วันเสาร์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2555

กลุ่มคนลึกลับติดตามถ่ายภาพ-ห้องทำงาน "วรเจตน์" และนักวิชาการนิติราษฎร์

วันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2555 เวลา 01:24 น.  ข่าวสดออนไลน์


ผู้สื่อข่าว "ข่าวสด" รายงานว่า  เวลา 15.30 น. วันที่ 17 ส.ค. พ.ต.ท.ภาณุศักดิ์ เสมอศรี พงส. (สบ2) สน.ชนะสงคราม รับแจ้งความจาก นายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พร้อมด้วยอาจารย์จากคณะนิติราษฎร์ เนื่องจากมีบุคคลไม่ทราบกลุ่ม ติดตามถ่ายรูปตนเองและรวมทั้งสถานที่ทำงานภายในมหาวิทยาลัยทางเข้าออกของคณะ เมื่อวันที่ 8 ส.ค. ที่ผ่านมา และยังกระทำการดังกล่าวอีก 2-3 ครั้ง โดยล่าสุดเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา กล้องวงจรปิดของคณะสามารถจับภาพบุคคลดังกล่าวไว้ได้ จึงนำหลักฐานเป็นภาพวิดีโอ เข้าแจ้งความไว้เป็นหลักฐาน 

 "ส่วนหนึ่งที่ทำให้ตัดสินใจเดินทางมาลงบันทึกประจำวันครั้งนี้ เพราะรู้สึกว่ามีเหตุการณ์ทำนองเดียวกันเกิดขึ้นที่คณะนิติศาสตร์ ท่าพระจันทร์ บ่อยครั้งขึ้น" นายวรเจตน์ แกนนำกลุ่มนิติราษฎร์ ระบุ

 ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 10 ส.ค. ที่ผ่านมา นายธีระ สุธีวรางกูร นักวิชาการในกลุ่มนิติราษฎร์ โพสต์ในเฟซบุ๊กส่วนตัวเผยว่า แม่บ้านที่คณะให้ข้อมูลว่าในช่วงต้นเดือนส.ค. มีผู้ชายรูปร่างสันทัด ผมสั้น อายุประมาณ 20 ปีเศษ อ้างว่าเป็นนักศึกษา เดินถามหานักวิชาการกลุ่มนิติราษฎร์ และเมื่อไม่พบก็ถ่ายรูปหน้าห้องทำงานเอาไว้ 

 ด้านพ.ต.ท.ภาณุศักดิ์ เปิดเผยว่าเบื้องต้นได้ลงบันทึกประจำวันไว้ พร้อมกับจะประสานไปยังทางมหาวิทยาลัยฯ เพื่อขอภาพจากกล้องวงจรปิดไปตรวจสอบ ในการติดตามตัวบุคคลในภาพมาสอบสวน ถึงสาเหตุของการกระทำดังกล่าวว่ามีเจตนาคุกคามหรือไม่

.........................................................................................



แฝดเกรียน-แฝดน่วม ศาลจำคุกชก"วรเจตน์"-จ่ออีกคดีปลอมบัตรทหารพราน



   เนื่องจากจำเลยทั้งสองมีพฤติการณ์เป็นนักเลง อันธพาล ไม่เคารพยำเกรงต่อกฎหมายบ้านเมือง โทษจำคุกจึงไม่รอการลงโทษ "  
คือเนื้อหาตอนท้ายของคำพิพาก ษาศาลแขวงดุสิต ต่อคดี "แฝดเกรียน"นายสุพจน์ และนายสุพัฒน์ ศิลารัตน์ ฝาแฝดอายุ 30 ปี ผู้ต้องหาคดีทำร้ายร่างกายนายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหา วิทยาลัยธรรมศาสตร์ และแกนนำกลุ่มนิติราษฎร์


พฤติการณ์ของคู่แฝดที่เตรียมการมาอย่างดี ดักทำร้ายก่อนหลบหนี ทั้งยังท้าทายด้วยการให้เหยื่อดูภาพจากกล้อวงจรปิดใน ม.ธรรมศาสตร์

เมื่อรวมกับประวัติเก่าๆ ที่เคยต้องโทษคดีอาญามาแล้ว ทำให้ศาลไม่มีเหตุให้รอการลงโทษ

ถือเป็นการดัดนิสัย และที่สำคัญเป็นการเบรกความรุนแรงในสังคม ที่กำลังปะทุขึ้น

เป็นการปะทุท่ามกลางการเสี้ยม ของกลุ่มบุคคลที่หวังผลทางการเมือง เพียงเพื่อทำลายฝ่ายตรงข้าม

โดยไม่สำเหนียกว่าสิ่งที่กระทำสร้างความเสียหายต่อองค์รวมเพียงใด!??


