอาญาเท่านั้นที่จะเสียสิทธิ์ในการลงสมัครรับเลือกตั้งในวันสมัครลงแข่งขันเลือกตั้ง
4. นอกจากนี้ยังมีความกังวลเกี่ยวกับความเป็นธรรมในการถอดถอนนายจตุพรออกจากเป็นสมาชิกพรรการเมืองในครั้งหนึ่งทั้งที่ไม่มีการระบุว่าเขากระทำความผิดใดและปรากฎอย่างชัดเจนว่าคำปราศรัยของเขาเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพทางการแสดงออกซึ่งยืนยันโดยการยกร้องในเวลาต่อมา และยังมีความกังวลว่าศาลอาจสามารถตัดสินเรื่องกรณีสมาชิกภาพในพรรคการเมืองของเขา แต่เมื่อกรณีนี้เป็นกรณีส่วนตัวอย่างชัดเจนเด็ดขาดระหว่างนายจตุพรและพรรคของเขา และไม่มีความขัดแย้งระหว่างพวกเขาในข้อพิพาทดังกล่าว
5. เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจากกรณีที่กล่าวไปข้างต้น เจ้าหน้าที่รัฐไทยซึ่งมีศักยภาพจะทำทุกอย่างที่เป็นไปได้เพื่อจะพิจารณาการถอดถอนนายจตุพรอีกครั้งและประกันว่าบทบัญญัติทางกฎหมายในปัจจุบันจะสอดคล้องกับมาตราฐานสิทธิมนุษยชนสากลอย่าแท้จริง และเราหวังว่าจะค้นหาความเห็นของเจ้าหน้าที่ให้กรณีดังกล่าว
6. มีความกังวลเกี่ยวกับมาตารฐานทางกฎหมายและข้อเท็จจริงที่ใช้อ้างอิงในข้อหาที่กำลังรอการพิจารณาคดีของนายจตุพรแเละความเป็นไปได้ที่ศาลอาจสั่งคุมขังเขาอีกครั้ง และเราหวังว่าจะได้รับสำเนาเอกสารชีแจงข้อกล่าวหาและได้รับการแจ้งถึงผลของการพิจารณาคดีในวันที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 และการพิจารณาคดีครั้งต่อไป เมื่อพิจารณาวถึงความกังวลในกรณีนี้ อาจะเป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์ที่จะมองหาความเป็นไปได้ที่ส่งผู้สังเกตการณ์ร่วมรับฟังการพิจารณาคดี และร้องขอให้สำนักงานเลนุการพิจาณาเรื่องนี้
7. ร้องขอให้สำนักงานเลนุการถ่ายทอดคำตัดสินนี้ไปยังเจ้าหน้าซึ่งมีความสามารถและผู้ให้ข้อมูล
8. ตัดสินว่าจะมีการตรวจสอบกรณีดังกล่าวในการประชุมครั้งต่อไป ในการประชุมสมัชชาสหภาพรัฐสภาสากลครั้งที่ 127 (ตุลาคม ปี 2555)

7ส.ค.

คำร้องเพิ่มเติมเพื่อร้องขอให้สำนักงานอัยการเริ่มการตรวจสอบเบื้องต้นกรณีอาชญากรรมต่อมนุษยชาติที่เกิดขึ้นในประเทศไทยปี พ.ศ. 2553

คำร้องเพิ่มเติมเพื่อร้องขอให้สำนักงานอัยการเริ่มการตรวจสอบเบื้องต้นกรณีอาชญากรรมต่อมนุษยชาติที่เกิดขึ้นในปร…


ที่มา http://robertamsterdam.com/thai/

.................................................................



เสียงจาก ชาวดิน  ออนเน็ต

ข่าวทีวีช่วงหลังนี้ เห็น ท่านพลเอกประยุทธ์ จันโอชา ออกมาพูดบ่อยเหลือเกินเรื่องทหารที่เข้าสลายการชุมนุมว่า ทหารทำตามหน้าที่ แน่นอนครับ ชาวบ้านเขาก็เชื่อว่าทหารไทยเคร่งคัดระเบียบวินัยและเชื่อฟังคำสั่งผู้บังคับบัญชา และประชาชนคนให้ความเป็นธรรมกับทหารกล้าของไทยเสมอด้วยความเคารพครับ...  และข่าวยังนำเสนอเรื่องที่ ท่าน ร.ต.อ.ดร.เฉลิม  อยู่บำรุง แถลงว่าจะให้ความเป็นธรรมกับทหารที่ทำตามคำสั่งและจะกันไว้เป็นพยาน......  ทุกอย่างที่ผ่านมาทั้งคำพูดของทหารใหญ่น้อยล้วนเป็นเป็นประโยชน์ต่อรูปคดีทั้งสิ้นครับ ตอนนี้เหลือแค่พูดออกมาให้ชัดครับว่าใครคือคนสั่งการให้ทหารกระทำ เพราะคนทั้งประเทศเขารอคำตอบและเห็นคนที่ออกคำสั่งให้มีการเข่นฆ่าประชาชน ถูกดำเนินคดีตามกฏหมายครับ

คุณมาร์คและคุณเทพเทือก ก็พูดถึงผู้ก่อการร้ายชายชุดดำบ่อยมาก ในสถานการณ์ช่วงนั้นชุดดำมีเหลายกลุ่มนะครับแค่ใส่เสื้อยืดสีดำ เสื้อคลุมสีดำ หรือคลุมใส่โม่งดำ ความชัดเจนมันเห็นและรู้กันมานานแล้วว่าใครทำอะไรที่ไหนอย่างไร ...หรือบางครั้งท่านพลเอกประยุทธ์ ก็บ่นว่าทีทหารที่ถูกกระทำทำไมไม่มีใครพูดถึงบ้าง
ชุดพรางโม่งดำ


..อย่าน้อยใจสิครับ มีคนพูดถึงทั่วบ้านทั่วเมืองแต่ท่านพลเอกประยุทธ์ ไม่ได้ยินเองครับ โดยเฉพาะทหารที่ปกป้องแผ่นดินและประชาชนอย่าง เสธ.แดง พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ที่ถูกกระทำต่อหน้าประชนและนักข่าวทั้งไทยและต่างชาติ คนทั้งโลกยังตะลึงเลยว่า ทำได้อย่างไร ใครสั่งให้กระทำ

ท่านพลเอกประยุทธ์ ครับ ท่านอย่าลืมปกป้องศักดิ์ศรีและทวงความยุติธรรมให้กับนายทหารกล้าท่านนี้นะครับ เอาตัวคนสั่งฆ่าและคนลั่นไกมาลงโทษให้ได้ครับ เพราะนี่คือทหารในกองทัพของท่านและลักษณะที่โดนลอบยิงก็เหมือนกับที่คนเสื้อแดงหลานคนโดนซุ่มยิงจาก   สไนเปอร์ ตามที่ชาวบ้านเขาเรียกกันและไม่ได้โดนยิงด้วยกระสุนซ้อมรบหรือกระสุนยางแน่นอนครับ นี่คือนายทหารที่เป็นถึงผู้ทรงคุณวุฒฺของกองทัพบกเลยนะครับ ..ถ้าเหตุการณ์นี้เกิดที่ชายแดนหรือสามจังหวัดชายแดนใต้ คงไม่แปลก  แต่นี่เกิดขึ้นใจกลางเมืองหลวงของประเทศไทย ท่านก็อาจจะบอกว่าไม่มีใครอยากให้เกิด แน่นอนครับประชาชนที่มาชุมนุมก็ไม่มีใครอยากให้เกิด ถ้าทหารอยู่ในกรมกองหรือตามชายแดนรับรองว่าเหตุการณ์ประชาชนถูกยิงตาย 98 ศพ บาดเจ็บอีก 2000 กว่าคน คงจะไม่เกิดขึ้นแน่นอน........

เข้าใจเสมอครับว่าทหารต้องทำตามหน้าที่และทำตามคำสั่ง


ยรรยง  ลูกชาวดิน
29 ส.ค.2555





วันอาทิตย์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ฝ่ายค้านระส่ำ ก่อนทำศึกใหญ่...การเมือง ข่าวสด


ศึกอภิปรายร่างพ.ร.บ.งบประ มาณรายจ่ายประจำปี 2556 วงเงิน 2.4 ล้านล้านบาท ในสภาวาระ 2 และ 3 ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา

ถึงการตีรวน จุกจิก ไร้สาระจะยังมีให้เห็น แต่ก็ไม่ถึงกับดุเดือดเลือดพล่าน ภาพรวมจึงถือว่าเป็นไปตามมาตรฐานทั้งในส่วนของฝ่ายค้านและรัฐบาล

การอภิปรายของฝ่ายค้านมุ่งไปที่ 3-4 เรื่องหลักๆ คือ

การกู้เงินจำนวนมหาศาลของรัฐบาล เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ ที่ทำให้ประเทศต้องแบกภาระหนี้สินสูงขึ้น ส่งผลต่อความมั่นคงด้านเศรษฐกิจของประเทศ

การปรับลดภาษีนิติบุคคลจากร้อยละ 30 เหลือ 23 ที่ทำให้รัฐบาลสูญเสียรายได้นับแสนล้าน ขณะที่กลุ่มนายทุนเป็นผู้ได้รับประโยชน์จากนโยบายดังกล่าว

ความไม่โปร่งใสในการจัดสรรงบประมาณที่อาจกระทบวินัยการเงิน การคลังของประเทศ


โดยเฉพาะโครงการรับจำนำข้าวที่ใช้เงินมากกว่าแสนล้านบาท แต่ถึงมือเกษตรกรแบบไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย และมีแนวโน้มนำไปสู่การทุจริตในระดับปฏิบัติ

รวมถึงงบแก้น้ำท่วม 3.5 แสนล้านที่ไม่มีแผนการใช้จ่ายที่ชัดเจนเพียงพอ

ทำให้การตรวจสอบลึกลงไปในรายละเอียดเป็นไปได้ยาก ที่สำคัญเกรงจะเป็นการเปิดช่องโหว่ให้ส.ส.นำเงินไปลงในพื้นที่ตัวเอง โดยไม่ได้นำไปบริหารจัดการปัญหาอุทกภัยอย่างแท้จริง

โดยมีการหยิบยกความเคลื่อนไหวของ "ทักษิณ" ตามแผนโลกล้อมไทย ขึ้นมาอภิปรายแซมบ้างนิดหน่อยในส่วนของงบกระทรวงการต่างประเทศ

สรุปแล้วการที่ร่างพ.ร.บ.งบประมาณฯ ผ่านสภาไปได้โดยไร้เหตุการณ์ความวุ่นวาย

ก็เพราะรัฐบาลวาง "เกมรับ" มาดี ใช้ความอดทน อดกลั้นรับมือกับการอภิปรายเป็นต่อยหอยของฝ่ายค้าน โดยไม่ประท้วงตอบโต้จนเกินงาม

สิ่งที่รัฐบาลทำก็คือการพยายามปล่อยให้ฝ่ายค้านพูดไปเรื่อยๆ มีสาระบ้าง ไม่มีสาระบ้างโดยไม่กำหนดกรอบเวลา แต่พออภิปรายเรียงตามมาตราในวาระ 2 จบ

รัฐบาลก็ใช้เสียงข้างมากให้เป็นประโยชน์โหวตผ่านวาระ 3 ทันที

กับอีกส่วนหนึ่งที่ทำให้รัฐบาลไม่ค่อยซีเรียสกับศึกงบประมาณหนนี้

เพราะรู้ว่าฝ่ายค้านไม่กล้าตีรวนมาก เพราะต้องกอบกู้ภาพลักษณ์ตัวเองจากที่เสียหายป่นปี้ไปเมื่อครั้งอภิปรายร่างพ.ร.บ.ปรองดองในสมัยประชุมสภาที่แล้ว

และที่สำคัญฝ่ายค้านยังต้อง "กั๊ก" ข้อมูลบางส่วนไว้ สำหรับการอภิปรายไม่ไว้วางใจ หรือศึกซักฟอก ที่มีเดิมพันทางการเมืองสูงกว่า

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าการอภิปรายร่างพ.ร.บ.งบประมาณฯ หรือการยื่นญัตติเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล

คือกลไกอย่างหนึ่งของฝ่ายค้านในสภา ในการทำหน้าที่ตรวจสอบฝ่ายบริหารตามกฎกติกาการ เมืองในระบอบประชาธิปไตย

ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกฝ่ายต้องยอมรับและเคารพ

ไม่เพียงแต่รัฐบาล พรรคฝ่ายค้านเองก็ต้องยอมรับและเคารพต่อกลไกดังกล่าวเช่นกัน ไม่ว่าผลการทำหน้าที่ตรวจสอบจะออกมาอย่างไร

กระนั้นก็ตามปฏิเสธไม่ได้ว่าจากสถานการณ์แวดล้อมทางการเมืองตอนนี้ ล้วนบ่งชี้ให้เห็นถึงความได้เปรียบของรัฐบาลที่มีอยู่เหนือฝ่ายค้านแทบทุกมิติ

ทั้งในสภาและนอกสภา

ในสภานั้น รัฐบาลเพื่อไทยมีเสถียรภาพมั่นคงแข็งแกร่งด้วยเสียงสนับสนุนจากพรรคร่วม ที่ตลอด 1 ปีที่ผ่านมาไม่มีพรรคใดแสดงอาการงอแงให้เห็น

ยิ่งไปกว่านั้นฝ่ายค้านบางส่วนโดยเฉพาะพรรคภูมิใจไทย กลุ่มมัชฌิมาของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน ยังแสดงความโอนเอียงเข้าหาพรรคเพื่อไทยจนออกนอกหน้า

หรือแม้แต่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล ว่าที่หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยคนใหม่ บางช่วงบางตอนก็เผยท่าทีที่เป็นมิตรกับฝั่งรัฐบาลเพื่อไทยออกมาให้เห็น เช่นกัน

ในทางตรงกันข้าม

แกนนำฝ่ายค้านอย่างพรรคประชาธิปัตย์กลับถูกทิ้งให้ต้องเผชิญกับ "มรสุมกรรมเก่า" ซัดกระหน่ำ

จนต้องเป็นฝ่ายถอยร่นเสียเอง

กรรมเก่าของพรรคประชาธิปัตย์ที่ไล่กวดตามหลังมาติดๆ ตอนนี้

เป็นเรื่องอื่นไปไม่ได้นอกเสียจากกรณี 98 ศพ จากเหตุการณ์สลายการชุมนุมคนเสื้อแดง เดือนเม.ย.-พ.ค.2553

ภายใต้ความรับผิดชอบในการคลี่คลายของพนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ในรัฐบาลชุดนี้ คดีได้เดินหน้าไปอย่างรวดเร็ว

ปัจจุบันมี 19 ศพที่อยู่ระหว่างการไต่สวนชันสูตรพลิกศพในชั้นศาล รอการวินิจฉัยว่าการตายทั้ง 19 ศพเกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐหรือไม่

โดยเฉพาะคดีการตายของ นายพัน คำกอง แท็กซี่เสื้อแดง ซึ่งถูกยิงตายหน้าคอนโดฯ ถ.ราชปรารภ ย่านมักกะสัน เมื่อวันที่ 15 พ.ค.2553

เป็นคดีไต่สวนชันสูตรพลิกศพคดีแรก

ที่ศาลมีคำสั่งเรียก นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกฯ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กับ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกฯ และอดีตผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) 

ให้มาขึ้นเบิกความวันที่ 21 ส.ค.นี้

นอกจากนี้ ยังมีคดีสำคัญน่าจับตาไม่แพ้กัน กรณีมีผู้ถูกยิงบาดเจ็บ 2 รายในเหตุการณ์เดือนพ.ค.2553 เข้าร้องทุกข์ดำเนินคดีกับนายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ

ในข้อหาพยายามฆ่า

ทั้งนี้ จุดเชื่อมโยงข้อหาดังกล่าว พยานปากสำคัญอยู่ตรงเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการที่ได้รับคำสั่งให้ออกมาปฏิบัติหน้าที่ในช่วงเวลาเกิดเหตุ

พนักงานสอบสวนดีเอสไอเตรียมออกหมายเรียกเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการดังกล่าวมาให้การภายในเดือนส.ค.นี้ เพื่อสอบสวนว่าได้รับคำสั่งมาจากใคร

ต้องไม่ลืมว่า นอกจาก 98 ศพแล้ว ในเหตุ การณ์การเมืองนองเลือดเดือนเม.ย.-พ.ค.2553 ยังมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีกเกือบ 2,000 คน 

ในจำนวนนี้ทุกคนมีสิทธิ์เข้าแจ้งความดำเนินคดีกับผู้สั่งการในข้อหาพยายามฆ่า หรือเจตนาทำให้ได้รับบาดเจ็บสาหัสได้ทั้งสิ้น

ผลแห่งกรรมเก่าที่กำลังรุกไล่กระชั้นชิด จะกระทบถึงใคร ในรูปแบบใด หนักหน่วงขนาดไหน และจะมีผลต่อการยื่นญัตติซักฟอกรัฐบาล รวมถึงร่างกฎหมายปรองดองที่ค้างอยู่ในสภาหรือไม่

น่าติดตามเป็นอย่างยิ่ง
 



วันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2555 เวลา 11:50 น.  ข่าวสดออนไลน์




คิดตามข่าว เล่าตามที่เห็น

...................................................................................................

พนักงานสอบสวนดีเอสไอเตรียมออกหมายเรียกเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการดังกล่าวมาให้การภายในเดือนส.ค.นี้ เพื่อสอบสวนว่าได้รับคำสั่งมาจากใคร

ต้องไม่ลืมว่า นอกจาก 98 ศพแล้ว ในเหตุ การณ์การเมืองนองเลือดเดือนเม.ย.-พ.ค.2553 ยังมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีกเกือบ 2,000 คน 
ในจำนวนนี้ทุกคนมีสิทธิ์เข้าแจ้งความดำเนินคดีกับผู้สั่งการในข้อหาพยายามฆ่า หรือเจตนาทำให้ได้รับบาดเจ็บสาหัสได้ทั้งสิ้น

ผลแห่งกรรมเก่าที่กำลังรุกไล่กระชั้นชิด จะกระทบถึงใคร ในรูปแบบใด หนักหน่วงขนาดไหน และจะมีผลต่อการยื่นญัตติซักฟอกรัฐบาล รวมถึงร่างกฎหมายปรองดองที่ค้างอยู่ในสภาหรือไม่

น่าติดตามเป็นอย่างยิ่ง


......................

ถ้าไปถามชาวบ้านทั่วไปคงได้คำตอบแบบประชดประชันว่า ก็ เหี้ยสั่งฆ่า ห่าสั่งยิง เพราะรู้กันดีอยู่ว่าใครใหญ่ใครมีอำนาจในขณะนั้น  ส่วนที่มีนายทหาร ออกมาพูดแต่ตัวต่างๆนาๆ แม้แต่ คนที่เป็นนายกฯตอนนั้นอย่าง นายมาร์ค และเทพเทือก บอกว่าไม่ได้สั่ง ถ้าอย่างนั้นไอ้พวกที่ยกทัพขนรถถังและอาวุธออกมามันต้องโดนประหารสิครับ เพราะทำเกินคำสั่ง  เรื่องนั้ไม่ต้องไปอธิบายมาก ของมันเห็นมันรู้กันอยู่แก่ใจว่าใครทำอะไร..... หากย้อนถามเรื่องเก่าๆตอนที่มีการยึดอำนาจเมื่อ 19 กันยายน 2549  และต่อมา เสธหนั่น พล.ต.สนั่น ขจรประศาสตร์ ไปถามบิ๊กบัง พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ว่าใครสั่งให้ยึดอำนาจ ...ก็ลองค้นดูภาพตอนที่ พล.อ.เปรม พาคณะปฏิวัติไปเข้าเฝ้าสิครับ แล้วลองนึกหาคำตอบจากภาพที่เห็นให้ได้ว่า มีคำสั่งใดหรือคำตำหนิใดๆ ....คนที่รู้ และเข้าเฝ้าวันนั้น วันนี้ยังมีชีวิตกันอยู่ และที่ผ่านมามีใครพูดความจริงกันหรือยัง ....หากยัง พวกปากหอยปากหมา ...อย่าพยามใส่ร้ายกล่าวหาว่าคนเสื้อแดงและผู้เกี่ยวข้องคิดล้มล้างสถาบัน มิฉนั้น บ้านนี้เมืองนี้ก็จะบรรลัย เพราะพวกกล่าวอ้างแอบอ้าง

วันเสาร์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2555

คำสั่งรักษาด่านศอฉ.ใช้ "พลแม่นปืน" หากผู้ก่อเหตุปะปนผู้ชุมนุม - หากยิงไม่ได้ให้ใช้ "สไนเปอร์"



เปิดเอกสาร “ศอฉ.” เผยแนวทางปฏิบัติการใช้อาวุธเพื่อรักษาที่ตั้งสำคัญ จุดตรวจ ด่านตรวจ ของช่วงสลายชุมนุม เม.ย. – พ.ค. 53 ระบุหากมีผู้ก่อเหตุใช้อาวุธแล้วอยู่ปะปนกับผู้ชุมนุม ให้เจ้าหน้าที่งดใช้อาวุธยกเว้นถ้าในหน่วยมี “พลแม่นปืน” ให้ทำการยิงเพื่อหยุดยั้งการก่อเหตุได้ และหากไม่สามารถยิงได้ สามารถร้องขอ “พลซุ่มยิง (Sniper)” จาก ศอฉ. ได้
18 ส.ค. 55 – ผู้สื่อข่าวประชาไท ได้รับเอกสาร ส่วนราชการ สยก.ศอฉ. ที่ กห.1407.55 (สยก.) ลงวันที่ 17 เม.ย. 53 เรื่อง “ขออนุมัติแนวทางการปฏิบัติในการใช้อาวุธเพื่อ รปภ. ที่ตั้งหน่วยและสถานที่สำคัญ รวมทั้งการปฏิบัติ ณ จุดตรวจ/ด่านตรวจและสายตรวจเคลื่อนที่” ลงนามโดย พล.ท.อักษรา เกิดผล หน.สยก.ศอฉ. เสนอ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ผอ.ศอฉ. ในเวลานั้น
โดยเอกสารมีทั้งหมด 5 หน้า ใจความสำคัญคือการระบุแนวทางปฏิบัติ หากมี “ผู้ก่อการร้ายแฝงตัวมากับกลุ่มผู้ชุมนุม และใช้อาวุธ/วัตถุระเบิดต่อเจ้าหน้าที่ และประชาชนผู้บริสุทธิ์”



อ่านเพิ่มเติมที่ http://prachatai.com/journal/2012/08/42125

Tags:


เว็บประชาไท โชว์เอกสาร คำสั่งรักษาด่านศอฉ.ใช้"พลแม่นปืน"หากผู้ก่อเหตุปะปนผู้ชุมนุม-หากยิงไม่ได้ให้ใช้"สไนเปอร์"

เปิดเอกสาร “ศอฉ.” เผยแนวทางปฏิบัติการใช้อาวุธเพื่อรักษาที่ตั้งสำคัญ จุดตรวจ ด่านตรวจ ของช่วงสลายชุมนุม เม.ย. – พ.ค. 53 ระบุหากมีผู้ก่อเหตุใช้อาวุธแล้วอยู่ปะปนกับผู้ชุมนุม ให้เจ้าหน้าที่งดใช้อาวุธยกเว้นถ้าในหน่วยมี “พลแม่นปืน” ให้ทำการยิงเพื่อหยุดยั้งการก่อเหตุได้ และหากไม่สามารถยิงได้ สามารถร้องขอ “พลซุ่มยิง (Sniper)” จาก ศอฉ. ได้ 
18 ส.ค. 55 – ผู้สื่อข่าวประชาไท ได้รับเอกสาร ส่วนราชการ สยก.ศอฉ. ที่ กห.1407.55 (สยก.) ลงวันที่ 17 เม.ย. 53 เรื่อง “ขออนุมัติแนวทางการปฏิบัติในการใช้อาวุธเพื่อ รปภ. ที่ตั้งหน่วยและสถานที่สำคัญ รวมทั้งการปฏิบัติ ณ จุดตรวจ/ด่านตรวจและสายตรวจเคลื่อนที่” ลงนามโดย พล.ท.อักษรา เกิดผล หน.สยก.ศอฉ. เสนอ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ผอ.ศอฉ. ในเวลานั้น
โดยเอกสารมีทั้งหมด 5 หน้า ใจความสำคัญคือการระบุแนวทางปฏิบัติ หากมี “ผู้ก่อการร้ายแฝงตัวมากับกลุ่มผู้ชุมนุม และใช้อาวุธ/วัตถุระเบิดต่อเจ้าหน้าที่ และประชาชนผู้บริสุทธิ์”
ติดตามดูเอกสารชุดดังกล่าวได้ที่ คลิก เว็บประชาไท

วันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2555 เวลา 21:00 น.  ข่าวสดออนไลน์




กลุ่มคนลึกลับติดตามถ่ายภาพ-ห้องทำงาน "วรเจตน์" และนักวิชาการนิติราษฎร์

วันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2555 เวลา 01:24 น.  ข่าวสดออนไลน์


ผู้สื่อข่าว "ข่าวสด" รายงานว่า  เวลา 15.30 น. วันที่ 17 ส.ค. พ.ต.ท.ภาณุศักดิ์ เสมอศรี พงส. (สบ2) สน.ชนะสงคราม รับแจ้งความจาก นายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พร้อมด้วยอาจารย์จากคณะนิติราษฎร์ เนื่องจากมีบุคคลไม่ทราบกลุ่ม ติดตามถ่ายรูปตนเองและรวมทั้งสถานที่ทำงานภายในมหาวิทยาลัยทางเข้าออกของคณะ เมื่อวันที่ 8 ส.ค. ที่ผ่านมา และยังกระทำการดังกล่าวอีก 2-3 ครั้ง โดยล่าสุดเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา กล้องวงจรปิดของคณะสามารถจับภาพบุคคลดังกล่าวไว้ได้ จึงนำหลักฐานเป็นภาพวิดีโอ เข้าแจ้งความไว้เป็นหลักฐาน 

 "ส่วนหนึ่งที่ทำให้ตัดสินใจเดินทางมาลงบันทึกประจำวันครั้งนี้ เพราะรู้สึกว่ามีเหตุการณ์ทำนองเดียวกันเกิดขึ้นที่คณะนิติศาสตร์ ท่าพระจันทร์ บ่อยครั้งขึ้น" นายวรเจตน์ แกนนำกลุ่มนิติราษฎร์ ระบุ

 ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 10 ส.ค. ที่ผ่านมา นายธีระ สุธีวรางกูร นักวิชาการในกลุ่มนิติราษฎร์ โพสต์ในเฟซบุ๊กส่วนตัวเผยว่า แม่บ้านที่คณะให้ข้อมูลว่าในช่วงต้นเดือนส.ค. มีผู้ชายรูปร่างสันทัด ผมสั้น อายุประมาณ 20 ปีเศษ อ้างว่าเป็นนักศึกษา เดินถามหานักวิชาการกลุ่มนิติราษฎร์ และเมื่อไม่พบก็ถ่ายรูปหน้าห้องทำงานเอาไว้ 

 ด้านพ.ต.ท.ภาณุศักดิ์ เปิดเผยว่าเบื้องต้นได้ลงบันทึกประจำวันไว้ พร้อมกับจะประสานไปยังทางมหาวิทยาลัยฯ เพื่อขอภาพจากกล้องวงจรปิดไปตรวจสอบ ในการติดตามตัวบุคคลในภาพมาสอบสวน ถึงสาเหตุของการกระทำดังกล่าวว่ามีเจตนาคุกคามหรือไม่

.........................................................................................



