วันเสาร์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2555

กลุ่มคนลึกลับติดตามถ่ายภาพ-ห้องทำงาน "วรเจตน์" และนักวิชาการนิติราษฎร์

วันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2555 เวลา 01:24 น.  ข่าวสดออนไลน์


ผู้สื่อข่าว "ข่าวสด" รายงานว่า  เวลา 15.30 น. วันที่ 17 ส.ค. พ.ต.ท.ภาณุศักดิ์ เสมอศรี พงส. (สบ2) สน.ชนะสงคราม รับแจ้งความจาก นายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พร้อมด้วยอาจารย์จากคณะนิติราษฎร์ เนื่องจากมีบุคคลไม่ทราบกลุ่ม ติดตามถ่ายรูปตนเองและรวมทั้งสถานที่ทำงานภายในมหาวิทยาลัยทางเข้าออกของคณะ เมื่อวันที่ 8 ส.ค. ที่ผ่านมา และยังกระทำการดังกล่าวอีก 2-3 ครั้ง โดยล่าสุดเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา กล้องวงจรปิดของคณะสามารถจับภาพบุคคลดังกล่าวไว้ได้ จึงนำหลักฐานเป็นภาพวิดีโอ เข้าแจ้งความไว้เป็นหลักฐาน 

 "ส่วนหนึ่งที่ทำให้ตัดสินใจเดินทางมาลงบันทึกประจำวันครั้งนี้ เพราะรู้สึกว่ามีเหตุการณ์ทำนองเดียวกันเกิดขึ้นที่คณะนิติศาสตร์ ท่าพระจันทร์ บ่อยครั้งขึ้น" นายวรเจตน์ แกนนำกลุ่มนิติราษฎร์ ระบุ

 ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 10 ส.ค. ที่ผ่านมา นายธีระ สุธีวรางกูร นักวิชาการในกลุ่มนิติราษฎร์ โพสต์ในเฟซบุ๊กส่วนตัวเผยว่า แม่บ้านที่คณะให้ข้อมูลว่าในช่วงต้นเดือนส.ค. มีผู้ชายรูปร่างสันทัด ผมสั้น อายุประมาณ 20 ปีเศษ อ้างว่าเป็นนักศึกษา เดินถามหานักวิชาการกลุ่มนิติราษฎร์ และเมื่อไม่พบก็ถ่ายรูปหน้าห้องทำงานเอาไว้ 

 ด้านพ.ต.ท.ภาณุศักดิ์ เปิดเผยว่าเบื้องต้นได้ลงบันทึกประจำวันไว้ พร้อมกับจะประสานไปยังทางมหาวิทยาลัยฯ เพื่อขอภาพจากกล้องวงจรปิดไปตรวจสอบ ในการติดตามตัวบุคคลในภาพมาสอบสวน ถึงสาเหตุของการกระทำดังกล่าวว่ามีเจตนาคุกคามหรือไม่

.........................................................................................



แฝดเกรียน-แฝดน่วม ศาลจำคุกชก"วรเจตน์"-จ่ออีกคดีปลอมบัตรทหารพราน



   เนื่องจากจำเลยทั้งสองมีพฤติการณ์เป็นนักเลง อันธพาล ไม่เคารพยำเกรงต่อกฎหมายบ้านเมือง โทษจำคุกจึงไม่รอการลงโทษ "  
คือเนื้อหาตอนท้ายของคำพิพาก ษาศาลแขวงดุสิต ต่อคดี "แฝดเกรียน"นายสุพจน์ และนายสุพัฒน์ ศิลารัตน์ ฝาแฝดอายุ 30 ปี ผู้ต้องหาคดีทำร้ายร่างกายนายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหา วิทยาลัยธรรมศาสตร์ และแกนนำกลุ่มนิติราษฎร์


พฤติการณ์ของคู่แฝดที่เตรียมการมาอย่างดี ดักทำร้ายก่อนหลบหนี ทั้งยังท้าทายด้วยการให้เหยื่อดูภาพจากกล้อวงจรปิดใน ม.ธรรมศาสตร์

เมื่อรวมกับประวัติเก่าๆ ที่เคยต้องโทษคดีอาญามาแล้ว ทำให้ศาลไม่มีเหตุให้รอการลงโทษ

ถือเป็นการดัดนิสัย และที่สำคัญเป็นการเบรกความรุนแรงในสังคม ที่กำลังปะทุขึ้น

เป็นการปะทุท่ามกลางการเสี้ยม ของกลุ่มบุคคลที่หวังผลทางการเมือง เพียงเพื่อทำลายฝ่ายตรงข้าม

โดยไม่สำเหนียกว่าสิ่งที่กระทำสร้างความเสียหายต่อองค์รวมเพียงใด!??


พบแฝดเกรียนมีปืนอื้อ

หลังเกิดเหตุคู่แฝดทำร้ายนายวรเจตน์ ก่อนเข้ามอบตัวด้วยสีหน้าเรียบเฉย ท่ามกลางความกังวลของสังคม เพราะมีบางส่วนชื่นชมและเชิดชูพฤติกรรมร้ายของพี่น้องคู่นี้!!!

เป็นการสะใจที่ลงมือทำร้ายนายวรเจตน์ โดยอ้างเรื่องไม่พอใจที่ออกมาเสนอแก้กฎหมายอาญามาตรา 112

ที่น่ากลัวกว่านั้นกลุ่มบุคคลที่ไม่พอใจ ส่วนหนึ่งหรืออาจจะส่วนใหญ่แทบไม่รับทราบข้อเสนอของนิติราษฎร์ด้วยซ้ำ หากแต่รับฟังการใส่ร้ายของกลุ่มบุคคลอื่น ที่ยัดเยียดข้อหา"ล้มเจ้า"ให้กับนิติราษฎร์ เพื่อโยงไปถึงพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้าม

น่าแปลกใจยิ่งกว่าคือกลุ่มที่ยัดข้อหาล้มเจ้า กลับไม่เคยออกมาตอบโต้ข้อเสนอของนิติราษฎร์ในเชิงวิชาการเลย

ขณะที่ 2 พี่น้องหลังเข้ามอบตัวก็เก็บตัวเงียบ แต่สิ่งที่ไม่เงียบคือประวัติต่างๆ ถูกตำรวจเข้าไปตรวจสอบและพบว่าพี่น้องคู่นี้ไม่ธรรมดา!??

ทั้งการเล่นปืน การถ่ายภาพแอ๊กชั่นกับปืนด้วยลีลาต่างๆ คล้ายคลึงยิ่งกับพี่น้องทมิฬ "โจ๊ก-จิ๊บ ไผ่เขียว" แก๊งยาบ้าพระนคร ศรีอยุธยา ที่เล่นปืนและยิงรถที่แล่นผ่านไปมาจนมีเด็กเสียชีวิต กลายเป็นเรื่องราวสลดไปทั้งสังคม

ตำรวจพบว่าพี่น้องคู่นี้มีคดีติดตัวไม่น้อย นายสุพจน์ คนพี่เคยต้องคดีอาวุธปืนผิดมือ ศาลลงโทษจำคุกแต่ให้รอลงอาญา

ส่วนนายสุพัฒน์คนน้อง ต้องคดีทำร้ายร่างกาย ติดคุกมาแล้ว 2 รอบ!!!

ทำให้ พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ รองผบช.น. สั่งตรวจสอบข้อมูลการครอบครองปืนที่พบว่ามีถึง 4 กระบอก เป็นปืนพกขนาด .22 จำนวน 1 กระบอก 9 ม.ม. 2 กระบอก และขนาด .45 อีก 1 กระบอก

โดยเฉพาะปืนพกขนาด .45 ถือว่าเป็นอาวุธร้ายแรงที่ปกติจะไม่อนุญาตกันง่ายๆ ยกเว้นเป็นทหาร-ตำรวจ หรือข้าราชการหน่วยความมั่นคงเท่านั้น

นอกจากนี้ 2 พี่น้องไปขอครอบครองอาวุธปืนทั้งๆ ที่มีคดีอาญาติดตัว ซึ่งตามปกติแล้วการอนุญาตต้องเช็กประวัติอย่างละเอียด ว่าไม่มีพฤติกรรมรุนแรง!??


อ้างเป็นทหารพรานไปขอ

จากพฤติกรรมรุนแรงและมีประวัติต้องคดีอาญาทั้งพี่ทั้งน้อง ทำให้ตำรวจสงสัยว่าทำไมถึงได้รับอนุญาตให้มีอาวุธได้หลายกระบอก ที่สำคัญพบว่าการอนุญาตเกิดขึ้นหลังจากทั้งคู่เคยต้องคดีอาญามาแล้ว ซึ่งตามปกติเจ้าหน้าที่จะไม่อนุญาต

"จะทำหนังสือถึงกระทรวงมหาด ไทย เพื่อตรวจสอบและขอยึดใบ ป.4 เนื่องจากมีพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรงอาจเป็นภัยต่อสังคม นอกจากนี้ให้เจ้าหน้าที่ทำหนังสือเพื่อขออาวุธปืนมาตรวจสอบด้วยว่าเคยนำไปใช้ก่อเหตุอื่นๆ หรือไม่"!??

พล.ต.ต.วิชัยกล่าว

ขณะที่ตำรวจประสานไปยังนายทะเบียนธัญบุรี ที่ออกใบอนุญาต โดย นายสมศักดิ์ พัวพันธุ์ นายอำเภอธัญบุรี ระบุว่า นายสุพจน์ขอทะเบียนอาวุธปืนพกสั้น กึ่งอัตโนมัติ .45 หมายเลข เค 302994 คิมเบอร์ กท. 5344892 เป็นอาวุธปืนในโครงการสวัสดิการข้าราชการของรัฐ เมื่อวันที่ 17 พ.ย. 2553 โดยใช้บัตรประจำอส.ทพ. สังกัดหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 26 จ.บุรีรัมย์ ระบุวันออกบัตร 1 พ.ค. 2551 หมดอายุ 1 พ.ค. 2553

เช่นเดียวกับ นายสุพัฒน์ ก็ใช้บัตรทหารพรานลักษณะเดียวกันมาขอมีปืนถึง 2 กระบอก

เจ้าหน้าที่จึงประสานไปยังกรมทหารพราน เพื่อขอประวัติของคู่แฝดว่าเป็นทหารพรานจริงหรือไม่

ปรากฏว่า พ.อ.ณัฏฐ์ ศรีอินทร์ ผบ.ฉก.กรม ทพ.26 ค่ายปักธงชัย อ.ละหานทราย จ.บุรีรัมย์ ระบุว่าตรวจสอบไม่พบชื่อคู่แฝดเป็นกำลังพลสังกัดกรม ทพ.26 หากใช้บัตร อส.สังกัด ทพ.26 ไปยื่นขออนุญาตมีอาวุธปืน แสดงว่าจงใจแอบอ้างและปลอมแปลงเอกสาร!??

พร้อมกันนี้ผบ.ทหารพรานที่ 26 ทำรายงานเป็นหนังสือเสนอผู้บังคับบัญชา เนื่องจากกรณีนี้ถือว่าทำให้ทหารพรานเสียหาย เพราะคู่แฝดมีคดีติดตัวหลายคดีและยังก่อเหตุเป็นที่สนใจของสังคม

การอ้างตัวเป็นทหารพราน จึงทำให้ภาพ พจน์ของทหารพรานเสื่อมเสียไปด้วย


ศาลสั่งจำคุกไม่รออาญา


ล่วงเข้าวันที่ 8 มีนาคม ตำรวจนัดคู่แฝดมาพบก่อนนำตัวส่งพนักงานอัยการสั่งฟ้องแขวงดุสิต ในความผิดฐานร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนได้รับบาดเจ็บเป็นอันตรายแก่กาย

อัยการระบุฟ้องความผิดสรุปว่า เมื่อวันที่ 29 ก.พ. 2555 จำเลยทั้งสองไปดักรอ และรุมชกทำร้าย นายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แกนนำกลุ่มนิติราษฎร์ ที่เรียกร้องให้แก้ไขกฎหมายอาญา มาตรา 112 บริเวณโหนกแก้มขวาและหน้าผาก ได้รับบาดเจ็บ ก่อนหลบหนีไป

อัยการโจทก์ขอให้ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 และขอให้ศาลนับโทษนายสุพจน์ จำเลยที่ 1 ต่อจากคดีหมายเลขแดงที่ 1336/2553 ที่ศาลอาญามีคำพิพากษาให้จำคุกเป็นเวลา 7 เดือน ปรับ 3,000 บาท โทษจำคุกรอการลงโทษ มีกำหนด 2 ปี คดีครอบครองอาวุธปืนอีกด้วย

ศาลสอบคำให้ การจำเลยให้การรับสารภาพ โดยไม่ร้องขอทนายความแต่อย่างใด จึงมีคำพิพากษาออกมา

"พิเคราะห์แล้วเห็นว่าจำเลยทั้งสองกระทำผิดตามฟ้อง ลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสอง คนละ 6 เดือน คำรับสาร ภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดี ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยทั้งสองเป็นเวลา 3 เดือน"!!!

ในส่วนของจำเลยที่ 1 หรือนายสุพจน์ ผู้พิพากษาให้บวกโทษจำคุก 7 เดือนที่รอการลงอาญาอยู่เข้าไปด้วยรวมลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 เป็นเวลา 10 เดือน

"เนื่องจากจำเลยทั้งสองมีพฤติการณ์เป็นนักเลง อันธพาล ไม่เคารพยำเกรงต่อกฎหมายบ้านเมือง โทษจำคุกจึงไม่รอการลงโทษ ให้จำคุกจำเลยทั้งสอง"!!!

หลังเสร็จสิ้นคำตัดสินทำให้คู่แฝดมีสีหน้าเคร่งเครียด เพราะโดนลงโทษจำคุกโดยไม่รออาญา ก่อนที่ญาติจะยื่นหลักทรัพย์ขอประกันตัวออกไปสู้คดีต่อในชั้นอุทธรณ์


จ่ออีกคดีอ้างทหารพราน

นอกจากคดีทำร้ายอาจารย์วรเจตน์ ที่จบสิ้นไปแล้วในระดับหนึ่ง แต่คู่แฝดยังไม่หมดปัญหาแค่นั้น เพราะมีคดีคือใช้บัตรอาสาทหารพรานไปขออนุญาตมีอาวุธปืนถึง 3 กระบอก

โดยบัตรดังกล่าวต้นสังกัดตรวจสอบแล้วเชื่อว่าเป็นบัตรปลอม!!!

"บัตรประจำตัวทหารพรานที่ผู้ต้องหาทั้งสองนำไปใช้ ลงนามชื่อของพ.อ.ศิริชัย สร้อยแสน นายทหารพระธรรมนูญ จากการตรวจสอบพบว่าพ.อ.ศิริชัยเคยรับราชการอยู่กรมทหารพราน ระหว่างปี 2529-2532 ขณะนั้นมียศร้อยโท สังกัดหน่วยเฉพาะกิจทหารพรานที่ 23 ตำแหน่งนายทหารพระธรรมนูญ ก่อนย้ายไปสังกัดหน่วยอื่น แต่บัตรที่นำไปแสดงนั้นลงชื่อพ.อ.ศิริชัย ออกให้เมื่อปี 2551 ซึ่งพ.อ.ศิริชัยไม่ได้สังกัดทหารพรานที่ 26 แต่อย่างใด"!!!

พ.อ.ณัฏฐ์ ผบ.กรมทหารพรานที่ 26 ต้นสังกัดซึ่ง 2 คู่แฝดนำไปอ้าง ชี้แจงว่าได้สอบถามพ.อ.ศิริชัย ซึ่งตอนนี้สังกัดกองบัญชาการกองทัพไทย พ.อ.ศิริชัยยืนยันว่าไม่รู้จักกับผู้ต้องหาฝาแฝดทั้ง 2 คน ขณะนี้ประ สานขอข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับทั้ง 2 คน

ด้านพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. กล่าวว่า ได้รับการยืนยันจากผบ.กรมทหารพรานที่ 26 แล้วว่า บุคคลทั้ง 2 ไม่เคยเป็นทหารพราน และคนที่เซ็นชื่อรับรองนั้นเป็นนายทหารพระธรรมนูญ ซึ่งย้ายออกจากหน่วยไปนานแล้ว

"ขอยืนยันว่าบุคคลทั้ง 2 ไม่ใช่ทหารพรานอย่างแน่นอน"


ผบ.ทบ.กล่าวและว่า สั่งให้ต้นสังกัดที่ถูกอ้างชื่อทำรายงานเสนอขึ้นมาแล้ว

ส่วนนายสมศักดิ์ พัวพันธุ์ นายอำเภอธัญบุรี กล่าวว่า บุคคลทั้งสองไม่ได้มีชื่ออยู่ในหน่วยทหารพราน คาดว่าได้ใช้เอกสารปลอม ถ้าหากต้นสังกัดกรมทหารพรานที่ 26 จ.บุรีรัมย์ และพนักงานสอบสวนแจ้งมาอย่างเป็นลายลักษณ์อักษร ว่าทั้งสองใช้เอกสารการเป็นเท็จในการขอใบมีอาวุธปืน ทางอำเภอจะแจ้งความดำเนินคดี ข้อหานำเอกสารการเป็นเท็จมาติดต่อทางราชการต่อไป

งานนี้ไม่รู้ว่านอกจากเรื่องแอบอ้างเป็นทหารพราน ใช้เอกสารปลอมขออาวุธปืนแล้ว ยังจะมีเรื่องอะไรโผล่ออกมาอีกหรือเปล่า โดยเฉพาะการงานอาชีพ ซึ่งคู่แฝดให้การกับตำรวจว่าขายเสื้อผ้า น้ำหอม และช่วยดูแลบ้านให้เศรษฐินีรายหนึ่ง แต่สามารถมีเงินซื้ออาวุธปืนกระบอกละนับแสนบาทได้ถึง 3 กระบอก แถมการซ้อมยิงแต่ละครั้งต้องใช้เงินหลักพัน หรือหลายพันบาท

ลำพังแค่คดีทำร้ายร่างกาย และใช้เอกสารปลอม-อ้างชื่อทหารพราน แค่นี้จาก"แฝดเกรียน"ก็กลายเป็น"แฝดน่วม"ไปแล้ว!!!





วันอาทิตย์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2555

จับ "ส.ข." พรรคประชาธิปัตย์ ยึดปืน-ยาบ้า-ใบกระท่อม

เมื่อเวลา 15.00 น. วันนี้ ( 12 ส.ค.) ร.ต.อ.สุรพล จันทรศักดิ์ รองสวป. งานสายตรวจ 2 กก.สายตรวจกองบก.ตปพ.พร้อมพร้อมพวก นำหมายค้นศาลอาญาเลขที่ 278/2555 ลงวันที่ 12 ส.ค.เข้าตรวจค้นบ้านเลขที่ 55/1 ซอยวัดเทพลีลา1 แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ  ซึ่งเป็นบ้านของนายสมชาย นิยมราช อายุ 45 ปี ส.ข.วังทองหลาง พรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นบ้านไม้ชั้นเดียวปลูกติดกันในชุมชนวัดเทพลีลา พบนายสมชาย อยู่ในบ้าน จึงแสดงหมายค้นให้ดูแล้วเข้าตรวจค้น  พบปืนขนาด 9 มม. ทะเบียน เพชรบุรี02/3900003   แมกกาซีน 3 อัน  เครื่องกระสุนขนาดเดียวกัน 21 นัด ปืนปากกาขนาด .22  ซึ่งถูกนำไปทิ้งไว้ในโถส้วม พร้อมเครื่องกระสุน จำนวน 4 นัด หัวกระสุนปืนไม่ทราบขนาด  574 ลูก ยาบ้า 16 เม็ด ใบกระท่อมกว่า 100 ใบ และยาไอซ์อยู่ในหลอด ยาแก้ไอ 7 ขวด จึงยึดของกลางทั้งหมดไว้เป็นหลักฐาน
ร.ต.อ.สุรพล กล่าวว่า  สืบเนื่องจาก  ตำรวจชุดจับกุม ได้รับการร้องเรียนว่า มีเหตุยิงปืนขึ้นฟ้าหลายครั้ง จึงส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่หาข่าวก่อนรวบรวมรวมพยานหลักฐาน ขออนุมัติหมายค้น เข้าตรวจสอบบ้านหลังดังกล่าว
 จากการสอบสวนเบื้องต้น นายสมชายให้การภาคเสธว่า ปืนขนาด 9 มม.เป็นของตน ซื้อมาจากเพื่อนเมื่อ 6-7 เดือนก่อน ในราคา 25,000 บาท และกำลังทำเรื่องโอน ขณะนี้ขั้นตอนอยู่ที่กรมการปกครองอยู่ สำหรับของกลางส่วนอื่น ไม่ใช่ของตน โดยเฉพาะปืนปากกาน่าจะเป็นของบุตรชาย อย่างไรก็ตามช่วงนี้ตนเตรียมงานวันแม่ในชุมชนอยู่ จึงไม่ค่อยได้อยู่และพักอาศัยในบ้านหลังดังกล่าว ที่ผ่านมาตนเป็นสมาชิกส.ข. 3 สมัย ก่อนหน้านี้เคยเป็นผู้ใหญ่บ้านมา 4 ปีแล้ว จึงอยากจะขอขอความเป็นธรรมด้วย สำหรับหัวกระสุนปืนไม่ทราบขนาดนั้น ตนได้นำปลอกไปทำตะกรุด ส่วนหัวก็เก็บไว้ที่บ้านเฉย ๆ เจ้าหน้าที่จึงยึดของกลางทั้งหมดไปตรวจสอบ พร้อมแจ้งข้อหาครอบครองอาวุธปืนและเครื่องกระสุนโดยไม่ได้รับอนุญาต มียาเสพติดให้โทษประเภท1 (ยาบ้า,ยาไอซ์) ไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต มียาเสพติด(ใบกระท่อม)ไว้ในความครอบครองโดยผิดกฎหมายควบคุมตัวดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป.

 
ทีมา เดลินวส์ออนไลน์ วันอาทิตย์ที่ 12 สิงหาคม 2555 เวลา 18:36 น.
 

วันเสาร์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ช็อตเด็ดวันนี้:นักศึกษายุวชนนปช.ซิ่งสปอร์ตหรูบุกรังปชป. ประท้วงจี้มาร์คถอนคำพูดใส่ร้ายเสื้อแดง

ที่มาจาก..Thai E-News
 

นักศึกษาที่อ้างตัวว่าเป็น "ยุวนปช." ขับรถสปอร์ตหรูแบบเปิดประทุนบุกพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อเรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้ถอนคำพูดจากการพูดถึงอุดมการณ์ของกลุ่มคนเสื้อแดง ในวันที่นายอภิสิทธิ์สวมเสื้อแดงขึ้นเวที่ผ่าความจริง พร้อมกับทวงคืนสีแดงให้คนไทย ไม่ให้กลุ่มไหนผูกขาดสีแดง(ที่มา:เพจ สายตรงภาคสนาม)


“เด็กแดง” ขับรถปอร์ตสีขาวเปิดประทุน บุก “ที่ทำการปชป.” จี้ “มาร์ค” ถอนคำพูดบิดเบือนอุดมการณ์ นปช. #nsn
ภาพ-ข่าว : พิมพ์นารา ประดับวิทย์…สำนักข่าวเนชั่น twitter@ pimnara_nna
3 ·  · 



รูปภาพ : น้องซิม ไปรอยื่นหนังสือให้คุณอภิสิทธิ์ทีี่พรรคปชป. เรื่องให้ถอนคำพูดเรื่องดูถูกอุดมการณ์คนเสื้อแดง ถ้าไม่มารับหนังสือด้วยตัวเอง ก็จะอดข้าวอดน้ำรอ จนกว่สจะมา ไปให้กำลังใจกันได้นะครับ
33 ·  · 







เด็กแดงขับรถสปอร์ตสีขาวเปิดประทุนบุกที่ทำการปชป.


ที่พรรคประชาธิปัตย์ วันที่ 4 ส.ค.2555 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลาประมาณ 14.30 น. มีชาย 1 หญิง 2 รวม 3 คน อ้างตัวเป็นนักศึกษา "ยุว นปช." ได้ขับรถสปอร์ตหรูแบบเปิดประทุนสีขาว มาจอดหน้าที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อเรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้าน ในสภาผู้แทนราษฎรและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้ถอนคำพูดจากการพูดถึงอุดมการณ์ของกลุ่มคนเสื้อแดง ในวันที่นายอภิสิทธิ์สวมเสื้อแดงขึ้นเวทีผ่าความจริง โดยศึกษาทั้งสามคนไม่ยอมเปิดเผยชื่อจริง โดยคนหนึ่งบอกแต่เพียงว่าชื่อ "ซิม" พร้อมกับระบุว่า แม้ว่ากลุ่มตนจะรับได้ที่นายอภิสิทธิ์สวมเสื้อแดงในการขึ้นเวทีผ่าความจริงที่สนามไทย-ญี่ปุ่น ดินแดงในวันนั้น แต่ก็ไม่ควรพูดบิดเบือนอุดมการณ์ของคนเสื้อแดง จึงมาเรียกร้องในนายอภิสิทธิ์แสดงความรับผิดชอบ และขอให้ถอนคำพูดในเรื่องดังกล่าว โดยยืนยันจะปักหลักรอนายอภิสิทธิ์เพียงคนเดียว 


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ 1 ใน "ยุว นปช." บอกกับว่าผู้สื่อข่าวว่าได้ประสานนายแทนคุณ จิตอิสระ เพื่อเข้ายื่นหนังสือ แต่เมื่อผู้สื่อข่าวโทรศัพท์ไปสอบถามแทนคุณ ก็ได้รับคำตอบว่า มีคนโทร.ไปประสานให้มารับหนังสือ ซึ่งตนเองก็ตอบกลับไปว่าเป็นวันหยุดและพรรคหยุดทำการ จะมาก็มาถ้ามีเจ้าหน้าที่อยู่ก็ยื่นกับเจ้าหน้าที่ได้ อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ตำรวจจากสน.บางซื่อ ซึ่งเป็นเจ้าของท้องที่รีบรุดมาดูแลความสงบเรียบร้อยภายใน 5 นาที ทั้งนายตำรวจระดับสารวัตร สายตรวจ และสายสืบนอกเครื่องแบบ รวม 9 นาย (ที่มา:สำนักข่าวเนชั่น)

ใบลาออก และเหตุผล 5 ประการ ผมหมดศรัทธาต่อพรรคประชาธิปัตย์


วันที่ 29  มีนาคม  พรรษิษฐ์ ต่อสุวรรณ  ได้เผยแพร่ "หนังสือลาออกจากสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์" ผ่านสื่อต่างๆ  เนื้อความของหนังสือลาออก มีใจความ ดังนี้



....กราบเรียนท่านหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์



กระผมนายพรรษิษฐ์ ต่อสุวรรณ สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ประเภทสามัญเลขที่ 43414075 โดยผมได้สมัครเป็นสมาชิกตั้งแต่ปีพ.ศ. 2541 ในสมัยที่พรรคประชาธิปัตย์กำลังจะต้องตกเป็นฝ่ายค้านเพราะความนิยมกำลังถาโถมไปที่พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร และในที่สุดพรรคประชาธิปัตย์ก็พ่ายแพ้การเลือกตั้งทั่วไป และพรรคไทยรักไทยของ พ.ต.ท. ทักษิณก็ได้เป็นรัฐบาลสมัยแรก



ตอนนั้นตัวกระผมเองได้หอบหิ้วปริญญาตรีและโทกลับมาจากประเทศสหรัฐอเมริกาภายหลังเหตุการณ์วิกฤติเศรษฐกิจไม่นานนัก พร้อมกับความเชื่อที่ว่าคนเราทุกคนควรมีส่วนร่วมทางการเมืองเพื่อสร้างสังคมที่ดี และการเป็นสมาชิกพรรคการเมืองก็น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีได้
 


 ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมานั้น ผมเฝ้าติดตามความเป็นไปของการเมืองไทยในฐานะประชาชนคนไทยคนหนึ่ง ซึ่งไม่เคยมุ่งหวังที่จะเดินเข้าไปสู่สนามการเมืองแต่อย่างใด เพียงแต่ใช้กำลังกาย สมอง เวลา และโอกาสเท่าที่มีในการตอบแทนสังคมบ้างทั้งในฐานะอาจารย์ในมหาวิทยาลัย หรือนักเขียนมือสมัครเล่นในคอลัมน์หนังสือพิมพ์ฉบับต่าง ๆ ต่อเนื่องกันมาเป็นเวลาหลายปี



 สาเหตุที่ตอนนั้นกระผมตัดสินใจส่งใบสมัครมาที่พรรคประชาธิปัตย์แทนที่จะเป็นพรรคไทยรักไทย ซึ่งสมัยนั้นจะมีภาพลักษณ์ที่ทันสมัยกว่า และกำลังอยู่ในช่วงที่ได้รับความนิยมสูงขึ้นทั้งในสังคมเมืองและสังคมชนบท ก็เพราะว่า ตัวผมเองไม่เคยเชื่อเลยว่าเจ้าของกลุ่มทุนผูกขาดอย่าง พ.ต.ท. ทักษิณจะมีความจริงใจที่จะเสียสละในการเข้ามาช่วยเหลือประเทศชาติได้อย่างแท้จริง



 แต่มีความเชื่อว่าเนื้อแท้ของกลุ่มทุนผูกขาดโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสัมปทานของรัฐมักจะต้องเอารัดเอาเปรียบประชาชนอย่างเป็นธรรมชาติ ในขณะที่พรรคประชาธิปัตย์นั้นเป็นพรรดการเมืองที่เก่าแก่ยาวนาน มีความเป็นสถาบันการเมืองมากที่สุดเท่าที่มีอยู่ในสังคมการเมืองไทย



แต่วันและเวลาสอนให้ผมได้เรียนรู้ถึงธรรมชาติของการเมืองไทยมากขึ้น ซึ่งในความเป็นจริงนั้นมีความลึกซึ้งมากกว่าภาพที่คนทั่ว ๆ ไปเห็นอยู่บนเวทีการเมืองที่เป็นทางการอยู่มากนัก แต่สำหรับผมแล้ว ช่วงเวลาสิบกว่าปีนี้ได้พิสูจน์ให้เห็นเนื้อแท้ของพรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นอย่างดีในระดับหนึ่ง และทำให้ผมได้คำตอบมาระยะหนึ่งแล้วว่าตัวเองนั้นคิดผิด ซึ่งผมขอประมวลเหตุผลมาประกอบดังต่อไปนี้



1. พรรคประชาธิปัตย์จะไม่มีวันชนะใจประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศได้ เพราะขาดความจริงใจมุ่งแต่สร้างภาพจอมปลอม ประโยคนี้เป็นสัจธรรมเสมอ มาตั้งแต่เริ่มก่อตั้งพรรคประชาธิปัตย์และน่าจะเป็นจริงตลอดไปด้วย ตราบใดที่จะยังคงมีพรรคนี้อยู่ในเวทีการเมืองไทย   เพราะประวัติศาสตร์บอกว่าพรรคประชาธิปัตย์มักจะได้อำนาจรัฐหรือได้เป็นรัฐบาลโดยการเพลี่ยงพล้ำของพรรคขั้วตรงข้าม และมีพลังอำนาจพิเศษที่มาหนุนอยู่ตลอด


ดังนั้นลักษณะของพรรคประชาธิปัตย์จะมักจะเชิดคนที่มีภาพลักษณ์ดี(สำหรับสังคมไทย) กล่าวคือมักจะเป็นคนที่มีลักษณะความสุภาพ อ่อนน้อมถ่อมตน หรือมีชาติตระกูลสูง หรือแม้กระทั่งคนมีหน้าตาดี นอกจากนี้อาจจะมีการเชิดชูภาพของความซื่อสัตย์เป็นจุดขาย แต่จะสังเกตได้ว่านั่นมักจะเป็นเพียงหน้าฉากของผู้นำพรรคเท่านั้น



 แต่เบื้องหลังของผู้นำพรรคหรือแม้กระทั่งเบื้องหลังหน้ากากอันสวยหรูของผู้นำพรรค ก็มักจะมีบรรดานักการเมืองสกปรกที่หิวโหยอยู่ข้างหลังอย่างสม่ำเสมอ ดังนั้นพรรคประชาธิปัตย์จึงไม่เคยนำเสนอแนวทางในการบริหารพัฒนาบ้านเมืองอันใดได้เลย ที่ทำอยู่ก็จะมีเพียงนโยบายเฉพาะกิจ หรือเพื่อการประชาสัมพันธ์หาเสียงเท่านั้น มุ่งจะเล่นแต่การเมืองแต่ไม่เคยพัฒนาบ้านเมือง


2.  การมุ่งเล่นแต่การเมือง ทำให้บรรดานโยบายของพรรคที่ออกมา ขาดพื้นฐานด้านข้อมูลที่เป็นจริง ขาดการศึกษาและวิเคาระห์ถึงปัญหาอย่างลึกซึ้ง ซึ่งความจริงแล้วพรรคประชาธิปัตย์ถึงแม้ว่าจะเป็นพรรคการเมืองที่แก่ที่สุด แต่ก็ไม่เคยมีนโยบายเป็นของตัวเองมาก่อน บรรดานโยบายของรัฐบาลอภิสิทธิ์ก็ต้องยอมรับว่าเป็นการคัดลอกและดัดแปลงมาจากนโยบายประชานิยมของพรรคไทยรักไทยในอดีตทั้งสิ้น


แต่น่าเสียใจว่าการคัดลอกดัดแปลงนั้นกลับทำได้ย่ำแย่กว่าสมัยที่พรรคไทยรักไทยเป็นรัฐบาลเสียอีก พรรคประชาธิปัตย์เข้าใจว่าการที่พรรคไทยรักไทยชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลายเป็นเพราะประชาชนหิวโหยในผลประโยชน์ ดังนั้นการเข้ามาของรัฐบาลอภิสิทธิ์จึงเริ่มต้นด้วยการหว่านโปรยผลประโยชน์

ตั้งแต่นโยบายแจกเงินกินเปล่าให้ประชาชนหัวละสองพันบาท แต่จะเห็นได้ว่าการแจกเงินกินเปล่าเหล่านั้นไม่ได้ทำให้คะแนนนิยมของพรรคสูงขึ้น กลับลดลงเสียด้วยซ้ำ เป็นเพราะเหตุใด? ก็เพราะว่าวิธีการแจกเงินสองพันบาทโดยใช้ฐานข้อมมูลประกันสังคมนั้นไม่สามารถจะนำเงินไปสู่คนยากคนจนส่วนใหญ่ของประเทศอย่างแท้จริง ไปได้แค่เพียงคนชั้นกลางซึ่งมีข้อมูลอยู่ในทะเบียนฯเท่านั้น นโยบายนี้เหยียบย่ำหัวใจคนยากคนจนที่ส่วนใหญ่ที่ยากไร้ไม่มีที่ทำกิน ที่อยู่อาศัย จะมีประกันสังคมได้อย่างไร



ในขณะที่นโยบายที่ลอกและสานต่อจากนโยบายไทยรักไทยอย่างโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์หรือที่เรียกกันว่าโอท๊อป ซึ่งภาครัฐเคยจัดงานที่อิมแพคเมืองทองธานีเป็นประจำทุก ๆ ปี เป็นงานกึ่งตลาดนัดกึ่งแสดงสินค้า ซึ่งได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดีทั้งจากผู้ประกอบการขนาดเล็กและขนาดย่อม จากผู้นำเข้าและผู้ส่งออก ตลอดจนจากผู้บริโภคทั่ว ๆ ไป พอรัฐบาลอภิสิทธิ์เข้ามาบริหารก็ได้ย้ายสถานที่จัดงานมาตั้งอยู่ใจกลางเมือง ทั้งตามห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ ทั้งในลานเอนกประสงค์หน้าห้างฯ บริเวณรอบสนามกีฬาแห่งชาติ และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมางานโอท็อปก็ต้องพับฐานลงอย่างน่าเสียดาย



ด้วยเหตุผลหลายอย่าง ทั้งสถานที่จัดงานกระจัดกระจาย สภาพอากาศที่ไม่อำนวย ทำให้จำนวนคนเข้าชมงานลดน้อยลงอย่างมาก ผู้ค้าซึ่งมาจากต่างจังหวัดนอกจากจะขายสินค้าไม่ได้ ยังต้องแบกภาระค่ากินนอนเข้าไปอีกเพราะอดีตที่เคยอาศัยบริเวณจัดงานในอิมแพคฯก็ไม่มีค่าใช้จ่ายอะไร หัวอกคนยากคนจนและคนทำมาหากินซึ่งรัฐบาลประชาธิปัตย์ไม่เคยเข้าใจและคงไม่มีวันจะเข้าใจได้ สิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์ทำได้อย่างเชี่ยงชาญก็คือการใส่ไคล้ทำลายและช่วงชิงโอกาส ซึ่งล้วนเป็นเกมการเมืองทั้งสิ้น



3. บริหารไร้ประสิทธิภาพแต่โกงเป็นมาตรฐาน ด้วยนโยบายหว่านผลประโยชน์กับการสร้างภาพของรัฐบาลชุดนี้ ทำให้รัฐต้องแบกภาระเพิ่มขึ้นมากมาย จะเห็นได้ว่ามีการกู้เงินมหาศาลกว่ารัฐบาลใดในอดีตเสียอีก แต่ลำพังการกู้นั้นมิสามารถทำให้รัฐบาลดำเนินนโยบายไร้ประสิทธิภาพเหล่านั้นต่อไปได้มากนัก



รัฐบาลชุดนี้จึงมีกระบวนการสร้างภาระโดยการรีดภาษีจากคนชั้นกลางในมิติต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง จะเห็นได้ว่าสภาพเศรษฐกิจของประเทศมีความฝืดเคืองมากขึ้นเป็นลำดับ เพราะรัฐบาลนอกจากไม่ส่งเสริมการลงทุนภายในประเทศแล้ว กลับบั่นทอนกำลังการบริโภคของประชาชนไปเสียอีกด้วย



 ในขณะที่รัฐบาลชุดนี้เข้ามาบริหารประเทศ เราก็มักจะได้ยินข่าวการทุจริตมากขึ้นเป็นลำดับ บรรดาข่าวการทุจริตซึ่งส่วนใหญ่มาจากนโยบายจัดซื้อจัดจ้างการรับเหมาก่อสร้างมากมาย ซึ่งมีรูปแบบคลาสสิคโบราณ และน่าจะเป็นสิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์ไม่สามารถพัฒนาก้าวข้ามไปได้เลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องฉาวโฉ่เกี่ยวกับโครงการนมโรงเรียน โครงการรถเมล์ โครงการต้นกล้าอาชีพของรัฐบาล ไปจนถึงโครงการรถเมล์BRT อภิมหาโครงการโมโนเรล โครงการซุปเปอร์สกายวอล์กของกรุงเทพมหานคร และอื่น ๆ อีกมากมาย ในขณะที่กฎเหล็ก 9 ข้อที่นายกอภิสิทธิ์ประกาศไว้เมื่อครั้งรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีกลับไม่เคยถูกกล่าวถึงอีกเลย


4. ไม่สร้างความปรองดองกลับสร้างความแตกแยก ก็ต้องยอมรับว่าในขณะที่รัฐบาลประชาธิปัตย์เข้ามาบริหารประเทศนั้น สังคมไทยอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งอย่างหนัก รัฐบาลประชาธิปัตย์เข้ามาพร้อมกับการต่อต้านของขั้วตรงข้ามในนามกลุ่มคนเสื้อแดง ซึ่งเริ่มก่อรูปมาตั้งแต่หลังเหตุการณ์รัฐประหารรัฐบาลทักษิณ การเคลื่อนไหวของกลุ่มเสื้อแดงนั้นต้องการล้มล้างรัฐบาลประชาธิปัตย์และคืนอำนาจแก่อีกขั้วการเมืองเป็นหลัก


ดังนั้นรัฐบาลชุดนี้จึงต้องเผชิญกับการชุมนุมต่อต้านหลายครั้ง และบ่อยครั้งก็ได้พัฒนาไปถึงการจลาจล ซึ่งครั้งที่รุนแรงมากที่สุดก็คือการเผาเมืองพฤษภาคม2553 ถึงแม้ว่าแก่นแกนของการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงอยู่ที่พ.ต.ท. ทักษิณ โดยมีแนวร่วมหลายส่วนที่เกี่ยวกับขบวนการเรียกร้องความเป็นประชาธิปไตย ความเท่าเทียมทางสังคม ฯลฯ



ดังนั้นขบวนการคนเสื้อแดงจึงกลายเป็นขบวนการที่ใหญ่และใหญ่มากยิ่งขึ้น ในขณะที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ก็เกิดอาการฝ่อ และเลือกที่จะสร้างความปรองดองกับขบวนการเสื้อแดงโดยการย่ำยีหลักการของกฎหมาย ตั้งแต่การที่รัฐบาลไปเป็นแกนเคลื่อนไหวในการประกันตัวบรรดาแกนนำ ตลอดจนการละเว้นการติดตามทางคดีของผู้ก่อการเผาสถานที่ราชการ เอกชน ทำลายและปล้นทรัพย์สินในช่วงเหตุการณ์จลาจล การย่ำยีกฎหมายคือการสร้างความแตกแยกอันบาดลึก แต่เป็นที่สงสัยกันอยู่ว่าทั้งนี้เป็นไปก็เพื่อจะลอยตัว รักษาอำนาจ และสามารถเป็นรัฐบาลต่อไปได้เรื่อย ๆ หรือเปล่า



5.   สิ่งที่เกิดขึ้นกับเหตุการณ์เขาพระวิหารแสดงให้เห็นถึงธาตุแท้ของพรรคประชาธิปัตย์ได้อย่างชัดเจน เพราะสิ่งที่นายกอภิสิทธิ์ได้เคยอภิปรายโจมตีในการยื่นยัตติไม่ไว้วางใจนายนพดล ปัทมะอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศในรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวชเกี่ยวกับบูรณภาพเหนือดินแดนรอบตัวปราสาทเขาพระวิหาร กลับกลายเป็นสิ่งที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ดำเนินการเหมือนกับรัฐบาลพรรคพลังประชาชนและตรงกันข้ามกับสิ่งที่ตัวเองพูดไว้ในสภาอย่างสิ้นเชิง


หมายความว่าพรรคประชาธิปัตย์สามารถที่จะพูดอะไรก็ได้เพื่อให้เกิดโอกาสในการที่ตัวเองจะสามารถพลิกผันขึ้นมาถือครองอำนาจรัฐอย่างนั้นหรือ และผลของการบริหารประเทศเกี่ยวกับเรื่องนี้ยังได้ทำให้ประเทศไทยดูเหมือนไร้เกียรติไร้ศักดิ์ศรี ตกเป็นเบี้ยล่างของบรรดาประเทศเพื่อนบ้าน จนในที่สุดประเทศไทยก็จะต้องสูญเสียอธิปไตยเหนือดินแดนไปด้วยเหตุผลของความโง่เขลาหรือการมีผลประโยชน์ต่างตอบแทนก็สุดแล้วแต่ที่จะคาดเดาได้ ซึ่งความเป็นจริงแล้วถ้าศึกษากันดี ๆ ก็จะเห็นได้ว่าพรรคประชาธิปัตย์ดำเนินการเยี่ยงนี้ทำให้ประเทศชาติและสังคมไทยสูญเสียมาหลายครั้ง



ล่าสุดก็ครั้งที่ประเทศมีวิกฤติเศรษฐกิจ รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์กับกรณี ป.ร.ส. ขายหนี้ของบรรดาไฟแนนซ์ที่รัฐบาลสั่งปิดลงไปให้กับบรรดากองทุนต่างชาติ จนทำให้ต่างชาติสามารถกอบโกยผลกำไรอันมหาศาลไปจากสังคมไทย ทิ้งไว้กับกองศพของคนล้มละลายเป็นจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนชั้นกลาง ผู้ประกอบการขนาดเล็กและขนาดย่อม ผลจากการบริหารเศรษฐกิจของรัฐบาลครั้งนั้น ทำให้ธนาคารเกือบทุกธนาคารในประเทศไทยต้องตกเป็นของต่างชาติในที่สุด หรือที่คนทั่ว ๆ ไปเค้าเรียกว่าเสียเอกราชทางการเงินนั่นเอง


ด้วยเหตุผลเบื้องต้นเพียง 5 ประการนี้ ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยมีอุดมการณ์อะไรเพื่อประโยชน์ของประชาชนและสังคมไทย พรรคจึงเป็นเพียงมายาภาพหลอกลวงคนที่สิ้นหวังกับการเมืองไทยในชั่วขณะหนึ่ง ๆ เท่านั้น


ทุกวันนี้เราจะได้เห็นทั้งนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีแข่งกันขึ้นป้ายประชาสัมพันธ์ผลงานกันอย่างบ้าคลั่ง สมกับเป็นการเชิดปี่กลองสู้ศึกในเทศกาลเลือกตั้ง  แต่กลับไม่เห็นรู้สึกถึงผลงานที่ออกมาอย่างกับในป้ายโฆษณาแต่อย่างใด ป้ายโฆษณาเหล่านี้กลับเป็นสิ่งที่ตอกย้ำให้ผู้คนซึ่งได้รับความลำบากทั้งชาวไร่ชาวนาที่ถูกกดราคาสินค้าเกษตร ทั้งคนชั้นกลางที่ถูกขูดรีดภาษีอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทั้งกับผู้บริโภคทั่วไปที่ถูกตีหัวจากราคาสินค้าที่ปรับขึ้นอย่างไม่เป็นธรรม ได้รู้สึกเจ็บแค้นอย่างเหนือคำบรรยาย ผมเป็นคนไทยคนหนึ่งซึ่งหมดศรัทธาต่อพรรคประชาธิปัตย์ และประสงค์ที่จะลาออกจากสมาชิกพรรคนับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
    
จึงเรียนมาเพื่อทราบ
พรรษิษฐ์ ต่อสุวรรณ
ptorsuwan@yahoo.com

มติชนออนไลน์ วันที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2554 เวลา 12:14:37 น.

วันอาทิตย์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

โรคไตคร่าชีวิต สส.เพื่อไทย สถาพร มณีรัตน์ แกนนำแดงลำพูน





<>
ภาพอดีต - นายสถาพร มณีรัตน์ ส.ส.ลำพูน เขต 2 พรรคเพื่อไทย เสียชีวิตแล้วจากโรคไต เมื่อวันที่ 14 ก.ค. ภาพนี้ถ่ายเมื่อครั้งเดินทางมารายงานตัวที่รัฐสภาหลังได้รับเลือกตั้งเมื่อปี 2554 พร้อมหาบลำไย หัวหอม และกระเทียม
























สิ้นส.ส.สถาพร มณีรัตน์ ส.ส.ลำพูน พรรคเพื่อไทย หลังป่วยด้วยโรคมะเร็งและโรคไตนานนับปี เตรียมเคลื่อนศพจากโรงพยาบาลมหาราชเชียงใหม่ มาบำเพ็ญกุศลที่บ้านเกิด อ.บ้านธิ จ.ลำพูน วันนี้ ด้านกกต.เตรียมจัดเลือกตั้งซ่อมภายใน 45 วันตามกฎหมายกำหนด คาดใช้วันที่ 26 ส.ค. แต่รอที่ประชุมกกต.หารือจันทร์นี้ก่อน เผยประวัติเป็นประธานสหภาพแรงงานกฟผ.ก่อนลงเล่นการเมือง เป็นส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคไทยรักไทย แล้วเป็นส.ส.ลำพูน 3 สมัย รวมทั้งแกนนำเสื้อแดงด้วย



เมื่อวันที่ 14 ก.ค. รายงานข่าวว่า นายสถาพร มณีรัตน์ ส.ส.เขต 2 ลำพูน พรรคเพื่อไทย เสียชีวิตลงแล้วด้วยโรคไตและโรคมะเร็ง เมื่อเวลา 13.00 น. ที่โรงพยาบาลมหาราช เชียงใหม่ หลังจากเข้ารับการรักษาอาการเจ็บป่วยจากโรคไตก่อนหน้านี้ ทั้งนี้ ศพของนายสถาพรยังอยู่ที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ โรงพยาบาลมหาราช เชียงใหม่ มีกำหนดเคลื่อนศพในวันที่ 15 ก.ค. เวลา 08.00 น. เพื่อมาประกอบพิธีกรรมทางศาสนาที่วัดสันทราย หมู่ 5 ต.บ้านธิ อ.บ้านธิ จ.ลำพูน โดยจะมีพิธีรดน้ำศพในเวลา 15.00 น.



สำหรับประวัติของนายสถาพร เกิดเมื่อวันที่ 20 เม.ย. 2505 ที่ จ.ลำพูน จบการศึกษาจากวิทยาลัยเทคนิคลำพูน ปริญญาตรีนิติศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ปริญญาโทรัฐศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์



เรื่องทำงานการเมืองเป็นส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคไทยรักไทย โฆษกกระทรวงพลังงาน และกรรมาธิการสวัสดิการสังคม เมื่อปี 2548 ตัดสินใจลงเลือกตั้งระบบแบ่งเขต เป็นส.ส.ลำพูน เขต 3 พรรคไทยรักไทย ต่อมาเป็นส.ส.ลำพูน พรรคพลังประชาชน และพรรคเพื่อไทยตามลำดับ และยังเป็นแกนนำเสื้อแดงในจ.ลำพูนด้วย



ทั้งนี้ ก่อนเข้ามาทำงานทางการเมืองนายสถาพรเคยดำรงตำแหน่งเป็นประธานสหภาพแรงงานการไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ และเคยรณรงค์ต่อต้านการแปรรูปรัฐวิสาหกิจมาก่อน



ด้านนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า ทราบเรื่องนายสถาพรเสียชีวิตแล้ว โดยเตรียมนำศพไปประกอบพิธีกรรมที่วัดสันทราย อ.บ้านธิ จ.ลำพูน ซึ่งเป็นบ้านเกิด เบื้องต้นน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกฯ และกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทยรับทราบแล้ว ทั้งนี้ นายสถาพรมีอาการป่วยมานานแล้ว ตั้งแต่ลงสมัครรับเลือกตั้ง ส่วนสาเหตุการเสียชีวิตยังไม่ทราบ ต้องรอให้แพทย์เป็นผู้แถลงอีกที อย่างไรก็ตาม เมื่อนายสถาพรเสียชีวิตลงไปแล้วตามกฎหมายการเลือกตั้งจะให้มีการเลือกตั้งใหม่ตามกรอบระยะเวลาที่กำหนด แต่ยังไม่ควรพูดเรื่องดังกล่าว เพราะยังอยู่ในช่วงโศกเศร้าเสียใจของญาติพี่น้องอยู่



นายประพันธ์ นัยโกวิท กกต.ด้านกิจการบริหารงานเลือกตั้ง กล่าวว่า ตามกฎหมายกำหนดว่าหากตำแหน่งส.ส.ว่างลง เนื่องจากส.ส.เสียชีวิต จะต้องเลือกตั้งใหม่ภายใน 45 วัน นับจากวันเสียชีวิต ซึ่ง กกต.จะนัดประชุมพิเศษในวันที่ 16 ก.ค.นี้ เพื่อกำหนดวันเลือกตั้งซ่อมในเขตดังกล่าว และเสนอต่อ ครม.ให้ออกพระราชกฤษฎีกากำหนดวันเลือกตั้ง โดยเบื้องต้นคาดว่าจะเป็นวันที่ 26 ส.ค. ส่วนวันประกาศรับสมัครเลือกตั้งจะต้องรอกำหนดวันเลือกตั้งจริงก่อน ซึ่งจะใช้เวลา 15 วัน
ที่มา..วันที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 22 ฉบับที่ 7899 ข่าวสดรายวัน


.....................................................................................................

ขอแสดงความเสียใจต่อการจากไปของ
ท่าน ส.ส.นักสู้เพื่อประชาชน

วันศุกร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ตลก ของ ตลก



*** ตลก ที่ 1 ***

ศาลบอกบอกว่า ถ้าตั้ง สสร. แก้ทั้งฉบับ สภาจะ ต้อง (หรือ “ควร” ?) ไปถามประชาชนก่อน

ในขั้นแรก รัฐธรรมนูญ มาตรา 165 เองไม่ได้ให้อำนาจรัฐสภา
ไปทำประชามติถามประชาชน
ผู้ที่จะทำประชามติได้ คือ คณะรัฐมนตรี
แล้ว ศาลจะให้ ‘ฝ่ายบริหาร’
ไปก้าวล่วงถามเรื่องแก้รัฐธรรมนูญแทน ‘ฝ่ายนิติบัญญัติ’ กระนั้นหรือ ?

หรือศาลจะให้สภา ไปตรากฎหมายที่ ‘เล็กกว่า’ รัฐธรรมนูญ
มาขอทำประชามติแก้รัฐธรรมนูญ ‘ที่ใหญ่กว่า’ ?

แล้วตอนไปถามประชาชน จะให้ถามว่าอะไรครับ จะให้เลือกระหว่าง

ก. เลือกเก็บ รธน 2550 ทั้งฉบับไว้

กับ

ข. เลือกร่างใหม่ ที่ยังไม่ทันได้ร่าง

แล้วจะให้ประชาชนเลือกอย่างไร ? ในเมื่อตัวเลือกมันยังไม่มีให้เลือก ?

*** ตลก ที่ 2 ***

ศาลบอกว่า แก้ทั้งฉบับ ต้องถามประชาชนก่อน

แต่แก้ทีละมาตรา ไม่ต้องถามประชาชน

สรุปถ้า จะแก้ทีละมาตรา ทั้งหมดซัก 300 มาตรา
สรูป สภาทำได้ ไม่ต้องถามประชาชน ?

ตรรกะนี้ ผิดเพี้ยน มาก เอาคำหรู เช่น
“อำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญ” มาอ้าง ก็ไม่ได้ช่วยให้มีตรรกะแต่อย่างใด

*** ตลก ที่ 3 ***

หลังศาลอ่านคำวินิจฉัย โฆษกศาลแถลงว่า
ข้อกฎหมายที่ศาลวินิจฉัย คือ มาตรา 68
สรุปว่าไม่ได้มีการล้มล้างการปกครองฯ แต่พอถูกนักข่าวถามว่า
ศาลวินิจฉัยเรื่อง มาตรา 291 ว่าห้ามแก้ไขทั้งฉบับ
หรือไม่ โฆษกกลับตอบว่า เป็นข้อเสนอแนะ เป็นความเห็น
หากรัฐสภาดำเนินการต่อ ต้องรับผิดชอบเอง

แล้วสรุป ถ้าจะ ยกคำร้อง แล้ว จะยึกยัก
แสดงความเห็นนอกประเด็นไปเพื่อเหตุใด ?



*** ผมย้ำอีกครั้งว่า ***

ประเด็นของคดีนี้ คือ มาตรา 68 ไม่ใช่ มาตรา 291
ศาลจึงไม่มีอำนาจไปก้าวล่วงว่า มาตรา 291 แก้ไขอย่างไร


ขนาดสมัยประชาธิปัตย์แก้รัฐธรรมนูญทีละมาตรา
แล้วเพื่อไทยนำไปร้องศาลตาม มาตา 154 ศาลยังปฏิเสธคำร้องเพื่อไทย
บอกว่า มาตรา 291 เป็น “เรื่องเฉพาะ”
ที่สภาต้องดำเนินการสามวาระ ศาลไม่เข้าไปก้าวล่วง


มาตรา 291 กำหนดว่า เมื่อพ้น 15 วัน
หลังลงมติวาระ 2 ไปแล้ว สภามี “หน้าที่ตามกฎหมาย” ต้องเดินต่อไปยัง วาระ 3


ดังนั้น เมื่อศาลวินิจฉัยแล้วว่า คดีนี้ไม่ขัด มาตรา 68
รัฐสภาต้องเดินหน้าต่อวาระสามตามที่ มาตรา 291 กำหนดไว้
รัฐสภาจะนำความเห็นหรือข้อเสนอแนะนอกคำวินิจฉัยไม่ได้


และหากประชาชนผู้รักประชาธิปไตยจะหลงตามศาลจนแตกเสียงกันว่า
จะเดินหน้าวาระ 3 หรือไม่ ก็จะน่าเสียดาย

ส่วนถ้าสภาเดินต่อวาระ 3 แล้วมีคนไปฟ้องซ้ำว่าขัดมาตรา 68
ศาลก็ต้องตอบให้ชัดเจนว่า ที่บอกว่า มาตรา 291
แก้ได้อย่างนั้นอย่างนี้ เป็น
“ความเห็น” ของศาล แต่ไม่ใช่ “คำวินิจฉัย”

เพราะคำวินิจฉัย วันศุกร์ที่ 13 นี้
มีผูกพันเพียงประการเดียว คือ “ยกคำร้อง” !




http://www.siamintelligence.com/joke-of-court/


.................................................................................

ที่มา..ไทยฟรีนิวส์..
โดย  ice angel Administrator ตาสว่าง *****

.................................................................................

ตลกจริงๆ
ครับพี่น้อง วันนี้เป็นวันของ
ตลกจริงๆ

๒๔ มิถุนา' ล้มศักดินา สถาปนาการปกครอง ฉลองรัฐธรรมนูญ



ล้มศักดินา สถาปนาการปกครอง ฉลองรัฐธรรมนูญ
     



Posted Image     


























ที่มา  http://rungsira.blogspot.com/


..................................................................



ไม่รู้จะทำอย่างไรดีกับประเทศ ที่มีคนกลุ่มหนึ่งอ้างว่าตนสำคัญที่สุดในประเทศ ใครจะแตะต้องไม่ได้เลย

ผ่าดวงการเมืองหลัง'ศุกร์13'



ซ้าย-กรหริศ บัวสรวง

กลาง-โสรัจจะ นวลอยู่

ขวา-พ.ต.อ.อรรถวิโรจน์ ศรีตุลา
มีความเห็นหลากหลายเกี่ยวกับ 'ศุกร์ที่ 13' ซึ่งตรงกับวันที่ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยคำร้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 291 เป็นการล้มล้างการปกครองหรือไม่



บ้างก็ว่าเป็นศุกร์สยองขวัญ บ้างว่าเป็นวันดี เป็นวันธงชัย



แต่บางคนไม่เชื่อเรื่องอาถรรพ์ตัวเลข บางคนมองว่าไทยเป็นเมืองพุทธเชื่อเรื่องทำดี ได้ดี



ในมุมมองของนักโหราศาสตร์ที่ทำนายจากดวงดาว ซึ่งมีสถิติเป็นตัวชี้วัด



มีคำทำนายเรื่องศุกร์ 13 และสถานการณ์บ้านเมืองจาก นี้ไป





กรหริศ บัวสรวง



วันที่ 13 ก.ค. ที่จะถึงนี้จะเกิดลักษณะพิเศษของดาวมฤตยู เนื่องจากดาวมฤตยูจะโคจรวิปริตในวันนั้นในช่วงเวลา 16.49 น. พอดี โดยเป็นในลักษณะที่ดาวมฤตยูพักรองศาแล้วเล็งมายังดาวเสาร์และดาวอังคาร



ดาวเสาร์และดาวอังคารเป็นคู่ศัตรูที่ร้ายแรงที่สุด ซึ่งจะนำไปสู่การนองเลือด การปะทะกัน ก่อให้เกิดไฟไหม้ แผ่นดินไหว และก่อให้เกิดการติดขัดทางเครื่องบินหรือเครื่องบินตก



ระหว่างนี้ก่อนที่ดาวเสาร์จะย้ายในเดือนก.ย. 2555 จึงถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของรัฐบาลว่าจะอยู่หรือไป



อีกทั้งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ดาวมฤตยูโคจรวิปริต ซึ่งนานๆ จะเกิดขึ้น รวมถึงการวินิจฉัยจะลากยาวมาถึงเวลา 16.49 น. ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เกิดการวิปริตของดวงดาวขึ้น



ถือเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ จึงเชื่อได้ว่าจะเกิดอะไรสักอย่างขึ้น ทั้งเกิดสุญญากาศทางการเมือง หรือการยุบพรรค สรุปว่าผลจากการวินิจฉัยจะนำไปสู่การเปลี่ยนเเปลงครั้งใหญ่ทางการเมือง ซึ่งเหตุการณ์เช่นนี้จะเกิดจากอิทธิพลของมฤตยูที่ว่า



สถานการณ์ทางบ้านเมืองก็ยังอยู่ในสภาวะล่อแหลม ตราบใดที่ดาวมฤตยูยังคงเล็งกับดาวเสาร์ และดาวอังคาร สามารถเกิดการปฏิวัติรัฐประหารได้อย่างแน่นอน และดาวมฤตยูจะอยู่ในลักษณะนี้อีก 5 ปี จึงทำนายได้ว่าดวงเมืองไทยจะอยู่ในลักษณะนี้อีก 5 ปี จะฟื้นอย่างยิ่งใหญ่ในปีพ.ศ.2560



ต่อจากนี้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเชื่อได้เลยว่าเป็นเรื่องที่น่าวิตกกังวลในทุกๆ ด้าน ได้รัฐบาลไหนมาก็จะอ่อนแอ และทำอะไรได้ไม่เต็มที่



หลังเดือนก.ย.ที่ดาวเสาร์จะย้ายมาอยู่ในราศีตุล จะมาอยู่ในภพอริที่เล็งดวงเมือง ซึ่งเรียกว่าดวงแตก จะทำให้ดวงเมืองกับดวงของโลกเจอแต่เรื่องร้ายๆ เกิดทั้งภัยพิบัติ การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง การแตกแยกทางการเมือง



อีกทั้งดูจากดวงดาว เรื่องของการปรองดองไม่สามารถทำได้โดยนักการเมือง แต่ถ้าจะทำได้ต้องเริ่มจากประชาชนและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่ว่ารัฐบาลไหนมาทำเรื่องการปรองดองก็ไม่มีวันเกิดขึ้นได้



ส่วนรัฐบาลถ้าผ่านเรื่องนี้ไปได้ ก็จะมีเรื่องอื่นๆ อีก เพราะดาวเสาร์จะอยู่ในภพอริ ซึ่งดาวเสาร์มาจากตำแหน่งบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล จะทำให้รัฐบาลบริหารราชการแผ่นดินอย่างอยากลำบาก



และถึงแม้รัฐบาลจะใช้วิธีแก้เคล็ดด้วยการที่นายกฯ ไม่ตอบโต้ทางการเมือง ก็จะไม่ช่วยอะไรได้มาก เนื่องจากอิทธิพลของดวงดาวที่ว่าไว้



แต่ถ้าสถานการณ์นำไปสู่การนองเลือดของกลุ่มคนเสื้อแดง เช่น คนเสื้อแดงที่ไม่พอใจคำพิพากษาของศาลจุดชนวนด้วยการเผาศาลจนนำไปสู่การจลาจล ทหารก็ต้องออกมาเพราะตอนนี้ดาวอังคารซึ่งเป็นดาวของทหารเป็นมหาจักร



และจากการที่มองไว้ในวันที่ 24-25 ก.ค. ที่จะถึงนี้ จะเกิดเหตุการณ์จนนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอย่างใดอย่างหนึ่ง



อย่างไรก็ตาม ถ้าผลสุดท้ายเเล้วศาลตัดสินออกมาเป็นประโยชน์กับรัฐบาล รัฐบาลก็อยู่ได้ไม่เกินเดือนส.ค. เพราะพอเดือนก.ย.จะเป็นดวงแตก ซึ่งมี 2 อย่างที่มองจากดวงแล้ว คือรัฐบาลน่าจะยุบสภา หรือลาออก



อย่างไรก็ตามมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างแน่นอน





โสรัจจะ นวลอยู่

ประเทศไทยเวลานี้จะเกิดความแตกร้าวอย่างรุนแรง ทำให้หัวหน้ารัฐบาลต้องเผชิญกับความยุ่งยาก ขณะเดียวกันความยุ่งยากทางการเมืองก็ยิ่งย้ำความร้าวฉานให้มากขึ้น



และยังจะมีเหตุร้ายแรงกับพรรค การเมืองเก่าแก่พรรคหนึ่งของประเทศไทย



ซ้ำร้ายดาวมฤตยูแห่งการปฏิวัติยังคงโคจรอยู่ในภพวินาศกับดวงเมือง เป็นการยืนยันให้เห็นถึงความเสื่อมอำนาจของผู้นำ เรื่องน่าเป็นห่วงในเวลานี้คงหนีไม่พ้นความขัดแย้ง



คดีการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ศาลกำลังจะตัดสินในวันที่ 13 ก.ค. ก็ยังคงเป็นเรื่องที่ยุ่งมาก



ปีนี้ประเทศไทยยังคงพบกับเรื่องร้ายแรงหลายเรื่อง ทั้งความขัดแย้งระหว่างสีต่างๆ นักการเมืองและพรรคต่างๆ และเป็นความขัดแย้งที่หาจุดจบได้ยาก จนอาจเกิดเป็นการนองเลือด จึงอยากแนะนำให้ทุกคนใจเย็นๆ หันหน้าเข้าหากันและทำบุญกันเยอะๆ



อยากฝากเตือนรัฐบาลว่าควรจะฟังประชาชนด้วย ทำการอะไรก็ควรไตร่ตรองให้รอบคอบ เพราะดวงเมืองในปีนี้มีส่วนที่อาจทำให้เกิดความผิดพลาดขึ้นได้



ดาวเสาร์ยังคงเป็นอริกับดวงเมืองให้ระวังไว้ เพราะอาจเกิดอารมณ์ร้อนและมีการจับอาวุธลุกขึ้นสู้กันได้



ต่อจากนี้ไปนอกจากคดีที่ศาลรัฐธรรมนูญกำลังตัดสินนี้ ก็อาจจะมีเรื่องที่เกี่ยวกับกฎหมายและการศาลเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาอีก และอาจมีคดีความใหญ่ๆ ของบุคคลที่สำคัญๆ ตามมาทั้งปีจนถึงสิ้นปี



สิ่งที่น่าเป็นห่วงในปีนี้นอกจากเรื่องความขัดแย้งการเมืองแล้วยังมีเรื่องภัยพิบัติ น้ำท่วมที่จะใหญ่กว่าปีที่แล้ว จึงอยากเตือนให้รัฐบาลสนใจในเรื่องนี้ด้วย



อย่างไรก็ตามประเทศไทยมีพระสยามเทวาธิราชที่ยังคอยปกป้องคุ้มครองที่จะทำให้เราผ่านเรื่องนี้ไปได้ ทั้งนี้ทุกฝ่ายก็ต้องใจเย็นๆ กันด้วย





พ.ต.อ.อรรถวิโรจน์ ศรีตุลา

นายกสมาคมโหราศาสตร์

ดวงการเมืองปีนี้ร้อนแรงเป็นช่วงๆ โดยเฉพาะวันที่ 10 ธ.ค. 2555 ราหูกับดาวเสาร์จะเล็งดวงเมือง มีผลทำให้ดวงเมืองแตก การเมืองจะเกิดเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ อาจจะเริ่มตั้งแต่เดือนก.ย. ด้วยซ้ำ



แสดงว่าถึงเวลาแล้วที่จะต้องมีการปรับปรุง ถ้ารัฐบาลรู้ทันก็จะเอาตัวรอดได้ วิธีการเอาตัวรอดของรัฐบาล ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงภายใน เช่น ปรับครม. ปรับปรุงกฎหมายต่างๆ ปรับการบริหาร รวมไปถึงการแก้ไขปัญหาสังคม ปัญหาชายแดนภาคใต้ และเตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นอีกช่วงเดือน ก.ย.-ต.ค.



ในระยะใกล้ การเมืองมีการเปลี่ยน แปลงเพียงเล็กน้อย มีการต่อล้อต่อเถียงกัน หรือปรับปรุงกฎหมายเล็กๆ น้อยๆ ขณะที่การเดินขบวนยังมีอยู่ แต่ไม่มีเหตุรุนแรง จนกว่าจะถึงช่วงวันที่ 10 ธ.ค.



การตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ วันที่ 13 ก.ค. นี้ จะมีฝ่ายหนึ่งกะร่อกะแร่ ต้องมีการเปลี่ยนแปลงอะไรอย่างหนึ่ง แต่บอกไม่ได้ว่าเป็นฝ่ายใด



สถานการณ์บ้านเมืองตอนนี้ความรุนแรงจะชัดมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าไม่เปลี่ยนแปลงหรือเตรียมการอะไรไว้ ต่อไปบ้านเมืองจะเข้าสู่วิกฤต ระยะนี้รัฐบาลและฝ่ายค้านต้องเริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเองทีละเล็กละน้อย จะได้ผ่อนหนักเป็นเบา



บ้านเมืองเดินมาถึงขณะนี้แล้วยากที่จะปรองดอง มีจุดบอดที่รัฐบาลต้องแก้ไข ถ้าปล่อยให้ยืดเยื้อขยายวงกว้างออกไปรัฐบาลจะถึงจุดจบ 100 เปอร์เซ็นต์



เพื่อป้องกันความรุนแรง รัฐบาลต้องค่อยๆ ปรับ ค่อยๆ เปลี่ยน เช่น การแก้รัฐธรรมนูญ รัฐบาลควรค่อยๆ ทำไปทีละนิด ถ้าลุยทำไปเลยทีเดียวจะเกิดปัญหา ถ้าไม่ทำตามที่ว่านี้ สุดท้ายจะมีการปฏิวัติล้มล้างรัฐบาลแบบเด็ดขาด



ถ้ารัฐบาลฉลาดและอยากอยู่ในตำแหน่งต่อ ต้องชะลอประเด็นร้อนๆ ไว้ก่อน และเมื่อถึงวันที่ 10 ธ.ค. รัฐบาลอาจชิงปฏิวัติตัวเองก่อนคือ ยุบสภา ก่อนที่จะถูกคนอื่นปฏิวัติ


ที่มาข่าว....วันที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 22 ฉบับที่ 7897 ข่าวสดรายวัน

............................................................................................................................................

ถ้ารัฐบาลฉลาดและอยากอยู่ในตำแหน่งต่อ  ต้องเลิกฟังพวกนั่งทางในนะครับ
เหตุการบ้านเมืองในปัจจุบัน รัฐบาลต้องฉลาดฟังเสียงของประชาชนที่เลือกท่านมาครับ
เพราะถ้าเขาไม่เห็นด้วย ท่านคงไม่มีโอกาสมานั่งเป็นรัฐบาลกันในเวลานี้...

...ถ้าเดือนกันยายนนี้ เป็นเดือนแตก ถึงขั้นรุนแรง อาจจะเร็วกว่าที่คิด รัฐบาลชุดนี้ อาจจะกลับเพราะทุกอย่างอาจจะจบลงด้วยดี....

ผมได้แต่คิด  คิดมานานแล้ว ...อยากจังว่าในอีกไม่กี่เดือนที่หมอดูทั้งหลายทำนายเดาไว้เป็นความจริง แล้วสมมุติว่า.. มีคนของพรรคแมลงสาป หลายคนโดนยิงตายแบบ เสธ.แดง รวมทั้ง พวกชั่วๆที่ออกมาปลุกระดมคนให้ออกมาล้มรัฐบาลนี้ ..... ทั้งหัวขาว หัวงอก หัวดำ หัวเถิก ทั้งหลาย ต้องพบจุดจบด้วยอุบัติเหตุเช่นนี้ ....บ้านเมืองคงจะสงบสุข เสียทีสินะ...ผมได้แต่คิดและจินตนาการไปเองนะครับ และเล่าสู่กันฟัง

ใครเจรจาลับ!?

คอลัมน์ ทิ้งหมัดเข้ามุม    สมิงสามผลัด
วันที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 22 ฉบับที่ 7897 ข่าวสดรายวัน



แค่ขยับตัวก็โดนจับผิดอีกแล้ว k

ตามคิววันนี้ นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร บินไปกล่าวสุนทรพจน์ต่อนักธุรกิจสหรัฐอเมริกาในการประชุมฟอรั่มธุรกิจอาเซียนที่กัมพูชา

ก็โดนฝ่ายตรงข้ามค่อนแคะว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อนบ้าง เจรจาธุรกิจให้พี่ชายบ้าง

ทั้งที่ กระทรวงต่างประ เทศยืนยันแล้วว่าการเยือนกัมพูชาครั้งนี้ นายกฯยิ่งลักษณ์ ได้รับเชิญไปในฐานะ "แขกพิเศษ" นางฮิลลารี คลินตัน รมว.ต่างประเทศ สหรัฐอเมริกา

ไม่ใช่อยู่ๆ ก็บินไปเอง

นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกปชป.แถลงให้จับตาให้ดี

อาจมีการเจรจาลับเรื่องพลังงานในพื้นที่ทับซ้อน

อาจมีการเจรจาลับกับสหรัฐแลกกับวีซ่า 10 ปีของ พ.ต.ท.ทักษิณ

แม้แต่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าปชป.ถึงกับบอกว่า "ไม่ใช่วาระปกติ"

เพราะทักษิณเคยประกาศว่าสนใจลงทุนเรื่องธุรกิจพลังงานในพื้นที่ทับซ้อน

ก้าวไม่พ้นทักษิณเหมือนเดิม!?

ก็ไม่เป็นไร เป็นสิทธิ์ของของปชป.ที่จะตรวจสอบรัฐบาล

แต่ไม่อยากให้มองว่ารัฐบาลนี้ต้องทำอะไรเป็นเรื่องลับๆ เสมอ

เพราะมีตัวอย่างในอดีตกรณีของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ที่แอบบินไปเจรจา "ลับ" ถึง 3 ครั้งที่กัมพูชา-คุนหมิง-ฮ่องกง

โดย สมเด็จฮุนเซน นายกฯ กัมพูชาเป็นคนเปิดโปงเรื่องลับนี้เอง

ระบุว่าสมัยที่นายสุเทพเป็นรองนายกฯ เคยไปกินแกงเลียง ฝีมือภริยาฮุนเซนถึงที่บ้าน

ขอเจรจาลับเกี่ยวกับบล็อกน้ำมันในทะเล

บอกด้วยว่านายอภิสิทธิ์มอบหมายมา และต้องการเจรจาให้จบในสมัยรัฐบาลปชป. แต่นายกฯ ฮุนเซนไม่เจรจาด้วย

เป็นการยืนยันถึงการเจรจาลับในยุคนั้น

ส่วนการออกมาวิพากษ์นายกฯ ปูเตรียมบินไปเจรจาลับครั้งนี้

ลงเอยก็แค่จินตนาการอีกกระมัง

..........................................................................................................


สงสัยจริงครับว่า คนไทยเขาจะรู้เรื่องนี้กันมากมายแค่ไหนนะครับ
แล้วนายอภิสิทธิ์เคยตอบคำถามนี้กับใครหรือยังหนอ

วันเสาร์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2555

เผด็จการผวาบุคคลอันตราย พัลลพ-จตุพร-อภิวันทน์ ตั้งเงื่อนไขขอร้องยิ่งลักษณ์-ทักษิณ อย่าตั้งเป็นรัฐมนตรี


"มาร์ค"เทหมดหน้าตัก "ประชาธิปัตย์"สู้ตาย สัญญาณควัน"รัฐประหาร"

ถึงวันนี้ต้องถือว่าพรรคประชาธิปัตย์ ทุ่มหมดหน้าตักจริงๆ

ไม่ว่าจะเป็น "เกมในสภา" หรือ "เกมนอกสภา"

การขึ้นไปบนที่นั่งประธานสภาผู้แทนราษฎร ดึงแขน นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาของ นายอภิชาติ แพ่งสภา ส.ส.เพชรบุรี ถือเป็นภาพที่น่าตกใจแล้ว

การลากเก้าอี้ประธานสภาของ น.ส.รังสิมา รอดรัศมี ส.ส.สมุทรสงคราม ยิ่งน่าตกใจยิ่งกว่า

ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น หลายคนเชื่อว่าเป็น "อุบัติเหตุ" ที่เกิดจากอารมณ์ของ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์

แต่เมื่อเข้าวันที่ 2 ทันทีที่ นายสมศักดิ์ พยายามตัดบทเข้าสู่การลงมติ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ต่างเดินเข้ามาด้านหน้าและตะโกนประท้วงนายสมศักดิ์

ก่อนที่ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พิษณุโลก จะขว้างระเบียบการประชุมสภาใส่นายสมศักดิ์

และตามด้วยแฟ้มการประชุม

คนในแวดวงการเมืองเริ่มตั้งคำถามขึ้นมาทันที เพราะพรรคประชาธิปัตย์ที่เคยใช้สโลแกนในการหาเสียงว่า "เราเชื่อมั่นในระบบรัฐสภา" ไม่น่าจะเล่นเกมนี้

วันแรกที่ลงมืออาจมาจาก "อารมณ์" แต่เมื่อซ้ำอีกครั้งในวันที่สอง ด้วยท่าทีที่ "เถื่อน" และ "ดิบ" โดยไม่มี "ผู้ใหญ่" ในพรรคตำหนิหรือปรามลูกพรรค

คนจำนวนไม่น้อยจึงตั้งข้อสังเกตว่าพรรคประชาธิปัตย์ตั้งใจ

ตั้งใจทำให้อุณหภูมิสภาเดือด

เพราะเมื่อประสานกับ "ม็อบพันธมิตร" ที่อยู่นอกสภา อุณหภูมิการเมืองก็ร้อนฉ่าขึ้นมาทันที

และเมื่อการประชุมเรื่อง พ.ร.บ.ปรองดอง สิ้นสุดลง หลังจาก "ม็อบพันธมิตร" ล้อมสภา จน ส.ส.พรรคเพื่อไทย ไม่สามารถเข้าประชุมได้

แกนนำพรรคประชาธิปัตย์ประกาศทันที ว่าพร้อมจะสู้ทั้งในสภา และนอกสภา

การเปิดเวทีปราศรัยในวันที่ 2 มิถุนายน ที่ลานคนเมือง หน้ากรุงเทพมหานคร ประชันกับเวที "ความจริงวันนี้" ของ "คนเสื้อแดง" ที่ธันเดอร์โดม เมืองทองธานี

ด้านหนึ่ง คือ การประกาศว่า "ประชาธิปัตย์" เปิดเวทีนอกสภา สู้กับ "คนเสื้อแดง" ของพรรคเพื่อไทยแล้ว

ยิ่งแจกผ้าโพกหัว "สายล่อฟ้า" กับมวลชนที่มาชุมนุม ยิ่งแสดงว่าพรรคประชาธิปัตย์ เอาจริง

แต่อีกด้านหนึ่ง ถูกมองว่าพรรคประชาธิปัตย์เล่นเกมนอกสภา แบบ "แทงกั๊ก" คือ ไม่เล่นแรงเหมือน "คนเสื้อแดง" และ "ม็อบพันธมิตร"

แต่เป็นการสร้างกระแสมวลชนขึ้นมา ก่อนส่งมอบให้ "พันธมิตร" และกลุ่มเสื้อหลากสี

เพราะหลังจากการชุมนุมในวันนั้น "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" ออกมาโพสต์ข้อความแสดงความขอบคุณกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และกลุ่มเสื้อหลากสี

เป็นการเปิดทางสานไมตรีหลังจากเคยเปิดศึกกันแบบสาดเสียเทเสียเมื่อครั้ง "ประชาธิปัตย์" เป็นรัฐบาล

แต่วันนี้ เมื่อมี "ศัตรูร่วม" คือ "ทักษิณ ชินวัตร"

ทุกฝ่ายจึงเดินยุทธศาสตร์ "รักษาจุดร่วม-สงวนจุดต่าง"

กลืนน้ำลายที่เคยด่าประจานกัน มาจับมือร่วมกันอีกครั้งหนึ่ง

เป็นภาพที่ไม่ต่างจาก พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ที่เสนอ พ.ร.บ.ปรองดอง นิรโทษกรรมให้กับ "ทักษิณ"



ด้วยประวัติศาสตร์การเมืองที่ไม่นานจนคนลืม ทำให้คนหวนระลึกถึงประวัติศาสตร์การเมือง 2 ช่วงเวลา

ครั้งหนึ่ง คือ ช่วงท้ายรัฐบาล "ทักษิณ"

เมื่อ "ม็อบพันธมิตร" ก่อตัวขึ้น และขยายมวลชนได้อย่างรวดเร็ว จนในที่สุด "ทักษิณ" ตัดสินใจยุบสภา

พรรคประชาธิปัตย์ ประกาศไม่ส่งผู้สมัครรับเลือกตั้ง ทำให้การเมืองเดินมาสู่ "จุดอับ"

ก่อนที่ "ตุลาการภิวัฒน์" จะเริ่มทำงาน

และตามมาด้วยการรัฐประหารในวันที่ 19 กันยายน 2549

ครั้งที่สอง ในช่วงรัฐบาล "สมัคร สุนทรเวช" ต่อเนื่องถึง "สมชาย วงศ์สวัสดิ์"

เมื่อ "ม็อบพันธมิตร" ก่อตัวอีกครั้ง และกระบวนการตุลาการภิวัฒน์จัดการ "สมัคร" พ้นเก้าอี้นายกรัฐมนตรี ด้วยข้อหาทำกับข้าวออกทีวี

และตามมาด้วยการยุบพรรคพลังประชาชน ทำให้นายสมชายหลุดจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรี

เมื่อเกิดสุญญากาศทางการเมือง ทหารก็เดินเกมจัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร

เกมนี้มีพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำในการฟอร์มคณะรัฐมนตรี

การประสานระหว่าง "ม็อบ-พรรคการเมือง-ตุลาการภิวัฒน์" และ "กองทัพ" กลายเป็นเครือข่ายล้มรัฐบาลพรรคไทยรักไทย และพรรคพลังประชาชนถึง 2 ครั้ง

ดังนั้น เมื่อพรรคประชาธิปัตย์ขยับตัวเล่นเกมแรงในสภา และออกมาต่อยอดนอกสภา ทั้งชุมนุมที่ลานคนเมือง ถ่ายทอดสดผ่านสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมช่อง "บลูสกาย"

และติดป้ายโจมตีพรรคเพื่อไทยทั่วกรุง

ในขณะที่ "ม็อบพันธมิตร" กลับมาอีกครั้ง ตามด้วยกระบวนการตุลาการภิวัฒน์ ผ่านตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่พยายามหยุดยั้งการแก้ไขรัฐธรรมนูญในวาระที่ 3

แม้วันนี้ยังไม่มีเงาของ "กองทัพ" ออกมา

แต่สัญญาณควันเช่นนี้เอง จึงทำให้ นายก่อแก้ว พิกุลทอง แกนนำเสื้อแดงออกมาเล่นเกม "โยนก้อนหินถามทาง"

นายก่อแก้ว ปูดข่าวว่ามีการประสานงานมวลชนของกลุ่มพันธมิตร พรรคประชาธิปัตย์ และต่อสายไปยังนายทหารระดับสูงของกองทัพบก แต่ไม่ใช่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก

นอกจากนั้น ยังมีการล็อบบี้พรรคร่วมรัฐบาล และกลุ่ม ส.ว. ให้ร่วมสนับสนุนการตั้งรัฐบาลเทพประทาน ภาค 2 โดยมีคนของพรรคประชาธิปัตย์ อักษรย่อ "ส." เป็นผู้เดินเกม

จริงหรือไม่จริง ไม่รู้

แต่ "จินตนาการ" ดังกล่าว ก็ส่งต่อความรับรู้ไปสู่มวลชนแล้ว

ถ้าเกิดขึ้นจริงเมื่อไร ก็แสดงว่ามีการวางแผนไว้ล่วงหน้า



แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องไม่ลืม ก็คือ ทุกฝ่ายต่างมี "บทเรียน" จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

น.ส.ยิ่งลักษณ์ และแกนนำตัวจริงของพรรคเพื่อไทยส่วนใหญ่ จึงไม่มีใครดำรงตำแหน่ง "กรรมการบริหารพรรค"

เพราะรู้ว่าเกมยุบพรรคอาจเกิดขึ้นได้ผ่านกระบวนการตุลาการภิวัฒน์

ที่สำคัญ กลุ่มคนเสื้อแดงนั้นเติบใหญ่กว่าเดิมมาก ในขณะที่กลุ่มพันธมิตรลดจำนวนลงอย่างเห็นได้ชัด

แม้แต่การชุมนุมหน้ารัฐสภาเมื่อวันก่อน ถึงจะมากกว่าตอนประท้วงเรื่องเขาพระวิหาร แต่ก็ไม่ได้แน่นหนาเหมือนในอดีต

ยิ่งเมื่อเทียบเคียงกับ "คนเสื้อแดง" แล้ว ห่างกันมาก

ในขณะเดียวกัน ต้องไม่ลืมว่าคำว่า "สองมาตรฐาน" จุดติดขึ้นมาแล้ว ปรากฏการณ์นี้ย่อมแสดงว่าความขลังของ "ตุลาการภิวัฒน์" ลดต่ำลงเมื่อเทียบกับ 4-5 ปีที่ผ่านมา

นี่คือ ความเป็นจริงของวันนี้

การเดินเกมของพรรคประชาธิปัตย์ครั้งนี้ แม้จะมี "ตัวช่วย" มากมาย แต่ในมุมหนึ่ง คือการเดิมพันหมดหน้าตักของพรรคการเมืองที่ นายพิชัย รัตตกุล อดีตหัวหน้าพรรค เคยบอกว่ามีจุดขายสำคัญ คือ การต่อต้านเผด็จการทหาร

และมีสโลแกน ว่า "เชื่อมั่นในระบบรัฐสภา"

เดิมพันครั้งนี้สูงจริงๆ



(ที่มา : มติชนสุดสัปดาห์  ฉบับวันที่ 8-14 มิถุนายน 2555)
..............................................................................................................



พล.อ.พัลลพ ปิ่นมณี

จตุพร พรหมพันธุ์

พ.อ.ดร.อภิวันทน์ วิริยชัย


รายงานข่าวแจ้งว่า บุคคลดังต่อไปนี้ คือ พล.อ.พัลลพ ปิ่นมณี จตุพร พรหมพันธุ์ พ.อ.ดร.อภิวันทน์ วิริยชัย เป็นกลุ่มบุคคลที่ฝ่ายสี่เสาเทเวศร์และหมู่คณะ กลัวมาก มักหยิบยกเรื่องการแต่งตั้งรัฐมนตรีในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ขึ้นมาต่อรอง โดยตั้งเงื่อนไขไม่ให้เพื่อไทยตั้งบุคคลทั้งสามนี้มีตำแหน่งรัฐมนตรีในคณะรัฐบาล อย่างไรก็ตาม มีรายงานข่าวว่า เงื่อนไขเหล่านี้กำลังถูกยกเลิก พรรคเพื่อไทยไม่ทำตามเงื่อนไขนี้อีกต่อไป

ที่มา...โดย: อินไซด์ ไทยแลนด์  Facebook.com

.......................................

จริงหรือไม่ก็ติดตามกันต่อไป  แต่มันก็น่ากลัวอยู่นะครับ เพราะว่าคนทั้งสามนี้ประกาศชัดว่าจะรบกับเผด็จการแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน..ลึกๆกว่านั้น ก็ว่าจะไม่มีแผ่นดินซุกหัวด้วยหรือเปล่า เทือกเอ้ย..