พบแฝดเกรียนมีปืนอื้อ

หลังเกิดเหตุคู่แฝดทำร้ายนายวรเจตน์ ก่อนเข้ามอบตัวด้วยสีหน้าเรียบเฉย ท่ามกลางความกังวลของสังคม เพราะมีบางส่วนชื่นชมและเชิดชูพฤติกรรมร้ายของพี่น้องคู่นี้!!!

เป็นการสะใจที่ลงมือทำร้ายนายวรเจตน์ โดยอ้างเรื่องไม่พอใจที่ออกมาเสนอแก้กฎหมายอาญามาตรา 112

ที่น่ากลัวกว่านั้นกลุ่มบุคคลที่ไม่พอใจ ส่วนหนึ่งหรืออาจจะส่วนใหญ่แทบไม่รับทราบข้อเสนอของนิติราษฎร์ด้วยซ้ำ หากแต่รับฟังการใส่ร้ายของกลุ่มบุคคลอื่น ที่ยัดเยียดข้อหา"ล้มเจ้า"ให้กับนิติราษฎร์ เพื่อโยงไปถึงพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้าม

น่าแปลกใจยิ่งกว่าคือกลุ่มที่ยัดข้อหาล้มเจ้า กลับไม่เคยออกมาตอบโต้ข้อเสนอของนิติราษฎร์ในเชิงวิชาการเลย

ขณะที่ 2 พี่น้องหลังเข้ามอบตัวก็เก็บตัวเงียบ แต่สิ่งที่ไม่เงียบคือประวัติต่างๆ ถูกตำรวจเข้าไปตรวจสอบและพบว่าพี่น้องคู่นี้ไม่ธรรมดา!??

ทั้งการเล่นปืน การถ่ายภาพแอ๊กชั่นกับปืนด้วยลีลาต่างๆ คล้ายคลึงยิ่งกับพี่น้องทมิฬ "โจ๊ก-จิ๊บ ไผ่เขียว" แก๊งยาบ้าพระนคร ศรีอยุธยา ที่เล่นปืนและยิงรถที่แล่นผ่านไปมาจนมีเด็กเสียชีวิต กลายเป็นเรื่องราวสลดไปทั้งสังคม

ตำรวจพบว่าพี่น้องคู่นี้มีคดีติดตัวไม่น้อย นายสุพจน์ คนพี่เคยต้องคดีอาวุธปืนผิดมือ ศาลลงโทษจำคุกแต่ให้รอลงอาญา

ส่วนนายสุพัฒน์คนน้อง ต้องคดีทำร้ายร่างกาย ติดคุกมาแล้ว 2 รอบ!!!

ทำให้ พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ รองผบช.น. สั่งตรวจสอบข้อมูลการครอบครองปืนที่พบว่ามีถึง 4 กระบอก เป็นปืนพกขนาด .22 จำนวน 1 กระบอก 9 ม.ม. 2 กระบอก และขนาด .45 อีก 1 กระบอก

โดยเฉพาะปืนพกขนาด .45 ถือว่าเป็นอาวุธร้ายแรงที่ปกติจะไม่อนุญาตกันง่ายๆ ยกเว้นเป็นทหาร-ตำรวจ หรือข้าราชการหน่วยความมั่นคงเท่านั้น

นอกจากนี้ 2 พี่น้องไปขอครอบครองอาวุธปืนทั้งๆ ที่มีคดีอาญาติดตัว ซึ่งตามปกติแล้วการอนุญาตต้องเช็กประวัติอย่างละเอียด ว่าไม่มีพฤติกรรมรุนแรง!??


อ้างเป็นทหารพรานไปขอ

จากพฤติกรรมรุนแรงและมีประวัติต้องคดีอาญาทั้งพี่ทั้งน้อง ทำให้ตำรวจสงสัยว่าทำไมถึงได้รับอนุญาตให้มีอาวุธได้หลายกระบอก ที่สำคัญพบว่าการอนุญาตเกิดขึ้นหลังจากทั้งคู่เคยต้องคดีอาญามาแล้ว ซึ่งตามปกติเจ้าหน้าที่จะไม่อนุญาต

"จะทำหนังสือถึงกระทรวงมหาด ไทย เพื่อตรวจสอบและขอยึดใบ ป.4 เนื่องจากมีพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรงอาจเป็นภัยต่อสังคม นอกจากนี้ให้เจ้าหน้าที่ทำหนังสือเพื่อขออาวุธปืนมาตรวจสอบด้วยว่าเคยนำไปใช้ก่อเหตุอื่นๆ หรือไม่"!??

พล.ต.ต.วิชัยกล่าว

ขณะที่ตำรวจประสานไปยังนายทะเบียนธัญบุรี ที่ออกใบอนุญาต โดย นายสมศักดิ์ พัวพันธุ์ นายอำเภอธัญบุรี ระบุว่า นายสุพจน์ขอทะเบียนอาวุธปืนพกสั้น กึ่งอัตโนมัติ .45 หมายเลข เค 302994 คิมเบอร์ กท. 5344892 เป็นอาวุธปืนในโครงการสวัสดิการข้าราชการของรัฐ เมื่อวันที่ 17 พ.ย. 2553 โดยใช้บัตรประจำอส.ทพ. สังกัดหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 26 จ.บุรีรัมย์ ระบุวันออกบัตร 1 พ.ค. 2551 หมดอายุ 1 พ.ค. 2553

เช่นเดียวกับ นายสุพัฒน์ ก็ใช้บัตรทหารพรานลักษณะเดียวกันมาขอมีปืนถึง 2 กระบอก

เจ้าหน้าที่จึงประสานไปยังกรมทหารพราน เพื่อขอประวัติของคู่แฝดว่าเป็นทหารพรานจริงหรือไม่

ปรากฏว่า พ.อ.ณัฏฐ์ ศรีอินทร์ ผบ.ฉก.กรม ทพ.26 ค่ายปักธงชัย อ.ละหานทราย จ.บุรีรัมย์ ระบุว่าตรวจสอบไม่พบชื่อคู่แฝดเป็นกำลังพลสังกัดกรม ทพ.26 หากใช้บัตร อส.สังกัด ทพ.26 ไปยื่นขออนุญาตมีอาวุธปืน แสดงว่าจงใจแอบอ้างและปลอมแปลงเอกสาร!??

พร้อมกันนี้ผบ.ทหารพรานที่ 26 ทำรายงานเป็นหนังสือเสนอผู้บังคับบัญชา เนื่องจากกรณีนี้ถือว่าทำให้ทหารพรานเสียหาย เพราะคู่แฝดมีคดีติดตัวหลายคดีและยังก่อเหตุเป็นที่สนใจของสังคม

การอ้างตัวเป็นทหารพราน จึงทำให้ภาพ พจน์ของทหารพรานเสื่อมเสียไปด้วย


ศาลสั่งจำคุกไม่รออาญา


ล่วงเข้าวันที่ 8 มีนาคม ตำรวจนัดคู่แฝดมาพบก่อนนำตัวส่งพนักงานอัยการสั่งฟ้องแขวงดุสิต ในความผิดฐานร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนได้รับบาดเจ็บเป็นอันตรายแก่กาย

อัยการระบุฟ้องความผิดสรุปว่า เมื่อวันที่ 29 ก.พ. 2555 จำเลยทั้งสองไปดักรอ และรุมชกทำร้าย นายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แกนนำกลุ่มนิติราษฎร์ ที่เรียกร้องให้แก้ไขกฎหมายอาญา มาตรา 112 บริเวณโหนกแก้มขวาและหน้าผาก ได้รับบาดเจ็บ ก่อนหลบหนีไป

อัยการโจทก์ขอให้ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 และขอให้ศาลนับโทษนายสุพจน์ จำเลยที่ 1 ต่อจากคดีหมายเลขแดงที่ 1336/2553 ที่ศาลอาญามีคำพิพากษาให้จำคุกเป็นเวลา 7 เดือน ปรับ 3,000 บาท โทษจำคุกรอการลงโทษ มีกำหนด 2 ปี คดีครอบครองอาวุธปืนอีกด้วย

ศาลสอบคำให้ การจำเลยให้การรับสารภาพ โดยไม่ร้องขอทนายความแต่อย่างใด จึงมีคำพิพากษาออกมา

"พิเคราะห์แล้วเห็นว่าจำเลยทั้งสองกระทำผิดตามฟ้อง ลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสอง คนละ 6 เดือน คำรับสาร ภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดี ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยทั้งสองเป็นเวลา 3 เดือน"!!!

ในส่วนของจำเลยที่ 1 หรือนายสุพจน์ ผู้พิพากษาให้บวกโทษจำคุก 7 เดือนที่รอการลงอาญาอยู่เข้าไปด้วยรวมลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 เป็นเวลา 10 เดือน

"เนื่องจากจำเลยทั้งสองมีพฤติการณ์เป็นนักเลง อันธพาล ไม่เคารพยำเกรงต่อกฎหมายบ้านเมือง โทษจำคุกจึงไม่รอการลงโทษ ให้จำคุกจำเลยทั้งสอง"!!!

หลังเสร็จสิ้นคำตัดสินทำให้คู่แฝดมีสีหน้าเคร่งเครียด เพราะโดนลงโทษจำคุกโดยไม่รออาญา ก่อนที่ญาติจะยื่นหลักทรัพย์ขอประกันตัวออกไปสู้คดีต่อในชั้นอุทธรณ์


จ่ออีกคดีอ้างทหารพราน

นอกจากคดีทำร้ายอาจารย์วรเจตน์ ที่จบสิ้นไปแล้วในระดับหนึ่ง แต่คู่แฝดยังไม่หมดปัญหาแค่นั้น เพราะมีคดีคือใช้บัตรอาสาทหารพรานไปขออนุญาตมีอาวุธปืนถึง 3 กระบอก

โดยบัตรดังกล่าวต้นสังกัดตรวจสอบแล้วเชื่อว่าเป็นบัตรปลอม!!!

"บัตรประจำตัวทหารพรานที่ผู้ต้องหาทั้งสองนำไปใช้ ลงนามชื่อของพ.อ.ศิริชัย สร้อยแสน นายทหารพระธรรมนูญ จากการตรวจสอบพบว่าพ.อ.ศิริชัยเคยรับราชการอยู่กรมทหารพราน ระหว่างปี 2529-2532 ขณะนั้นมียศร้อยโท สังกัดหน่วยเฉพาะกิจทหารพรานที่ 23 ตำแหน่งนายทหารพระธรรมนูญ ก่อนย้ายไปสังกัดหน่วยอื่น แต่บัตรที่นำไปแสดงนั้นลงชื่อพ.อ.ศิริชัย ออกให้เมื่อปี 2551 ซึ่งพ.อ.ศิริชัยไม่ได้สังกัดทหารพรานที่ 26 แต่อย่างใด"!!!

พ.อ.ณัฏฐ์ ผบ.กรมทหารพรานที่ 26 ต้นสังกัดซึ่ง 2 คู่แฝดนำไปอ้าง ชี้แจงว่าได้สอบถามพ.อ.ศิริชัย ซึ่งตอนนี้สังกัดกองบัญชาการกองทัพไทย พ.อ.ศิริชัยยืนยันว่าไม่รู้จักกับผู้ต้องหาฝาแฝดทั้ง 2 คน ขณะนี้ประ สานขอข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับทั้ง 2 คน

ด้านพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. กล่าวว่า ได้รับการยืนยันจากผบ.กรมทหารพรานที่ 26 แล้วว่า บุคคลทั้ง 2 ไม่เคยเป็นทหารพราน และคนที่เซ็นชื่อรับรองนั้นเป็นนายทหารพระธรรมนูญ ซึ่งย้ายออกจากหน่วยไปนานแล้ว

"ขอยืนยันว่าบุคคลทั้ง 2 ไม่ใช่ทหารพรานอย่างแน่นอน"


ผบ.ทบ.กล่าวและว่า สั่งให้ต้นสังกัดที่ถูกอ้างชื่อทำรายงานเสนอขึ้นมาแล้ว

ส่วนนายสมศักดิ์ พัวพันธุ์ นายอำเภอธัญบุรี กล่าวว่า บุคคลทั้งสองไม่ได้มีชื่ออยู่ในหน่วยทหารพราน คาดว่าได้ใช้เอกสารปลอม ถ้าหากต้นสังกัดกรมทหารพรานที่ 26 จ.บุรีรัมย์ และพนักงานสอบสวนแจ้งมาอย่างเป็นลายลักษณ์อักษร ว่าทั้งสองใช้เอกสารการเป็นเท็จในการขอใบมีอาวุธปืน ทางอำเภอจะแจ้งความดำเนินคดี ข้อหานำเอกสารการเป็นเท็จมาติดต่อทางราชการต่อไป

งานนี้ไม่รู้ว่านอกจากเรื่องแอบอ้างเป็นทหารพราน ใช้เอกสารปลอมขออาวุธปืนแล้ว ยังจะมีเรื่องอะไรโผล่ออกมาอีกหรือเปล่า โดยเฉพาะการงานอาชีพ ซึ่งคู่แฝดให้การกับตำรวจว่าขายเสื้อผ้า น้ำหอม และช่วยดูแลบ้านให้เศรษฐินีรายหนึ่ง แต่สามารถมีเงินซื้ออาวุธปืนกระบอกละนับแสนบาทได้ถึง 3 กระบอก แถมการซ้อมยิงแต่ละครั้งต้องใช้เงินหลักพัน หรือหลายพันบาท

ลำพังแค่คดีทำร้ายร่างกาย และใช้เอกสารปลอม-อ้างชื่อทหารพราน แค่นี้จาก"แฝดเกรียน"ก็กลายเป็น"แฝดน่วม"ไปแล้ว!!!





ไม่มีความคิดเห็น: