วันเสาร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

การสนับสนุนให้รัฐสภาผ่านวาระ 3 และแก้รัฐธรรมนูญ 50 สิ่งที่อยากเห็น






ผมอยากรู้ว่าถ้าแก้หมวดพระมหากษัตย์ ไม่ให้ประธานองคมนตรีเป็นผู้สำเร็จราชการแทน ไอ้อีหน้าไหนจะออกมาคัดค้านและมีเหตุผลอะไร ผมอยากเห็นว่ามีใครบ้างจงรักภักดี.....
 
มันถึงเวลาที่ต้องเปิดหน้าดวลหมัดกันเลย เราก็มีเหตุผลบ้างสิครับ อย่าให้ใครมากล่าวหาแล้วหลอกด่าประจานเราฟรีๆ การแก้ รธน. ผมยอมรับในหัวใจมีให้คนเสื้อแดงทุกที่แต่ตอนนี้ยอมรับว่าสนับสนุนแนวทางของ พี่น้องเสื้อแดงเรากลุ่ม กวป.ครับ แม้ว่าผมจะไม่เคยได้รู้จักและทักทายกับแกนนำเขาเลยนอกจากฟัง วิทยุ แต่ผมเห็นด้วยหลายอย่างในสิทธิของประชาชน เพราะมัวแต่กั๊กไว้เท่ากับให้มันมีพิษร้ายคอยพ่นใส่เรา เหตุและผลและความชอบธรรม จะทำประชาพิจารณ์เพื่อให้เกิดความชอบธรรม ก็นัด ผบ.ทุกเหล่าทัพมานั่งโต๊ะหารือแถลงการณ์เลย ช้าไปก็ใช่ว่าเขาจะหยุดคิดฆ่าแกง ตอนนี้ผมว่าเหมาะแล้วจริงๆ ยิ่งช้าก็ยิ่งให้เขามีเวลาคิดหาวิธีมาทำลายเรา

เจตนารมณ์ของพี่น้องที่ออกมาต่อสู้และตายไป เขามาเพื่ออะไรต้องการอะไรครับ มันชัดเจน

ความเห็นชอบของประชาชนที่เลือกรัฐบาลนี้มา เลือก ส.ส.พรรคนี้ มาก็เพื่อให้ทำตามทุกอย่างให้ชัดเจน สิ่งที่เชื่อว่าจะทำได้คือหลายคนทั้งแกนนำและแกนไม่นำต่าง พูดอธิบาย ถึงความไม่ชอบธรรมของการรัฐประหาร ถึงที่มาของรัฐธรรมนูญ 50 ที่มาขององค์กรอิสระ ที่ตัดสินคดีต่างๆอย่างอยุติธรรมลำเอียง พี่น้องเราตัวเรา ทั้งคนที่ตายไปและบาดเจ็บและที่ยังติดคุกอยู่ รู้และเห็นพ้องต้องกัน จึงออกมาร่วมกัน มากมาย ....อีกสักครั้งวันที่ 1 ส.ค.56 นี้ แค่ออกไปแสดงพลังยืนยันเจตนารมณ์ ให้มาก เราไม่ได้ไปรบไปตะลุมบอนกับใครแต่ไปสนับสนุนไปให้กำลังใจรัฐบาลและรัฐสภา ประกาศไปชัดๆว่าเราต้องการอะไร ใช้สิทธิตาม รธน. เป็นการออกไปเรียกร้องสนับสนุนการมีส่วนร่วม ....ก็แค่นี้นะครับคือผมตัดสินใจแล้วจะไปแน่นอน 1 ส.ค.56 พบกันหน้าสภา นะครับ


                        .................................................................................................................

                           คำประกาศว่าด้วยสิทธิมนุษยชนและพลเมือง 1789 
โดยที่พิจารณาเห็นว่า ความเขลาเบาปัญญา ความหลงลืมหรือความละเลยเพิกเฉยต่อสิทธิประการต่าง ๆ ของมนุษย์นั้น เป็นสาเหตุแต่เพียงประการเดียวของความหายนะที่เกิดมีขึ้นแก่ส่วนรวมและของความฉ้อฉลที่เกิดมีขึ้นในรัฐบาลชุดต่าง ๆ บรรดาผู้แทนปวงชนชาวฝรั่งเศสซึ่งรวมตัวกันเป็นสภาแห่งชาติ จึงเห็นพ้องต้องกันในอันที่จะออกประกาศอย่างเป็นทางการซึ่งปฏิญญาว่าด้วยสิทธิทั้งหลายตามธรรมชาติอันมิอาจถ่ายโอนแก่กันได้และเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของมนุษย์ เพื่อว่าเมื่อปฏิญญาฉบับนี้ได้ปรากฏแก่สมาชิกทั้งมวลอันประกอบกันขึ้นเป็นสังคมจงทุกคนแล้ว จะกระตุ้นให้สมาชิกเหล่านั้นได้ตระหนักอยู่เสมอถึงบรรดาสิทธิและหน้าที่ของพวกเขา เพื่อว่าเมื่อพิจารณาถึงการกระทำ แห่งอำนาจนิติบัญญัติและอำนาจปกครองบริหาร ไม่ว่าจะในคราใดก็ตาม ประกอบกันเข้ากับวัตถุประสงค์แห่งสถาบันทางการเมืองทุกสถาบัน (อำนาจนิติบัญญัติและอำนาจปกครองบริหารที่ว่านั้น) จักพึงได้รับการเคารพยิ่งขึ้น เพื่อว่าข้อเรียกร้องทั้งปวงของพลเมือง - ซึ่งนับแต่บัดนี้ไป จักตั้งอยู่บนหลักการต่าง ๆ อันชัดเจนและเป็นหลักการที่มิอาจปฏิเสธได้อีกต่อไป - จักมุ่งไปสู่การธำรงไว้ซึ่งรัฐธรรมนูญและประโยชน์สุขร่วมกันของทุกคน

ด้วยเหตุผลที่ว่ามานี้  ต่อเบื้องหน้าและภายใต้การคุ้มครองแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้าสูงสุด สภาแห่งชาติจึงรับรองและประกาศซึ่งสิทธิทั้งหลายแห่งมนุษยชนและพลเมืองไว้ ดังต่อไปนี้


ข้อ 1.   มนุษย์ทั้งหลายเกิดมาและทรงไว้ซึ่งเสรีภาพและความเสมอภาคเท่าเทียมกันใน (การมีและการใช้) สิทธิประการต่าง ๆ  ความแตกต่างทางสังคมไม่ว่าจะอยู่ในลักษณะเช่นไรก็ตาม จะมีขึ้นได้ก็แต่เพื่อประโยชน์สาธารณะร่วมกันเท่านั้น


ข้อ 2.   วัตถุประสงค์แห่งสังคมการเมือง ได้แก่ การธำรงรักษาไว้ซึ่งสิทธิทั้งหลาย (ที่กำเนิดขึ้นและมีมา) ตามธรรมชาติและ (เป็นสิทธิซึ่ง) มิอาจยกเลิกเพิกถอนได้ของมนุษย์ สิทธิทั้งหลายเหล่านี้ ได้แก่ เสรีภาพ กรรมสิทธิ์ (ในทรัพย์สิน) ความปลอดภัย (ในชีวิตและร่างกาย) และ (สิทธิใน) การขัดขืนต่อการกดขี่ (ไม่ว่าในรูปแบบใด)


ข้อ 3.   หลักการซึ่งเกี่ยวด้วยอำนาจอธิปไตยย่อม (ถือกำเนิดขึ้นจากหรือ) หยั่งรากลงในประชาชาติ (ทั้งมวล) องค์กรใดองค์กรหนึ่งหรือปัจเจกชนผู้หนึ่งผู้ใดจะใช้อำนาจที่มาจากประชาชาติโดยตรงแต่ลำพังตนนั้นมิได้


ข้อ 4.   เสรีภาพ ได้แก่ ความสามารถ (ของบุคคล) ที่จะกระทำการใด ๆ ได้โดยไม่ก่ออันตรายเสียหายแก่ผู้อื่น ด้วยเหตุนี้ การใช้สิทธิตามธรรมชาติของมนุษย์แต่ละคนนั้นย่อมถูกจำกัดลงได้แต่เฉพาะที่จะให้การประกันแก่ผู้เป็นสมาชิกคนอื่น ๆ ในสังคมเพื่อที่จะสามารถใช้สิทธิอย่างเดียวกันนั้นได้ด้วย ข้อจำกัดทั้งหลายในการใช้สิทธิเหล่านี้จะกระทำได้ก็แต่โดยอาศัยบทกฎหมายเท่านั้น


ข้อ 5.   บทกฎหมายมีสิทธิจะห้ามได้ก็แต่การกระทำซึ่งอาจก่ออันตรายเสียหายแก่สังคม การใดซึ่งมิได้ถูกห้ามไว้โดยบทกฎหมาย การนั้น (บุคคล) ย่อมสามารถจะกระทำได้ และบุคคลจะถูกบังคับให้กระทำการที่บทกฎหมายมิได้บัญญัติไว้ (ให้บุคคลต้องกระทำการเช่นนั้น) มิได้


ข้อ 6.   บทกฎหมายเป็นสิ่งแสดงออกซึ่งเจตจำนงร่วมกัน พลเมืองทุกคนย่อมมีสิทธิเข้าร่วมในการร่างบทกฎหมาย ไม่ว่าจะโดยเข้าร่วมด้วยตนเองหรือโดยผ่านทางผู้แทนของพลเมือง กฎหมายจักต้องมีผลบังคับเสมอกันแก่ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นกรณีที่บทกฎหมายอาจกำหนดให้ความคุ้มครอง (แก่สิทธิของบุคคล) หรือกรณีที่บทกฎหมายอาจกำหนดให้ลงโทษ (แก่บุคคล) พลเมืองทุกคนซึ่งเสมอภาคกันต่อหน้ากฎหมายอาจจะมีฐานะ มีตำแหน่งและงานอาชีพใด ๆ ทางสังคมก็ได้ โดยคำนึงถึงความสามารถของแต่ละบุคคลและไม่จำต้องพิจารณาความแตกต่างอื่นใด เว้นเสียแต่ความแตกต่างอันเนื่องมาจากลักษณะเฉพาะตนและความแตกต่างในด้านความสามารถของบุคคลแต่ละคน


ข้อ 7.   บุคคลจะถูกกล่าวหา ถูกจับกุม หรือถูกคุมขังได้ ก็แต่โดยมีบทกฎหมายซึ่งให้อำนาจกระทำได้ในกรณีนั้น และจะกระทำการ (เช่นว่านั้น) ผิดแผกไปจากที่กำหนดไว้โดยบทกฎหมายนั้นก็มิได้เช่นกัน ผู้ใดที่ร้องขอ หรือจัดส่ง หรือได้ปฏิบัติให้เป็นไป หรือใช้ให้กระทำการตามคำสั่งที่สั่งโดยอำเภอใจ (โดยปราศจากกฎหมาย) ย่อมจะต้องถูกลงโทษ  แต่หากพลเมืองถูกเรียกหรือถูกจับกุมโดยอาศัยอำนาจแห่งกฎหมาย จักต้องยอมปฏิบัติตามแต่โดยดี  การฝ่าฝืนขืนขัดในกรณีนี้ย่อมถือว่าเป็นผู้ต้องกระทำความผิด


ข้อ 8.   กฎหมายจะกำหนดบทลงโทษใด ๆ ได้ก็แต่เฉพาะเท่าที่จำเป็นอย่างยิ่งและเห็นเป็นที่ประจักษ์ชัดเท่านั้น ผู้ใดจะถูกลงโทษได้ก็แต่โดยอาศัยอำนาจตามกฎหมายที่บัญญัติขึ้นและประกาศใช้ก่อนหน้าการกระทำอันเป็นความผิด และได้ใช้บทบัญญัติของกฎหมายนั้น ๆ โดยชอบแล้วเท่านั้น


ข้อ 9.   บุคคลทุกคนย่อมได้รับข้อสันนิษฐานว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ จนกว่าจะมีคำวินิจฉัยตัดสินว่าเป็นผู้ต้องกระทำความผิด และหากหลีกเลี่ยงมิได้ที่จะต้องจับกุมบุคคล มาตรการเข้มงวดใด ๆ ก็ตามที่มิได้มีความจำเป็นแก่การประกันความปลอดภัยในสภาพบุคคลของคนผู้นั้นแล้ว กฎหมายจักต้องยกเลิกเสียให้สิ้นเชิง


ข้อ 10. บุคคลสามารถแสดงออกซึ่งความคิดเห็นของตนได้โดยไม่จำต้องเกรงต่อเหตุใด ๆ โดยมีเงื่อนไขว่า การแสดงความคิดเห็นของบุคคลนั้นจักต้องไม่กระทบต่อความสงบเรียบร้อยแห่งสาธารณะซึ่งรับรองโดยกฎหมาย


ข้อ 11. การสื่อสารแลกเปลี่ยนระหว่างบุคคลโดยเสรีในทางความคิดและความเห็นเป็นสิทธิประการหนึ่งในบรรดาสิทธิอันมีค่าอย่างยิ่งยวดของมนุษย์ พลเมืองทุกคนจึงสามารถพูด เขียน พิมพ์เผยแพร่ได้อย่างเสรี (ซึ่งความคิดและความเห็นของตน) เว้นเสียแต่ในกรณีที่กฎหมายกำหนดไว้ว่า (การกระทำใด) เป็นการใช้เสรีภาพผิดไปจากเจตนารมณ์ที่แท้จริง


ข้อ 12. การธำรงรักษาไว้ซึ่งบรรดาสิทธิมนุษยชนและพลเมืองเหล่านี้ย่อมจักต้องอาศัยอำนาจสาธารณะ  อำนาจสาธารณะเช่นว่านี้จักก่อตั้งขึ้นเพื่อประโยชน์ร่วมกันของทุกคน หาใช่เป็นประโยชน์เฉพาะแก่ผู้ซึ่งได้รับมอบให้ใช้อำนาจนั้นไม่


ข้อ 13. เพื่อธำรงไว้ซึ่งอำนาจสาธารณะและค่าใช้จ่ายทางการปกครอง เป็นการจำเป็นที่จะต้องเรียกให้ (สมาชิกใน) สังคมเข้ามารับภาระในเรื่องนี้ร่วมกัน การมีส่วนร่วมในค่าใช้จ่ายสาธารณะจะต้องกำหนดสัดส่วนในระหว่างพลเมืองโดยเท่าเทียมกัน โดยคำนึงถึงความสามารถของพลเมืองแต่ละคน (ในการรับภาระค่าใช้จ่ายสาธารณะ)


ข้อ 14. พลเมืองมีสิทธิที่จะตรวจสอบโดยตนเองหรือโดยผ่านทางผู้แทนในเรื่อง (ต่าง ๆ) ที่ว่า มีความจำเป็นเพียงใดในการเข้ารับภาระค่าใช้จ่ายสาธารณะ ในเรื่องที่ว่า จะยอมรับภาระค่าใช้จ่ายสาธารณะหรือไม่ก็ได้โดยเสรี (และ) ในเรื่องที่ว่า จะตรวจสอบการใช้จ่ายสาธารณะ ตลอดจนความมากน้อยของค่าใช้จ่าย รายการของค่าใช้จ่าย การเรียกคืนและระยะเวลาในการใช้จ่าย (ก็สามารถจะกระทำได้)


ข้อ 15. สังคมย่อมมีสิทธิเรียกให้หน่วยงานสาธารณะทุกหน่วยงานรายงานการปฏิบัติภารกิจในส่วนที่ตนรับผิดชอบอยู่นั้นได้


ข้อ 16. สังคมใดมิได้มีหลักประกันแห่งสิทธิทั้งปวงและมิได้มีการแบ่งแยกอำนาจโดยชัดเจน สังคมนั้นย่อมปราศจากรัฐธรรมนู


ข้อ 17. กรรมสิทธิ์ในฐานะที่เป็นสิทธิอันมิอาจก้าวล่วงได้และเป็นสิทธิอันศักดิ์สิทธิ์ บุคคลจะถูกพรากไปซึ่งกรรมสิทธิ์ได้ก็แต่กรณีจำเป็นเพื่อประโยชน์สาธารณะอย่างเห็นประจักษ์ชัดตามที่กฎหมายบัญญัติ และโดยมีเงื่อนไขในการ (จ่ายค่า) ชดเชยที่เป็นธรรมและกำหนดไว้เป็นการล่วงหน้าแล้ว


สำนวนแปลของ ฐาปนันท์ นิพิฏฐกุล



                            ................................................................................... 

สิ่งที่นำมาเสนอประกอบความคิดเห็นข้างต้น เพียงแค่อยากจะสะท้อนกับสิ่งที่กำลังขึ้นในบ้านเมืองไทยตอนนี้  



yanyong lookshawdin

   20  ก.ค. 2556

เดินหน้าผ่ากะลาแลนด์ ผ่านหน้าเพจเฟชบุ๊ค



ใน "กะลาแลนด์" แห่งนี้ การตัดสินคดีความต่างๆขององค์กรที่ได้ชื่่อว่าอิสระ (จากประชาชน แต่สังกัดอำมาตย์) จะมีมาตรฐานด้วยกัน 2 แบบ สำหรับการตัดสินคดีแต่ละพรรคการเมืองดังนี้

‪#‎พรรคเพื่อไทย‬
1. ยื่นเรื่องปุ๊บ - "รับทันที" แทบไม่ต้องคิด

2. ดำเนินการ - ตรวจสอบแค่ 7 วันก็เสร็จแล้ว เผลอๆ 2 วันได้ สั่งฟ้องอย่างรวดเร็ว

3. ตัดสิน - ต่อให้ไม่เข้าข้อกฎหมาย ก็เปิดพจนานุกรม หาช่องทางยังไงมึงก็ต้องผิด ไอ้พรรคเพื่อไทย และก็ตัดสินทันที

* ไม่อยากจะเมาท์ อ่านเช้าตัดสินบ่าย ยังทำได้เลย 555+

----------------------------------------------------
‪#‎พรรคคนดี‬
1. ยื่นเรื่อง - มึงยื่นมา กูไม่รับ มีไรป่ะ?

2. ดำเนินการ - จะให้กูรับใช่ไหม ได้ๆ ทำเอกสารแม่งวันละหน้าพอ เอาซิ มึงรอได้ก็รอไป เสร็จโน่นอ่า หมดวาระ 4 ปีพอดี

3. ตัดสิน - กูเตรียมทางลงไว้แล้ว
- จำเลยเขาเป็นคนดีอ่า กูยกฟ้อง
- หมดอายุความ กูตัดสินไม่ได้
- หลักฐานไม่พอ อย่าปรักปรำสิ กูยกฟ้อง

พรรคนี้แม่งบูชาหลวงพ่ออะไรวะ? ศักดิ์สิทธิ์จริงๆ พระรอดรึป่าวเนี่ย.... แม่งไม่เคยมีใครเอาผิดมันได

นี่แหละครับ คนดีนี่มันดีจริงๆ กะลาไทยยังหนาอยู่ // แอดมินกะลาไทย
 
                             ...................................

 
 ใน "กะลาแลนด์" มีชนหนึ่งที่เรียกตัวเองว่าสลิ่ม เป็นพวกอ้างตัวเป็นปัญญาชน แต่ตรรกะสลิ่มต่อการกู้เงิน นี่มันช่างวิบัติจริงๆ

‪#‎รัฐบาลยิ่งลักษณ์‬ กู้ 2.2 ล้านล้าน พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมของประเทศ
วิธีการ : ออกเป็น พรบ.เงินกู้ ผ่านการพิจารณาในสภา
เป้าหมาย : รถไฟความเร็วสูง , รถไฟรางคู่

"พวกมันกู้มาโกง ไม่อยากเป็นหนี้ชั่วลูกชั่วหลาน 50 ปี ทำไมไม่รู้จักพอเพียงตามคำพ่อสอน เกลียดจริงๆเลยไอ้พวกทุนนิยม"

----------------------------------------------------------

‪#‎รัฐบาลมาร์ค‬ กู้ 1.4 ล้านล้าน โครงการไทยเข้มแข็ง เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทย
วิธีการ : ออกเป็น พรก. ไม่ต้องผ่านสภา
เป้าหมาย : คุรุภัณฑ์อาชีวะ , โรงพักร้างทั่วประเทศ , เสาธงทองคำต้นละ 5 แสน ฯลฯ

"อย่าขัดขวางความเจริญของประเทศชาติได้ไหมไอ้พวกเสื้อแดง เขากู้เงินมามากก็จริง แต่กู้มาเพื่อพัฒนาประเทศชาติให้เจริญรุ่งเรือง"

แหม ทีงี้กูไม่เห็นพวกมึงกลัวเป็นหนี้เลยนะ ไอ้พวก "คนดี" ทั้งหลาย อย่างว่าแหละครับ กะลาแลนด์แห่งนี้ "คนไม่ใช่ ทำอะไรก็ผิด" // แอดมินกะลาไทย
 
..................................................................
 
ทีมงานรัฐกะลานิวส์ไม่แปลกใจ ครับ เพราะก่อนที่จะทำเว็บบล็อกชื่อรัฐกะลานิวส์ นี้ขึ้นมา ก็รู้เช่นเห็นชาติแล้วว่าเหมาะกับประเทศนี้จริงๆ
 
 
 
 
 

วันอังคารที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

กรณีคลิปเสียง ทักษิณ-ยุทธศักดิ์ ... กลยุทธควบคุมการเมือง ชนะโดยไม่ต้องรบ

เรื่องที่แสดงความคิดเห็นผ่านทาง Facebook ที่มีเนื้อหาน่าสนใจจึงขออนุญาตนำมาเผยแพร่และบันทึกไว้เป็นข้อคิดและแนวศึกษา




โดยผู้ใช้นาม...Tula Niraname  8/7/56

ในยุคข้อมูลข่าวสาร คืออำนาจ... ใครควบคุมข้อมูลข่าวสาร คนคนนั้นควบคุมการเมือง ...ชนะโดยไม่ต้องรบ

พรรคฝ่ายค้านและเครือข่ายทุนสื่อต่างๆของฝ่ายอนุรักษ์นิยม พยายามปิดกั้นปิดล้อมช่องทางการสื่อสารทางการเมืองของรัฐบาลสู่ประชาชน โดยการนำเสนอข้อมูลข่าวสารเพียงฝ่ายเดียว ซึ่งมีการการดัดแปลง บิดเบือน จัดการนำเสนอผ่านสื่อต่อประชาชน เพื่อโน้มน้าวประชาชนให้เกลียดชังรัฐบาล

รัฐบาล พรรคเพื่อไทย และทีมงาน รวมทั้งคนเสื้อแดง จะต้องทลายกำแพงปิดกั้นช่องทางการสื่อสารของฝ่ายตรงข้ามโดยฉับพลัน ด้วยการสร้างช่องทางการสื่อสารใหม่และขยายเครือข่ายเพิ่มเติมในวงกว้าง เพื่อกระจายข้อมูลข่าวสาร ข้อมูลข้อเท็จริงต่างๆของฝ่ายประชาธิปไตยออกไปสู่ประชาชนและสาธารณะ
 
ในภาพยนต์เรื่องก็อดฟาเธอร์... ดอนคอร์ลิโอเน่ สอนลูกชายว่า อย่าวางใจคนของเราที่เป็นคนกลางมาเจรจาระหว่างเรา กับฝ่ายตรงข้าม จงให้ระวังให้ดี เพราะเขาอาจเอาใจออกห่าง..คนกลางต้องรอบคอบเพราะอาจถูกมองว่าเอาใจออกห่าง..

เรื่องคลิป ท-ย...กลยุทธ์ยุแยกแตกสามัคคี เพื่อให้คนเสื้อแดงแตกสามัคคี และแยกทหารออกจากรัฐบาล ซึ่งเป็นวิธีเดียวที่ฝ่ายอนุรักษ์นิยมจะสามารถทำลายฝ่ายประชาธิปไตย
 
การทำสงครามสารสนเทศ หรือสงครามข้อมูลข่าวสาร เป็นการบริหารจัดการข้อมูลข่าวสาร ใช้ประโยชน์ชิงความได้เปรียบในการแข่งขันทางการเมือง หรือธุรกิจเพื่อให้ประชาชนได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารผ่านสื่อโดยการนำเสนอต่อสาธารณะ....Power Shift/Alvin Toffler

Info-Tactics เป็นกลยุทธ์ ดัดแปลงบิดเบือน หรือจัดการข้อมูลข่าวสาร ก่อนที่จะส่งผ่านสื่อออกไปสู่ประชาชน

Meta-Tactics เป็นกลยุทธ์ในระดับที่ลึกกว่า คือการเข้าไปจัดการกับกระบวนการผลิดข้อมูลข่าวสารตามหลักInfo-Tactics ก่อนที่นำเสนอเผยแพร่สู่สาธารณะ

ผู้เขียนมีความเห็นว่า การโต้ตอบกลยุทธ์ดังกล่าวของฝ่ายตรงข้าม เราควรใช้กลยุธ์ Real-Tactics คือการบริหารจัดการข้อมูลข่าวสารที่เป็นข้อเท็จจริง โต้ตอบสวนกลับต่อข้อมูลเท็จของฝ่ายตรงข้าม ซึ่งการรับรู้ซึมซับข้อมูลข่าวสารของประชาชนไวมาก โดยเผยแพร่สู่สาธารณะ

การนำเสนอข้อมูลข้าวสาร ข้อมูลข้อเท็จจริงต่างๆของรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็น นโยบายสาธารณะ ผลงาน ปัญหา ปรับปรุง สู่สาธารณะ ต้องกระทำโดยฉับไวจะนิ่งเฉยไม่ได้ เพราะการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของประชาชนได้ไวมากๆ เพื่อต่อสู้่กับข้อมูลเท็จของฝ่ายตรงข้าม จะสามารถทำให้ชิงความได้เปรียบในทางการเมือง
 ............................................................
จงอย่านิ่งนอนใจเป็นอันขาดสำหรับฝ่ายประชาชนธิปไตย
 
คลิกอ่านยุทธศาสตร์การใช้สื่อเป็นแนวรบ 

ทักษิณมาดู ตำแหน่งที่ปรึกษาสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ที่อยากเป็น เขาใช้ให้ทำอะไร?

 

ถึงเวลาต้องเลือกกันได้แล้วครับ


                                               (ขอขอบภาพสวยๆจากเว็บประชาไท)

 ช่วงเวลา 7 ปีที่ผ่านมา ประเทศชาติเกิดวิกฤติจากจุดเริ่มต้นที่ไม่น่าจะเกิดด้วยการยึดอำนาจนายก รัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนด้วยจำนวนที่นั่ง 377 ที่นั่งในรัฐสภาที่ชื่อ พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 หลังการเฉลิมฉลอง 60 ปีแห่งการครองราชย์ของในหลวงองค์ปัจจุบัน โดยมีพลเอกสนธิ บุณยกลินรับเป็นหัวหน้าคณะรัฐประหาร

การยึดอำนาจครั้งนี้มาพร้อมกับวลีติดปากว่า “ระบอบทักษิณ” ที่ฝ่ายยึดอำนาจและแนวร่วมถือว่าเป็นระบอบที่ชั่วร้ายต้องกำจัดให้สูญสิ้นไป จากแผ่นดิน แต่ความคิดของฝ่ายอำนาจโบราณอยู่ในซึกฝ่ายตรงข้ามกับประชาชนคนส่วนใหญ่ของ ประเทศนี้ที่พร้อมจะเลือกคนที่รับใช้ “ระบอบทักษิณ” มาเป็นผู่นำบริหารประเทศ ในทุกครั้งที่มีโอกาสใช้สิทธิเลือกตั้ง เท่ากับเป็นการตอกย้ำความต้องการของปวงมหาประชาชน


ความต้องการที่จะคงอำนาจโบราณของเครือข่ายอำมาตย์ยังไม่ยอมแพ้ กลับร่วมกันสู้ทั้งในที่เปิดเผยและในส่วนที่ยังปิดบัง โดยมียุทธศาสตร์หลักที่จะสกัดผลงานของรัฐบาลที่มาจากประชาชนทุกรูปแบบด้วย เครือข่ายที่จงใจสร้างขึ้นมาเพื่อ “ล้ม” โดยเฉพาะ

ความเคลื่อนไหวของบรรดาเครือข่ายอำนาจโบราณ เคลื่อนขยับกันจนรู้สึกได้ว่า “ไม่พร้อมที่จะให้ประเทศมีการพัฒนา” หรือเรียกกันง่าย ๆ เพิ่มเป็นอีก 1 ในการบ่งบอกลำดับประเทศของโลกใบนี้ที่แยกให้มี 3 ประเภทคือ ประเทศพัฒนา,ประเทศกำลังพัฒนาและประเทศด้อยพัฒนา แต่ประเทศไทยอยู่นอกการจัดลำดับในทฤษฎีนี้เพราะประเทศไทยจัดอยู่ในลำดับ “ห้ามพัฒนา”


