วันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2555 เวลา 01:24 น. ข่าวสดออนไลน์
ผู้สื่อข่าว "ข่าวสด" รายงานว่า เวลา 15.30 น. วันที่ 17 ส.ค. พ.ต.ท.ภาณุศักดิ์ เสมอศรี พงส. (สบ2) สน.ชนะสงคราม รับแจ้งความจาก นายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พร้อมด้วยอาจารย์จากคณะนิติราษฎร์ เนื่องจากมีบุคคลไม่ทราบกลุ่ม ติดตามถ่ายรูปตนเองและรวมทั้งสถานที่ทำงานภายในมหาวิทยาลัยทางเข้าออกของคณะ เมื่อวันที่ 8 ส.ค. ที่ผ่านมา และยังกระทำการดังกล่าวอีก 2-3 ครั้ง โดยล่าสุดเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา กล้องวงจรปิดของคณะสามารถจับภาพบุคคลดังกล่าวไว้ได้ จึงนำหลักฐานเป็นภาพวิดีโอ เข้าแจ้งความไว้เป็นหลักฐาน
"ส่วนหนึ่งที่ทำให้ตัดสินใจเดินทางมาลงบันทึกประจำวันครั้งนี้ เพราะรู้สึกว่ามีเหตุการณ์ทำนองเดียวกันเกิดขึ้นที่คณะนิติศาสตร์ ท่าพระจันทร์ บ่อยครั้งขึ้น" นายวรเจตน์ แกนนำกลุ่มนิติราษฎร์ ระบุ
ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 10 ส.ค. ที่ผ่านมา นายธีระ สุธีวรางกูร นักวิชาการในกลุ่มนิติราษฎร์ โพสต์ในเฟซบุ๊กส่วนตัวเผยว่า แม่บ้านที่คณะให้ข้อมูลว่าในช่วงต้นเดือนส.ค. มีผู้ชายรูปร่างสันทัด ผมสั้น อายุประมาณ 20 ปีเศษ อ้างว่าเป็นนักศึกษา เดินถามหานักวิชาการกลุ่มนิติราษฎร์ และเมื่อไม่พบก็ถ่ายรูปหน้าห้องทำงานเอาไว้
ด้านพ.ต.ท.ภาณุศักดิ์ เปิดเผยว่าเบื้องต้นได้ลงบันทึกประจำวันไว้ พร้อมกับจะประสานไปยังทางมหาวิทยาลัยฯ เพื่อขอภาพจากกล้องวงจรปิดไปตรวจสอบ ในการติดตามตัวบุคคลในภาพมาสอบสวน ถึงสาเหตุของการกระทำดังกล่าวว่ามีเจตนาคุกคามหรือไม่
.........................................................................................
แฝดเกรียน-แฝดน่วม ศาลจำคุกชก"วรเจตน์"-จ่ออีกคดีปลอมบัตรทหารพราน
เนื่องจากจำเลยทั้งสองมีพฤติการณ์เป็นนักเลง อันธพาล ไม่เคารพยำเกรงต่อกฎหมายบ้านเมือง โทษจำคุกจึงไม่รอการลงโทษ "
คือเนื้อหาตอนท้ายของคำพิพาก ษาศาลแขวงดุสิต ต่อคดี "แฝดเกรียน"นายสุพจน์ และนายสุพัฒน์ ศิลารัตน์ ฝาแฝดอายุ 30 ปี ผู้ต้องหาคดีทำร้ายร่างกายนายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหา วิทยาลัยธรรมศาสตร์ และแกนนำกลุ่มนิติราษฎร์
พฤติการณ์ของคู่แฝดที่เตรียมการมาอย่างดี ดักทำร้ายก่อนหลบหนี ทั้งยังท้าทายด้วยการให้เหยื่อดูภาพจากกล้อวงจรปิดใน ม.ธรรมศาสตร์
เมื่อรวมกับประวัติเก่าๆ ที่เคยต้องโทษคดีอาญามาแล้ว ทำให้ศาลไม่มีเหตุให้รอการลงโทษ
ถือเป็นการดัดนิสัย และที่สำคัญเป็นการเบรกความรุนแรงในสังคม ที่กำลังปะทุขึ้น
เป็นการปะทุท่ามกลางการเสี้ยม ของกลุ่มบุคคลที่หวังผลทางการเมือง เพียงเพื่อทำลายฝ่ายตรงข้าม
โดยไม่สำเหนียกว่าสิ่งที่กระทำสร้างความเสียหายต่อองค์รวมเพียงใด!??
พบแฝดเกรียนมีปืนอื้อ
หลังเกิดเหตุคู่แฝดทำร้ายนายวรเจตน์ ก่อนเข้ามอบตัวด้วยสีหน้าเรียบเฉย ท่ามกลางความกังวลของสังคม เพราะมีบางส่วนชื่นชมและเชิดชูพฤติกรรมร้ายของพี่น้องคู่นี้!!!
เป็นการสะใจที่ลงมือทำร้ายนายวรเจตน์ โดยอ้างเรื่องไม่พอใจที่ออกมาเสนอแก้กฎหมายอาญามาตรา 112
ที่น่ากลัวกว่านั้นกลุ่มบุคคลที่ไม่พอใจ ส่วนหนึ่งหรืออาจจะส่วนใหญ่แทบไม่รับทราบข้อเสนอของนิติราษฎร์ด้วยซ้ำ หากแต่รับฟังการใส่ร้ายของกลุ่มบุคคลอื่น ที่ยัดเยียดข้อหา"ล้มเจ้า"ให้กับนิติราษฎร์ เพื่อโยงไปถึงพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้าม
น่าแปลกใจยิ่งกว่าคือกลุ่มที่ยัดข้อหาล้มเจ้า กลับไม่เคยออกมาตอบโต้ข้อเสนอของนิติราษฎร์ในเชิงวิชาการเลย
ขณะที่ 2 พี่น้องหลังเข้ามอบตัวก็เก็บตัวเงียบ แต่สิ่งที่ไม่เงียบคือประวัติต่างๆ ถูกตำรวจเข้าไปตรวจสอบและพบว่าพี่น้องคู่นี้ไม่ธรรมดา!??
ทั้งการเล่นปืน การถ่ายภาพแอ๊กชั่นกับปืนด้วยลีลาต่างๆ คล้ายคลึงยิ่งกับพี่น้องทมิฬ "โจ๊ก-จิ๊บ ไผ่เขียว" แก๊งยาบ้าพระนคร ศรีอยุธยา ที่เล่นปืนและยิงรถที่แล่นผ่านไปมาจนมีเด็กเสียชีวิต กลายเป็นเรื่องราวสลดไปทั้งสังคม
ตำรวจพบว่าพี่น้องคู่นี้มีคดีติดตัวไม่น้อย นายสุพจน์ คนพี่เคยต้องคดีอาวุธปืนผิดมือ ศาลลงโทษจำคุกแต่ให้รอลงอาญา
ส่วนนายสุพัฒน์คนน้อง ต้องคดีทำร้ายร่างกาย ติดคุกมาแล้ว 2 รอบ!!!
ทำให้ พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ รองผบช.น. สั่งตรวจสอบข้อมูลการครอบครองปืนที่พบว่ามีถึง 4 กระบอก เป็นปืนพกขนาด .22 จำนวน 1 กระบอก 9 ม.ม. 2 กระบอก และขนาด .45 อีก 1 กระบอก
โดยเฉพาะปืนพกขนาด .45 ถือว่าเป็นอาวุธร้ายแรงที่ปกติจะไม่อนุญาตกันง่ายๆ ยกเว้นเป็นทหาร-ตำรวจ หรือข้าราชการหน่วยความมั่นคงเท่านั้น
นอกจากนี้ 2 พี่น้องไปขอครอบครองอาวุธปืนทั้งๆ ที่มีคดีอาญาติดตัว ซึ่งตามปกติแล้วการอนุญาตต้องเช็กประวัติอย่างละเอียด ว่าไม่มีพฤติกรรมรุนแรง!??
