วันเสาร์ที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2555

ไม่มีทหารในทำเนียบขาว (แต่ทำเนียบไทยคู่ฟ้าเคยมี “ไอ้คนหนีทหาร!”)

วาทตะวัน สุพรรณเภษัช

        ก่อนอื่นต้องกราบเรียนท่านผู้อ่านว่า เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา มีผู้อ่านโทรมาถึงผมบอกว่า เข้าเว็บ www.vattavan.com ไม่ค่อยจะได้ บางครั้งต้องคอยนาน ซึ่งผมต้องกราบขอโทษไป
        โดยปกติเมื่อพบข้อขัดข้องการเข้าเว็บ
www.vattavan.com ผมจะโทรติดต่อผู้ให้บริการรีบแก้ไข ซึ่งเขาบริการให้เป็นอย่างดีทุกครั้งไป อีกเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ตัวเองค่อนข้างจะยุ่ง
เนื่องจากมีหลายงานเข้ามารุม เลยไม่มีเวลาตรวจดู เพราะเขียนเสร็จก็ส่งให้เจ้าหน้าที่เขาขึ้นให้ บางครั้งต้องส่งต้นฉบับล่วงหน้าเป็นสัปดาห์ ด้วยเหตุจะต้องเดินทางไปปฏิบัติภารกิจอื่น อย่างอาทิตย์สงกรานต์นี้เป็นต้น
        ฉะนั้น หากท่านใดยังไม่ได้อ่าน บทความเมื่อสัปดาห์ก่อน คือ “นิติรัฐ โคตรพ่อ โคตรแม่มึง!!?” (อันเนื่องมาจากปรองดอง) (
http://vattavan.com/detail.php?cont_id=358) ผมอยากให้เข้าไปอ่านกัน โดยเฉพาะผู้มีหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรม ในระดับต่างๆ รวมทั้งท่านซึ่งเป็น “ผู้พิพากษา” ซึ่งผมกล่าวถึงเอาไว้มากทีเดียว
        จากประสบการณ์ ในฐานะที่เขียนคอลัมน์ออนไลน์มานาน ผมพบว่าห้วงเทศกาลสงกรานต์ ผู้คนไม่ค่อยจะสนใจติดตามข่าวสาร เว็บไซด์ต่างๆจะมีคนดูลดลง
        ดังนั้น สัปดาห์นี้จึงอยากจะคุยเรื่อง “เบาๆ” กัน ชักโดยจะชวนให้ท่านผู้อ่าน ไปมองดูบางแง่มุม ที่อเมริกันชนพูดกันถึงการเลือกตั้งในบ้านเขากันบ้าง

        ก่อนที่จะพูดถึงการเลือกตั้ง อยากจะพาท่านผู้อ่านย้อนกลับไป เมื่อสหรัฐอเมริกาเริ่มสร้างชาติ ประธานาธิบดีคนแรกของมหาอำนาจประเทศนี้ คือ ท่านประธานาธิบดี


content/picdata/359/data/eee.jpg

        จอร์จ วอชิงตัน (George Washington)

         ก่อนที่จะเข้ามาดำรงตำแหน่ง ผู้นำประเทศใหม่เป็นคนแรก ท่านได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ของกองทัพปฏิวัติสมาพันธรัฐอเมริกา ท่านได้นำกองทัพทหารพื้นบ้าน เข้าสู้รบกับกองทัพอันเกรียงไกร ของจักรวรรดิอังกฤษซึ่งเป็นเจ้าอาณานิคม อย่างดุเดือดเลือดพล่าน

        จอร์จ วอชิงตัน นั้นโดดเด่นเป็นอย่างมาก มีบุคลิกความเป็นผู้นำสูงส่ง ชาญฉลาดในด้านยุทธวิธีทางทหาร ซึ่งสำแดงออกให้ผู้คนได้เห็นอย่างชัดเจน เมื่อครั้งท่านเคลื่อนกองทัพ ข้ามแม่น้ำเดลาแวร์ ในรัฐนิวเจอร์ซี ซึ่งกลายเป็นน้ำแข็ง เพราะความหนาวเย็นในฤดูหนาวอันทารุณ โดยมีภารกิจหลัก ในการเข้าตีกองทหารข้าศึก ซึ่งตั่งมั่นบนอีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำ
        การเคลื่อนกองทหารจำนวนมาก อย่างเงียบเชียบ ลงเรือลำเล็กๆหลายลำ ที่เกณฑ์มาจากชาวบ้าน แล้วขึ้นฝั่งอีกฟากของแม่น้ำ จากนั้นเดินทัพอย่างเงียบกริบ เข้าตีกองทหารรับจ้างชาวปรัสเซีย ที่ร่ำลือกันในยุโรปตอนนั้น ว่าแข็งแกร่งยิ่งนัก และอังกฤษจ้างมาปราบปรามคนอเมริกันที่แข็งข้อ
        กองทหารปรัสเซียตั้งมั่นอยู่ในที่ตั้ง เหล่าไพร่พลกำลังหลับใหล ในเช้ามืดของวันที่เย็นยะเยือก เมื่อพบกับการเข้าตีแบบสายฟ้าแลบ ทำให้กองทหารต่างด้าวตั้งตัวไม่ทัน ต้องตก
เป็นฝ่ายพ่ายแพ้กองทัพของ จอร์จ วอชิงตัน ไปในที่สุด
        ชัยชนะครั้งสำคัญนั้น ส่งให้ จอร์จ วอชิงตัน มีชื่อเสียงกระฉ่อน กลายเป็นขวัญใจของชาวอาณานิคม และเมื่อขับไล่อังกฤษออกไปได้แล้ว มีผู้เสนอให้ขึ้นเป็น ‘กษัตริย์’ แห่งอเมริกา แต่ท่านปฏิเสธ 
        ไม่ยอมรับหัวโขน ที่คนอื่นพยายามจะสวมให้!
        ท่านเป็นผู้รับผิดชอบการร่างรัฐธรรมนูญใน ค.ศ. 1787 และใช้มาจนทุกวันนี้ แม้จะมีการแก้ไข (Amendment) บ้าง แต่ไม่เคยยกเลิกไปทั้งฉบับ และท่านได้ดำรงตำแหน่ง
ประธานาธิบดีคนแรกของสหรัฐอเมริกา และดำรงตำแหน่งอยู่นานหลายปี (ค.ศ. 1789-1797)
        ความเป็นผู้นำของ จอร์จ วอชิงตัน มีความโดดเด่นทางทหาร ฝังใจอเมริกันชนอยู่มาก พูดให้เข้าใจง่าย และน่าจะเป็นสาเหตุสำคัญ ที่ทำให้คนอเมริกันชอบทหาร เพราะพวกเขาเห็นว่า คนที่ไปเป็นทหารคือ “คนรักชาติ” ยอมสละตนเข้าไปรับใช้ ทดแทนบุญคุณของบ้านเมือง โดยมีประธานาธิบดีคนแรก อย่าง จอร์จ วอชิงตัน ที่อเมริกันชนว่า เป็น “บิดาของสหรัฐอเมริกา” เป็นตัวอย่างที่สำคัญ
        หลังจากนั้นเป็นต้นมา เมื่อมีผู้สมัครประธานาธิบดี ประชาชนที่มีสิทธิเลือกตั้ง มักจะมองดูภูมิหลัง ของผู้สมัครลงชิงตำแหน่งนี้โดยเฉพาะประสบการณ์ทางทหาร ซึ่งถือว่าเป็นคุณสมบัติสำคัญอย่างยิ่ง เพราะประธานาธิบดี คือ “ผู้บัญชาการทหารสูงสุด” ของสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นชาติมหาอำนาจ ซึ่งยิ่งใหญ่ทางด้านกำลังรบ
        หากผู้นำทำเนียบขาว มีพื้นฐานทางทหาร ย่อมมีผลต่อการตัดสินใจในเรื่องสำคัญ เช่น การตัดสินใจในการสั่งใช้กำลังกองทัพ เข้าปฏิบัติการในต่างแดน หรือตัดสินใจใช้อาวุธ
มหาประลัยกับประเทศคู่ศึก เป็นต้น
        ระธานาธิบดีที่มีภูมิหลังทางทหาร และก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้บริหารสูงสุด ได้เปรียบตรงที่ ได้แสดงให้ประชาชนเห็นแล้วว่า
        เขานั้นเคยรับใช้ชาติ ในฐานะทหารมาแล้ว แต่หากประธานาธิบดีที่ไม่เคยเป็นทหาร ก็มักมีรองประธานาธิบดี ที่เคยผ่านการเป็นทหารมาก่อน
        ประธานาธิบดีสหรัฐ ที่มีชื่อเสียงโดดเด่นด้านการทหาร ในยุคต่อๆมา มีหลายคน เช่น ดไวท์ ดี ไอเซ็นฮาวร์ (Dwight D Eisenhower) ประธานาธิบดี คนที่ 34 ซึ่งเคยเป็น ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของกองทัพฝ่ายสัมพันธมิตร ในการบุกยุโรป เมื่อสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งแสดงความปราดเปรื่องทางทหาร ไว้เป็นที่ประจักษ์
        ประธานาธิบดี จอห์น เอฟ เคนเนดี (John F. Kennedy)
ประธานาธิบดี คนที่ 35 ซึ่งเป็นผู้นำที่มีชื่อเสียงมากของโลกด้วยนั้น เป็นวีรบุรุษสงครามโลกครั้งที่ 2 เพราะเรือที่ท่านเป็นผู้บังคับการ ถูกตอร์ปิโดข้าศึกยิงจนล่ม ตัวเองต้องลอยคออยู่ในน้ำ นานนับชั่วโมง ก่อนจะได้รับความช่วยเหลือ
        ผู้นำสหรัฐที่มีประวัติทางทหารดีเด่น และเป็นผู้บริหารงาน
ในตำแหน่งประธานาธิบดี ที่ยอดเยี่ยมอีกคนหนึ่งของสหรัฐ คือ โทมัส เจฟเฟอร์สัน (Thomas Jefferson) ประธานาธิบดีคนที่ 3ของสหรัฐ ท่านผู้นี้มีความเห็นว่า “ประชาชนทุก
คนควรเป็นทหาร” ได้กล่าวสุนทรพจน์เอาไว้ ว่า
        Every citizen should be a soldier. This was the case with the Greeks and Romans, and must be that of every free state.
        สำหรับการเลือกตั้งสหรัฐ ที่กำลังจะมาถึง ในเดือนพฤศจิกายน 2555 ทางอเมริกันชนได้พูดกันหนาหู ว่า
        บัดนี้ เป็นทีแน่ชัดแล้วว่า ประธานาธิบดีที่จะเข้าไปปฏิญาณตน เพื่อรับตำแหน่งในวันที่ 20 เดือนมกราคม 2013 นั้น จะไม่ใช่คนที่เคยเป็น “ทหารเก่า” อย่างแน่นอนแล้ว
        ทั้งนี้ เพราะ...
        ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ซึ่งจะสมัครอีกครั้งในนามของพรรคดีโมแครต นั้น เติบโตขึ้นในมลรัฐฮาวาย ขณะที่ความต้องการทหารเพื่อไปรบในสงครามนั้นหมดไป เพราะ
การศึกสงครามในเวียตนาม ที่สหรัฐเข้าไปเป็นคู่ศึกในตอนนั้น สิ้นสุดลงเรียบร้อยแล้ว
        หันมาดูทางพรรครีพับลิกัน ตอนนี้ผู้นำในการแข่งขันภายในพรรค คือ มิตต์ รอมนีย์ (Mitt Romney) นั้น ไม่ได้เป็นทหารมาก่อน เพราะคุณรอมนีย์นั้น นับถือคริสต์ศาสนานิกาย “มอร์มอน” และระหว่างที่เขาใช้ชีวิตในฝรั่งเศส มีฐานะเป็น “ministerial” (พระ หรือ หมอสอนศาสนา) ซึ่งได้รับการยกเว้นการเกณฑ์ทหาร
        เมื่อกลับสหรัฐ ได้ไปลงทะเบียน แต่ในการจับสลากคัดเลือกเป็นทหาร คุณรอมนีย์จับได้ “ใบดำ” (อธิบายแบบบ้านเรา) จึงได้รับการยกเว้นอีก เลยหมดโอกาสเป็นทหาร