มีคำถามว่าทำไมประเทศนี้ถึงห้ามพัฒนา คำตอบที่น่าจะพอเห็นได้จากการเคลื่อนไหวของเครือข่ายเหล่านี้คือ “ต้องการให้ประเทศนี้มีสภาพเศรษฐกิจการเมืองแบบเดิม ๆ” คือมีอำนาจรวมศูนย์อยู่ที่เมืองหลวง ให้ความสำคัญในการพัฒนาอยู่ใกล้ศูนย์กลางอำนาจที่ไม่ใช่รัฐบาล


อำนาจโบราณไม่เคยบอกกับประชาชนว่า การอยู่ในระบอบเดิม ๆ แล้ว ชีวิตจะมีอนาคตหรือไม่ ทุกวันนี้มีเพียงกล่าวโจมตีไปที่ “ระบอบทักษิณ” ว่าเต็มไปด้วยการทุจริต คอรับชั่น ข่มขู่องค์กรตามรัฐธรรมนูญ ทำห้านเมืองแตกแยกและไม่จงรักภักดี...วนเวียนอยู่เช่นนี้มาตลอดช่วง 7 ปีวิกฤติชาติโดยไม่สนใจเจตนาของคนร่วมชาติที่แสดงประชามติผ่านสิทธิการเลือก ตั้งเลยแม้แต่น้อย

ก่อนการเปิดประชุมสภาในเดือนสิงหาคมนี้ ได้ปรากฎชัดว่า เครือข่ายอำนาจโบราณ ขยับตัวกันเป็นลูกระนาดเตรียมพร้อมที่จะกำจัดฉันทามติของประชาชนอีกครั้ง 


และก็น่าจะถึงเวลาที่มหาประชาชนจะต้องตัดสินใจกันอย่างชัดเจนแล้วว่า จะมีชีวิตอยู่ในระบอบใดระหว่าง ระบอบขุนนางอำมาตย์ที่ชูอำนาจกฎหมายเป็นเครื่องมือปกครองประเทศกับระบอบ ทักษิณที่ชูทฤษฎีทักษิโณมิก

ทั้ง 2 ระบอบนี้เป็นระบอบการปกครองที่คนในประเทศนี้ต้องให้ความสนใจศึกษา เรียนรู้ ให้กระจ่างแจ้งเพราะมันเกี่ยวเนื่องกับอนาคตการมีชีวิตอยู่ของประชาชนใน ประเทศนี้ว่า จะเดินไปอย่างไร?

เลือกกันได้แล้วครับ.....





โดย  ดาด้า แดงจันทบูร
          8/7/56

วันอาทิตย์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

เศษเสี้ยวความในใจของ "คนเบี้ย" ของ รุ่งโรจน์ วรรณศูทร ความเหมือนที่คล้ายกับแกนนำ กวป.

โดย รุ่งโรจน์ วรรณศูทร (บันทึก) เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2013 เวลา 16:09 น.


  


กำลังพิจาณา "ยุติ" กิจกรรมทั้งหมด ปิดเว็บ ปิดบล็อก ยุติการแสดงความเห็นในเฟซบุ๊ค หลังจากทำมาหลายปี ชีวิตมีแต่ "ติบลบ" ลงไปทุกที มิตรสหายตีจาก ผู้คนร่วมสมัยตั้งกำแพงกีดกัน งานเขียนที่ไม่มีประโยชน์ต่อขบวนการถูกปิดกั้น

คง ไม่ตอบคำถามลูกเมีัยแล้ว ว่า "ทำไปทำไม ไม่เห็นมีใครสนใจ ไม่มีคนจ้างงาน มีแต่คนเบือนหน้าหนี ตกอยู่ในสภาพเกือบช่วยตัวเองไม่ได้ ต้องพึ่งครอบครัว ลูกเมียไม่ได้พบความความสุขสบาย แล้วยังมีหน้าไปคิดเรื่องส่วนรวมอีก"

ผมต้องกล้ำกลืนก้อนเลือด และเสียน้ำตาให้กับลูกสาวที่เธอต้องลาออกจากงานหลังจาก "คิดฆ่าตัวตาย" หลายตรั้ง สมัยที่ทำงานแถวศาลาแดงในปี 2553 และ "ไม่บริจาคเงินซื้อน้ำให้ทหารที่ล้อมมวลชนเสื้อแดง และไม่ร่วมลงไปร้องเพลงชาติข้างถนน" เนื่องเพราะบริษัทนั้น (เช่นเดียวกับองค์กรธุรกิจส่วนใหญ่ของประเทศ) "เหลืองเป็นขี้" เธอ "ถูกกดดันตลอดวันทำงาน" เพราะถุกตราหน้าว่ามี "พ่อเป็นเสื้อแดง" หรืออย่างน้อย "ยืนอยู่ฝ่ายเสื้อแดง" จนเดี๋ยวนี้ลูกสาวต้อง unfriend พ่อใน facebook ไม่อย่างนั้นเธอจะเป็นอีกคนที่หมดอนาคตในอาชีพการงานความเป้นนักเขียนคอลัมน์

ผลจากการการพักผ่อนน้อยมาตลอด 32 ปีหลังถูกจับฉีดยารักษาคนบ้างและเนรเทศออกจากกองกำลังอาุธของพคท. ในปี 2524 ด้วยข้อหา "มุ่งมั่นปฏิวัติประเทศทุกลมหายใจเข้าออก" ผมกลับมาทำงานหนังสือทั้งทางด้านสังคมศาสตร์และงานวรรณกรรม แม้จะไม่มีวุฒิการศึกษาระดับปริญญาตรี และตจ่อมาหลังการรัฐประหารอัปนศ 19 กันยายน 2549 ทุ่่มเทใช้ความคิดทั้งวันทั้งคืน ค้นคว้าที่มาที่ไปทา่งประวัติสาสตร์ ศึกษาทบทวนเส้นทางการสถาปนาระบอบประชาธิปไตย พยายามตกผลึกประสบการณ์และความคิด อย่าง "เสียเปล่า" ชนิดที่ "คนชั้นนำ" ในขบวนเคลื่อนไหวและกระแสความคิดล้วน "ปฏิเสธอย่างสิ้นเชิง"

เพื่อน เก่าแก่ทั้งหมด ปฏิเสธเสื้อแดง นั่นคือ ปฏิเสธผมโดยสิ้นเชิง ที่เคยจ่างงานก็จบไปหลังรัฐประหาร 2549 ที่เคยอุดหนุนการผลิตเดือนหนึ่ง 2-3 หมื่น ก็จบลงเด็ดขาด / เว้นแต่ช่วงมีเงินเดือนหนังสือพิมพ์ จา่กตุลาคม 2550 ถึง พฤษภาคม 2552 กลับมาเหลือรายได้เขียนหนังสือสัปดาห์ละ 1,000 บาท จนถึงเดือนมกราคา 2555 และต่อรองเป็น 1,600 บาท จากเดือนกุมภาพันธ์ 2555 จนถึงปัจจุบัน คือข้อเท็จจริงที่งานควาคิด งานค้นคว้า มีค่าน้อกกว่า "ค่าแรงขันต่ำ" ของแรงงานไร้ฝีมือในประเทศนี้เสียอีก


ข้อเท็จจริงที่เจ็บปวดสำหรับ "คนชั้นล่าง" ในสังคมนี้ คือ การ "ไม่มีวุฒิการศึกษาอย่างน้อยปริญญาตรี" "การไม่มีวุฒิการศึกษาระดับดอกเตอร์" "การไม่มีตำแหน่งทางวิชาการเป็นศาสตราจารย์ หรือรอง หรือผู้ช่วย" ที่ทำให้ "มีรายได้ที่แน่นอน" (จะน้อยจะมากก็แล้วแต่ แต่มากกว่า "ไม่มี")

หลายครั้ง (และในระยะหนึ่งปีเศษมานี้ ทำเป็นประจำทุกเดือน จนเกิดความ "ละอาย" เลขาฯ ของเพื่อน) ที่ "เข้าตาจน" จนต้อง "หักห้ามความอาย ตากหน้า" ขอเงินมิตรสหาย 2-3 คน คราวละ 1,000 บาท ที่จะไม่มีวันลืม "สภาวะขอทาน" อย่า่งนี้ไปชั่วชีวิต คงจะไม่ทำอย่างนั้นอีกแล้ว ให้เป็นที่รำคัญใจของเพื่อนๆ ที่เป็นนายทุนกิจการหลายสิบล้านหลายจนถึงระดับร้อยล้าน

ผมเที่ยว "ของาน" อดีตมิตรสหายที่คิดว่าจะมีงานหยิบยื่นมาให้ เพื่อที่ผมจะสามารถพึ่งตนเองได้อย่างมีศักดิ์ตรีในความเป็นมนุษย์ แต่ที่ตอบกลับมา คือ "ความเงียบ" แม้แต่จาก "อดีตคนเดือนตุลาฯ" ที่เป็นเจ้าของวิสาหกิจนับสิบนับร้อยล้านบาท ทั้งนี้ไม่ต้องพูดถึงเพื่อนเก่แก่ทั้งหลายที่ "ปฏิเสธทักษิณ" ซึ่ง "ปิดประตูใส่หน้าผม" ทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์ - ผมแค่ของานทำ เพื่อจะ้ลี้ยงตัวเ้องได้ แต่คำตอบคือ "ไปข้างหน้าก่อน"

ผมควรจะยุติเรื่องพวกนี้เสียที... กับวิถีทางและเส้นทางที่ไม่เป็นที่ต้อนรับ อีกต่อไป.

ด้วยภราดรภาพ
รุ่งโรจน์ "อริน" วรรณศูทร
หลังหมดฤทธิ์ยานอนหลับ 2 ขนาน

15:36 น. 6 กรกฎาคม 2556


ป.ล. : "คนเบี้ย" ต้องถูก "กำจัด" ไปจาก "กระดานหมากรุกชีวิต" วันยังค่ำ อยู่ที่ช้าหรือเร็วเท่านั้น


.........................................................................................................


มันไม่ใช่มาเปิดประเด็นเชื่อมโยงอะไรนะครับเพราะผมเชื่อมั่นในความคิดและเคารพการตัดสินใจของทุกคนที่มีเหตุผลเป็นของตัวเอง เพียงแต่อยู่ในฐานะผู้ดูผู้ติดตาม ทุกครั้งที่ผมได้อ่านงานเขียนของ อ. อริน หรือ รุ่งโรจน์  วรรณศูทร  ผมก็จะนึกถึง คนสามคนในขณะนี้ที่ต้องบอกว่าถ้าเป็นมวยก็ถือว่าฟอร์มชก ร้อนแรงมาก การรวมตัวกำเนิดคนเสื้อแดง ในนาม กวป. กลุ่มสื่อวิทยุประชาชนเพื่อประชาธิปไตย 

กับคำพูดในท้ายบทความบทนี้ที่ อ.อรินพูดว่า

                        ***********************
มัน ไม่มีหรอกครับ ดอกเตอร์ นักวิชาการ ศาสตราจารย์ แกนนำ/แกนนอน ผู้นำนักกิจกรรม ที่จะ "ลดตัว" มาพูดคุยกับผม ทันทีที่สังคมนี้ขยับเข้าสู่ mode เลือกตั้ง 2554 -> หายหัวกันผมด 100% เต็มจริงๆ ทั้งที่ก่อนหน้านั้นอนุญาติให้ผมได้เสนอหน้าตามเวทีหรือรายการโทรทัศน์ (ไม่เคยได้แม้แต่ค่ารถสำหรับคนจน) มาหลายครั้งหรือนับสิบครั้ง

 

 ไม่อยากคิดว่า "หลิกใช้ประโยชน์เฉพาะกิจ" ด้วยความที่คบใครมีแต่ความใจริงใจและบริสุทธิ์ใจ
                             


                          ***********************
ความเหมือน ของ  รุ่งโรจน์ วรรณศูทร ที่คล้ายแกนนำ กวป.

และกับการประกาศแนวทางการต่อสู้ ในนาม กวป. กลุ่มสื่อวิทยุประชาชนเพื่อประชาธิปไตย  ของ  หนุ่ม โคราช, ศรรัก มาลัยทอง, สมศักดิ์   ล้อเพชรรุ่งเรือง,  ที่ชัดเจนในเจตนาและแนวทางการต่อสู้




- ผลักดันรัฐบาลให้ใช้ มาตรา 87 มองอำนาจให้แก่ประชาชนแก้ปัญหาให้ประเทศ
- ต่อต้านระบบตุลาการอำมาตย์ทำลายชาติ
- ยุบศาลรัฐธรรมนูญที่เป็นต้นเหตุแห่งความวุ่นวายของประเทศ
- ยกเลิกมาตราอัปยศ 309 ปลอล๊อคอำนาจเผด็จการ
- ผลักดันรัฐบาลให้ใช้ มาตรา 87 มองอำนาจให้แก่ประชาชนแก้ปัญหาให้ประเทศ
- ต่อต้านระบบตุลาการอำมาตย์ทำลายชาติ
- ยุบศาลรัฐธรรมนูญที่เป็นต้นเหตุแห่งความวุ่นวายของประเทศ
- ยกเลิกมาตราอัปยศ 309 ปลดล๊อคอำนาจเผด็จการ
- การสร้างสภาประชาชน
- พูดง่ายๆชัดๆคือประกาศชัดว่าจะต่อกรกับทุกองค์กรที่เป็นเครือข่ายของพวกอำมาตยาเผด็จการ

หรือล่าสุดแม้แต่การปรับปรุงสร้างสถานีวิทยุ กวป.เพื่อให้มีแรงส่งมาขึ้นในการแจ้งข่าวให้ความรู้กับประชาชน แต่สิ่งที่ผมรับรู้จากปากของทั้ง 3 คนนี้ผ่านคลื่นวิทยุบ่อยๆ และมีส่วนที่คล้ายกับ อ. อริน ( รุ่งโรจน์ วรรณศูทร ) คือไม่มี ดอกเตอร์ นักวิชาการ ศาสตราจารย์ แกนนำ/แกนนอน ผู้นำนักกิจกรรม นักการเมือง ที่จะ "ลดตัว" มาพูดคุยสอบถามแนวทางการดำเนินการการต่อสู้ เพราะมีแต่ประชาชนที่โทรมาให้กำลังใจและแสดงความคิดเห็น  

มิใช่จากมาแบ่งมิตรแบ่งศัตรูนะครับ แต่ผมไม่เข้าในว่า คนที่มีแนวคิดแบบตรงไปตรงมาและ เขียนอธิบายได้ อ.อริน / พูดอธิบายชี้แจงนำพามวลชนดำเนินการได้ อย่าง แกนนำ กวป.และคณะกรรมการกลุ่ม

เหตุใด ละครับ  ดอกเตอร์ นักวิชาการ ศาสตราจารย์ แกนนำ/แกนนอน ผู้นำนักกิจกรรม นักการเมือง ทั้งหลาย ผู้ที่ประกาศตัวว่าอยู่ฝ่ายประชาธิปไตย อยู่ข้างประชาชน จึงทำเหมือนตามองไม่เห็น หูไม่ได้ยิน



   .....
miniman
 7-7-56

 

วันจันทร์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

เรื่องของ หมอ ที่มีความคิดเหมือน หมา

 จากที่มา ::  โดย วิวาทะ
กับถ้อยคำพูดของ น.พ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ ที่ว่า 

"ทหาร ไทยยอมสยบใต้ชายกระโปรงกะหรี่ขายชาติงั้นหรือ ขออภัยถ้าแสบทรวงใครบางคน ถ้าผมเป็นทหาร ผมลาออกดีกว่า อยู่ให้เสียศักดิ์ศรี ต้องคอยคำนับกะกรี่ขายชาติ"
นายแพทย์ ตุลย์ สิทธิสมวงศ์, 27 มิ.ย.56
โพสต์สถานะในเฟซบุ๊ก "Tul Sittisomwong"
https://www.facebook.com/DrTul/posts/10151494748462135


"คุณหมอตุลย์ครับ ลองเปลี่ยนคนที่คุณหมอกำลังมุ่งหมายถึงในข้อความข้างล่างนี้ไปเป็นผู้หญิง สักคนที่คุณหมอรักที่สุด ห่วงใยที่สุด เคารพนับถือที่สุดดู อ่านแล้ว คุณหมอรู้สึกอย่างไรบ้างครับ?
ศีลธรรมพื้นฐานของคนเราคืออย่าทำกับคนอื่นในสิ่งที่เราไม่อยากให้คนอื่นทำ กับเรา คุณสมบัติพื้นฐานของความเป็นเพื่อนมนุษย์ง่าย ๆ แค่นี้ คุณหมอพอจะเข้าใจไหมครับ? หรือการเมืองเป็นใบอนุญาตให้ทำได้ทุกอย่างไม่ว่าจะอมนุษย์แค่ไหน?

เกษียร เตชะพีระ, 30 มิ.ย.56
โพสต์ในเฟซบุ๊ก

https://www.facebook.com/kasian.tejapira/posts/10201478323022876
....................................

 
หลังจากพยามติดตามความเคลื่อนไหวของไอ้หมอนี่ ตั้งแต่ออกมานำกลุ่มเสื้อหลากสี ที่ทำอะไรเพื้อนอยู่ตามถนน จนกระทั่งมีข่าวปะทะคารม กับวันที่ 3 ส.ค. ผู้สื่อข่าว "ข่าวสด" รายงานว่า นายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล  อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัว ภายหลังจากน.พ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ แกนนำกลุ่มคนเสื้อหลากสี โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กระบุว่ารับไม่ได้กับพฤติกรรมของนายสมศักดิ์อีกต่อไปแล้ว

และ ก่อนหน้านี้ น.พ.ตุลย์ ได้โพสต์เฟซบุ๊ก มีเนื้อหาว่า "สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล เลิก 112 ให้ก็ได้ แล้วมึงกับพวกเอา .358 ไปก็แล้วกัน กูไม่อยากฟังคำอธิบายใดๆ จากมึงอีกแล้ว"
>>>อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม"ในข่าวสด"

และเวลาเห็นไอ้หมอนี่ออกมาเกะกะระรานรัฐบาลพรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดงตลอดด้วยถ้วยคำที่ฟังแล้วรู้สึกได้ ว่าไอ้หมอนี่ มันกวนตีนจริงๆ...พูดจาหน้าชกปากเหลือเกิน เรียนจบมาเป็นถึงนายแพทย์แต่แม่งไม่เข้าใจเรื่องประชาธิปไตยเลยเอาแต่เรียก ร้องให้ทหารออกมาทำการยึดอำนาจจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ผมจึงมั่นใจว่าไอ้หมอนี่มันป่วยทางจิตอย่างแน่นอนเพราะลองค้นหาดูอาการของคนป่วยเป็นโรคจิต จึงพบกับโรคชนิดหนึ่งที่ตรงกับอาการของไอ้หมอนี่ " อาการหลงผิด หรือ ดิลยูชันแนล ดิสออร์เดอร์ (Delusional Disorder)" ซึ่งกลุ่มอาการนี้โดยปกติก็จะไม่แสดงอาการอื่นๆ ที่ผิดปกติให้เห็น ผู้ป่วยกลุ่มอาการลักษณะนี้ สามารถใช้ชีวิตปกติกับคนอื่นโดยแยกไม่ออก สามารถพูดจารู้เรื่อง ทำอะไรได้ทุกอย่างเหมือนคนทั่วไป เป็นเหตุให้การพยากรณ์โรคทำได้ยาก เนื่องจากไม่ได้คิดว่าตัวเองเจ็บป่วย แต่หากถูกกระทบจากเรื่องที่คิดคำนึงและหมกมุ่นอยู่ และเชื่อว่าเป็นสิ่งที่ใช่ ตรงกับความคิดตัว จึงจะแสดงอาการออกมา ซึ่งโดยปกติผู้ป่วยกลุ่มนี้ส่วนใหญ่ป่วยแล้วจะไม่ค่อยเข้ารับการรักษา เพราะคิดว่าตนเองไม่ได้ป่วย ซึ่งผลกระทบที่เกิดขึ้นมักไม่กระทบกับตัวคนป่วย แต่จะกระทบกับคนรอบข้างแทน แต่ทุกความคิดของไอ้หมอนี่มีที่ระบายออกเหมือนเป็นตัวแทนของคนกลุ่มหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายๆกันตั้งแต่เป็นกลุ่ม พธม.,คนไทยรักชาติ,เสื้อหลากสี,และอื่นๆที่ปะปนช่วงผ่านมา จนกลายเป็นกลุ่มพวกหน้ากากขาวล้มเจ้า และต้องรวมคนในพรรค1ปชป.,และองค์กรอิสระอีกหลายองค์กรเข้าไป ด้วยอย่างแน่นอน

 ประเทศไทยประกาศตัวว่าปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย แล้วไอ้หมอบ้านี่ มันพยามจะเรียกทหารให้ออกมา ปฏิวัติหา พ่อ มันหรือไง 

และไอ้คำพูดที่ว่า" ทหาร ไทยยอมสยบใต้ชายกระโปรงกะหรี่ขายชาติงั้นหรือ ขออภัยถ้าแสบทรวงใครบางคน ถ้าผมเป็นทหาร ผมลาออกดีกว่า อยู่ให้เสียศักดิ์ศรี ต้องคอยคำนับกะกรี่ขายชาติ"

ทำไมที่พูดแบบนี้เพราะมึงไม่พอใจที่ทหารเหล่านั้นที่พวกเขาไม่ไปถลกชายกระโปงแม่มึง พี่สาวมึง น้องสาวมึง แล้วขึ้นขย่มให้ใช่ไหมว่ะ

 



       yanyong  Lookshawdin
            1 ก.ค.2556

"ขบวนการล้มข้าว" ใครอยู่เบื้องหลังขบวนการนี้ ต้องมาดูกันที่ "ผังล้มข้าว"

บทความจาก หน้าเพจ
Oak Panthongtae Shinawatra
ถ้าอยากรู้ว่า ใครอยู่เบื้องหลังขบวนการนี้ ต้องมาดูกันที่ "ผังล้มข้าว" ครับ

ผมวิเคราะห์จาก "ผังล้มข้าว"แล้ว ขบวนการนี้เริ่มขึ้นจาก แนวความคิดของพรรคการเมืองที่ไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ในการเลือกตั้ง ไม่ยอมอดทนทำความดีให้ประชาชนรัก แล้วรออีก4ปีค่อยกลับมาลงสนามเลือกตั้งใหม่ เหมือนกับที่นานาอารยะประเทศที่เจริญแล้วเขาทำกัน จึงต้องเล่นการเมืองนอกสภา เดินสายโจมตีรัฐบาล ปลุกระดมชาวบ้านให้ต่อต้านนโยบายของพรรคเพื่อไทย

ผังล้มข้าวที่1 เริ่มจากออกมาโจมตีว่านโยบายจำนำข้าวตันละ 15,000บาท ทำให้รัฐขาดทุนมากเกินไป จนคนเริ่มสับสนว่านโยบายนี้ดีหรือไม่ ทำให้รัฐบาลต้องตัดสินใจลดราคาลงเป็น 12,000บาท ก็ออกมาโจมตีว่าไม่เห็นด้วย ปลุกระดมชาวนาให้ออกมาชุมนุมอีก ลองรัฐบาลกลับมารับจำนำที่15,000บาท ก็ต้องโดนโจมตีเหมือนเดิม รัฐบาลก็ งง งง ว่าตกลงกรูจะทำไงให้เมิงเลิกด่าซะทีฟระ..???

ผังล้มข้าวที่2 พอโจมตีมากๆผู้เกี่ยวข้องก็ไม่กล้าขายข้าวสิครับ รับมาหมื่นห้าชาวนายิ้มแก้มปริแฮบปี้กันทั้งประเทศ แต่ราคาตลาดหมื่นเดียวพอขายปุ๊บ ก็โดนโจมตีปั๊บว่าขาดทุนอีกแล้วตันละห้าพัน ขายไปล้านตันก็หาว่ารัฐทำฉิบหายไปอีกห้าพันล้าน คนขายก็อิดๆออดๆไม่กล้าขาย กลัวๆกล้าๆอย่างนี้ข้าวก็ค้างเต็มโกดังครับ

ผังล้มข้าวที่3 พอล๊อคข้าวให้อยู่ในโกดังเรียบร้อย คราวนี้ก็ปล่อยข่าวสารพัดครับ หาว่าข้าวเน่าเต็มโกดัง ที่ไม่เน่าก็หาว่าใส่ยากันเน่า ใครกินไปจะเป็นมะเร็ง ทั้งฟอเวิร์ดเมล์ทั้งส่งต่อไลน์กันสารพัด โจมตีข้าวยี่ห้อโน้น เชียร์ข้าวยี่ห้อนี้ กันเต็มไปหมด ป้ายที่เห็นนี่ก็เป็นอีกหนึ่งแผนสกปรกครับ ลงทุนทำArtwork จ้างช่างprintลงแผ่นผ้าใบ,ไวนิล แผ่นนึงหลายบาท ดูยังไงก็ไม่ใช่ฝีมือชาวบ้าน แต่จะเป็นใครทำน่าจะเดากันได้ไม่ยาก

"ขบวนการล้มข้าว" ก็คือ"ขบวนการล้มชาวนา"ครับ ปล่อยข่าวโจมตีเรื่องข้าว รัฐบาลอาจกระเทือน แต่ผลกระทบถึงชาวนารุนแรงกว่าเยอะครับ แต่ละคนเคยเป็นรัฐบาลเคยมีตำแหน่งใหญ่ๆโตกันทั้งนั้น กลับมาเต้าข่าวหลอกสังคมทำเป็นเด็กเล่นขายของ "ช้างชนกันในนา ต้นข้าวย่อมแหลกราญ"ครับ ขืนปล่อยให้โจมตีกันอย่างนี้ต่อไป ต่อให้รัฐบาลอยู่ได้ แต่ชาวนาก็ตายก่อน หากเกิดวิกฤติความเชื่อมั่นต่อคุณภาพข้าวไทยขึ้นมา บอกไว้ตรงนี้เลยว่าพรรคประชาธิปัตย์ต้องรับผิดชอบเต็มๆครับ

บอกใบ้แผนอุบาทว์ "ผังล้มข้าว-ล้มชาวนา" ให้แล้ว ใครมาเป็นรัฐมนตรีฯพาณิชย์ ก็ช่วยๆแก้ไขให้รวดเร็วทันอาการกันหน่อยครับ ซื้อข้าวจากชาวนามาแพงๆ ขายในตลาดโลกก็ย่อมต้องขาดทุนอยู่แล้ว ใครๆเขาก็รู้กันทั่ว ไม่ต้องไปสนใจพวกงมงาย ที่คิดว่าจำนำข้าวจะต้องไม่ขาดทุน อันนั้นเขาเอาไว้หลอกสลิ่มครับ ขอเพียงเปิดเผยตัวเลขให้ชัดเจน ทุกกระบวนการต้องตรวจสอบได้ ระมัดระวังอย่าให้มีการทุจริตอย่างจริงจัง หากตรวจพบการทุจริต ให้จัดการขั้นเด็ดขาด ผิดว่าตามผิด ถูกว่าตามถูก ข้าวที่มีอยู่ก็เก็บรักษาให้ดีๆ มีช่องทางระบายออกได้ก็ทำให้โปร่งใส ทำแบบนี้ได้คนเขาก็ปรบมือให้ทั้งประเทศแล้วละครับ
เอาง่ายๆ ตรวจสอบเรื่องข้าวให้ได้เหมือนที่ อาธาริตฯกำลังลุยตรวจสอบรถหรู รถจดประกอบอยู่ตอนนี้ แค่นี้ก็สะใจกองเชียร์แล้วละคร๊าบบบ....
 
.......................................
 
เคยได้ยินเรื่องผังล้มเจ้าเก้มาแล้ว  กว่าจะรู้ว่าเป็นผังล้มเจ้าเก้  คนเสื้อแดงก็ล้มตายไป 90 กว่าราย บาดเจ็บ ร่วม 2000 ราย คราวนี้ ผังล้มข้าวที่คุณโอ๊ค เขียนไว้ นี่ถ้าคนไทยรู้ไม่ทัน ผังล้มข้าวของประชาธิปัตย์และเครือข่ายอำมาตย์ แผนนี้มันคงจะต้องทำให้ชาวนาไทยตายไปอีกหลายพันคนเลยทีเดียว แบบนี้มันอำมหิตผิดมนุษย์จริงๆครับพี่น้องทั้งหลาย ที่นักการเมืองคิดฆ่าชาวนาไทยที่เป็นกระดูสันหลังของชาติให้ตายทั้งเป็น