อ้างเป็นทหารพรานไปขอ
จากพฤติกรรมรุนแรงและมีประวัติต้องคดีอาญาทั้งพี่ทั้งน้อง ทำให้ตำรวจสงสัยว่าทำไมถึงได้รับอนุญาตให้มีอาวุธได้หลายกระบอก ที่สำคัญพบว่าการอนุญาตเกิดขึ้นหลังจากทั้งคู่เคยต้องคดีอาญามาแล้ว ซึ่งตามปกติเจ้าหน้าที่จะไม่อนุญาต
"จะทำหนังสือถึงกระทรวงมหาด ไทย เพื่อตรวจสอบและขอยึดใบ ป.4 เนื่องจากมีพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรงอาจเป็นภัยต่อสังคม นอกจากนี้ให้เจ้าหน้าที่ทำหนังสือเพื่อขออาวุธปืนมาตรวจสอบด้วยว่าเคยนำไปใช้ก่อเหตุอื่นๆ หรือไม่"!??
พล.ต.ต.วิชัยกล่าว
ขณะที่ตำรวจประสานไปยังนายทะเบียนธัญบุรี ที่ออกใบอนุญาต โดย นายสมศักดิ์ พัวพันธุ์ นายอำเภอธัญบุรี ระบุว่า นายสุพจน์ขอทะเบียนอาวุธปืนพกสั้น กึ่งอัตโนมัติ .45 หมายเลข เค 302994 คิมเบอร์ กท. 5344892 เป็นอาวุธปืนในโครงการสวัสดิการข้าราชการของรัฐ เมื่อวันที่ 17 พ.ย. 2553 โดยใช้บัตรประจำอส.ทพ. สังกัดหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 26 จ.บุรีรัมย์ ระบุวันออกบัตร 1 พ.ค. 2551 หมดอายุ 1 พ.ค. 2553
เช่นเดียวกับ นายสุพัฒน์ ก็ใช้บัตรทหารพรานลักษณะเดียวกันมาขอมีปืนถึง 2 กระบอก
เจ้าหน้าที่จึงประสานไปยังกรมทหารพราน เพื่อขอประวัติของคู่แฝดว่าเป็นทหารพรานจริงหรือไม่
ปรากฏว่า พ.อ.ณัฏฐ์ ศรีอินทร์ ผบ.ฉก.กรม ทพ.26 ค่ายปักธงชัย อ.ละหานทราย จ.บุรีรัมย์ ระบุว่าตรวจสอบไม่พบชื่อคู่แฝดเป็นกำลังพลสังกัดกรม ทพ.26 หากใช้บัตร อส.สังกัด ทพ.26 ไปยื่นขออนุญาตมีอาวุธปืน แสดงว่าจงใจแอบอ้างและปลอมแปลงเอกสาร!??
พร้อมกันนี้ผบ.ทหารพรานที่ 26 ทำรายงานเป็นหนังสือเสนอผู้บังคับบัญชา เนื่องจากกรณีนี้ถือว่าทำให้ทหารพรานเสียหาย เพราะคู่แฝดมีคดีติดตัวหลายคดีและยังก่อเหตุเป็นที่สนใจของสังคม
การอ้างตัวเป็นทหารพราน จึงทำให้ภาพ พจน์ของทหารพรานเสื่อมเสียไปด้วย
ศาลสั่งจำคุกไม่รออาญา
ล่วงเข้าวันที่ 8 มีนาคม ตำรวจนัดคู่แฝดมาพบก่อนนำตัวส่งพนักงานอัยการสั่งฟ้องแขวงดุสิต ในความผิดฐานร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนได้รับบาดเจ็บเป็นอันตรายแก่กาย
อัยการระบุฟ้องความผิดสรุปว่า เมื่อวันที่ 29 ก.พ. 2555 จำเลยทั้งสองไปดักรอ และรุมชกทำร้าย นายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แกนนำกลุ่มนิติราษฎร์ ที่เรียกร้องให้แก้ไขกฎหมายอาญา มาตรา 112 บริเวณโหนกแก้มขวาและหน้าผาก ได้รับบาดเจ็บ ก่อนหลบหนีไป
อัยการโจทก์ขอให้ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 และขอให้ศาลนับโทษนายสุพจน์ จำเลยที่ 1 ต่อจากคดีหมายเลขแดงที่ 1336/2553 ที่ศาลอาญามีคำพิพากษาให้จำคุกเป็นเวลา 7 เดือน ปรับ 3,000 บาท โทษจำคุกรอการลงโทษ มีกำหนด 2 ปี คดีครอบครองอาวุธปืนอีกด้วย
ศาลสอบคำให้ การจำเลยให้การรับสารภาพ โดยไม่ร้องขอทนายความแต่อย่างใด จึงมีคำพิพากษาออกมา
"พิเคราะห์แล้วเห็นว่าจำเลยทั้งสองกระทำผิดตามฟ้อง ลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสอง คนละ 6 เดือน คำรับสาร ภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดี ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยทั้งสองเป็นเวลา 3 เดือน"!!!
ในส่วนของจำเลยที่ 1 หรือนายสุพจน์ ผู้พิพากษาให้บวกโทษจำคุก 7 เดือนที่รอการลงอาญาอยู่เข้าไปด้วยรวมลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 เป็นเวลา 10 เดือน
"เนื่องจากจำเลยทั้งสองมีพฤติการณ์เป็นนักเลง อันธพาล ไม่เคารพยำเกรงต่อกฎหมายบ้านเมือง โทษจำคุกจึงไม่รอการลงโทษ ให้จำคุกจำเลยทั้งสอง"!!!
หลังเสร็จสิ้นคำตัดสินทำให้คู่แฝดมีสีหน้าเคร่งเครียด เพราะโดนลงโทษจำคุกโดยไม่รออาญา ก่อนที่ญาติจะยื่นหลักทรัพย์ขอประกันตัวออกไปสู้คดีต่อในชั้นอุทธรณ์
จ่ออีกคดีอ้างทหารพราน
นอกจากคดีทำร้ายอาจารย์วรเจตน์ ที่จบสิ้นไปแล้วในระดับหนึ่ง แต่คู่แฝดยังไม่หมดปัญหาแค่นั้น เพราะมีคดีคือใช้บัตรอาสาทหารพรานไปขออนุญาตมีอาวุธปืนถึง 3 กระบอก
โดยบัตรดังกล่าวต้นสังกัดตรวจสอบแล้วเชื่อว่าเป็นบัตรปลอม!!!
"บัตรประจำตัวทหารพรานที่ผู้ต้องหาทั้งสองนำไปใช้ ลงนามชื่อของพ.อ.ศิริชัย สร้อยแสน นายทหารพระธรรมนูญ จากการตรวจสอบพบว่าพ.อ.ศิริชัยเคยรับราชการอยู่กรมทหารพราน ระหว่างปี 2529-2532 ขณะนั้นมียศร้อยโท สังกัดหน่วยเฉพาะกิจทหารพรานที่ 23 ตำแหน่งนายทหารพระธรรมนูญ ก่อนย้ายไปสังกัดหน่วยอื่น แต่บัตรที่นำไปแสดงนั้นลงชื่อพ.อ.ศิริชัย ออกให้เมื่อปี 2551 ซึ่งพ.อ.ศิริชัยไม่ได้สังกัดทหารพรานที่ 26 แต่อย่างใด"!!!
พ.อ.ณัฏฐ์ ผบ.กรมทหารพรานที่ 26 ต้นสังกัดซึ่ง 2 คู่แฝดนำไปอ้าง ชี้แจงว่าได้สอบถามพ.อ.ศิริชัย ซึ่งตอนนี้สังกัดกองบัญชาการกองทัพไทย พ.อ.ศิริชัยยืนยันว่าไม่รู้จักกับผู้ต้องหาฝาแฝดทั้ง 2 คน ขณะนี้ประ สานขอข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับทั้ง 2 คน
ด้านพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. กล่าวว่า ได้รับการยืนยันจากผบ.กรมทหารพรานที่ 26 แล้วว่า บุคคลทั้ง 2 ไม่เคยเป็นทหารพราน และคนที่เซ็นชื่อรับรองนั้นเป็นนายทหารพระธรรมนูญ ซึ่งย้ายออกจากหน่วยไปนานแล้ว
"ขอยืนยันว่าบุคคลทั้ง 2 ไม่ใช่ทหารพรานอย่างแน่นอน"
ผบ.ทบ.กล่าวและว่า สั่งให้ต้นสังกัดที่ถูกอ้างชื่อทำรายงานเสนอขึ้นมาแล้ว
ส่วนนายสมศักดิ์ พัวพันธุ์ นายอำเภอธัญบุรี กล่าวว่า บุคคลทั้งสองไม่ได้มีชื่ออยู่ในหน่วยทหารพราน คาดว่าได้ใช้เอกสารปลอม ถ้าหากต้นสังกัดกรมทหารพรานที่ 26 จ.บุรีรัมย์ และพนักงานสอบสวนแจ้งมาอย่างเป็นลายลักษณ์อักษร ว่าทั้งสองใช้เอกสารการเป็นเท็จในการขอใบมีอาวุธปืน ทางอำเภอจะแจ้งความดำเนินคดี ข้อหานำเอกสารการเป็นเท็จมาติดต่อทางราชการต่อไป
งานนี้ไม่รู้ว่านอกจากเรื่องแอบอ้างเป็นทหารพราน ใช้เอกสารปลอมขออาวุธปืนแล้ว ยังจะมีเรื่องอะไรโผล่ออกมาอีกหรือเปล่า โดยเฉพาะการงานอาชีพ ซึ่งคู่แฝดให้การกับตำรวจว่าขายเสื้อผ้า น้ำหอม และช่วยดูแลบ้านให้เศรษฐินีรายหนึ่ง แต่สามารถมีเงินซื้ออาวุธปืนกระบอกละนับแสนบาทได้ถึง 3 กระบอก แถมการซ้อมยิงแต่ละครั้งต้องใช้เงินหลักพัน หรือหลายพันบาท
ลำพังแค่คดีทำร้ายร่างกาย และใช้เอกสารปลอม-อ้างชื่อทหารพราน แค่นี้จาก"แฝดเกรียน"ก็กลายเป็น"แฝดน่วม"ไปแล้ว!!!
คือเนื้อหาตอนท้ายของคำพิพาก ษาศาลแขวงดุสิต ต่อคดี "แฝดเกรียน"นายสุพจน์ และนายสุพัฒน์ ศิลารัตน์ ฝาแฝดอายุ 30 ปี ผู้ต้องหาคดีทำร้ายร่างกายนายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหา วิทยาลัยธรรมศาสตร์ และแกนนำกลุ่มนิติราษฎร์
พฤติการณ์ของคู่แฝดที่เตรียมการมาอย่างดี ดักทำร้ายก่อนหลบหนี ทั้งยังท้าทายด้วยการให้เหยื่อดูภาพจากกล้อวงจรปิดใน ม.ธรรมศาสตร์
เมื่อรวมกับประวัติเก่าๆ ที่เคยต้องโทษคดีอาญามาแล้ว ทำให้ศาลไม่มีเหตุให้รอการลงโทษ
ถือเป็นการดัดนิสัย และที่สำคัญเป็นการเบรกความรุนแรงในสังคม ที่กำลังปะทุขึ้น
เป็นการปะทุท่ามกลางการเสี้ยม ของกลุ่มบุคคลที่หวังผลทางการเมือง เพียงเพื่อทำลายฝ่ายตรงข้าม
โดยไม่สำเหนียกว่าสิ่งที่กระทำสร้างความเสียหายต่อองค์รวมเพียงใด!??
พบแฝดเกรียนมีปืนอื้อ
หลังเกิดเหตุคู่แฝดทำร้ายนายวรเจตน์ ก่อนเข้ามอบตัวด้วยสีหน้าเรียบเฉย ท่ามกลางความกังวลของสังคม เพราะมีบางส่วนชื่นชมและเชิดชูพฤติกรรมร้ายของพี่น้องคู่นี้!!!
เป็นการสะใจที่ลงมือทำร้ายนายวรเจตน์ โดยอ้างเรื่องไม่พอใจที่ออกมาเสนอแก้กฎหมายอาญามาตรา 112
ที่น่ากลัวกว่านั้นกลุ่มบุคคลที่ไม่พอใจ ส่วนหนึ่งหรืออาจจะส่วนใหญ่แทบไม่รับทราบข้อเสนอของนิติราษฎร์ด้วยซ้ำ หากแต่รับฟังการใส่ร้ายของกลุ่มบุคคลอื่น ที่ยัดเยียดข้อหา"ล้มเจ้า"ให้กับนิติราษฎร์ เพื่อโยงไปถึงพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้าม
น่าแปลกใจยิ่งกว่าคือกลุ่มที่ยัดข้อหาล้มเจ้า กลับไม่เคยออกมาตอบโต้ข้อเสนอของนิติราษฎร์ในเชิงวิชาการเลย
ขณะที่ 2 พี่น้องหลังเข้ามอบตัวก็เก็บตัวเงียบ แต่สิ่งที่ไม่เงียบคือประวัติต่างๆ ถูกตำรวจเข้าไปตรวจสอบและพบว่าพี่น้องคู่นี้ไม่ธรรมดา!??
ทั้งการเล่นปืน การถ่ายภาพแอ๊กชั่นกับปืนด้วยลีลาต่างๆ คล้ายคลึงยิ่งกับพี่น้องทมิฬ "โจ๊ก-จิ๊บ ไผ่เขียว" แก๊งยาบ้าพระนคร ศรีอยุธยา ที่เล่นปืนและยิงรถที่แล่นผ่านไปมาจนมีเด็กเสียชีวิต กลายเป็นเรื่องราวสลดไปทั้งสังคม
ตำรวจพบว่าพี่น้องคู่นี้มีคดีติดตัวไม่น้อย นายสุพจน์ คนพี่เคยต้องคดีอาวุธปืนผิดมือ ศาลลงโทษจำคุกแต่ให้รอลงอาญา
ส่วนนายสุพัฒน์คนน้อง ต้องคดีทำร้ายร่างกาย ติดคุกมาแล้ว 2 รอบ!!!
ทำให้ พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ รองผบช.น. สั่งตรวจสอบข้อมูลการครอบครองปืนที่พบว่ามีถึง 4 กระบอก เป็นปืนพกขนาด .22 จำนวน 1 กระบอก 9 ม.ม. 2 กระบอก และขนาด .45 อีก 1 กระบอก
โดยเฉพาะปืนพกขนาด .45 ถือว่าเป็นอาวุธร้ายแรงที่ปกติจะไม่อนุญาตกันง่ายๆ ยกเว้นเป็นทหาร-ตำรวจ หรือข้าราชการหน่วยความมั่นคงเท่านั้น
นอกจากนี้ 2 พี่น้องไปขอครอบครองอาวุธปืนทั้งๆ ที่มีคดีอาญาติดตัว ซึ่งตามปกติแล้วการอนุญาตต้องเช็กประวัติอย่างละเอียด ว่าไม่มีพฤติกรรมรุนแรง!??
อ้างเป็นทหารพรานไปขอ
จากพฤติกรรมรุนแรงและมีประวัติต้องคดีอาญาทั้งพี่ทั้งน้อง ทำให้ตำรวจสงสัยว่าทำไมถึงได้รับอนุญาตให้มีอาวุธได้หลายกระบอก ที่สำคัญพบว่าการอนุญาตเกิดขึ้นหลังจากทั้งคู่เคยต้องคดีอาญามาแล้ว ซึ่งตามปกติเจ้าหน้าที่จะไม่อนุญาต
"จะทำหนังสือถึงกระทรวงมหาด ไทย เพื่อตรวจสอบและขอยึดใบ ป.4 เนื่องจากมีพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรงอาจเป็นภัยต่อสังคม นอกจากนี้ให้เจ้าหน้าที่ทำหนังสือเพื่อขออาวุธปืนมาตรวจสอบด้วยว่าเคยนำไปใช้ก่อเหตุอื่นๆ หรือไม่"!??
พล.ต.ต.วิชัยกล่าว
ขณะที่ตำรวจประสานไปยังนายทะเบียนธัญบุรี ที่ออกใบอนุญาต โดย นายสมศักดิ์ พัวพันธุ์ นายอำเภอธัญบุรี ระบุว่า นายสุพจน์ขอทะเบียนอาวุธปืนพกสั้น กึ่งอัตโนมัติ .45 หมายเลข เค 302994 คิมเบอร์ กท. 5344892 เป็นอาวุธปืนในโครงการสวัสดิการข้าราชการของรัฐ เมื่อวันที่ 17 พ.ย. 2553 โดยใช้บัตรประจำอส.ทพ. สังกัดหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 26 จ.บุรีรัมย์ ระบุวันออกบัตร 1 พ.ค. 2551 หมดอายุ 1 พ.ค. 2553
เช่นเดียวกับ นายสุพัฒน์ ก็ใช้บัตรทหารพรานลักษณะเดียวกันมาขอมีปืนถึง 2 กระบอก
เจ้าหน้าที่จึงประสานไปยังกรมทหารพราน เพื่อขอประวัติของคู่แฝดว่าเป็นทหารพรานจริงหรือไม่
ปรากฏว่า พ.อ.ณัฏฐ์ ศรีอินทร์ ผบ.ฉก.กรม ทพ.26 ค่ายปักธงชัย อ.ละหานทราย จ.บุรีรัมย์ ระบุว่าตรวจสอบไม่พบชื่อคู่แฝดเป็นกำลังพลสังกัดกรม ทพ.26 หากใช้บัตร อส.สังกัด ทพ.26 ไปยื่นขออนุญาตมีอาวุธปืน แสดงว่าจงใจแอบอ้างและปลอมแปลงเอกสาร!??
พร้อมกันนี้ผบ.ทหารพรานที่ 26 ทำรายงานเป็นหนังสือเสนอผู้บังคับบัญชา เนื่องจากกรณีนี้ถือว่าทำให้ทหารพรานเสียหาย เพราะคู่แฝดมีคดีติดตัวหลายคดีและยังก่อเหตุเป็นที่สนใจของสังคม
การอ้างตัวเป็นทหารพราน จึงทำให้ภาพ พจน์ของทหารพรานเสื่อมเสียไปด้วย
ศาลสั่งจำคุกไม่รออาญา
ล่วงเข้าวันที่ 8 มีนาคม ตำรวจนัดคู่แฝดมาพบก่อนนำตัวส่งพนักงานอัยการสั่งฟ้องแขวงดุสิต ในความผิดฐานร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนได้รับบาดเจ็บเป็นอันตรายแก่กาย
อัยการระบุฟ้องความผิดสรุปว่า เมื่อวันที่ 29 ก.พ. 2555 จำเลยทั้งสองไปดักรอ และรุมชกทำร้าย นายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แกนนำกลุ่มนิติราษฎร์ ที่เรียกร้องให้แก้ไขกฎหมายอาญา มาตรา 112 บริเวณโหนกแก้มขวาและหน้าผาก ได้รับบาดเจ็บ ก่อนหลบหนีไป
อัยการโจทก์ขอให้ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 และขอให้ศาลนับโทษนายสุพจน์ จำเลยที่ 1 ต่อจากคดีหมายเลขแดงที่ 1336/2553 ที่ศาลอาญามีคำพิพากษาให้จำคุกเป็นเวลา 7 เดือน ปรับ 3,000 บาท โทษจำคุกรอการลงโทษ มีกำหนด 2 ปี คดีครอบครองอาวุธปืนอีกด้วย
ศาลสอบคำให้ การจำเลยให้การรับสารภาพ โดยไม่ร้องขอทนายความแต่อย่างใด จึงมีคำพิพากษาออกมา
"พิเคราะห์แล้วเห็นว่าจำเลยทั้งสองกระทำผิดตามฟ้อง ลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสอง คนละ 6 เดือน คำรับสาร ภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดี ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยทั้งสองเป็นเวลา 3 เดือน"!!!
ในส่วนของจำเลยที่ 1 หรือนายสุพจน์ ผู้พิพากษาให้บวกโทษจำคุก 7 เดือนที่รอการลงอาญาอยู่เข้าไปด้วยรวมลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 เป็นเวลา 10 เดือน
"เนื่องจากจำเลยทั้งสองมีพฤติการณ์เป็นนักเลง อันธพาล ไม่เคารพยำเกรงต่อกฎหมายบ้านเมือง โทษจำคุกจึงไม่รอการลงโทษ ให้จำคุกจำเลยทั้งสอง"!!!
หลังเสร็จสิ้นคำตัดสินทำให้คู่แฝดมีสีหน้าเคร่งเครียด เพราะโดนลงโทษจำคุกโดยไม่รออาญา ก่อนที่ญาติจะยื่นหลักทรัพย์ขอประกันตัวออกไปสู้คดีต่อในชั้นอุทธรณ์
จ่ออีกคดีอ้างทหารพราน
นอกจากคดีทำร้ายอาจารย์วรเจตน์ ที่จบสิ้นไปแล้วในระดับหนึ่ง แต่คู่แฝดยังไม่หมดปัญหาแค่นั้น เพราะมีคดีคือใช้บัตรอาสาทหารพรานไปขออนุญาตมีอาวุธปืนถึง 3 กระบอก
โดยบัตรดังกล่าวต้นสังกัดตรวจสอบแล้วเชื่อว่าเป็นบัตรปลอม!!!
"บัตรประจำตัวทหารพรานที่ผู้ต้องหาทั้งสองนำไปใช้ ลงนามชื่อของพ.อ.ศิริชัย สร้อยแสน นายทหารพระธรรมนูญ จากการตรวจสอบพบว่าพ.อ.ศิริชัยเคยรับราชการอยู่กรมทหารพราน ระหว่างปี 2529-2532 ขณะนั้นมียศร้อยโท สังกัดหน่วยเฉพาะกิจทหารพรานที่ 23 ตำแหน่งนายทหารพระธรรมนูญ ก่อนย้ายไปสังกัดหน่วยอื่น แต่บัตรที่นำไปแสดงนั้นลงชื่อพ.อ.ศิริชัย ออกให้เมื่อปี 2551 ซึ่งพ.อ.ศิริชัยไม่ได้สังกัดทหารพรานที่ 26 แต่อย่างใด"!!!
พ.อ.ณัฏฐ์ ผบ.กรมทหารพรานที่ 26 ต้นสังกัดซึ่ง 2 คู่แฝดนำไปอ้าง ชี้แจงว่าได้สอบถามพ.อ.ศิริชัย ซึ่งตอนนี้สังกัดกองบัญชาการกองทัพไทย พ.อ.ศิริชัยยืนยันว่าไม่รู้จักกับผู้ต้องหาฝาแฝดทั้ง 2 คน ขณะนี้ประ สานขอข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับทั้ง 2 คน
ด้านพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. กล่าวว่า ได้รับการยืนยันจากผบ.กรมทหารพรานที่ 26 แล้วว่า บุคคลทั้ง 2 ไม่เคยเป็นทหารพราน และคนที่เซ็นชื่อรับรองนั้นเป็นนายทหารพระธรรมนูญ ซึ่งย้ายออกจากหน่วยไปนานแล้ว
"ขอยืนยันว่าบุคคลทั้ง 2 ไม่ใช่ทหารพรานอย่างแน่นอน"
ผบ.ทบ.กล่าวและว่า สั่งให้ต้นสังกัดที่ถูกอ้างชื่อทำรายงานเสนอขึ้นมาแล้ว
ส่วนนายสมศักดิ์ พัวพันธุ์ นายอำเภอธัญบุรี กล่าวว่า บุคคลทั้งสองไม่ได้มีชื่ออยู่ในหน่วยทหารพราน คาดว่าได้ใช้เอกสารปลอม ถ้าหากต้นสังกัดกรมทหารพรานที่ 26 จ.บุรีรัมย์ และพนักงานสอบสวนแจ้งมาอย่างเป็นลายลักษณ์อักษร ว่าทั้งสองใช้เอกสารการเป็นเท็จในการขอใบมีอาวุธปืน ทางอำเภอจะแจ้งความดำเนินคดี ข้อหานำเอกสารการเป็นเท็จมาติดต่อทางราชการต่อไป
งานนี้ไม่รู้ว่านอกจากเรื่องแอบอ้างเป็นทหารพราน ใช้เอกสารปลอมขออาวุธปืนแล้ว ยังจะมีเรื่องอะไรโผล่ออกมาอีกหรือเปล่า โดยเฉพาะการงานอาชีพ ซึ่งคู่แฝดให้การกับตำรวจว่าขายเสื้อผ้า น้ำหอม และช่วยดูแลบ้านให้เศรษฐินีรายหนึ่ง แต่สามารถมีเงินซื้ออาวุธปืนกระบอกละนับแสนบาทได้ถึง 3 กระบอก แถมการซ้อมยิงแต่ละครั้งต้องใช้เงินหลักพัน หรือหลายพันบาท
ลำพังแค่คดีทำร้ายร่างกาย และใช้เอกสารปลอม-อ้างชื่อทหารพราน แค่นี้จาก"แฝดเกรียน"ก็กลายเป็น"แฝดน่วม"ไปแล้ว!!!