แฝดเกรียน-แฝดน่วม ศาลจำคุกชก"วรเจตน์"-จ่ออีกคดีปลอมบัตรทหารพราน



   เนื่องจากจำเลยทั้งสองมีพฤติการณ์เป็นนักเลง อันธพาล ไม่เคารพยำเกรงต่อกฎหมายบ้านเมือง โทษจำคุกจึงไม่รอการลงโทษ "  
คือเนื้อหาตอนท้ายของคำพิพาก ษาศาลแขวงดุสิต ต่อคดี "แฝดเกรียน"นายสุพจน์ และนายสุพัฒน์ ศิลารัตน์ ฝาแฝดอายุ 30 ปี ผู้ต้องหาคดีทำร้ายร่างกายนายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหา วิทยาลัยธรรมศาสตร์ และแกนนำกลุ่มนิติราษฎร์


พฤติการณ์ของคู่แฝดที่เตรียมการมาอย่างดี ดักทำร้ายก่อนหลบหนี ทั้งยังท้าทายด้วยการให้เหยื่อดูภาพจากกล้อวงจรปิดใน ม.ธรรมศาสตร์

เมื่อรวมกับประวัติเก่าๆ ที่เคยต้องโทษคดีอาญามาแล้ว ทำให้ศาลไม่มีเหตุให้รอการลงโทษ

ถือเป็นการดัดนิสัย และที่สำคัญเป็นการเบรกความรุนแรงในสังคม ที่กำลังปะทุขึ้น

เป็นการปะทุท่ามกลางการเสี้ยม ของกลุ่มบุคคลที่หวังผลทางการเมือง เพียงเพื่อทำลายฝ่ายตรงข้าม

โดยไม่สำเหนียกว่าสิ่งที่กระทำสร้างความเสียหายต่อองค์รวมเพียงใด!??


พบแฝดเกรียนมีปืนอื้อ

หลังเกิดเหตุคู่แฝดทำร้ายนายวรเจตน์ ก่อนเข้ามอบตัวด้วยสีหน้าเรียบเฉย ท่ามกลางความกังวลของสังคม เพราะมีบางส่วนชื่นชมและเชิดชูพฤติกรรมร้ายของพี่น้องคู่นี้!!!

เป็นการสะใจที่ลงมือทำร้ายนายวรเจตน์ โดยอ้างเรื่องไม่พอใจที่ออกมาเสนอแก้กฎหมายอาญามาตรา 112

ที่น่ากลัวกว่านั้นกลุ่มบุคคลที่ไม่พอใจ ส่วนหนึ่งหรืออาจจะส่วนใหญ่แทบไม่รับทราบข้อเสนอของนิติราษฎร์ด้วยซ้ำ หากแต่รับฟังการใส่ร้ายของกลุ่มบุคคลอื่น ที่ยัดเยียดข้อหา"ล้มเจ้า"ให้กับนิติราษฎร์ เพื่อโยงไปถึงพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้าม

น่าแปลกใจยิ่งกว่าคือกลุ่มที่ยัดข้อหาล้มเจ้า กลับไม่เคยออกมาตอบโต้ข้อเสนอของนิติราษฎร์ในเชิงวิชาการเลย

ขณะที่ 2 พี่น้องหลังเข้ามอบตัวก็เก็บตัวเงียบ แต่สิ่งที่ไม่เงียบคือประวัติต่างๆ ถูกตำรวจเข้าไปตรวจสอบและพบว่าพี่น้องคู่นี้ไม่ธรรมดา!??

ทั้งการเล่นปืน การถ่ายภาพแอ๊กชั่นกับปืนด้วยลีลาต่างๆ คล้ายคลึงยิ่งกับพี่น้องทมิฬ "โจ๊ก-จิ๊บ ไผ่เขียว" แก๊งยาบ้าพระนคร ศรีอยุธยา ที่เล่นปืนและยิงรถที่แล่นผ่านไปมาจนมีเด็กเสียชีวิต กลายเป็นเรื่องราวสลดไปทั้งสังคม

ตำรวจพบว่าพี่น้องคู่นี้มีคดีติดตัวไม่น้อย นายสุพจน์ คนพี่เคยต้องคดีอาวุธปืนผิดมือ ศาลลงโทษจำคุกแต่ให้รอลงอาญา

ส่วนนายสุพัฒน์คนน้อง ต้องคดีทำร้ายร่างกาย ติดคุกมาแล้ว 2 รอบ!!!

ทำให้ พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ รองผบช.น. สั่งตรวจสอบข้อมูลการครอบครองปืนที่พบว่ามีถึง 4 กระบอก เป็นปืนพกขนาด .22 จำนวน 1 กระบอก 9 ม.ม. 2 กระบอก และขนาด .45 อีก 1 กระบอก

โดยเฉพาะปืนพกขนาด .45 ถือว่าเป็นอาวุธร้ายแรงที่ปกติจะไม่อนุญาตกันง่ายๆ ยกเว้นเป็นทหาร-ตำรวจ หรือข้าราชการหน่วยความมั่นคงเท่านั้น

นอกจากนี้ 2 พี่น้องไปขอครอบครองอาวุธปืนทั้งๆ ที่มีคดีอาญาติดตัว ซึ่งตามปกติแล้วการอนุญาตต้องเช็กประวัติอย่างละเอียด ว่าไม่มีพฤติกรรมรุนแรง!??


อ้างเป็นทหารพรานไปขอ

จากพฤติกรรมรุนแรงและมีประวัติต้องคดีอาญาทั้งพี่ทั้งน้อง ทำให้ตำรวจสงสัยว่าทำไมถึงได้รับอนุญาตให้มีอาวุธได้หลายกระบอก ที่สำคัญพบว่าการอนุญาตเกิดขึ้นหลังจากทั้งคู่เคยต้องคดีอาญามาแล้ว ซึ่งตามปกติเจ้าหน้าที่จะไม่อนุญาต

"จะทำหนังสือถึงกระทรวงมหาด ไทย เพื่อตรวจสอบและขอยึดใบ ป.4 เนื่องจากมีพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรงอาจเป็นภัยต่อสังคม นอกจากนี้ให้เจ้าหน้าที่ทำหนังสือเพื่อขออาวุธปืนมาตรวจสอบด้วยว่าเคยนำไปใช้ก่อเหตุอื่นๆ หรือไม่"!??

พล.ต.ต.วิชัยกล่าว

ขณะที่ตำรวจประสานไปยังนายทะเบียนธัญบุรี ที่ออกใบอนุญาต โดย นายสมศักดิ์ พัวพันธุ์ นายอำเภอธัญบุรี ระบุว่า นายสุพจน์ขอทะเบียนอาวุธปืนพกสั้น กึ่งอัตโนมัติ .45 หมายเลข เค 302994 คิมเบอร์ กท. 5344892 เป็นอาวุธปืนในโครงการสวัสดิการข้าราชการของรัฐ เมื่อวันที่ 17 พ.ย. 2553 โดยใช้บัตรประจำอส.ทพ. สังกัดหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 26 จ.บุรีรัมย์ ระบุวันออกบัตร 1 พ.ค. 2551 หมดอายุ 1 พ.ค. 2553

เช่นเดียวกับ นายสุพัฒน์ ก็ใช้บัตรทหารพรานลักษณะเดียวกันมาขอมีปืนถึง 2 กระบอก

เจ้าหน้าที่จึงประสานไปยังกรมทหารพราน เพื่อขอประวัติของคู่แฝดว่าเป็นทหารพรานจริงหรือไม่

ปรากฏว่า พ.อ.ณัฏฐ์ ศรีอินทร์ ผบ.ฉก.กรม ทพ.26 ค่ายปักธงชัย อ.ละหานทราย จ.บุรีรัมย์ ระบุว่าตรวจสอบไม่พบชื่อคู่แฝดเป็นกำลังพลสังกัดกรม ทพ.26 หากใช้บัตร อส.สังกัด ทพ.26 ไปยื่นขออนุญาตมีอาวุธปืน แสดงว่าจงใจแอบอ้างและปลอมแปลงเอกสาร!??

พร้อมกันนี้ผบ.ทหารพรานที่ 26 ทำรายงานเป็นหนังสือเสนอผู้บังคับบัญชา เนื่องจากกรณีนี้ถือว่าทำให้ทหารพรานเสียหาย เพราะคู่แฝดมีคดีติดตัวหลายคดีและยังก่อเหตุเป็นที่สนใจของสังคม

การอ้างตัวเป็นทหารพราน จึงทำให้ภาพ พจน์ของทหารพรานเสื่อมเสียไปด้วย


ศาลสั่งจำคุกไม่รออาญา


ล่วงเข้าวันที่ 8 มีนาคม ตำรวจนัดคู่แฝดมาพบก่อนนำตัวส่งพนักงานอัยการสั่งฟ้องแขวงดุสิต ในความผิดฐานร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนได้รับบาดเจ็บเป็นอันตรายแก่กาย

อัยการระบุฟ้องความผิดสรุปว่า เมื่อวันที่ 29 ก.พ. 2555 จำเลยทั้งสองไปดักรอ และรุมชกทำร้าย นายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แกนนำกลุ่มนิติราษฎร์ ที่เรียกร้องให้แก้ไขกฎหมายอาญา มาตรา 112 บริเวณโหนกแก้มขวาและหน้าผาก ได้รับบาดเจ็บ ก่อนหลบหนีไป

อัยการโจทก์ขอให้ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 และขอให้ศาลนับโทษนายสุพจน์ จำเลยที่ 1 ต่อจากคดีหมายเลขแดงที่ 1336/2553 ที่ศาลอาญามีคำพิพากษาให้จำคุกเป็นเวลา 7 เดือน ปรับ 3,000 บาท โทษจำคุกรอการลงโทษ มีกำหนด 2 ปี คดีครอบครองอาวุธปืนอีกด้วย

ศาลสอบคำให้ การจำเลยให้การรับสารภาพ โดยไม่ร้องขอทนายความแต่อย่างใด จึงมีคำพิพากษาออกมา

"พิเคราะห์แล้วเห็นว่าจำเลยทั้งสองกระทำผิดตามฟ้อง ลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสอง คนละ 6 เดือน คำรับสาร ภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดี ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยทั้งสองเป็นเวลา 3 เดือน"!!!

ในส่วนของจำเลยที่ 1 หรือนายสุพจน์ ผู้พิพากษาให้บวกโทษจำคุก 7 เดือนที่รอการลงอาญาอยู่เข้าไปด้วยรวมลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 เป็นเวลา 10 เดือน

"เนื่องจากจำเลยทั้งสองมีพฤติการณ์เป็นนักเลง อันธพาล ไม่เคารพยำเกรงต่อกฎหมายบ้านเมือง โทษจำคุกจึงไม่รอการลงโทษ ให้จำคุกจำเลยทั้งสอง"!!!

หลังเสร็จสิ้นคำตัดสินทำให้คู่แฝดมีสีหน้าเคร่งเครียด เพราะโดนลงโทษจำคุกโดยไม่รออาญา ก่อนที่ญาติจะยื่นหลักทรัพย์ขอประกันตัวออกไปสู้คดีต่อในชั้นอุทธรณ์


จ่ออีกคดีอ้างทหารพราน

นอกจากคดีทำร้ายอาจารย์วรเจตน์ ที่จบสิ้นไปแล้วในระดับหนึ่ง แต่คู่แฝดยังไม่หมดปัญหาแค่นั้น เพราะมีคดีคือใช้บัตรอาสาทหารพรานไปขออนุญาตมีอาวุธปืนถึง 3 กระบอก

โดยบัตรดังกล่าวต้นสังกัดตรวจสอบแล้วเชื่อว่าเป็นบัตรปลอม!!!

"บัตรประจำตัวทหารพรานที่ผู้ต้องหาทั้งสองนำไปใช้ ลงนามชื่อของพ.อ.ศิริชัย สร้อยแสน นายทหารพระธรรมนูญ จากการตรวจสอบพบว่าพ.อ.ศิริชัยเคยรับราชการอยู่กรมทหารพราน ระหว่างปี 2529-2532 ขณะนั้นมียศร้อยโท สังกัดหน่วยเฉพาะกิจทหารพรานที่ 23 ตำแหน่งนายทหารพระธรรมนูญ ก่อนย้ายไปสังกัดหน่วยอื่น แต่บัตรที่นำไปแสดงนั้นลงชื่อพ.อ.ศิริชัย ออกให้เมื่อปี 2551 ซึ่งพ.อ.ศิริชัยไม่ได้สังกัดทหารพรานที่ 26 แต่อย่างใด"!!!

พ.อ.ณัฏฐ์ ผบ.กรมทหารพรานที่ 26 ต้นสังกัดซึ่ง 2 คู่แฝดนำไปอ้าง ชี้แจงว่าได้สอบถามพ.อ.ศิริชัย ซึ่งตอนนี้สังกัดกองบัญชาการกองทัพไทย พ.อ.ศิริชัยยืนยันว่าไม่รู้จักกับผู้ต้องหาฝาแฝดทั้ง 2 คน ขณะนี้ประ สานขอข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับทั้ง 2 คน

ด้านพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. กล่าวว่า ได้รับการยืนยันจากผบ.กรมทหารพรานที่ 26 แล้วว่า บุคคลทั้ง 2 ไม่เคยเป็นทหารพราน และคนที่เซ็นชื่อรับรองนั้นเป็นนายทหารพระธรรมนูญ ซึ่งย้ายออกจากหน่วยไปนานแล้ว

"ขอยืนยันว่าบุคคลทั้ง 2 ไม่ใช่ทหารพรานอย่างแน่นอน"


ผบ.ทบ.กล่าวและว่า สั่งให้ต้นสังกัดที่ถูกอ้างชื่อทำรายงานเสนอขึ้นมาแล้ว

ส่วนนายสมศักดิ์ พัวพันธุ์ นายอำเภอธัญบุรี กล่าวว่า บุคคลทั้งสองไม่ได้มีชื่ออยู่ในหน่วยทหารพราน คาดว่าได้ใช้เอกสารปลอม ถ้าหากต้นสังกัดกรมทหารพรานที่ 26 จ.บุรีรัมย์ และพนักงานสอบสวนแจ้งมาอย่างเป็นลายลักษณ์อักษร ว่าทั้งสองใช้เอกสารการเป็นเท็จในการขอใบมีอาวุธปืน ทางอำเภอจะแจ้งความดำเนินคดี ข้อหานำเอกสารการเป็นเท็จมาติดต่อทางราชการต่อไป

งานนี้ไม่รู้ว่านอกจากเรื่องแอบอ้างเป็นทหารพราน ใช้เอกสารปลอมขออาวุธปืนแล้ว ยังจะมีเรื่องอะไรโผล่ออกมาอีกหรือเปล่า โดยเฉพาะการงานอาชีพ ซึ่งคู่แฝดให้การกับตำรวจว่าขายเสื้อผ้า น้ำหอม และช่วยดูแลบ้านให้เศรษฐินีรายหนึ่ง แต่สามารถมีเงินซื้ออาวุธปืนกระบอกละนับแสนบาทได้ถึง 3 กระบอก แถมการซ้อมยิงแต่ละครั้งต้องใช้เงินหลักพัน หรือหลายพันบาท

ลำพังแค่คดีทำร้ายร่างกาย และใช้เอกสารปลอม-อ้างชื่อทหารพราน แค่นี้จาก"แฝดเกรียน"ก็กลายเป็น"แฝดน่วม"ไปแล้ว!!!





วันอาทิตย์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2555

จับ "ส.ข." พรรคประชาธิปัตย์ ยึดปืน-ยาบ้า-ใบกระท่อม

เมื่อเวลา 15.00 น. วันนี้ ( 12 ส.ค.) ร.ต.อ.สุรพล จันทรศักดิ์ รองสวป. งานสายตรวจ 2 กก.สายตรวจกองบก.ตปพ.พร้อมพร้อมพวก นำหมายค้นศาลอาญาเลขที่ 278/2555 ลงวันที่ 12 ส.ค.เข้าตรวจค้นบ้านเลขที่ 55/1 ซอยวัดเทพลีลา1 แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ  ซึ่งเป็นบ้านของนายสมชาย นิยมราช อายุ 45 ปี ส.ข.วังทองหลาง พรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นบ้านไม้ชั้นเดียวปลูกติดกันในชุมชนวัดเทพลีลา พบนายสมชาย อยู่ในบ้าน จึงแสดงหมายค้นให้ดูแล้วเข้าตรวจค้น  พบปืนขนาด 9 มม. ทะเบียน เพชรบุรี02/3900003   แมกกาซีน 3 อัน  เครื่องกระสุนขนาดเดียวกัน 21 นัด ปืนปากกาขนาด .22  ซึ่งถูกนำไปทิ้งไว้ในโถส้วม พร้อมเครื่องกระสุน จำนวน 4 นัด หัวกระสุนปืนไม่ทราบขนาด  574 ลูก ยาบ้า 16 เม็ด ใบกระท่อมกว่า 100 ใบ และยาไอซ์อยู่ในหลอด ยาแก้ไอ 7 ขวด จึงยึดของกลางทั้งหมดไว้เป็นหลักฐาน
ร.ต.อ.สุรพล กล่าวว่า  สืบเนื่องจาก  ตำรวจชุดจับกุม ได้รับการร้องเรียนว่า มีเหตุยิงปืนขึ้นฟ้าหลายครั้ง จึงส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่หาข่าวก่อนรวบรวมรวมพยานหลักฐาน ขออนุมัติหมายค้น เข้าตรวจสอบบ้านหลังดังกล่าว
 จากการสอบสวนเบื้องต้น นายสมชายให้การภาคเสธว่า ปืนขนาด 9 มม.เป็นของตน ซื้อมาจากเพื่อนเมื่อ 6-7 เดือนก่อน ในราคา 25,000 บาท และกำลังทำเรื่องโอน ขณะนี้ขั้นตอนอยู่ที่กรมการปกครองอยู่ สำหรับของกลางส่วนอื่น ไม่ใช่ของตน โดยเฉพาะปืนปากกาน่าจะเป็นของบุตรชาย อย่างไรก็ตามช่วงนี้ตนเตรียมงานวันแม่ในชุมชนอยู่ จึงไม่ค่อยได้อยู่และพักอาศัยในบ้านหลังดังกล่าว ที่ผ่านมาตนเป็นสมาชิกส.ข. 3 สมัย ก่อนหน้านี้เคยเป็นผู้ใหญ่บ้านมา 4 ปีแล้ว จึงอยากจะขอขอความเป็นธรรมด้วย สำหรับหัวกระสุนปืนไม่ทราบขนาดนั้น ตนได้นำปลอกไปทำตะกรุด ส่วนหัวก็เก็บไว้ที่บ้านเฉย ๆ เจ้าหน้าที่จึงยึดของกลางทั้งหมดไปตรวจสอบ พร้อมแจ้งข้อหาครอบครองอาวุธปืนและเครื่องกระสุนโดยไม่ได้รับอนุญาต มียาเสพติดให้โทษประเภท1 (ยาบ้า,ยาไอซ์) ไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต มียาเสพติด(ใบกระท่อม)ไว้ในความครอบครองโดยผิดกฎหมายควบคุมตัวดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป.

 
ทีมา เดลินวส์ออนไลน์ วันอาทิตย์ที่ 12 สิงหาคม 2555 เวลา 18:36 น.
 

วันเสาร์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ช็อตเด็ดวันนี้:นักศึกษายุวชนนปช.ซิ่งสปอร์ตหรูบุกรังปชป. ประท้วงจี้มาร์คถอนคำพูดใส่ร้ายเสื้อแดง

ที่มาจาก..Thai E-News
 

นักศึกษาที่อ้างตัวว่าเป็น "ยุวนปช." ขับรถสปอร์ตหรูแบบเปิดประทุนบุกพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อเรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้ถอนคำพูดจากการพูดถึงอุดมการณ์ของกลุ่มคนเสื้อแดง ในวันที่นายอภิสิทธิ์สวมเสื้อแดงขึ้นเวที่ผ่าความจริง พร้อมกับทวงคืนสีแดงให้คนไทย ไม่ให้กลุ่มไหนผูกขาดสีแดง(ที่มา:เพจ สายตรงภาคสนาม)


“เด็กแดง” ขับรถปอร์ตสีขาวเปิดประทุน บุก “ที่ทำการปชป.” จี้ “มาร์ค” ถอนคำพูดบิดเบือนอุดมการณ์ นปช. #nsn
ภาพ-ข่าว : พิมพ์นารา ประดับวิทย์…สำนักข่าวเนชั่น twitter@ pimnara_nna
3 ·  · 



รูปภาพ : น้องซิม ไปรอยื่นหนังสือให้คุณอภิสิทธิ์ทีี่พรรคปชป. เรื่องให้ถอนคำพูดเรื่องดูถูกอุดมการณ์คนเสื้อแดง ถ้าไม่มารับหนังสือด้วยตัวเอง ก็จะอดข้าวอดน้ำรอ จนกว่สจะมา ไปให้กำลังใจกันได้นะครับ
33 ·  · 







เด็กแดงขับรถสปอร์ตสีขาวเปิดประทุนบุกที่ทำการปชป.


ที่พรรคประชาธิปัตย์ วันที่ 4 ส.ค.2555 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลาประมาณ 14.30 น. มีชาย 1 หญิง 2 รวม 3 คน อ้างตัวเป็นนักศึกษา "ยุว นปช." ได้ขับรถสปอร์ตหรูแบบเปิดประทุนสีขาว มาจอดหน้าที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อเรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้าน ในสภาผู้แทนราษฎรและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้ถอนคำพูดจากการพูดถึงอุดมการณ์ของกลุ่มคนเสื้อแดง ในวันที่นายอภิสิทธิ์สวมเสื้อแดงขึ้นเวทีผ่าความจริง โดยศึกษาทั้งสามคนไม่ยอมเปิดเผยชื่อจริง โดยคนหนึ่งบอกแต่เพียงว่าชื่อ "ซิม" พร้อมกับระบุว่า แม้ว่ากลุ่มตนจะรับได้ที่นายอภิสิทธิ์สวมเสื้อแดงในการขึ้นเวทีผ่าความจริงที่สนามไทย-ญี่ปุ่น ดินแดงในวันนั้น แต่ก็ไม่ควรพูดบิดเบือนอุดมการณ์ของคนเสื้อแดง จึงมาเรียกร้องในนายอภิสิทธิ์แสดงความรับผิดชอบ และขอให้ถอนคำพูดในเรื่องดังกล่าว โดยยืนยันจะปักหลักรอนายอภิสิทธิ์เพียงคนเดียว 


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ 1 ใน "ยุว นปช." บอกกับว่าผู้สื่อข่าวว่าได้ประสานนายแทนคุณ จิตอิสระ เพื่อเข้ายื่นหนังสือ แต่เมื่อผู้สื่อข่าวโทรศัพท์ไปสอบถามแทนคุณ ก็ได้รับคำตอบว่า มีคนโทร.ไปประสานให้มารับหนังสือ ซึ่งตนเองก็ตอบกลับไปว่าเป็นวันหยุดและพรรคหยุดทำการ จะมาก็มาถ้ามีเจ้าหน้าที่อยู่ก็ยื่นกับเจ้าหน้าที่ได้ อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ตำรวจจากสน.บางซื่อ ซึ่งเป็นเจ้าของท้องที่รีบรุดมาดูแลความสงบเรียบร้อยภายใน 5 นาที ทั้งนายตำรวจระดับสารวัตร สายตรวจ และสายสืบนอกเครื่องแบบ รวม 9 นาย (ที่มา:สำนักข่าวเนชั่น)

ใบลาออก และเหตุผล 5 ประการ ผมหมดศรัทธาต่อพรรคประชาธิปัตย์


วันที่ 29  มีนาคม  พรรษิษฐ์ ต่อสุวรรณ  ได้เผยแพร่ "หนังสือลาออกจากสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์" ผ่านสื่อต่างๆ  เนื้อความของหนังสือลาออก มีใจความ ดังนี้



....กราบเรียนท่านหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์



กระผมนายพรรษิษฐ์ ต่อสุวรรณ สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ประเภทสามัญเลขที่ 43414075 โดยผมได้สมัครเป็นสมาชิกตั้งแต่ปีพ.ศ. 2541 ในสมัยที่พรรคประชาธิปัตย์กำลังจะต้องตกเป็นฝ่ายค้านเพราะความนิยมกำลังถาโถมไปที่พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร และในที่สุดพรรคประชาธิปัตย์ก็พ่ายแพ้การเลือกตั้งทั่วไป และพรรคไทยรักไทยของ พ.ต.ท. ทักษิณก็ได้เป็นรัฐบาลสมัยแรก



ตอนนั้นตัวกระผมเองได้หอบหิ้วปริญญาตรีและโทกลับมาจากประเทศสหรัฐอเมริกาภายหลังเหตุการณ์วิกฤติเศรษฐกิจไม่นานนัก พร้อมกับความเชื่อที่ว่าคนเราทุกคนควรมีส่วนร่วมทางการเมืองเพื่อสร้างสังคมที่ดี และการเป็นสมาชิกพรรคการเมืองก็น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีได้
 


 ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมานั้น ผมเฝ้าติดตามความเป็นไปของการเมืองไทยในฐานะประชาชนคนไทยคนหนึ่ง ซึ่งไม่เคยมุ่งหวังที่จะเดินเข้าไปสู่สนามการเมืองแต่อย่างใด เพียงแต่ใช้กำลังกาย สมอง เวลา และโอกาสเท่าที่มีในการตอบแทนสังคมบ้างทั้งในฐานะอาจารย์ในมหาวิทยาลัย หรือนักเขียนมือสมัครเล่นในคอลัมน์หนังสือพิมพ์ฉบับต่าง ๆ ต่อเนื่องกันมาเป็นเวลาหลายปี



 สาเหตุที่ตอนนั้นกระผมตัดสินใจส่งใบสมัครมาที่พรรคประชาธิปัตย์แทนที่จะเป็นพรรคไทยรักไทย ซึ่งสมัยนั้นจะมีภาพลักษณ์ที่ทันสมัยกว่า และกำลังอยู่ในช่วงที่ได้รับความนิยมสูงขึ้นทั้งในสังคมเมืองและสังคมชนบท ก็เพราะว่า ตัวผมเองไม่เคยเชื่อเลยว่าเจ้าของกลุ่มทุนผูกขาดอย่าง พ.ต.ท. ทักษิณจะมีความจริงใจที่จะเสียสละในการเข้ามาช่วยเหลือประเทศชาติได้อย่างแท้จริง



 แต่มีความเชื่อว่าเนื้อแท้ของกลุ่มทุนผูกขาดโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสัมปทานของรัฐมักจะต้องเอารัดเอาเปรียบประชาชนอย่างเป็นธรรมชาติ ในขณะที่พรรคประชาธิปัตย์นั้นเป็นพรรดการเมืองที่เก่าแก่ยาวนาน มีความเป็นสถาบันการเมืองมากที่สุดเท่าที่มีอยู่ในสังคมการเมืองไทย



แต่วันและเวลาสอนให้ผมได้เรียนรู้ถึงธรรมชาติของการเมืองไทยมากขึ้น ซึ่งในความเป็นจริงนั้นมีความลึกซึ้งมากกว่าภาพที่คนทั่ว ๆ ไปเห็นอยู่บนเวทีการเมืองที่เป็นทางการอยู่มากนัก แต่สำหรับผมแล้ว ช่วงเวลาสิบกว่าปีนี้ได้พิสูจน์ให้เห็นเนื้อแท้ของพรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นอย่างดีในระดับหนึ่ง และทำให้ผมได้คำตอบมาระยะหนึ่งแล้วว่าตัวเองนั้นคิดผิด ซึ่งผมขอประมวลเหตุผลมาประกอบดังต่อไปนี้



1. พรรคประชาธิปัตย์จะไม่มีวันชนะใจประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศได้ เพราะขาดความจริงใจมุ่งแต่สร้างภาพจอมปลอม ประโยคนี้เป็นสัจธรรมเสมอ มาตั้งแต่เริ่มก่อตั้งพรรคประชาธิปัตย์และน่าจะเป็นจริงตลอดไปด้วย ตราบใดที่จะยังคงมีพรรคนี้อยู่ในเวทีการเมืองไทย   เพราะประวัติศาสตร์บอกว่าพรรคประชาธิปัตย์มักจะได้อำนาจรัฐหรือได้เป็นรัฐบาลโดยการเพลี่ยงพล้ำของพรรคขั้วตรงข้าม และมีพลังอำนาจพิเศษที่มาหนุนอยู่ตลอด


ดังนั้นลักษณะของพรรคประชาธิปัตย์จะมักจะเชิดคนที่มีภาพลักษณ์ดี(สำหรับสังคมไทย) กล่าวคือมักจะเป็นคนที่มีลักษณะความสุภาพ อ่อนน้อมถ่อมตน หรือมีชาติตระกูลสูง หรือแม้กระทั่งคนมีหน้าตาดี นอกจากนี้อาจจะมีการเชิดชูภาพของความซื่อสัตย์เป็นจุดขาย แต่จะสังเกตได้ว่านั่นมักจะเป็นเพียงหน้าฉากของผู้นำพรรคเท่านั้น



 แต่เบื้องหลังของผู้นำพรรคหรือแม้กระทั่งเบื้องหลังหน้ากากอันสวยหรูของผู้นำพรรค ก็มักจะมีบรรดานักการเมืองสกปรกที่หิวโหยอยู่ข้างหลังอย่างสม่ำเสมอ ดังนั้นพรรคประชาธิปัตย์จึงไม่เคยนำเสนอแนวทางในการบริหารพัฒนาบ้านเมืองอันใดได้เลย ที่ทำอยู่ก็จะมีเพียงนโยบายเฉพาะกิจ หรือเพื่อการประชาสัมพันธ์หาเสียงเท่านั้น มุ่งจะเล่นแต่การเมืองแต่ไม่เคยพัฒนาบ้านเมือง


2.  การมุ่งเล่นแต่การเมือง ทำให้บรรดานโยบายของพรรคที่ออกมา ขาดพื้นฐานด้านข้อมูลที่เป็นจริง ขาดการศึกษาและวิเคาระห์ถึงปัญหาอย่างลึกซึ้ง ซึ่งความจริงแล้วพรรคประชาธิปัตย์ถึงแม้ว่าจะเป็นพรรคการเมืองที่แก่ที่สุด แต่ก็ไม่เคยมีนโยบายเป็นของตัวเองมาก่อน บรรดานโยบายของรัฐบาลอภิสิทธิ์ก็ต้องยอมรับว่าเป็นการคัดลอกและดัดแปลงมาจากนโยบายประชานิยมของพรรคไทยรักไทยในอดีตทั้งสิ้น


แต่น่าเสียใจว่าการคัดลอกดัดแปลงนั้นกลับทำได้ย่ำแย่กว่าสมัยที่พรรคไทยรักไทยเป็นรัฐบาลเสียอีก พรรคประชาธิปัตย์เข้าใจว่าการที่พรรคไทยรักไทยชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลายเป็นเพราะประชาชนหิวโหยในผลประโยชน์ ดังนั้นการเข้ามาของรัฐบาลอภิสิทธิ์จึงเริ่มต้นด้วยการหว่านโปรยผลประโยชน์

ตั้งแต่นโยบายแจกเงินกินเปล่าให้ประชาชนหัวละสองพันบาท แต่จะเห็นได้ว่าการแจกเงินกินเปล่าเหล่านั้นไม่ได้ทำให้คะแนนนิยมของพรรคสูงขึ้น กลับลดลงเสียด้วยซ้ำ เป็นเพราะเหตุใด? ก็เพราะว่าวิธีการแจกเงินสองพันบาทโดยใช้ฐานข้อมมูลประกันสังคมนั้นไม่สามารถจะนำเงินไปสู่คนยากคนจนส่วนใหญ่ของประเทศอย่างแท้จริง ไปได้แค่เพียงคนชั้นกลางซึ่งมีข้อมูลอยู่ในทะเบียนฯเท่านั้น นโยบายนี้เหยียบย่ำหัวใจคนยากคนจนที่ส่วนใหญ่ที่ยากไร้ไม่มีที่ทำกิน ที่อยู่อาศัย จะมีประกันสังคมได้อย่างไร



ในขณะที่นโยบายที่ลอกและสานต่อจากนโยบายไทยรักไทยอย่างโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์หรือที่เรียกกันว่าโอท๊อป ซึ่งภาครัฐเคยจัดงานที่อิมแพคเมืองทองธานีเป็นประจำทุก ๆ ปี เป็นงานกึ่งตลาดนัดกึ่งแสดงสินค้า ซึ่งได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดีทั้งจากผู้ประกอบการขนาดเล็กและขนาดย่อม จากผู้นำเข้าและผู้ส่งออก ตลอดจนจากผู้บริโภคทั่ว ๆ ไป พอรัฐบาลอภิสิทธิ์เข้ามาบริหารก็ได้ย้ายสถานที่จัดงานมาตั้งอยู่ใจกลางเมือง ทั้งตามห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ ทั้งในลานเอนกประสงค์หน้าห้างฯ บริเวณรอบสนามกีฬาแห่งชาติ และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมางานโอท็อปก็ต้องพับฐานลงอย่างน่าเสียดาย



ด้วยเหตุผลหลายอย่าง ทั้งสถานที่จัดงานกระจัดกระจาย สภาพอากาศที่ไม่อำนวย ทำให้จำนวนคนเข้าชมงานลดน้อยลงอย่างมาก ผู้ค้าซึ่งมาจากต่างจังหวัดนอกจากจะขายสินค้าไม่ได้ ยังต้องแบกภาระค่ากินนอนเข้าไปอีกเพราะอดีตที่เคยอาศัยบริเวณจัดงานในอิมแพคฯก็ไม่มีค่าใช้จ่ายอะไร หัวอกคนยากคนจนและคนทำมาหากินซึ่งรัฐบาลประชาธิปัตย์ไม่เคยเข้าใจและคงไม่มีวันจะเข้าใจได้ สิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์ทำได้อย่างเชี่ยงชาญก็คือการใส่ไคล้ทำลายและช่วงชิงโอกาส ซึ่งล้วนเป็นเกมการเมืองทั้งสิ้น



3. บริหารไร้ประสิทธิภาพแต่โกงเป็นมาตรฐาน ด้วยนโยบายหว่านผลประโยชน์กับการสร้างภาพของรัฐบาลชุดนี้ ทำให้รัฐต้องแบกภาระเพิ่มขึ้นมากมาย จะเห็นได้ว่ามีการกู้เงินมหาศาลกว่ารัฐบาลใดในอดีตเสียอีก แต่ลำพังการกู้นั้นมิสามารถทำให้รัฐบาลดำเนินนโยบายไร้ประสิทธิภาพเหล่านั้นต่อไปได้มากนัก



รัฐบาลชุดนี้จึงมีกระบวนการสร้างภาระโดยการรีดภาษีจากคนชั้นกลางในมิติต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง จะเห็นได้ว่าสภาพเศรษฐกิจของประเทศมีความฝืดเคืองมากขึ้นเป็นลำดับ เพราะรัฐบาลนอกจากไม่ส่งเสริมการลงทุนภายในประเทศแล้ว กลับบั่นทอนกำลังการบริโภคของประชาชนไปเสียอีกด้วย



 ในขณะที่รัฐบาลชุดนี้เข้ามาบริหารประเทศ เราก็มักจะได้ยินข่าวการทุจริตมากขึ้นเป็นลำดับ บรรดาข่าวการทุจริตซึ่งส่วนใหญ่มาจากนโยบายจัดซื้อจัดจ้างการรับเหมาก่อสร้างมากมาย ซึ่งมีรูปแบบคลาสสิคโบราณ และน่าจะเป็นสิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์ไม่สามารถพัฒนาก้าวข้ามไปได้เลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องฉาวโฉ่เกี่ยวกับโครงการนมโรงเรียน โครงการรถเมล์ โครงการต้นกล้าอาชีพของรัฐบาล ไปจนถึงโครงการรถเมล์BRT อภิมหาโครงการโมโนเรล โครงการซุปเปอร์สกายวอล์กของกรุงเทพมหานคร และอื่น ๆ อีกมากมาย ในขณะที่กฎเหล็ก 9 ข้อที่นายกอภิสิทธิ์ประกาศไว้เมื่อครั้งรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีกลับไม่เคยถูกกล่าวถึงอีกเลย


4. ไม่สร้างความปรองดองกลับสร้างความแตกแยก ก็ต้องยอมรับว่าในขณะที่รัฐบาลประชาธิปัตย์เข้ามาบริหารประเทศนั้น สังคมไทยอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งอย่างหนัก รัฐบาลประชาธิปัตย์เข้ามาพร้อมกับการต่อต้านของขั้วตรงข้ามในนามกลุ่มคนเสื้อแดง ซึ่งเริ่มก่อรูปมาตั้งแต่หลังเหตุการณ์รัฐประหารรัฐบาลทักษิณ การเคลื่อนไหวของกลุ่มเสื้อแดงนั้นต้องการล้มล้างรัฐบาลประชาธิปัตย์และคืนอำนาจแก่อีกขั้วการเมืองเป็นหลัก


ดังนั้นรัฐบาลชุดนี้จึงต้องเผชิญกับการชุมนุมต่อต้านหลายครั้ง และบ่อยครั้งก็ได้พัฒนาไปถึงการจลาจล ซึ่งครั้งที่รุนแรงมากที่สุดก็คือการเผาเมืองพฤษภาคม2553 ถึงแม้ว่าแก่นแกนของการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงอยู่ที่พ.ต.ท. ทักษิณ โดยมีแนวร่วมหลายส่วนที่เกี่ยวกับขบวนการเรียกร้องความเป็นประชาธิปไตย ความเท่าเทียมทางสังคม ฯลฯ



ดังนั้นขบวนการคนเสื้อแดงจึงกลายเป็นขบวนการที่ใหญ่และใหญ่มากยิ่งขึ้น ในขณะที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ก็เกิดอาการฝ่อ และเลือกที่จะสร้างความปรองดองกับขบวนการเสื้อแดงโดยการย่ำยีหลักการของกฎหมาย ตั้งแต่การที่รัฐบาลไปเป็นแกนเคลื่อนไหวในการประกันตัวบรรดาแกนนำ ตลอดจนการละเว้นการติดตามทางคดีของผู้ก่อการเผาสถานที่ราชการ เอกชน ทำลายและปล้นทรัพย์สินในช่วงเหตุการณ์จลาจล การย่ำยีกฎหมายคือการสร้างความแตกแยกอันบาดลึก แต่เป็นที่สงสัยกันอยู่ว่าทั้งนี้เป็นไปก็เพื่อจะลอยตัว รักษาอำนาจ และสามารถเป็นรัฐบาลต่อไปได้เรื่อย ๆ หรือเปล่า



5.   สิ่งที่เกิดขึ้นกับเหตุการณ์เขาพระวิหารแสดงให้เห็นถึงธาตุแท้ของพรรคประชาธิปัตย์ได้อย่างชัดเจน เพราะสิ่งที่นายกอภิสิทธิ์ได้เคยอภิปรายโจมตีในการยื่นยัตติไม่ไว้วางใจนายนพดล ปัทมะอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศในรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวชเกี่ยวกับบูรณภาพเหนือดินแดนรอบตัวปราสาทเขาพระวิหาร กลับกลายเป็นสิ่งที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ดำเนินการเหมือนกับรัฐบาลพรรคพลังประชาชนและตรงกันข้ามกับสิ่งที่ตัวเองพูดไว้ในสภาอย่างสิ้นเชิง


หมายความว่าพรรคประชาธิปัตย์สามารถที่จะพูดอะไรก็ได้เพื่อให้เกิดโอกาสในการที่ตัวเองจะสามารถพลิกผันขึ้นมาถือครองอำนาจรัฐอย่างนั้นหรือ และผลของการบริหารประเทศเกี่ยวกับเรื่องนี้ยังได้ทำให้ประเทศไทยดูเหมือนไร้เกียรติไร้ศักดิ์ศรี ตกเป็นเบี้ยล่างของบรรดาประเทศเพื่อนบ้าน จนในที่สุดประเทศไทยก็จะต้องสูญเสียอธิปไตยเหนือดินแดนไปด้วยเหตุผลของความโง่เขลาหรือการมีผลประโยชน์ต่างตอบแทนก็สุดแล้วแต่ที่จะคาดเดาได้ ซึ่งความเป็นจริงแล้วถ้าศึกษากันดี ๆ ก็จะเห็นได้ว่าพรรคประชาธิปัตย์ดำเนินการเยี่ยงนี้ทำให้ประเทศชาติและสังคมไทยสูญเสียมาหลายครั้ง



ล่าสุดก็ครั้งที่ประเทศมีวิกฤติเศรษฐกิจ รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์กับกรณี ป.ร.ส. ขายหนี้ของบรรดาไฟแนนซ์ที่รัฐบาลสั่งปิดลงไปให้กับบรรดากองทุนต่างชาติ จนทำให้ต่างชาติสามารถกอบโกยผลกำไรอันมหาศาลไปจากสังคมไทย ทิ้งไว้กับกองศพของคนล้มละลายเป็นจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนชั้นกลาง ผู้ประกอบการขนาดเล็กและขนาดย่อม ผลจากการบริหารเศรษฐกิจของรัฐบาลครั้งนั้น ทำให้ธนาคารเกือบทุกธนาคารในประเทศไทยต้องตกเป็นของต่างชาติในที่สุด หรือที่คนทั่ว ๆ ไปเค้าเรียกว่าเสียเอกราชทางการเงินนั่นเอง


ด้วยเหตุผลเบื้องต้นเพียง 5 ประการนี้ ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยมีอุดมการณ์อะไรเพื่อประโยชน์ของประชาชนและสังคมไทย พรรคจึงเป็นเพียงมายาภาพหลอกลวงคนที่สิ้นหวังกับการเมืองไทยในชั่วขณะหนึ่ง ๆ เท่านั้น


ทุกวันนี้เราจะได้เห็นทั้งนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีแข่งกันขึ้นป้ายประชาสัมพันธ์ผลงานกันอย่างบ้าคลั่ง สมกับเป็นการเชิดปี่กลองสู้ศึกในเทศกาลเลือกตั้ง  แต่กลับไม่เห็นรู้สึกถึงผลงานที่ออกมาอย่างกับในป้ายโฆษณาแต่อย่างใด ป้ายโฆษณาเหล่านี้กลับเป็นสิ่งที่ตอกย้ำให้ผู้คนซึ่งได้รับความลำบากทั้งชาวไร่ชาวนาที่ถูกกดราคาสินค้าเกษตร ทั้งคนชั้นกลางที่ถูกขูดรีดภาษีอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทั้งกับผู้บริโภคทั่วไปที่ถูกตีหัวจากราคาสินค้าที่ปรับขึ้นอย่างไม่เป็นธรรม ได้รู้สึกเจ็บแค้นอย่างเหนือคำบรรยาย ผมเป็นคนไทยคนหนึ่งซึ่งหมดศรัทธาต่อพรรคประชาธิปัตย์ และประสงค์ที่จะลาออกจากสมาชิกพรรคนับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
    
จึงเรียนมาเพื่อทราบ
พรรษิษฐ์ ต่อสุวรรณ
ptorsuwan@yahoo.com

มติชนออนไลน์ วันที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2554 เวลา 12:14:37 น.