        ผู้ที่สมัครแข่งขันคนอื่นๆ ที่ชิงกันในพรรครีพับลิกัน เพื่อคัดเลือกเอาเพียงคนเดียว ไปชิงตำแหน่งประธานาธิบดี แข่งกับคุณโอบามา มีดังนี้
        ริค แซโทรัม (Rick Santorum) ก็มาอีหรอบเดียวกับโอบามา เพราะเด็กเกินไปสำหรับสงครามเวียตนาม เลยไม่ต้องเกณฑ์ทหาร
        นิ้วท์ กิงกริช (Newt Gingrich) ได้รับการยกเว้นในฐานะนักศึกษา และไม่เคยเข้ารับราชการทหารมาก่อนเลย
        ส่วนคนสุดท้าย รอน พอล (Ron Paul) ซึ่งเป็นแพทย์ แม้เคยทำหน้าที่ flight surgeon ของกองทัพอากาศสหรัฐ แต่เนื่องจากอายุเกือบ 80 ปี เข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีมา 3 ครั้ง
แล้ว แต่จากคะแนนเสียงที่เห็นอยู่ที่ปัจจุบัน เขาหมดโอกาสที่จะเข้าไปชิงตำแหน่งแน่นอนแล้ว
        ดังนั้น ในตอนนี้ อเมริกันชนจึงพูดกัน ว่า “No Veteran in the White House” หรือ
        จะไม่มี “ทหารเก่า” เข้าไปนั่งในทำเนียบขาว!

        คนอเมริกันนั้น รักทหารของพวกเขา เพราะประธานาธิบดีคนแรก ผู้ซึ่งเป็นบิดาของสหรัฐอเมริกา เป็นทหาร เป็นนักรบที่กล้าหาญ ต่อสู้เพื่ออิสรภาพของประเทศที่ยิ่งใหญ่แห่งนี้ ดังที่ผมได้ยกตัวอย่างมาข้างต้น และแม้ในปัจจุบัน พวกเขายังเห็นว่า คนสมัครไปเป็นทหาร เป็นผู้เสียสละให้กับชาติบ้านเมือง
        หันกลับมามองดูบ้านเราบ้าง จะเห็นได้ว่า คนไทยปัจจุบัน ต่างจากอเมริกันชนลิบลับ เพราะนอกจากไม่รักทหารแล้ว ยังพาล “เกลียดชัง” เอาด้วย ดังจะเห็นได้จากการรบกับ
เขมรเมื่อปีกลาย เว็บไซด์ต่างๆ มีการสาปแช่งทหาร ที่ยกกำลังไปยันกับทัพเขมรที่ชายแดนในตอนนั้นกันมากมาย เช่น
        “กูขอแช่งให้แม่ง...ตายโหงตายห่ากันให้หมด!”
        “โดนเสียบ้างนะ...ไอ้พวกมึง!”
        “ขอให้พวกมึง อย่ารอดกลับมา หาลูกเมียเลยนะโว้ย!”
        ฯลฯ 
        อย่างนี้เป็นต้น (นี่เอาแค่เบาะๆ มาแสดงกัน เท่านั้นนะ!)

        สาเหตุสำคัญที่คนไทยไม่ชอบทหารนั้น นอกจากกองทัพไทย มีประวัติเข่นฆ่าประชาชน มาตั้งแต่ เหตุการณ์ 14 ตุลา พฤษภาทมิฬ จนถึงเหตุการณ์นองเลือดที่ราชดำเนิน และราชประสงค์ ยุคพรรคกาเฬวรากเป็นรัฐบาล
        นอกจากนั้น น่าจะมาจากการที่ผู้บังคับบัญชาทหาร ไม่วางตัวเป็นกลาง เข้าข้างพรรคการเมืองโลซก ที่เป็นพรรคเสียงข้างน้อย ผู้คนเขาไม่ได้เลือกมาเป็นรัฐบาลด้วยซ้ำ
        เมื่อประชาชนเขาออกมาชุมนุม ผู้บังคับบัญชาทหาร กลับสนับสนุนรัฐบาลกาลี ด้วยการรับบัญชาจากรัฐบาล จัดกำลัง
        เข้าปราบปราม...ประชาชนอย่างรุนแรง!

        ผมเคยเขียนบทความ ชื่อ “เฮ้ย!...ไอ้พวกมึง!!... ‘แดก’ กันพอหรือยัง!!!” http://vattavan.com/detail.php?cont_id=214
เอาไว้ตั้งแต่ 25 มีนาคม 2553 (ตอนนั้น ยังไม่มีการปะทะกัน เพราะทหารยังไม่พยายามเคลื่อนกำลัง เข้าสู่ถนนราชดำเนิน) ว่า
        ...วันนี้ หากเห็นแก่ประเทศ ไม่อยากให้บ้านเมืองเดือดร้อน ทหารก็แค่ไปพูดกับหัวโจกรัฐบาลว่า        “เฮ้ย!...อภิแสบ อย่าให้บ้านเมืองวุ่นวายต่อไปเลยวะ ยุบสภาเหอะ...อั๊ว ‘อุ้ม’ ลื้อต่อไม่ไหวแล้วจริงๆ”         แค่นี้ทหารพูดไม่ได้
        แต่ทีรัฐบาลสมัคร-สมชาย ทหารไล่กระทืบเอ๊า...กระทืบเอา...แปลกจริงๆ!
        ทำไมถึงทหาร ถึงพูดไม่ได้ล่ะ?
        ตรงนี้เขาก็วิเคราะห์กันต่อไปอีก และเสียงก็พูดกันหนาหูว่า
        ที่ทหารกับรัฐบาลทิ้งกันไม่ได้ เพราะ...
        ต่างฝ่ายต่างมีเรื่องทุจริต พกกันไว้เต็มกระเป๋าทั้งคู่!             

        ท่านผู้อ่าน คงเห็นแล้วว่า
        ถ้าทหารเชื่อคำแนะนำของผม ไปบอกนายอภิแสบให้ถอยออกไป เรื่องคงไม่ลุกลามบานปลาย จนผู้คนต้องบาดเจ็บล้มตาย และทหารเอง คงไม่ถูกประชาชนรุมเกลียดชัง อย่าง
ทุกวันนี้!
        เมริกันชนนั้น ต่างจากคนบ้านเรา เพราะพวกเขารักทหาร เนื่องจากผู้นำของเขาในอดีต เคยเป็นทหาร และเป็น “ฮีโร่” อย่างที่เล่ามาแล้ว ผู้คนบ้านเขา จึงให้ความเคารพรักและเคารพทหาร แต่คนบ้านเรานั้น ตรงกันข้ามเลย ผู้คนส่วนใหญ่ไม่ชอบทหาร เพราะนอกจากพวกเขาฆ่าฟันประชาชน มาหลายครั้งหลายคราแล้ว ที่ทำให้ชาวบ้านช้ำใจมากที่สุด นั่นคือ
        ทหารไทย ปล่อยให้ “ไอ้คนหนีทหาร” ที่พวกเขาอุ้มเข้าไปจัดตั้งรัฐบาลให้ในค่ายทหาร จนได้ไปดำรงตำแหน่งในทำเนียบไทยคู่ฟ้า แต่ไอ้เจ้าหมอนี่มันกลับกลายเป็นผู้ออกคำสั่ง ให้ทหารเข้าปราบปรามประชาชน และทหารก็ดันทำตามด้วย
        มันช่างเจือสมความ ‘โง่’ กันได้ได้ลงตัว อะไรอย่างนั้น!

        ใช่แต่แค่นั้นนะ
        นอกจากทหารเข้าฆ่าฟันประชาชนแล้ว ทหารยังปล่อยให้ “ไอ้คนหนีทหาร” มันลากชาติไทยของเรา เข้าสู่สงครามที่โง่เขลากับประเทศเพื่อนบ้านอีกด้วย

        คนอเมริกันนั้น อยากได้คนที่เคยมีประสบการณ์ทางทหาร เข้าไปนั่งในทำเนียบขาว ในตำแหน่ง “ประธานาธิบดี”
        แต่...
        ทำเนียบไทยคู่ฟ้าของบ้านเรา นอกจากไม่มีคนมีประสบการณ์ทางทหาร เข้าไปนั่งแล้ว

        ทหารเองกลับเป็นฝ่าย ดันตูด “ไอ้คนหนีทหาร” ให้มันเข้าไปนั่งป๋อหลอ ในทำเนียบไทยคู่ฟ้า อย่างหน้าเฉยตาเฉย!
        มันน่าอับอายยิ่งนัก...อะไรกันวะเนี่ยะ!!?

.....................

ท้ายบท คอลัมน์ “ไอ้คนหนีทหาร มันลากชาติไทยเรา เข้าสู่…สงคราม!!! (http://vattavan.com/detail.php?cont_id=279) ท่านที่ยังไม่เคยอ่าน ขอแนะนำให้อ่าน
        อนึ่ง ลืมบอกไปว่า นายกปูฯไม่ต้องเกณฑ์ทหาร เพราะเป็น ‘ผู้หญิง’ แต่ตอนที่เฮลิคอปเตอร์บ้านเรา ตกเป็นว่าเล่น นายทหารระดับผู้บัญชาการกองพลทหารต้องตาย ทำเอาทหารใหญ่ๆออกอาการปอดแหก ไม่กล้าเดินทางโดย ฮ. หันไปใช้รถยนต์แทน
        แต่...

        นายกฯผู้หญิงของเรา กลับเดินยิ้มแย้ม ขึ้น ฮ. โดยไม่ฟังเสียงทักท้วงด้วยความห่วงใยจากคนรอบข้าง
        จนผู้คนหัวเราะ และแอบนินทากันว่า...



        ผบ.ทหาร ควรเอากระโปรงไปสวม แล้วให้นายกฯปู นุ่ง ‘กุงเกง’ แทน!!!....555


        (คอลัมน์ประจำสัปดาห์ ไม่มีทหารในทำเนียบขาว (แต่ทำเนียบไทยคู่ฟ้า เคยมี “ไอ้คนหนีทหาร!”) ออนไลน์วันเสาร์ ที่ 14 เมษายน 2555)

http://www.vattavan.com/detail.php?cont_id=359



ไม่มีความคิดเห็น: