วันอังคารที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2556

นายพรรษิษฐ์ ต่อสุวรรณ ได้เผยแพร่ "หนังสือลาออกจากสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์"

ก่อนจะติดความประพฤติของพรรคประชาธิปัตย์ในช่วงต่อไปย้อนไปทบทวนความเห็นของอดีตสมาชิกพรรคที่ลาออกไปกันอีกสักครั้ง ว่าคนที่เคยอยู่ในพรรคนั้นมาเขารู้เขาเห็นและรู้สึกอย่างไรที่ลาออก

วันที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2554 เวลา 12:14:37 น.

ความของหนังสือลาออก มีใจความ ดังนี้


 ....กราบเรียนท่านหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์


กระผมนายพรรษิษฐ์ ต่อสุวรรณ สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ประเภทสามัญเลขที่ 43414075 โดยผมได้สมัครเป็นสมาชิกตั้งแต่ปีพ.ศ. 2541 ในสมัยที่พรรคประชาธิปัตย์กำลังจะต้องตกเป็นฝ่ายค้านเพราะความนิยมกำลังถาโถมไปที่พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร และในที่สุดพรรคประชาธิปัตย์ก็พ่ายแพ้การเลือกตั้งทั่วไป และพรรคไทยรักไทยของ พ.ต.ท. ทักษิณก็ได้เป็นรัฐบาลสมัยแรก


ตอนนั้นตัวกระผมเองได้หอบหิ้วปริญญาตรีและโทกลับมาจากประเทศสหรัฐอเมริกาภายหลังเหตุการณ์วิกฤติเศรษฐกิจไม่นานนัก พร้อมกับความเชื่อที่ว่าคนเราทุกคนควรมีส่วนร่วมทางการเมืองเพื่อสร้างสังคมที่ดี และการเป็นสมาชิกพรรคการเมืองก็น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีได้



ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมานั้น ผมเฝ้าติดตามความเป็นไปของการเมืองไทยในฐานะประชาชนคนไทยคนหนึ่ง ซึ่งไม่เคยมุ่งหวังที่จะเดินเข้าไปสู่สนามการเมืองแต่อย่างใด เพียงแต่ใช้กำลังกาย สมอง เวลา และโอกาสเท่าที่มีในการตอบแทนสังคมบ้างทั้งในฐานะอาจารย์ในมหาวิทยาลัย หรือนักเขียนมือสมัครเล่นในคอลัมน์หนังสือพิมพ์ฉบับต่าง ๆ ต่อเนื่องกันมาเป็นเวลาหลายปี



สาเหตุที่ตอนนั้นกระผมตัดสินใจส่งใบสมัครมาที่พรรคประชาธิปัตย์แทนที่จะเป็นพรรคไทยรักไทย ซึ่งสมัยนั้นจะมีภาพลักษณ์ที่ทันสมัยกว่า และกำลังอยู่ในช่วงที่ได้รับความนิยมสูงขึ้นทั้งในสังคมเมืองและสังคมชนบท ก็เพราะว่า ตัวผมเองไม่เคยเชื่อเลยว่าเจ้าของกลุ่มทุนผูกขาดอย่าง พ.ต.ท. ทักษิณจะมีความจริงใจที่จะเสียสละในการเข้ามาช่วยเหลือประเทศชาติได้อย่างแท้จริง



แต่มีความเชื่อว่าเนื้อแท้ของกลุ่มทุนผูกขาดโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสัมปทานของรัฐมักจะต้องเอารัดเอาเปรียบประชาชนอย่างเป็นธรรมชาติ ในขณะที่พรรคประชาธิปัตย์นั้นเป็นพรรดการเมืองที่เก่าแก่ยาวนาน มีความเป็นสถาบันการเมืองมากที่สุดเท่าที่มีอยู่ในสังคมการเมืองไทย


แต่วันและเวลาสอนให้ผมได้เรียนรู้ถึงธรรมชาติของการเมืองไทยมากขึ้น ซึ่งในความเป็นจริงนั้นมีความลึกซึ้งมากกว่าภาพที่คนทั่ว ๆ ไปเห็นอยู่บนเวทีการเมืองที่เป็นทางการอยู่มากนัก แต่สำหรับผมแล้ว ช่วงเวลาสิบกว่าปีนี้ได้พิสูจน์ให้เห็นเนื้อแท้ของพรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นอย่างดีในระดับหนึ่ง และทำให้ผมได้คำตอบมาระยะหนึ่งแล้วว่าตัวเองนั้นคิดผิด ซึ่งผมขอประมวลเหตุผลมาประกอบดังต่อไปนี้
1. พรรคประชาธิปัตย์จะไม่มีวันชนะใจประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศได้ เพราะขาดความจริงใจมุ่งแต่สร้างภาพจอมปลอม ประโยคนี้เป็นสัจธรรมเสมอ มาตั้งแต่เริ่มก่อตั้งพรรคประชาธิปัตย์และน่าจะเป็นจริงตลอดไปด้วย ตราบใดที่จะยังคงมีพรรคนี้อยู่ในเวทีการเมืองไทย เพราะประวัติศาสตร์บอกว่าพรรคประชาธิปัตย์มักจะได้อำนาจรัฐหรือได้เป็นรัฐบาลโดยการเพลี่ยงพล้ำของพรรคขั้วตรงข้าม และมีพลังอำนาจพิเศษที่มาหนุนอยู่ตลอด

ดังนั้นลักษณะของพรรคประชาธิปัตย์จะมักจะเชิดคนที่มีภาพลักษณ์ดี(สำหรับสังคมไทย) กล่าวคือมักจะเป็นคนที่มีลักษณะความสุภาพ อ่อนน้อมถ่อมตน หรือมีชาติตระกูลสูง หรือแม้กระทั่งคนมีหน้าตาดี นอกจากนี้อาจจะมีการเชิดชูภาพของความซื่อสัตย์เป็นจุดขาย แต่จะสังเกตได้ว่านั่นมักจะเป็นเพียงหน้าฉากของผู้นำพรรคเท่านั้น



แต่เบื้องหลังของผู้นำพรรคหรือแม้กระทั่งเบื้องหลังหน้ากากอันสวยหรูของผู้นำพรรค ก็มักจะมีบรรดานักการเมืองสกปรกที่หิวโหยอยู่ข้างหลังอย่างสม่ำเสมอ ดังนั้นพรรคประชาธิปัตย์จึงไม่เคยนำเสนอแนวทางในการบริหารพัฒนาบ้านเมืองอันใดได้เลย ที่ทำอยู่ก็จะมีเพียงนโยบายเฉพาะกิจ หรือเพื่อการประชาสัมพันธ์หาเสียงเท่านั้น มุ่งจะเล่นแต่การเมืองแต่ไม่เคยพัฒนาบ้านเมือง


2. การมุ่งเล่นแต่การเมือง ทำให้บรรดานโยบายของพรรคที่ออกมา ขาดพื้นฐานด้านข้อมูลที่เป็นจริง ขาดการศึกษาและวิเคาระห์ถึงปัญหาอย่างลึกซึ้ง ซึ่งความจริงแล้วพรรคประชาธิปัตย์ถึงแม้ว่าจะเป็นพรรคการเมืองที่แก่ที่สุด แต่ก็ไม่เคยมีนโยบายเป็นของตัวเองมาก่อน บรรดานโยบายของรัฐบาลอภิสิทธิ์ก็ต้องยอมรับว่าเป็นการคัดลอกและดัดแปลงมาจากนโยบายประชานิยมของพรรคไทยรักไทยในอดีตทั้งสิ้น


แต่น่าเสียใจว่าการคัดลอกดัดแปลงนั้นกลับทำได้ย่ำแย่กว่าสมัยที่พรรคไทยรักไทยเป็นรัฐบาลเสียอีก พรรคประชาธิปัตย์เข้าใจว่าการที่พรรคไทยรักไทยชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลายเป็นเพราะประชาชนหิวโหยในผลประโยชน์ ดังนั้นการเข้ามาของรัฐบาลอภิสิทธิ์จึงเริ่มต้นด้วยการหว่านโปรยผลประโยชน์

ตั้งแต่นโยบายแจกเงินกินเปล่าให้ประชาชนหัวละสองพันบาท แต่จะเห็นได้ว่าการแจกเงินกินเปล่าเหล่านั้นไม่ได้ทำให้คะแนนนิยมของพรรคสูงขึ้น กลับลดลงเสียด้วยซ้ำ เป็นเพราะเหตุใด? ก็เพราะว่าวิธีการแจกเงินสองพันบาทโดยใช้ฐานข้อมมูลประกันสังคมนั้นไม่สามารถจะนำเงินไปสู่คนยากคนจนส่วนใหญ่ของประเทศอย่างแท้จริง ไปได้แค่เพียงคนชั้นกลางซึ่งมีข้อมูลอยู่ในทะเบียนฯเท่านั้น นโยบายนี้เหยียบย่ำหัวใจคนยากคนจนที่ส่วนใหญ่ที่ยากไร้ไม่มีที่ทำกิน ที่อยู่อาศัย จะมีประกันสังคมได้อย่างไร



ในขณะที่นโยบายที่ลอกและสานต่อจากนโยบายไทยรักไทยอย่างโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์หรือที่เรียกกันว่าโอท๊อป ซึ่งภาครัฐเคยจัดงานที่อิมแพคเมืองทองธานีเป็นประจำทุก ๆ ปี เป็นงานกึ่งตลาดนัดกึ่งแสดงสินค้า ซึ่งได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดีทั้งจากผู้ประกอบการขนาดเล็กและขนาดย่อม จากผู้นำเข้าและผู้ส่งออก ตลอดจนจากผู้บริโภคทั่ว ๆ ไป พอรัฐบาลอภิสิทธิ์เข้ามาบริหารก็ได้ย้ายสถานที่จัดงานมาตั้งอยู่ใจกลางเมือง ทั้งตามห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ ทั้งในลานเอนกประสงค์หน้าห้างฯ บริเวณรอบสนามกีฬาแห่งชาติ และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมางานโอท็อปก็ต้องพับฐานลงอย่างน่าเสียดา



ด้วยเหตุผลหลายอย่าง ทั้งสถานที่จัดงานกระจัดกระจาย สภาพอากาศที่ไม่อำนวย ทำให้จำนวนคนเข้าชมงานลดน้อยลงอย่างมาก ผู้ค้าซึ่งมาจากต่างจังหวัดนอกจากจะขายสินค้าไม่ได้ ยังต้องแบกภาระค่ากินนอนเข้าไปอีกเพราะอดีตที่เคยอาศัยบริเวณจัดงานในอิมแพคฯก็ไม่มีค่าใช้จ่ายอะไร หัวอกคนยากคนจนและคนทำมาหากินซึ่งรัฐบาลประชาธิปัตย์ไม่เคยเข้าใจและคงไม่มีวันจะเข้าใจได้ สิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์ทำได้อย่างเชี่ยงชาญก็คือการใส่ไคล้ทำลายและช่วงชิงโอกาส ซึ่งล้วนเป็นเกมการเมืองทั้งสิ้



3. บริหารไร้ประสิทธิภาพแต่โกงเป็นมาตรฐาน ด้วยนโยบายหว่านผลประโยชน์กับการสร้างภาพของรัฐบาลชุดนี้ ทำให้รัฐต้องแบกภาระเพิ่มขึ้นมากมาย จะเห็นได้ว่ามีการกู้เงินมหาศาลกว่ารัฐบาลใดในอดีตเสียอีก แต่ลำพังการกู้นั้นมิสามารถทำให้รัฐบาลดำเนินนโยบายไร้ประสิทธิภาพเหล่านั้นต่อไปได้มากนัก



รัฐบาลชุดนี้จึงมีกระบวนการสร้างภาระโดยการรีดภาษีจากคนชั้นกลางในมิติต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง จะเห็นได้ว่าสภาพเศรษฐกิจของประเทศมีความฝืดเคืองมากขึ้นเป็นลำดับ เพราะรัฐบาลนอกจากไม่ส่งเสริมการลงทุนภายในประเทศแล้ว กลับบั่นทอนกำลังการบริโภคของประชาชนไปเสียอีกด้วย



ในขณะที่รัฐบาลชุดนี้เข้ามาบริหารประเทศ เราก็มักจะได้ยินข่าวการทุจริตมากขึ้นเป็นลำดับ บรรดาข่าวการทุจริตซึ่งส่วนใหญ่มาจากนโยบายจัดซื้อจัดจ้างการรับเหมาก่อสร้างมากมาย ซึ่งมีรูปแบบคลาสสิคโบราณ และน่าจะเป็นสิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์ไม่สามารถพัฒนาก้าวข้ามไปได้เลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องฉาวโฉ่เกี่ยวกับ โครงการนมโรงเรียน โครงการรถเมล์ โครงการต้นกล้าอาชีพของรัฐบาล ไปจนถึงโครงการรถเมล์BRT อภิมหาโครงการโมโนเรล โครงการซุปเปอร์สกายวอล์กของกรุงเทพมหานคร และอื่น ๆ อีกมากมาย ในขณะที่กฎเหล็ก 9 ข้อที่นายกอภิสิทธิ์ประกาศไว้เมื่อครั้งรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีกลับไม่เคยถูกกล่าวถึงอีกเลย


4. ไม่สร้างความปรองดองกลับสร้างความแตกแยก ก็ต้องยอมรับว่าในขณะที่รัฐบาลประชาธิปัตย์เข้ามาบริหารประเทศนั้น สังคมไทยอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งอย่างหนัก รัฐบาลประชาธิปัตย์เข้ามาพร้อมกับการต่อต้านของขั้วตรงข้ามในนามกลุ่มคนเสื้อแดง ซึ่งเริ่มก่อรูปมาตั้งแต่หลังเหตุการณ์รัฐประหารรัฐบาลทักษิณ การเคลื่อนไหวของกลุ่มเสื้อแดงนั้นต้องการล้มล้างรัฐบาลประชาธิปัตย์และคืนอำนาจแก่อีกขั้วการเมืองเป็นหลัก


ดังนั้นรัฐบาลชุดนี้จึงต้องเผชิญกับการชุมนุมต่อต้านหลายครั้ง และบ่อยครั้งก็ได้พัฒนาไปถึงการจลาจล ซึ่งครั้งที่รุนแรงมากที่สุดก็คือการเผาเมืองพฤษภาคม2553 ถึงแม้ว่าแก่นแกนของการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงอยู่ที่พ.ต.ท. ทักษิณ โดยมีแนวร่วมหลายส่วนที่เกี่ยวกับขบวนการเรียกร้องความเป็นประชาธิปไตย ความเท่าเทียมทางสังคม ฯลฯ



ดังนั้นขบวนการคนเสื้อแดงจึงกลายเป็นขบวนการที่ใหญ่และใหญ่มากยิ่งขึ้น ในขณะที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ก็เกิดอาการฝ่อ และเลือกที่จะสร้างความปรองดองกับขบวนการเสื้อแดงโดยการย่ำยีหลักการของกฎหมาย ตั้งแต่การที่รัฐบาลไปเป็นแกนเคลื่อนไหวในการประกันตัวบรรดาแกนนำ ตลอดจนการละเว้นการติดตามทางคดีของผู้ก่อการเผาสถานที่ราชการ เอกชน ทำลายและปล้นทรัพย์สินในช่วงเหตุการณ์จลาจล การย่ำยีกฎหมายคือการสร้างความแตกแยกอันบาดลึก แต่เป็นที่สงสัยกันอยู่ว่าทั้งนี้เป็นไปก็เพื่อจะลอยตัว รักษาอำนาจ และสามารถเป็นรัฐบาลต่อไปได้เรื่อย ๆ หรือเปล่า



5. สิ่งที่เกิดขึ้นกับเหตุการณ์เขาพระวิหารแสดงให้เห็นถึงธาตุแท้ของพรรคประชาธิปัตย์ได้อย่างชัดเจน เพราะสิ่งที่นายกอภิสิทธิ์ได้เคยอภิปรายโจมตีในการยื่นยัตติไม่ไว้วางใจนายนพดล ปัทมะอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศในรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวชเกี่ยวกับบูรณภาพเหนือดินแดนรอบตัวปราสาทเขาพระวิหาร กลับกลายเป็นสิ่งที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ดำเนินการเหมือนกับรัฐบาลพรรคพลังประชาชนและตรงกันข้ามกับสิ่งที่ตัวเองพูดไว้ในสภาอย่างสิ้นเชิง


หมายความว่าพรรคประชาธิปัตย์สามารถที่จะพูดอะไรก็ได้เพื่อให้เกิดโอกาสในการที่ตัวเองจะสามารถพลิกผันขึ้นมาถือครองอำนาจรัฐอย่างนั้นหรือ และผลของการบริหารประเทศเกี่ยวกับเรื่องนี้ยังได้ทำให้ประเทศไทยดูเหมือนไร้เกียรติไร้ศักดิ์ศรี ตกเป็นเบี้ยล่างของบรรดาประเทศเพื่อนบ้าน จนในที่สุดประเทศไทยก็จะต้องสูญเสียอธิปไตยเหนือดินแดนไปด้วยเหตุผลของความโง่เขลาหรือการมีผลประโยชน์ต่างตอบแทนก็สุดแล้วแต่ที่จะคาดเดาได้ ซึ่งความเป็นจริงแล้วถ้าศึกษากันดี ๆ ก็จะเห็นได้ว่าพรรคประชาธิปัตย์ดำเนินการเยี่ยงนี้ทำให้ประเทศชาติและสังคมไทยสูญเสียมาหลายครั้ง



ล่าสุดก็ครั้งที่ประเทศมีวิกฤติเศรษฐกิจ รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์กับกรณี ป.ร.ส. ขายหนี้ของบรรดาไฟแนนซ์ที่รัฐบาลสั่งปิดลงไปให้กับบรรดากองทุนต่างชาติ จนทำให้ต่างชาติสามารถกอบโกยผลกำไรอันมหาศาลไปจากสังคมไทย ทิ้งไว้กับกองศพของคนล้มละลายเป็นจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนชั้นกลาง ผู้ประกอบการขนาดเล็กและขนาดย่อม ผลจากการบริหารเศรษฐกิจของรัฐบาลครั้งนั้น ทำให้ธนาคารเกือบทุกธนาคารในประเทศไทยต้องตกเป็นของต่างชาติในที่สุด หรือที่คนทั่ว ๆ ไปเค้าเรียกว่าเสียเอกราชทางการเงินนั่นเอง


ด้วยเหตุผลเบื้องต้นเพียง 5 ประการนี้ ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยมีอุดมการณ์อะไรเพื่อประโยชน์ของประชาชนและสังคมไทย พรรคจึงเป็นเพียงมายาภาพหลอกลวงคนที่สิ้นหวังกับการเมืองไทยในชั่วขณะหนึ่ง ๆ เท่านั้น


ทุกวันนี้เราจะได้เห็นทั้งนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีแข่งกันขึ้นป้ายประชาสัมพันธ์ผลงานกันอย่างบ้าคลั่ง สมกับเป็นการเชิดปี่กลองสู้ศึกในเทศกาลเลือกตั้ง แต่กลับไม่เห็นรู้สึกถึงผลงานที่ออกมาอย่างกับในป้ายโฆษณาแต่อย่างใด ป้ายโฆษณาเหล่านี้กลับเป็นสิ่งที่ตอกย้ำให้ผู้คนซึ่งได้รับความลำบากทั้งชาวไร่ชาวนาที่ถูกกดราคาสินค้าเกษตร ทั้งคนชั้นกลางที่ถูกขูดรีดภาษีอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทั้งกับผู้บริโภคทั่วไปที่ถูกตีหัวจากราคาสินค้าที่ปรับขึ้นอย่างไม่เป็นธรรม ได้รู้สึกเจ็บแค้นอย่างเหนือคำบรรยาย ผมเป็นคนไทยคนหนึ่งซึ่งหมดศรัทธาต่อพรรคประชาธิปัตย์ และประสงค์ที่จะลาออกจากสมาชิกพรรคนับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

จึงเรียนมาเพื่อทราบ
พรรษิษฐ์ ต่อสุวรรณ

อ้างอิง : http://www.matichon.co.th/
วันที่ 29 มีนาคม 2554

วันพฤหัสบดีที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2556

แพ้ เพราะ พลาด หรือ ล้มเหลว

 
หลังจากพรรคเพื่อไทยที่เป็นรัฐบาลแพ้การเลือกตั้งซ่อมที่ดอนเมือง
(ข้อมูลจากข่าวสด >> ชี้ปัจจัยแพ้-ชนะซ่อมดอนเมือง )  ปฏิเสธไม่ได้ว่าเรื่องนี้ส่งผลกระทบต่อพรรคเพื่อไทยอย่างมา และยังสะเทือนความรู้สึกของมวลชนคนเสื้อแดงที่เป็นฐานเสียงส่วนมากของพรรคเพื่อไทย ไม่เพียงแค่คนเสื้อแดงในเขตดอนเมืองเองและคนเสื้อแดงที่อยู่ตามจังหวัดอื่นๆทั่วประเทศ อีกทั้งกระแสการโจมตีรัฐบาลกำลังเกิดขึ้นอย่างรอบด้าน ทั้งเรื่องการลดราคาจำนำข้าวจากเดิม เกวียนละ 15000 บาท ลงมาเหลือ 12000 บาท ตามข้อมูลที่ฝ่ายค้านกระหนำอย่างมันส์ปาก ผสมกับขบวนการโค่นล้มรัฐบาลที่ออกมาเรียกแขกอย่างต่อเนื่องด้วยการเปลี่ยนชุดเปลื่อนชื่อม็อบเป็นกิจกรรมยามว่าง นั่นบ่งบอกว่าฝ่ายอำนาจนอกระบบเริ่มปฏิบัติได้ผล
 
   
 
 
หลายมุมมองจากสาเหตุการแพ้เรื่องตั้งซ่อมที่ดอนเมือง
 
ทั้งนักวิชาการ และวิชาเกิน ก็พูดกันไปสารพัดตามที่ได้รู้ได้เห็น หรือบางพวกก็กำลังได้ทีขี่แพะไล่ แต่ปัญหาส่วนหนึ่งคือคนเสื้อแดงที่มีความคิดแตกกลุ่มออกไป ไม่เว้นแม้แต่ นปช.ส่วนกลาง แกนนำที่เคยร่วมรบก็ยังต่อกันไม่ค่อยติด ถ้าไม่ติด พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร สักคนที่เป็นความหวัง ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น   รู้ทั้งรู้ว่าฝ่ายตรงข้ามเขาจะทำลายฐานเสียงทั้งในสภาและนอกสภาทุกวิถีทาง เพราะเวลาปราศรัยผ่านเวที นปช. หรือ แถลงข่าว ก็พูดอยู่ตลอดว่ามีขบวนการจ้องโค่นล้มรัฐบาล ช่วงเวลาที่ คุณเก่ง การุณ ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง ทำให้ ส.ส.เขตดอนเมืองว่างลงแต่กลับมีแต่ข่าว กลุ่มนั้นขั้วนี้แย่งกันจะส่งผู้สมัครลงเลือกตั้งแทน มัวแต่ถกเถียงกัน จนทำให้ลืมว่าหน้าที่การลงพื้นที่ไปให้กำลังใจพี่น้องประชาชนนั้น แม้ ส.ส.ในพื้นที่ไม่มี แต่หน้าที่ของรัฐบาล ก็ต้องทำต่อเนื่อง มีชาวบ้านเขาพูดว่า บางเขตที่ไม่ได้อย่างไปโทษอะไร แต่การลงพื้นเข้าถึงชุมชนของนักการเมืองเพื่อไทยยังน้อยเกินไป ชาวบ้านเขาว่านักการเมืองบางคนอิงแต่กระแสเสื้อแดงมากเกิน จะลงพื้นที่แต่ละทีก็ต้องรอ คนในตระกูลชินวัตรหรือคนใกล้ชิด มาเดินเคียงข้าง แม้แต่คนเสื้อแดงบางคนยังพูดเลยว่า ถ้าไม่เห็นแก่ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร  จะไม่ลงคะแนนให้เลย ....... 
 
และในขณะที่คนเสื้อแดงเปิดแนวรบด้านการข่าวให้ มีหลายกลุ่ม  ทั้งที่เป็นสื่อวิทยุชุมชน และในโลกออนไลน์ ก็ไม่รู้ว่าขั้วไหนคนไหนในรัฐบาลที่รู้จักสนิท คนหมู่มากมันย่อมมีปํญหาเรื่องยุทธวิธีแนวคิด จนมีข่าวความขัดแย้งกันเอง ถึงขั้นแยกตัวเป็นกลุ่มอิสระ แต่คนในรัฐบาล หรือ แกนนำหลัก ก็ไม่หาทางแก้ไขไปพูดประสานรอยร้าวให้หมดไป อีกทั้งบางกลุ่มที่เป็นสถานีวิทยุในขั้วของนักการเมือง ที่อ้างแต่ว่าใกล้ชิดสนิทคนไกล นักจัดรายการที่เคยเป็นนักสู้แบบลืมตายก็ออกมาจัดรายการแบบถูกกำหนดพูดเชียร์ๆๆ รัฐบาลแบบไม่ลืมหูลืมตา ไม่ท้วงติงนำเสนอปัญหาในสิ่งที่ประชาชนกังขาเอาแต่แก้ต่างไปวันๆ.......

 
 จับประเด็นที่เป็นเรื่องที่คนสงสัยและพูดกันมากที่สุดก็คงหนีไม่พ้นการออกมาเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงในนาม กวป. ที่รวมตัวกันออกมาเคลื่อนไหว ขับไล่ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ แต่ไม่มีการแสดงท่าทีใดของ นปช.ส่วนกลาง แม้แต่คนในพรรคเพื่อไทย ก็อ้ำอึ้ง   ล่า เวที ภปช. ก็ยังไม่มีระดับหัวใหญ่ๆ มีแต่หัวเล็กๆ จะโผล่แสดงน้ำใจสักนิดก็ไม่มี ตาขาวเกินเหตุ  มวลชนก็ใจจดใจจ่อรอไปเถอะว่าจะมีใครแวะมาดูแลบ้าง มันง่ายจะตายไป เมื่อคุณเป็น ส.ส.เพื่อไทยที่เป็นรัฐบาลที่ได้รับการเลือกมาโดยประชาชน คุณกลัวอะไรนักหนา กับข้ออ้างที่ว่า อยากมาอยากช่วย แต่ขยับไม่ได้ โดนเขาตรวจสอบและจ้องเล่นงาน มันฟังดูแล้วตลกมากๆ  ก่อนเป็นหาเสียงเดินสายยกมือไหว้ ก้มแทบกราบเท้า พอได้เป็นแล้ว หลังแข็งก้มไม่ลงซะงั้น  จะกลัวทำไม่เมื่อคนมีหน้าที่เป็นผู้แทนปวงชนชาวไทย เมื่อเขามีเรื่องออกมาเรียกร้อง หน้าที่ ส.ส.ของรัฐบาล คุณต้องออกมารับรู้รับฟังตามหน้าที่ ใครมันจะตรวจสอบก็ช่างมันสิครับ ผมไม่รู้ว่ามีข้อห้ามด้วยหรือ ที่ประชาชนออกมาก็เพื่อปกป้องพวกคุณ

และต้องทบทวนว่าสภาพที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ แพ้ เพราะ พลาด หรือ ล้มเหลว เพราะอะไร


...................................................................................................

ชักแม่น้ำทั้งห้ามาเยอะแล้วก็เลยหาวิธีสรุปอีกแบบครับ
“....ประเด็นสุดท้ายที่ผมอยากจะฝากไว้ที่นี่ ช่วยไปเติมหน่อย เติมประเด็นสุดท้ายไปว่า ที่ต้องถอดถอนตุลาการศาลรัฐธรรมนูญบางคนหรือหลายคนนี้ เป็นเพราะว่าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเหล่านี้ ไม่มีสำนึกในการรักษาความยุติธรรม อย่าไปใช้คำหยาบด่าเขา ใช้คำสุภาพพูดกับเขา บอกว่าศาลรัฐธรรมนูญนี้ ไม่เข้าใจเรื่องประชาธิปไตย ไม่มีสำนึกประชาธิปไตย เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เพราะมีที่มาจากพวกเผด็จการยึดอำนาจอยู่แล้ว แต่พวกนี้เคยเป็นศาลเป็นฝ่ายตุลาการมา อย่างน้อยควรจะมีสำนึกในการรักษาความยุติธรรม นอกจากไม่รักษาความยุติธรรมแล้ว ยังทำลายความยุติธรรมด้วยมือของตนเองอีกด้วย” จาตุรนต์ ฉายแสง 27 เมษายน 2556 จังหวัดอุดรธานี

 
 

***อนิจา วาสนา ไพร่***

จะผ่านมากี่ครั้งก็ยังไม่พ้นสักที
 
เรียกร้องเถอะ   ร่ำหา กันให้ตาย
เคยบ้างไหม   เคยได้ สิ่งที่หวัง
กราบแทบเท้า   ติดดิน ร้องเสียงดัง
มีสักครั้ง   บ้างไหม ใครเมตตา
 
สิ่งที่ขอ   รอมา กี่ชาติแล้ว
ไร้วี่แวว   สิทธิ ที่ใฝ่หา
เป็นแค่ไพร่   เขาชี้ เป็นอีกา
อย่าได้มา  ร่วมหงส์ ดงผู้ดี
 
ร้องขอมา   กี่ปี กี่ชาติแล้ว
ก็ไม่แคล้ว   โดนด่า ฆ่าทุบตี
จากปู่ย่า    มาถึง ทุกวันนี้
ถูกย่ำยี    ไล่บี้ ให้จำนน
 
ตายแล้วสิบ    เกิดใหม่ ได้เป็นแสน
แต่ขาแขน    ถูกตรึง ด้วยเล่ห์กล
แล้วเมื่อไหร่   สิ่งนี้ จะหลุดพ้น
รับกฏโจร  กฏหมาย ไร้ปราณี
 
อนิจา    วาสนา ชะตาไพร่
ถูกใส่ร้าย   กล่าวหา ว่าบัดสี
ทั้งหมอบกราบ   ก้มไหว้ อย่างภักดี
แพ้วจี   คนโฉด โป้ปดลวง
 
คงถึงครา    แล้วหนา บรรดาไพร่
แม้ร่ำไห้   ร้องขอ ก็ช้ำทรวง
เขาไม่แล   พวกเรา ไพร่ทั้งปวง
ต้องวัดดวง  ทวงค่า ความเป็นคน


โดย ยรรยง ลูกชาวดิน
7 / มีนาคม / 2553
........

วันพฤหัสบดีที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ยังจำกันได้ไหม คำว่าคนเสื้อแดงเราไม่ทอดทิ้งกัน


ผ่านวันเดือนปี ที่การต่อสู้ของคนเสื้อแดงยังดำเนินต่อเนื่องเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย เรียกร้องความเป็นธรรม  จนกระทั่งถึงวันนี้ ได้กำเนิด  กวป. กลุ่มสื่อวิทยุประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ขึ้นมาและลุกออกมารวมตัวขับไล่ ตลก. ที่หน้าศาลรัฐธรรมนูญ เหตุและผลต่างๆ ชัดเจนคนเสื้อแดงทุกระดับรู้ดีว่าเพราะอะไร 13 มิ.ย.56 นี้ นัดชุมนุมใหญ่ที่หน้ารัฐสภา  เพื่อกดดันให้รัฐสภาไม่ต้องฟังคำตัดสินใดๆทั้งสิ้นจากศาลรัฐธรรมนูญ พร้อมเรียกร้อง พรรคเพื่อไทย ให้ทำงานอย่างโปร่งใสและอย่าทำงานแบบรอส้มหล่น พร้อมยืนยันแก้ไข รัฐธรรมนูญ มาตราคุ้มครองโจร 309

กวป. กลุ่มสื่อวิทยุประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ต่อสู้และมีจุดยืนข้างประชาชนอย่างชัดเจน และต้องการทำลายกลุ่มโจรและเหลือบประชาธิปไตยให้หมดไป เป็นกลุ่มประชาชนที่มีอุดมการณ์ประชาธิไตย  มิใช่นักการเมือง และกล้าต่อกร   ตลก.ศาลรัฐธรรมนุญ ซึ่งเป็นจุดที่สำคัญที่สุดและเป็นหัวใจของโจร


หากย้อนไป วันวานที่เวที นปช. ก่อนจะถึงวันถูกสลาย 19 พ.ค.53  ตอนที่ม็อบสีเหลืองกำแหงอาละวาดหนัก หนักขนาดที่ที่ว่า บุกยึดทำเนียบไว้ ตั้ง สน. กันเองที่สะพานมัฆวานรังสรรค์. คนที่ใส่เสื้อแดง ที่ผ่านไปมาหรือรถเมล์ตามป้ายรอบบริเวณนั้น ได้รับสิทธิพิเศษโดนจับคุมตัวไปสอบสวน พร้อมทั้งยัดข้อหาให้แล้วสุดท้ายก็มีการทำร้ายร่างกาย ให้คนมารุมประนามด่า สารพัด นี่สิ่งเคยเกิดขึ้นในประเทศนี้

แกนนำ นปช.หลายคน พูดและย้ำเสมอว่าเพื่อบ้านเมืองเพื่อประชาธิปไตย ต่อต้านอำนาจทุกอำนาจที่มาจากเผด็จการ การรวมพลแรก มีคนไม่ถึง500 ที่สนามหลวง และสื่อไม่กี่สถานีของวิทยุชุมชน  ที่เปิดตัวเปิดหน้าท้าอำนาจนอกระบบ กว่าจะรวมคนชวนใครอธิบายให้ประชาชนเข้าใจ จนมีคนออกมาใส่เสื้อแดงได้เป็นล้านๆ  ผ่านความเจ็บปวด เสียเลือดเนื้อ เสียชีวิต ในการชุมนุมมาและ ณรงค์ศักดิ์ กรอบไธสง วีระบุรุษประชาธิปไตย ศพแรกที่สังเวยการชุมนุมการต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตย
 ต่อจาก ลุงนวมทอง  ไพรวัลย์ ที่เสียชีวิตด้วยการแสดงเจตนาและอุดมการณ์ต่อต้านการทำรัฐประหาร

 
 .................................................................................................................................................................

ในคืนวันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2549 ได้ผูกคอตาย กับราวสะพานลอย บริเวณถนนวิภาวดีรังสิต ฝั่งขาออก เยื้องกับที่ตั้งสำนักงานหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ (บริษัท วัชรพล จำกัด) โดยในจดหมายลาตายระบุ เพื่อลบคำสบประมาทของ พ.อ.อัคร ทิพโรจน์ รองโฆษก คปค. ที่ว่า '"ไม่มีใครมีอุดมการณ์มากขนาดยอมพลีชีพได้" '  อ่านเพิ่มเติม>>>สัมภาษณ์ 25 วันก่อน 'ลุงนวมทอง ไพรวัลย์
ดึกคืนวันที่ 1 ต่อเนื่องวันที่ 2 กันยายน2551 นชป.ที่จัดชุมนุมย่อยสนามหลวงได้เคลื่อนขบวนมุ่งหน้าไปทำเนียบรัฐบาลเพื่อ เรียกร้องให้พันธมิตรยุติการยึดทำเนียบรัฐบาลที่ยึดเอาไว้ตั้งแต่วันที่ 26 สิงหาคม 2551
เสื้อแดงยกพลจากสนามหลวงมาจะประท้วงให้พันธมิตรเลิกยึดทำเนียบฯ โดนกองกำลังพันธมิตรดักทำร้ายบาดเจ็บหลายราย ภาพล่างสุดคือณรงค์ศักดิ์ ที่ตายจากเหตุการณ์นี้   อ่านเพิ่มเติม>>>วีรชนประชาธิปไตย ณรงค์ศักดิ์ กรอบไธสง

...................................................................................................................................................
ผ่านเหตุการณ์สลายการชุมนุมปี2552ก็ยังแสดงจุดยืนแน่นเหนียวและมวลชนคนเสื้อแดงผู้รักประชาธิปไตย และออกมารวมตัวมากขึ้น จนถึงปี 2553 ก็ถูกสลายการชุมนุมอย่างหนักจนมีคนเจ็บคนตายมากมาย แต่ก็ยังมีการออกมาชุมนุมอย่างต่อเนื่องซึ่งมีคำ ที่จะได้ยินบ่อยทุกครั้งที่มีการชุมนุม ว่า นเสื้อแดงเราจะไม่ทอดทิ้งกัน    ผ่านพ้นจนมีการเลือกตั้งผ่านไปจนพรรคเพื่อไทย ภายใต้การสนับสนุนของคนเสื้อแดง ชนะการเลือกตั้ง มีทั้งแกนนำ จากหลายกลุ่ม  เข้าไปเป็นส.ส. และมีตำแหน่งหน้าที่ทางการเมืองกันหลายคน  มาถึงวันนี้ กวป. กลุ่มสื่อวิทยุประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ขึ้นมาและลุกออกต่อสู้เรียกร้องความเป็นธรรม ขับไล่ตลก.ศาลรัฐธรรมนูญ ที่เป็นเชื่อชั่วจากการรัฐประหารของ คมช. และคอยทำลายฝ่ายประชาธิปไตย คนเสื้อแดงและพรรคเพื่อไทยมาโดยตลอด 
 
แต่การออกมาต่อสู้ครั้งนี้ของ กวป. กลุ่มสื่อวิทยุประชาชนเพื่อประชาธิปไตย สิ่งที่เห็นคือ มีเพียงภาคประชาชน แกนนำที่เป็นนักจัดรายการวิทยุ เท่านั้น ที่ต่อสู้อย่างทรหด ทั้งเนื้อหาสาระที่ตรงประเด็นอย่างมีเหตุมีผล
 
แสดงจุดยืนสนับสนุนการกระทำของ ส.ส. และ ส.ว.จำนวน 312 คน ในการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรา ซึ่งเห็นว่าเป็นการใช้อำนาจโดยชอบแล้ว จึงขอชื่นชม สนับสนุน และขอให้สมาชิกรัฐสภามีความมั่นคงในจุดยืน และขอวิงวอนสมาชิกรัฐสภาคนอื่นที่ยังไม่ได้ร่วมลงชื่อ ได้ลงชื่อสนับสนุนด้วย เพื่อให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญสำเร็จไปได้ 
 
แสดงเจตจำนงผู้ริเริ่มรวบรวมรายชื่อประชาชนที่มีสิทธิเลือกตั้ง ให้ได้ไม่น้อยกว่า 20,000 รายชื่อ เพื่อถอดถอนตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทั้ง 5 คน ได้แก่ นายจรัญ ภักดีธนากุล นายสุพจน์ ไข่มุกด์ นายจรูญ อินทจาร นายนุรักษ์ มาประณีต นายเฉลิมพล เอกอุรุ  ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 271 ฐานปฏิบัติหน้าที่มิชอบตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และการขาดจริยธรรม ซึ่งขณะนี้มีผู้ร่วมเข้าชื่อแล้วกว่า 50,000 คน ซึ่งภาย15 วัน จะคัดกรองและนำมายื่นต่อประธานวุฒิสภาเพื่อเข้าขบวนการถอดถอนต่อไป ส่วนประเด็นการใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อผิดจริยธรรมอย่างร้ายแรง โดยการแทรกแซงอำนาจฝ่ายนิติบัญญัติของสภา ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 ของตุลาการทั้ง 5 คนนั้น ทางกลุ่มกวป. มีความเห็นว่า จะได้ยกระดับการเคลื่อนไหวชุมนุมเพื่อกดดันตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทั้ง 9 คน เพื่อเป็นกดดันกันเองทางอ้อมให้มีการลาออกของ 5 ตุลาการ
 
สนับสนุนให้ยกเลิก มาตรา 309 ที่เป็นจุดสำคัญที่สุดที่ปกป้องฝ่ายอำมาตย์เอาไว้ และตอนนี้ได้มีการส่งสัญญาณจากเวที กวป. กลุ่มสื่อวิทยุประชาชนเพื่อประชาธิปไตยให้ยกเลิกมาตรานี้ >>> "มาตรา 37 บรรดาการกระทำทั้งหลาย
 

วันที่ 13 มิถุนายน2556 นี้ คงได้พิสูทธิ์อะไรบางอย่าง กับคำว่าเราจะไม่ทอดทิ้งกัน (หรือคำนี้มันเลือนลางไปเพราะสิ่งใด  หรือจะรอให้อีกฝ่ายมีการนำรถถังขนอาวุธออกมาก่อนแล้วค่อย พากันวิ่งเข้าหากองไฟอีก  ทั้งที่ตอนนี้เป็นเวลาที่ดีที่เหมาะ )

 
 Yanyong Lookshawdin
11 มิ.ย.56

วันพุธที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2556

คดี 2 ศพใต้ด่วนพระราม 4 พ.ค.53 ร่วมกตัญญูเบิกทีมถูกยิงหลังทหารถาม “มึงด้วยใช่ไหม



เบิก 2 พยาน ไต่สวนการตาย  2 ศพใต้ทางด่วนพระราม 4 เหยื่อกระสุน 16 พ.ค.53 ร่วมกตัญญู เบิก จนท.ประจำรถถูกยิงหลังทหารตะโดนถาม “มึงด้วยใช่ไหม” เพื่อนผู้ตายยันไม่พบชายชุดดำหรือบุคคลถืออาวุธปืนในที่เกิดเหตุ
10 มิ.ย.56 ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ฯ ศาลนัดไต่สวนคำร้องชันสูตรศพ คดีที่พนักงานอัยการ สำนักอัยการพิเศษ ฝ่ายคดีอาญาใต้ ยื่นคำร้องขอให้ศาลไต่สวนชันสูตรสาเหตุการเสียชีวิตของนายเกียรติคุณ ฉัตร์วีระสกุล อายุ 25 ปี อาชีพขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้าง ผู้ตายที่ 1  และนายประจวบ ประจวบสุข ผู้ชุมนุมกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จ การแห่งชาติ (นปช.) ผู้ตายที่ 2 ถูกยิงเสียชีวิตบริเวณใต้ทางด่วน  ถ.พระราม 4 เมื่อวันที่ 16 พ.ค.53 ช่วงกระชับพื้นที่การชุมนุมของ นปช. โดย ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน(ศอฉ.) ในรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

>>> อ่านต่อข่าวและชมภาพคลิปที่นี่

“ทนายสุวัตร”ไม่เชื่อฆ่า“เอกยุทธ”แค่ชิงทรัพย์-เตรียมเปิดชื่อคนบงการ"..//


“ทนายสุวัตร”ไม่เชื่อฆ่า“เอกยุทธ”แค่ชิงทรัพย์-เตรียมเปิดชื่อคนบงการ"..//**“ทนายสุวัตร”ไม่เชื่อคนขับรถสังหาร“เอกยุทธ”แค่ชิงทรัพย์ ชี้มีคนบงการ และวางแผนเป็นทีมงาน “สันติภาพ”เกลือเป็นหนอน รับเงิน 2 ทาง เหตุติดหนี้พนัน จับพิรุธตอนแรกบอกยิง ก่อนกลับลำบอกบีบคอจนตาย เผยกำลังทำงานสำคัญ เตรียมเปิดชื่อคนบงการไม่เกินพรุ่งนี้เช้า
       
        วันนี้(11 มิ.ย.)นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ในฐานะทนายความของนายเอกยุทธ อัญชันบุตร ให้สัมภาษณ์รายการ News Hour ทางเอเอสทีวี กรณีการอุ้มฆ่านายเอกยุทธว่า ในฐานะที่ตนเป็นนายทนายความของนายเอกยุทธ จึงขอส่งคนเข้าร่วมสอบปากคำนายสันติภาพ เพ็งด้วง คนขับรถของนายเอกยุทธด้วย แต่ตนยังไม่เชื่อว่าจะเป็นไปตามที่นายสันติภาพให้การสารภาพว่าเป็นคนลงมือฆ่าเพื่อชิงทรัพย์ จนกว่าจะได้เห็นศพ ซึ่งขณะนี้ตนและทีมงานกำลังทำเรื่องสำคัญบางอย่างอยู่ แต่แนวโน้มเป็นที่ชัดเจนว่านายเอกยุทธคงถูกฆ่าแน่นอน โดยนายสันติภาพเกลือเป็นหนอนให้กับทีมอุ้มฆ่า โดยเอากุญแจให้ เพื่อแลกกับเงิน เนื่องจากนายสันติภาพติดการพนันงอมแงม และถูกนายเอกยุทธจับได้ว่ายักยอกเงิน 1 ล้านกว่าบาท
       
        นายสุวัตรกล่าวต่อว่า ในวันที่นายเอกยุทธถูกอุ้มไปฆ่านั้นเป็นจังหวะที่นายเอกยุทธไปกับนายสันติภาพ 2 คน ที่ร้านกระแต และมีความผิดปกติที่นายสันติภาพขับรถออกไปจากร้านอาหาร ไปวนอยู่ข้างนอก ตนก็ถามว่าทำไมต้องเอารถออกไป นายสันติภาพก็อ้างว่าไม่ชอบอาหารร้านนี้ จึงขับรถออกไปหารับประทานข้างนอก ซึ่งก็เป็นเพียงข้ออ้าง เพราะตลาดสะพานควายก็อยู่ไม่ไกลจากร้านกระแต มีของกินมากมาย สามารถเดินไปหาอะไรกินได้
       
        นายสุวัตรกล่าวว่า คงไม่เหลือบ่ากว่าแรงที่จะชี้ชัดว่าทีมฆ่าเป็นใคร ใครเป็นผู้บงการ ซึ่งประมาณ 4 ทุ่มคืนนี้ หรือพรุ่งนี้เช้าจะมีความชัดเจน ต้องระบุให้ได้ว่า ใครเป็นผู้ว่าจ้าง ใครวางแผนร่วมกันบ้าง แต่ขณะนี้เชื่อว่านายสันติภาพรับเงิน 2 ทาง โดยรับเงินจากผู้บงการด้วย เมื่อชัดเจนแล้วจะบอกว่าทีมฆ่าเป็นใคร เป็นคนใหญ่คนโตที่อยากให้นายเอกยุทธตาย แต่ตนยังพูดขณะนี้ไม่ได้
       เพราะจะทำให้งานสำคัญเสียหาย
       
        นายสุวัตรกล่าวอีกว่า ตนรู้จักนายสันติภาพพอสมควร และรู้ว่าไม่ใช่คนฉลาด จึงไม่สามารถวางแผนทำคนเดียวได้แน่นอน และตอนให้ปากคำก็มีพิรุธ ตอนแรกบอกว่ายิง ทีหลังบอกว่าบีบคอ เป็นการโกหกดิ้นไปดิ้นมา ซึ่งถ้ายิงก็ต้องพยานหลักฐาน มีเขม่าดินปืน ส่วนการค้นหาศพนายเอกยุทธน่าจะพบภายในคืนนี้
       
        นายสุวัตรระบุว่า การวางแผนฆ่านายเอกยุทธครั้งนี้เป็นการกระจายงานออกไปทำหลายสาย อย่างไรก็ตาม ได้รับความร่วมมือจาก บชน.เป็นอย่างดี ตอนแรกก็มีความสงสัย แต่วันนี้เขาได้แสดงความจริงใจให้เราร่วมสอบคนขับรถด้วย เพราะฉะนั้นทีมที่ทำคงไม่ใช่ตำรวจทางสาย บชน. แต่เป็นสายอื่น ซึ่งต้องหาให้ได้ว่าใครทำ
       
        ส่วนที่ ตชด.พัทลุงนั้น เป็นแค่ปลายทางในการอำพรางศพ และพ่อของนายสันติภาพก็เป็นทหาร น่าจะมีส่วนร่วมวางแผนด้วย และเป็นทีมใหญ่ ทั้งนี้เชื่อว่า นายสันติภาพคงไม่ถูกฆ่าตัดตอน เพราะอยู่ในมือพนักงานสอบสวนแล้ว นอกจากว่าจะผูกคอตายในห้องขังเท่านั้น ซึ่งเจ้าหน้าที่ต้องคอยดูแลให้ดี
       
        นายสุวัตรกล่าวเพิ่มเติมว่า การสังหารนายเอกยุทธน่าจะเกี่ยวข้องกับการเมือง แต่รอให้ชัดเจนมากกว่านี้ก่อน

http://astv.mobi/A4p6nmx

 
 
ทนายสุวัตร”ไม่เชื่อคนขับรถสังหาร“เอกยุทธ”แค่ชิงทรัพย์ ชี้มีคนบงการ และวางแผนเป็นทีมงาน... “สันติภาพ”เกลือเป็นหนอน รับเงิน 2 ทาง เหตุติดหนี้พนัน จับพิรุธตอนแรกบอกยิง ก่อนกลับลำบอกบีบคอจนตาย เผยกำลังทำงานสำคัญ เตรียมเปิดชื่อคนบงการไม่เกินพรุ่งนี้เช้า

วันนี้(11 มิ.ย.)นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ในฐานะทนายความของนายเอกยุทธ อัญชันบุตร ให้สัมภาษณ์รายการ News Hour ทางเอเอสทีวี กรณีการอุ้มฆ่านายเอกยุทธว่า ในฐานะที่ตนเป็นนายทนายความของนายเอกยุทธ จึงขอส่งคนเข้าร่วมสอบปากคำนายสันติภาพ เพ็งด้วง คนขับรถของนายเอกยุทธด้วย แต่ตนยังไม่เชื่อว่าจะเป็นไปตามที่นายสันติภาพให้การสารภาพว่าเป็นคนลงมือฆ่าเพื่อชิงทรัพย์ จนกว่าจะได้เห็นศพ ซึ่งขณะนี้ตนและทีมงานกำลังทำเรื่องสำคัญบางอย่างอยู่ แต่แนวโน้มเป็นที่ชัดเจนว่านายเอกยุทธคงถูกฆ่าแน่นอน โดยนายสันติภาพเกลือเป็นหนอนให้กับทีมอุ้มฆ่า โดยเอากุญแจให้ เพื่อแลกกับเงิน เนื่องจากนายสันติภาพติดการพนันงอมแงม และถูกนายเอกยุทธจับได้ว่ายักยอกเงิน 1 ล้านกว่าบาท

นายสุวัตรกล่าวต่อว่า ในวันที่นายเอกยุทธถูกอุ้มไปฆ่านั้นเป็นจังหวะที่นายเอกยุทธไปกับนายสันติภาพ 2 คน ที่ร้านกระแต และมีความผิดปกติที่นายสันติภาพขับรถออกไปจากร้านอาหาร ไปวนอยู่ข้างนอก ตนก็ถามว่าทำไมต้องเอารถออกไป นายสันติภาพก็อ้างว่าไม่ชอบอาหารร้านนี้ จึงขับรถออกไปหารับประทานข้างนอก ซึ่งก็เป็นเพียงข้ออ้าง เพราะตลาดสะพานควายก็อยู่ไม่ไกลจากร้านกระแต มีของกินมากมาย สามารถเดินไปหาอะไรกินได้

นายสุวัตรกล่าวว่า คงไม่เหลือบ่ากว่าแรงที่จะชี้ชัดว่าทีมฆ่าเป็นใคร ใครเป็นผู้บงการ ซึ่งประมาณ 4 ทุ่มคืนนี้ หรือพรุ่งนี้เช้าจะมีความชัดเจน ต้องระบุให้ได้ว่า ใครเป็นผู้ว่าจ้าง ใครวางแผนร่วมกันบ้าง แต่ขณะนี้เชื่อว่านายสันติภาพรับเงิน 2 ทาง โดยรับเงินจากผู้บงการด้วย เมื่อชัดเจนแล้วจะบอกว่าทีมฆ่าเป็นใคร เป็นคนใหญ่คนโตที่อยากให้นายเอกยุทธตาย แต่ตนยังพูดขณะนี้ไม่ได้
เพราะจะทำให้งานสำคัญเสียหาย

นายสุวัตรกล่าวอีกว่า ตนรู้จักนายสันติภาพพอสมควร และรู้ว่าไม่ใช่คนฉลาด จึงไม่สามารถวางแผนทำคนเดียวได้แน่นอน และตอนให้ปากคำก็มีพิรุธ ตอนแรกบอกว่ายิง ทีหลังบอกว่าบีบคอ เป็นการโกหกดิ้นไปดิ้นมา ซึ่งถ้ายิงก็ต้องพยานหลักฐาน มีเขม่าดินปืน ส่วนการค้นหาศพนายเอกยุทธน่าจะพบภายในคืนนี้

นายสุวัตรระบุว่า การวางแผนฆ่านายเอกยุทธครั้งนี้เป็นการกระจายงานออกไปทำหลายสาย อย่างไรก็ตาม ได้รับความร่วมมือจาก บชน.เป็นอย่างดี ตอนแรกก็มีความสงสัย แต่วันนี้เขาได้แสดงความจริงใจให้เราร่วมสอบคนขับรถด้วย เพราะฉะนั้นทีมที่ทำคงไม่ใช่ตำรวจทางสาย บชน. แต่เป็นสายอื่น ซึ่งต้องหาให้ได้ว่าใครทำ

ส่วนที่ ตชด.พัทลุงนั้น เป็นแค่ปลายทางในการอำพรางศพ และพ่อของนายสันติภาพก็เป็นทหาร น่าจะมีส่วนร่วมวางแผนด้วย และเป็นทีมใหญ่ ทั้งนี้เชื่อว่า นายสันติภาพคงไม่ถูกฆ่าตัดตอน เพราะอยู่ในมือพนักงานสอบสวนแล้ว นอกจากว่าจะผูกคอตายในห้องขังเท่านั้น ซึ่งเจ้าหน้าที่ต้องคอยดูแลให้ด

นายสุวัตรกล่าวเพิ่มเติมว่า การสังหารนายเอกยุทธน่าจะเกี่ยวข้องกับการเมือง แต่รอให้ชัดเจนมากกว่านี้ก่อน

http://astv.mobi/A4p6nmx
 
 

วันอังคารที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2556

"เล็ก บ้านดอน" แถลงตั้ง"ภปช." เตรียมชุมนุม"อนุสาวรีย์ปราบกบฎ"14 มิ.ย. นี้

รูปภาพ : "เล็ก บ้านดอน" แถลงตั้ง"ภปช." เตรียมชุมนุม"อนุสาวรีย์ปราบกบฎ"14 มิ.ย. นี้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายพงษ์พิสิษฐ์ คงเสนา หรือ"เล็ก บ้านดอน"ในฐานะประธาน "ภาคีพลังประชาชน" (ภปช.) และนายธีร์ธวัช พจนายน เลขานุการ และโฆษกภาคีฯ พร้อมด้วยแกนนำอีก 10 กว่าคนร่วมกันแถลงข่าว

นายพงษ์พิสิษฐ์ กล่าวว่า ขอยืนยันอีกครั้งว่า ได้ลาออกจากการเป็นแกนนำกลุ่มกวป.แล้ว ขณะเดียวกันก็ได้รวมกลุุ่มกับมวลชนอีกหลายฝ่ายเห็นคิดเห็นเหมือนกันว่า ปัจจุบันระบอบประชาธิปไตยถูกคุกคามจากหลายฝ่ายที่แสดงตัวเป็นผู้ต่อต้านประชาธิปไตย จากพรรคการเมืองบางพรรคที่ร่วมกับภาคประชาชนจัดตั้งบางส่วนที่แสดงท่าทีรับใช้ฝ่ายอำมาตยาธิปไตย ภาคเอกชนบางกลุ่ม และองค์กรต่างๆตามรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 ขัดขวางถ่วงความเจริญของประเทศชาติอย่างต่อเนื่อง จึงได้เกิดการรวมตัวของกลุ่มประชาชนภายใต้ชื่อ "ภาคีพลังประชาชน" โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพิพักษ์รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนเสียงข้างมากตามระบอบประชาธิปไตย เพื่อเรียกร้องให้เกิดความเป็นธรรมแก่สังคมและประเทศชาติเป็นสำคัญ โดยกลุ่มภาคีพลังประชาชน จะมีกำหนดการเคลื่อนไหวครั้งใหม่ ภายใต้ชื่อ "ภาคีพลังประชาชน พิทักษ์รัฐบาล ต่อต้านกบฏ" ที่อนุเสาวรีย์ปราบกบฎ (วงเวียนบางเขน) ในวันที่ 14 มิ.ย. เวลา 17.00 น.เป็นต้นไป

ด้านนายธีร์ธวัช กล่าวว่า พื้นที่บริเวณ วงเวียนบางเขน เป็นพื้นที่ที่มีความสำคัญในการปราบกบฎ และยังใกล้กับวัดพระศรีมหาธาตุ ที่ซึ่งเก็บอัฐิของ นายปรีดี พนมยงค์ หนึ่งในแกนนำคณะราษฎร ซึ่งก็คาดการณ์การชุมนุม "ภาคีพลังประชาน พิทักษ์รัฐบาล ต่อต้านกบฏ" ในวันที่ 14 มิ.ย. นั้น น่าจะมีมวลชนมาเข้าร่วมหลักพันคน ซึ่งเราจะปักหลักชุมนุมกันไม่น้อยกว่า 3 วันอย่างแน่นอน แล้วหลังจากนั้นเราค่อยมาประเมินสถานการณ์กันวันต่อวันอีกครั้งหนึ่ง และสำหรับมวลชนที่คิดเห็นเหมือนกับภาคีเราก็สามารถติดตามความเคลื่อนไหวได้บนเฟสบุ๊กในชื่อ "ภาคีพลังประชาชน" ได้เช่นกัน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายพงษ์พิสิษฐ์ คงเสนา หรือ"เล็ก บ้านดอน"ในฐานะประธาน "ภาคีพลังประชาชน" (ภปช.) และนายธีร์ธวัช พจนายน เลขานุการ และโฆษกภาคีฯ พร้อมด้วยแกนนำอีก 10 กว่าคนร่วมกันแถลงข่าว

นายพงษ์พิสิษฐ์ กล่าวว่า ขอยืนยันอีกครั้งว่า ได้ลาออกจากการเป็นแกนนำกลุ่มกวป.แล้ว ขณะเดียวกันก็ได้รวมกลุุ่มกับมวลชนอีกหลายฝ่ายเห็นคิดเห็นเหมือนกันว่า ปัจจุบันระบอบประชาธิปไตยถูกคุกคามจากหลายฝ่ายที่แสดงตัวเป็นผู้ต่อต้านประชาธิปไตย จากพรรคการเมืองบางพรรคที่ร่วมกับภาคประชาชนจัดตั้งบางส่วนที่แสดงท่าทีรับใช้ฝ่ายอำมาตยาธิปไตย ภาคเอกชนบางกลุ่ม และองค์กรต่างๆตามรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 ขัดขวางถ่วงความเจริญของประเทศชาติอย่างต่อเนื่อง จึงได้เกิดการรวมตัวของกลุ่มประชาชนภายใต้ชื่อ "ภาคีพลังประชาชน" โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพิพักษ์รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนเสียงข้างมากตามระบอบประชาธิปไตย เพื่อเรียกร้องให้เกิดความเป็นธรรมแก่สังคมและประเทศชาติเป็นสำคัญ โดยกลุ่มภาคีพลังประชาชน จะมีกำหนดการเคลื่อนไหวครั้งใหม่ ภายใต้ชื่อ "ภาคีพลังประชาชน พิทักษ์รัฐบาล ต่อต้านกบฏ" ที่อนุเสาวรีย์ปราบกบฎ (วงเวียนบางเขน) ในวันที่ 14 มิ.ย. เวลา 17.00 น.เป็นต้นไป

ด้านนายธีร์ธวัช กล่าวว่า พื้นที่บริเวณ วงเวียนบางเขน เป็นพื้นที่ที่มีความสำคัญในการปราบ กบฎ และยังใกล้กับวัดพระศรีมหาธาตุ ที่ซึ่งเก็บอัฐิของ นายปรีดี พนมยงค์ หนึ่งในแกนนำคณะราษฎร ซึ่งก็คาดการณ์การชุมนุม "ภาคีพลังประชาน พิทักษ์รัฐบาล ต่อต้านกบฏ" ในวันที่ 14 มิ.ย. นั้น น่าจะมีมวลชนมาเข้าร่วมหลักพันคน ซึ่งเราจะปักหลักชุมนุมกันไม่น้อยกว่า 3 วันอย่างแน่นอน แล้วหลังจากนั้นเราค่อยมาประเมินสถานการณ์กันวันต่อวันอีกครั้งหนึ่ง และสำหรับมวลชนที่คิดเห็นเหมือนกับภาคีเราก็สามารถติดตามความเคลื่อนไหวได้บนเฟสบุ๊กในชื่อ "ภาคีพลังประชาชน" ได้เช่นกัน


สื่อมวลชน คนเสื้อแดง

 ที่มาข่าว สื่อมวลชน คนเสื้อแดง



 

มาช่วยกวป.เรียกร้องให้ยกเลิกมาตรา 309 กันดีกว่าไหม

 
 

โดย พ่อจูม่ง จาก

 
"มาตรา 309 บรรดาการใดๆ ที่ได้รับรองไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2549 ว่าเป็นการชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญ รวมทั้งการกระทำที่เกี่ยวเนื่องกับกรณีดังกล่าว ไม่ว่าก่อนหรือหลังวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ ให้ถือว่าการนั้นและการกระทำนั้นชอบด้วยรัฐธรรมนูญนี้"

รัฐ ธรรมนูญฉบับปัจจุบัน (ฉบับถาวรที่ 18) พ.ศ.2550 มาตรา 309 อ้างถึงรัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) ฉบับที่ 17 (พ.ศ.2549) ซึ่งมีบทนิรโทษกรรมอยู่ในมาตรา 37

"มาตรา 37 บรรดาการกระทำทั้งหลาย ซึ่งได้กระทำเนื่องในการยึดและควบคุมอำนาจการปกครองแผ่นดิน เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ของหัวหน้าและคณะ...(คปค.หรือ คมช.) ...ไม่ว่ากระทำในฐานะตัวการ ผู้สนับสนุน ผู้ใช้ให้กระทำ หรือผู้ถูกใช้ให้กระทำ และไม่ว่ากระทำในวันที่กล่าวนั้นหรือก่อนหรือหลังวันที่กล่าวนั้น หากการกระทำนั้นผิดต่อกฎหมายก็ให้ผู้กระทำพ้นจากความผิดและความรับผิดโดย สิ้นเชิง"

นี่คือการไฟเขียวไว้ก่อนว่าในอนาคตไปทำอะไรก็ไม่ผิด ถ้าพูดให้สุดขั้ว คือให้ไฟเขียวไว้ก่อนว่าคุณไปยิงใครตายก็ได้ ทำอะไรก็ไม่ผิดไง ทั้งก่อนและหลัง” ไม่รู้ว่าเขียนกฎหมายแบบ มาตรา 309 นี้ได้ไง ไม่ควรเป็นนักกฎหมายเลย


ได้ฟังหนุ่มโคราช พูดถึงมาตรา 309 บนเวทีกวป.แล้ว ทำให้รู้ว่ามันเป็นจุดสำคัญที่สุดที่ปกป้องฝ่ายอำมาตย์เอาไว้ และตอนนี้ได้มีการส่งสัญญานจากเวทีกวป.ให้ยกเลิกมาตรานี้ และจะเคลื่อนขบวนไปทวงถามพรรคเพื่อไทยและสภาต่อไป

จากเนื้อหาในมาตรา 309 จะเห็นว่ามันเป็นยันต์มหาอุด ครอบจักรวาล สำหรับฝ่ายต่อต้านประชาธิไตย
ถ้าพวกเราไม่ช่วยกันรณรงค์ ให้ยกเลิก ก็เท่ากับว่าส่งเสริมระบอบเผด็จการไปโดยปริยายนั่นเอง
ประเด็นการยกเลิกมาตรา 309 นี้ ถ้าพวกเราได้สังเกตดูการเคลื่อนไหวทั้งจากฝ่ายเพื่อไทย นปช. หรือฝ่ายเผด็จการ
ไม่ค่อยจะมีใครอยากเอามาขยายผลมากนัก ทั้งที่เป็นมาตราสูงสุดที่รับประกันว่าฝ่ายเผด็จการทำอะไรก็ไม่ผิด
ถ้าจะวิเคราะก็อาจมองได้ว่ามีการซูเอี๋ย ไม่ให้เพื่อไทยแตะต้อง แลกกับการไม่ถูกเตะตัดขาเขี่ยทิ้ง
แม้แต่นปช.ยุคป้าย่น โดย อ.ธิดา ยังถึงกับเป็นใบ้ หันเหไปเน้นจัด เต้น โคโยตี้ แทน บนเวทีนปช.
ยิ่งนานไป คนดูชักจะเบื่อ เริ่มจับทางได้ มันก็เลยคล้ายกับดูลิเก คณะ ป้าย่น นปช. ไปซะงั้น
อยากจะเรียกเพื่อไทยและนปช. ในขณะนี้ ว่าเป็น "พวกหลงผิด" คิดว่าส้มจะหล่นจากฟ้า ก็น่าจะได้
2 ปีที่ผ่านมา "พวกหลงผิด" จึงตั้งหน้ารอคอย และคลานหาส้มหล่น จนหัวเข่าด้านไปตามๆกัน
ลิเกเรื่อง ICC ที่จัดฉากซะจนซับซ้อน จบแบบคนดูนั่งตาเหลือก เสียค่าตั๋วดูแบบโง่ๆมาถึง 3 ปี
จนมีดในมือของ พระเอกอย่าง โรเบิร์ต อัมเตอร์ดัม เป็นสนิมจนเกือบหมดด้าม ก็ยังไม่ได้ฟันสักฉับ
มาตรา 309 นี่ก็เป็นอีกสาเหตุที่พวกเราควรจะต้องจับตามองด้วยอีกครั้งว่า เพื่อไทยจะเอายังไงกันแน่
มันจะทำให้พวกแดงนักรบไซเบอร์อย่างพวกเรากลายเป็นไอ้งั่งไปอีกครั้ง ที่ถูกพวกเดียวกันหลอก 555
อยากจะรอเพื่อไทยหรือ ป้าย่น นปช. ออกมารำแหกตาก่อน หรือจะร่วมกับกวป. ก็ตัดสินใจให้ดีๆ
เพราะตอนนี้กวป. กลุ่มวิทยุชุมชน ได้วิเคราะห์และตาสว่างขึ้นมาอีกระดับแล้วว่า
"มาตรา309 นี่แหละที่เป็นลิ้นหัวใจของพวกเผด็จการเลย และต้องถูกกำจัดทิ้งเสียโดยไว "
เหล่าเสื้อแดง ที่อ้างว่าเป็นนักรบเลือดเข้มทั้งในโลกจริง โลกออนไลน์ และสารพัดโรค
พวกท่านจงวิเคาะห์และตัดสินใจครับว่า จะสู้จริงหรือแค่ดราม่าสร้างภาพไปเรื่อยๆ ให้เผด็จการมันนั่งหำ เอิ๊กๆ
 
อดีตผู้พิพากษาอาวุโสศาลยุติธรรม ยืนยันว่ามาตรา 309 ในรัฐธรรมนูญ ปี 2550 มีขึ้นเพื่อคุ้มครองผู้ทำการรัฐประหาร

การพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญของรัฐบาลในปัจจุบัน ทำให้เกิดข้อถกเถียงขึ้นในสังคมมากมาย โดยเฉพาะข้อถกเถียงเกี่ยวกับผู้ที่จะได้รับประโยชน์จากการแก้ไขมาตรานี้ ซึ่งในประเด็นนี้อดีตผู้พิพากษาอาวุโสศาลยุติธรรมได้ให้สัมภาษณ์กับวอยซ์ ทีวี โดยยืนยันว่ามาตรา 309 ในรัฐธรรมนูญ ปี 2550 มีขึ้นเพื่อคุ้มครองผู้ทำการรัฐประหาร ซึ่ง การยกเลิกมาตรานี้ อาจทำให้เกิดการรื้อฟื้นการกระทำโดยมิชอบที่ผ่านมา

มาตรา 309 ในรัฐธรรมนูญ ปี 2550 ระบุว่า บรรดาการใดๆ ที่ได้รับรองไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับชั่วคราว พุทธศักราช 2549 ว่าเป็นการชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญ รวมทั้งการกระทำที่เกี่ยวเนื่องกับกรณีดังกล่าวไม่ว่าก่อนหรือหลังวันประกาศ ใช้รัฐธรรมนูญนี้ ให้ถือว่าการนั้นและ การกระทำนั้นชอบด้วยรัฐธรรมนูญนี้

นายนคร พจนวรพงษ์ อดีตผู้พิพากษาอาวุโสศาลยุติธรรม ระบุว่าการมีอยู่ของมาตรา 309 ในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ถือเป็นครั้งแรกที่มีการบัญญัติกฎหมายนิรโทษกรรม ลงในรัฐธรรมนูญ ฉบับถาวร

ทั้งนี้ นายนคร พจนวรพงษ์ ยังได้วิเคราะห์ว่า ผู้ที่จะเสียประโยชน์จากการยกเลิกมาตรา 309 คือ ผู้ที่ออกกฎหมายดังกล่าว

นอกจากนั้น อดีตผู้พิพากษาอาวุโส ศาลยุติธรรม ยังมองว่า ผู้ที่ออกมาต่อต้านการแก้ไขมาตรา 309 คือผู้ที่ทราบดีถึงความไม่ชอบมาพากลในการดำเนินคดีต่ออดีตนายกรัฐมนตรี พันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร จึงไม่ต้องการให้มีการแก้กฎหมายดังกล่าว
http://news.voicetv.co.th/thailand/58968.html
ยกเลิก ม.309 ใครได้ใครเสีย

 เปิดบันทึก... เจตนารมณ์ มาตรา 309

โดย มติชน วัน ศุกร์ ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2551 07:48 น.
คณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) มีมติเตรียมแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 โดยเฉพาะประเด็นมาตรา 237 วรรคสอง เรื่องการยุบพรรคและตัดสิทธิทางการเมืองของกรรมการบริหารพรรค และยังมีมติพ่วงการตัดมาตรา 309 ที่ว่ากันว่าเป็นการนิรโทษกรรมให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) และยกเลิกการปฏิบัติงานขององค์กรต่างๆ ที่ตั้งขึ้นภายหลังการรัฐประหาร ทำให้เรื่องนี้กลายเป็นประเด็นถกเถียงในสังคมอย่างกว้างขวาง
เมื่อพิจารณาเฉพาะมาตรา 309 ซึ่งบัญญัติว่า บรรดาการใดๆ ที่ได้รับการรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2549 ว่าเป็นการชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญ รวมทั้งการกระทำที่เกี่ยวเนื่องกับกรณีดังกล่าวไม่ว่าก่อนหรือหลังวันประกาศ ใช้รัฐธรรมนูญนี้ ให้ถือว่าการนั้นและการกระทำนั้นชอบด้วยรัฐธรรมนูญนี้

มาตราดัง กล่าวถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางในช่วงที่มีการร่างรัฐธรรมนูญ ว่า เป็นการทำลายหลักการสูงสุดของรัฐธรรมนูญลง เพราะการกระทำอันใดก็ตามที่เกิดขึ้นก่อนมีรัฐธรรมนูญฉบับนี้ แต่เมื่อมีการประกาศรัฐธรรมนูญฉบับนี้ออกมา ผลคือว่า การกระทำอันนั้น แม้จะไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญฉบับที่ใช้อยู่ ก็ไม่มีองค์กรใดสามารถไปตรวจสอบการกระทำดังกล่าวนั้นได้

สำหรับการพิจารณาของ ส.ส.ร.ในมาตรานี้ มี ส.ส.ร.บางคนแปรญัตติว่า ไม่ควรจะมีมาตรานี้ เพราะรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว 2549 มาตรา 36 ได้บัญญัติไว้แล้วว่า บรรดาประกาศและคำสั่งของ คปค.ที่ได้ประกาศ หรือสั่งไว้ ในระหว่างวันที่ 19 กันยายน พุทธศักราช 2549 จนถึงวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ ไม่ว่าจะเป็นในรูปใด และไม่ว่าจะประกาศ หรือสั่ง ให้มีผลบังคับในทางนิติบัญญัติ ในทางบริหาร หรือในทางตุลาการ ให้มีผลใช้บังคับต่อไป และให้ถือว่าประกาศหรือคำสั่ง ตลอดจนการปฏิบัติตามประกาศ หรือคำสั่งนั้น ไม่ว่าการปฏิบัติตามประกาศ หรือคำสั่งนั้น จะกระทำก่อนหรือหลังวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ เป็นประกาศหรือคำสั่ง หรือการปฏิบัติ ที่ชอบด้วยกฎหมาย และชอบด้วยรัฐธรรมนูญ

อย่างไรก็ดี ในชั้นการแปรญัตติ กรรมาธิการชี้แจงว่า ต้องมีเพื่อรับรองการกระทำที่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว 2549 ทำให้ไม่มีสมาชิกผู้แปรญัตติคนใดติดใจ และการประชุม ส.ส.ร.เพื่อพิจารณามาตราดังกล่าวในวันที่ 28 มิถุนายน 2550 ก็ผ่านโดยไม่มีการอภิปราย

นอกจากนี้ นายสมคิด เลิศไพฑูรย์ เลขานุการคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ เดินสายชี้แจงตามเวทีสาธารณะว่า เจตนารมณ์ของมาตรานี้ พูดถึงสิ่งที่ถูกต้องในปี 2549 ให้ถือว่าถูกต้องต่อไป ไม่ได้บอกว่าสิ่งที่ผิดให้ผิดต่อไป หรือไม่ได้บอกว่าสิ่งที่ผิดขอให้ถูก ถามว่าเขียนแบบนี้ผิดตรงไหน มีบทบัญญัติตรงไหนบ้างที่นิรโทษกรรม คมช. การนิรโทษกรรมได้หมดสิ้นไปแล้วตามรัฐธรรมนูญปี 49 เพราะรัฐธรรมนูญ 49 ได้นิรโทษกรรม คมช.ไปแล้ว ในทางกฎหมายจึงไม่ต้องนิรโทษกรรม คมช.อีกต่อไป ยืนยันว่า มาตรา 309 มุ่งอุดช่องว่างของกฎหมายในปัญหากฎหมายที่อาจจะเกิดขึ้นเท่านั้น ไม่ได้ผิดหลักการการปกครองของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน อย่างที่หลายคนได้พูดแต่ประการใด


มาตรา 309 เหมือนตราสังข์...จึงจำเป็นต้องแก้

นิติรัฐกับรัฐธรรมนูญ 2550

รัฐธรรมนูญ 2550 ได้มีบทบัญญัติที่เรียกได้ว่าเป็นบทบัญญัติที่ทำลายหลักนิติรัฐลงคือมาตรา 309 ซึ่งบัญญัติว่า “บรรดาการใดๆ ที่ได้รับรองไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย(ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2549 ว่าเป็นการชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญ รวมทั้งการกระทำที่เกี่ยวเนื่องกับกรณีดังกล่าวไม่ว่าก่อนหรือหลังวันประกาศ ใช้รัฐธรรมนูญนี้ ให้ถือว่าการนั้นและการกระทำนั้นชอบด้วยรัฐธรรมนูญนี้”
การ ที่จะทราบว่ามาตรา 309 ได้รับรองสิ่งใดบ้างจึงต้องย้อนกลับไปดูในรัฐธรรมนูญ(ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2549 ว่าได้รับรองสิ่งใดไว้บ้าง ซึ่งปรากฏใน

มาตรา 36 บัญญัติว่า “บรรดาประกาศและคำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหา กษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือคำสั่งของหัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบ ประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขที่ได้ประกาศหรือสั่งในระหว่างวันที่ 19 กันยายน พุทธศักราช 2549 จนถึงวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ ไม่ว่าจะเป็นในรูปใดและไม่ว่าจะประกาศหรือสั่งให้มีผลบังคับในทาง นิติบัญญัติ ในทางบริหาร หรือในทางตุลาการ ให้มีผลใช้บังคับต่อไปและให้ถือว่าประกาศหรือคำสั่ง ตลอดจนการปฏิบัติตามประกาศหรือคำสั่งนั้นไม่ว่าการปฏิบัติตามประกาศหรือคำ สั่งนั้นจะกระทำก่อนหรือหลังวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้เป็นประกาศหรือคำสั่ง หรือการปฏิบัติที่ชอบด้วยกฎหมายและชอบด้วยรัฐธรรมนูญ”

ดังนั้น จึงสรุปได้ว่ามาตรา 309 ได้รับรองให้ 1.) ประกาศ คปค. 2.) คำสั่ง คปค. 3.) การปฏิบัติตามประกาศ หรือตามคำสั่ง คปค. ไม่ว่าก่อนหรือหลังประกาศใช้รัฐธรรมนูญ 2550 ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ 2550

ผล ที่ตามก็คือ ประกาศ คปค. , คำสั่ง คปค. และการกระทำตามประกาศหรือคำสั่งเหล่านั้นชอบด้วยรัฐธรรมนูญไปทั้งหมด ซึ่งในเมื่อรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ ศาลทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครอง หรือศาลยุติธรรม จึงไม่อาจตรวจสอบ ประกาศ คปค. , คำสั่ง คปค. หรือการกระทำตามคำสั่งหรือประกาศนั้นได้ แม้โดยเนื้อหาของประกาศหรือคำสั่งเหล่านั้นจะไม่ชอบ หรือการกระทำตามประกาศหรือคำสั่งจะไม่ชอบ แต่มาตรา 309 ได้รับรองไว้ก่อนแล้วว่าชอบด้วยรัฐธรรมนูญ สิ่งที่ตามก็คือ แม้จะมีการฟ้องคดีไปที่ศาลว่ามีการกระทำตามประกาศ คปค. ซึ่งเป็นการละเมิดสิทธิตามที่รัฐธรรมนูญรับรองซึ่งไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ แต่ศาลก็ไม่อาจจะตรวจสอบได้เลย นอกจากวินิจฉัยเป็นปัญหาข้อกฎหมายเบื้องต้นว่าไม่อาจรับคดีนี้ไว้ตรวจสอบ หรือวินิจฉัยว่าการกระทำนั้นชอบด้วยกฎหมายแล้ว เพราะมีการรับรองเอาไว้แล้วว่าชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ดังนั้น มาตรา 309 จึงเป็นบทบัญญัติที่มีผลเป็นการตัดอำนาจการตรวจสอบขององค์กรตุลาการ ( judicial review ) อันเป็นหลักการพื้นฐานของนิติรัฐ อันจะตรวจสอบถ่วงดุลการใช้อำนาจอธิปไตยให้เกิดดุลยภาพ นอกจากนี้ ยังเป็นบทบัญญัติที่ปฏิเสธที่จะคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของบุคคลจากการใช้อำนาจ อันมิชอบธรรมอีกด้วย ผู้เขียนจึงเห็นว่า แม้ว่ารัฐธรรมนูญจะมีจุดขายว่ามีการคุ้มครอง ส่งเสริมและการขยายสิทธิและเสรีภาพของประชาชนอย่างเต็มที่ แต่หากสิทธิเสรีภาพของบุคคลถูกละเมิดจากการกระทำตามประกาศ หรือคำสั่งของ คปค. กลับไม่สามารถที่จะใช้สิทธิทางศาล หรือยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ทางศาลได้เลย เพราะรัฐธรรมนูญมาตรา 309 ได้รับรองไว้แล้วว่าชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ฉะนั้น แม้ว่ารัฐธรรมนูญ 2550 จะบัญญัติว่าสิทธิและเสรีภาพของประชาชนมีอยู่อย่างมากมายเพียงไร ก็คงเป็นเพียงตัวหนังสือที่อยู่ในกระดาษเท่านั้น หาได้มีความหมายอย่างใดไม่ เพียงเท่านี้ก็เพียงพอแล้วที่ผู้เขียนจะสรุปว่ารัฐธรรมนูญ2550 ไม่สอดคล้องกับหลักนิติรัฐแม้แต่น้อย
ตัวอย่าง กรณีที่ศาลได้นำบทบัญญัติในมาตรา 309 มาเป็นข้อสนับสนุนในการวินิจฉัยคือ คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 5/2551 กรณีที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ส่งคำโต้แย้งของจำเลย (พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ 1 กับพวกรวม 47 คน) ที่โต้แย้งกรณีการแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสีย หายแก่รัฐ(ค.ต.ส.) ตามประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น ประมุข ฉบับที่ 30 ลงวันที่ 30 กันยายน พุทธศักราช 2549 และกรณีการขยายระยะเวลาดำเนินการของคณะกรรมการตรวจสอบออกไปถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2551 ตามพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ฉบับที่ 30 ลงวันที่ 30 กันยายน พุทธศักราช 2549 พ.ศ.2550 ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 หรือไม่

ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัย โดยมีเหตุผลสนับสนุนตอนหนึ่งว่า “.................... นอกจากนี้มีมาตรา 309 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ที่ใช้บังคับอยู่ในขณะที่มีการประกาศใช้พระราชบัญญัตินี้ยังได้บัญญัติ รับรองไว้ในบทเฉพาะกาลอีกชั้นหนึ่งด้วยว่า “บรรดาการใด ๆ ที่ได้รับรองไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว)พุทธศักราช 2549 ว่าเป็นการชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญ รวมทั้งการกระทำที่เกี่ยวเนื่องกับกรณีดังกล่าวไม่ว่าก่อนหรือหลังวันประกาศ ใช้รัฐธรรมนูญนี้ ให้ถือว่าการนั้นและการกระทำนั้นชอบด้วยรัฐธรรมนูญนี้” เมื่อประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ฉบับที่ 30 เรื่อง การตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ ลงวันที่ 30 กันยายน พุทธศักราช 2549 ได้รับการรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2549 มาตรา 36 ว่าชอบด้วยกฎหมายและชอบด้วยรัฐธรรมนูญแล้วการตราพระราชบัญญัติที่เป็นปัญหา ในคดีนี้จึงเป็นเพียงการกระทำที่เกี่ยวเนื่องกับกรณีดังกล่าว แม้พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประกาศคณะปฏิรูปการปกครอง ฯ ฉบับนี้ได้ประกาศใช้บังคับภายหลังวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ก็ต้องได้รับการรับรองตามบทเฉพาะกาลมาตรา 309 ของรัฐธรรมนูญนี้ว่าเป็นการกระทำที่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญเช่นกัน……..”

“ดัง นั้น จึงวินิจฉัยว่า พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ฉบับที่ 30 เรื่อง การตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ ลงวันที่ 30 กันยายน พุทธศักราช 2549 พ.ศ. 2550 ที่ขยายระยะเวลาดำเนินการของ คตส. ออกไปถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2551 มิได้มีบทบัญญัติใดขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตราใดเลย”

การที่ศาลรัฐธรรมนูญ ได้นำมาตรา 309 มาเป็นเหตุผลในการวินิจฉัยว่า พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประกาศคณะปฏิรูปการปกครองฯ ไม่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ 2550 ย่อมเป็นสิ่งที่ยืนยันแล้วว่ามาตรา 309 นั้นมีอิทธิฤทธิ์มากมายเพียงใด และยังเป็นเครื่องยืนยันอีกประการหนึ่งว่าหลักนิติรัฐนั้นยังคงมีอยู่หรือ ไม่ เพราะเพียงแค่อ้างถึงมาตรา 309 เท่านั้น ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องมีเหตุผลใดๆ อีกเลย หากจะกล่าวให้ถึงที่สุดและเข้าใจง่ายๆ ก็คือ “ในเมื่อมาตรา 309 บอกว่าชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ก็ต้องชอบด้วยรัฐธรรมนูญโดยไม่ต้องถามหาเหตุผลใดๆ อีกนั่นเอง”

นอกจากนี้ยังมีผู้กังวลว่าการ ยกเลิกมาตรา 309 จะเป็นผลให้คดีของอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ต้องหลุดพ้นไปหมด ย่อมเป็นความเข้าใจที่ผิดพลาดอย่างร้ายแรง เพราะการยกเลิกรัฐธรรมนูญมาตรานี้ จะทำให้ประกาศ คปค. ,คำสั่ง คปค. และการปฏิบัติตามประกาศหรือคำสั่งเหล่านั้นของเจ้าหน้าที่ของรัฐถูกตรวจสอบ ถึงความชอบด้วยรัฐธรรมนูญโดยองค์กรตุลาการได้เท่านั้น ศาลจะวินิจฉัยให้การเหล่านี้ชอบหรือไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่เป็นอีก เรื่องหนึ่ง เพราะสิ่งที่ควรจะคำนึงถึงเป็นประการแรกภายใต้หลักนิติรัฐ คือ การที่จะต้องทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างสามารถที่จะถูกตรวจสอบได้อย่างเท่าเทียม กัน โดยไม่มีกฎหมายใดหรือการกระทำใดมีเอกสิทธิ์ที่ไร้เหตุผลมาเป็นเกราะป้องกัน เพื่อให้หลุดพ้นจากการตรวจสอบไปได้อย่างที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้

สรุป ผู้เขียนจึงเห็นว่าไม่ว่าจะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญกี่มาตราก็ตาม หากมาตรา 309 ยังคงปรากฏอยู่ในกฎหมายสูงสุดของประเทศต่อไป ประเทศไทยก็ยังคงอยู่บนเส้นทางที่เป็นคู่ขนานกับหลักนิติรัฐ โดยไม่มีวันที่จะอยู่บนเส้นทางเดียวกันได้เลย และก็คงจะเป็นถ้อยคำที่สร้างให้ผู้พูดดูดีเพื่อสร้างความ ชอบธรรมให้แก่ตนเองในการทำลายอีกฝ่ายหนึ่งต่อไป

02 /07/ 2552

โดย..คุณชนินทร์ ติชาวัน นบ.,นบ.ท.,น.ม.มหาวิทยาลัยรามคำแหง
โดย จงเจริญ
...................................................................
 
แก้รธนรายมาตราเพื่อไทยควรชัดเจน เลิก ม.309 หรือไม่ ?

กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญบนเส้นทาง 3 แพร่ง เมื่อพิจารณาถึงความเป็นไปได้ล่าสุดผ่านการออกมาแสดงทัศนะของแกนนำพรรคเพื่อ ไทยอย่างร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง และนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ว่าควรแก้ไขเป็นรายมาตรา แม้จะยังไม่ใช่ข้อเสนอที่สะเด็ดน้ำ แต่ก็ถือเป็นทางเลือกหนึ่งที่ยังคงเปิดกว้างเสมอ เพราะจะว่าไปแล้ว เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นรายมาตรานั้น ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด เพราะกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติหรือนปช.ก็เคยปักธงการ แก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นรายมาตรามาแล้วถึง 30 หัวข้อด้วยกัน
การแถลงข่าวของนปช.เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2554 ในระยะแรกของกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ นางธิดา ถาวรเศรษฐ ประธานนปช.ได้ประกาศเป้าหมายการแก้ไขรัฐธรรมนูญของนปช. เอาไว้ที่ 10 หัวข้อดังนี้
1.ยกเลิกมาตรา 309 ของรัฐธรรมนูญ 2550
2.ยกเลิกมาตรา 36 และ 37 ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว 2549
3.ยกเลิกส.ว.แต่งตั้ง
4.แก้มาตรา 265 และ 266 ของรัฐธรรมนูญ 2550
5.แก้มาตรา 190 ของรัฐธรรมนูญ 2550 เรื่องการทำสนธิสัญญา
6.แก้มาตรา 237 ของรัฐธรรมนูญ 2550 เรื่องการยุบพรรค

7.เพิ่มเติมเรื่องอำนาจตุลาการต้องเกี่ยวโยงกับอำนาจอธิปไตยของประชาชน
8.การแก้ไขรัฐธรรมนูญทำได้โดยตรงโดยประชาชน
9.ถอดถอน ส.ส., นักการเมือง องค์กรอิสระทำได้โดยตรงโดยประชาชน
10.เสนอกฎหมายได้โดยตรงโดยประชาชน

โดยเฉพาะการพุ่งเป้ายกเลิก มาตรา 309 ตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ที่กำหนดไว้ว่าบรรดาการใด ๆ ที่ได้รับรองไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2549 ว่าเป็นการชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญ รวมทั้งการกระทำที่เกี่ยวเนื่องกับกรณีดังกล่าวไม่ว่าก่อนหรือหลังวันประกาศ ใช้รัฐธรรมนูญนี้ ให้ถือว่าการนั้นและการกระทำนั้นชอบด้วยรัฐธรรมนูญนี้
เพิ่มน้ำหนักให้มีความชัดเจนมากขึ้น ในประเด็นที่ 2 ว่าด้วยการเสนอยกเลิกมาตรา 36 และ 37 ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว 2549 ซึ่งมีรายละเอียดเกี่ยวเนื่องกับการรับรองความถูกต้องคณะปฏิรูปฯ ดังนี้
มาตรา 36 บรรดาประกาศและคำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือคำสั่งของหัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองใน ระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขที่ได้ประกาศหรือสั่งในระหว่างวันที่ 19 กันยายน พุทธศักราช 2549 จนถึงวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้
ไม่ว่าจะเป็นในรูปใดและไม่ว่าจะประกาศหรือ สั่งให้มีผลบังคับในทางนิติบัญญัติ ในทางบริหาร หรือในทางตุลาการ ให้มีผลใช้บังคับต่อไปและให้ถือว่าประกาศหรือคำสั่ง ตลอดจนการปฏิบัติตามประกาศหรือคำสั่งนั้นไม่ว่าการปฏิบัติตามประกาศ หรือคำสั่งนั้นจะกระทำก่อนหรือหลังวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้เป็นประกาศ หรือคำสั่งหรือการปฏิบัติที่ชอบด้วยกฎหมายและชอบด้วยรัฐธรรมนูญ
ขณะที่มาตรา 37 ซึ่งมีรายละเอียดว่า บรรดาการกระทำทั้งหลายซึ่งได้กระทำเนื่องในการยึดและควบคุมอำนาจ การปกครองแผ่นดิน เมื่อวันที่ 19 กันยายน พุทธศักราช 2549 ของหัวหน้าและคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข รวมตลอดทั้งการกระทำของบุคคลที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำดังกล่าว หรือ ของผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากหัวหน้าหรือคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบ ประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือของผู้ซึ่งได้รับคำสั่ง จากผู้ที่ได้รับมอบหมายจากหัวหน้า หรือคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข อันได้กระทำไป เพื่อการดังกล่าวข้างต้นนั้น
การกระทำดังกล่าว ไม่ว่าเป็นการกระทำเพื่อให้มีผลบังคับในทางนิติบัญญัติ ในทางบริหาร หรือในทางตุลาการรวมทั้งการลงโทษและการกระทำอันเป็นการบริหารราชการอย่าง อื่น ไม่ว่ากระทำในฐานะตัวการผู้สนับสนุน ผู้ใช้ให้กระทำ หรือผู้ถูกใช้ให้กระทำ และไม่ว่ากระทำในวันที่กล่าวนั้นหรือก่อน หรือหลังวันที่กล่าวนั้น หากการกระทำนั้นผิดต่อกฎหมายก็ให้ผู้กระทำพ้นจากความผิดและความรับผิดโดย สิ้นเชิง
 
 

วันที่ 13 มิ.ย.56 คนเสื้อแดง กลุ่ม กวป. ประกาศนัดชุมนุมรวมพลยกระดับการเคลื่อนไหว


 รูปภาพ : **** คนเสื้อแดง กลุ่ม กวป.ยกระดับการเคลื่อนไหว ****

วันที่ 13 มิ.ย.56  คงจะอีกหนึ่งวันที่การต่อสู้เรียกร้องความถูกต้องของภาคประชาชน ในนาม กลุ่ม กวป. ที่จะยกระดับการต้องสู้และการแสดงออกทางความคิดว่าประชาชน ไม่ใช่วัว ไม่ใช่ควาย ให้ใครต้องมาจูงไปตามตวามต้องการ การออกมาประท้วงขับไล่ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ที่มีที่มาไม่ถูกต้องและไม่ชอบธรรมตามระบบประชาธิปไตย และยังมีพฤติการที่ไม่ชอบธรรมหลายอย่างทางการแสดงออกทางการเมืองด้วยการใช้อำนาจที่มีอยู่แบบอหังกา ใหญ่คับฟ้า และเมื่อถูกทั้งท้วงทวงถามความถูกต้อง ก็แสดงความคิดเห็นแบบดูถูกเหยียดหยันประชาชนว่าไม่รู้เรื่องไม่เข้าใจ ....กลุ่ม กวป.ที่ออกมาเคลื่อนไหวครั้งนี้ หากพูดกันแบบเต็มปากเต็มคำ ก็คนเสื้อแดงนี้แหละ ถ้าจะย้อนที่มาก็คงจะยาวต่อเนื่องมาตั้งแต่เกิดการรัฐประหารยึดอำนาจ เมื่อ 19 ก.ย.49  จนมาถึงการรวมตัวเป็น แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หลังเหตุการสลายการชุมนุมเมื่อ 19 พ.ค.53  ชัยชนะของฝ่ายประชาชน คนเสื้อแดง ที่ออกมาต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตย เรียกร้องความเป็นธรรม ที่มีหลายเรื่องเกิดขึ้นจากการกระทำของฝ่ายอธรรม ที่รวมตัวกัน โดน มีคนชั้นสูง ศักดินา องค์กรอิสระ ทั้งหลาย ที่ให้การสนับสนุน พรรคการเมืองเลือดชั่ว อย่างประชาธิปัตย์

 ....ชัยชนะของประชาชนที่แลกมาด้วยเลือดเนื้อและชีวิต บาดเจ็บกว่า 2000 คน ตายไปร่วม 100 คน สิ่งที่ได้มาคือการยุบสภาแล้วมีการเลือกตั้งใหม่ สิ่งที่แกนนำและนักการเมืองฝ่ายพรรคเพื่อไทย ได้พูดได้นำเสนอ ได้สัญญาไว้ คนเสื้อแดงก็ตอบสนองสนับสนุน ด้วยการลงคะแนนเสียงให้ จน พรรคเพื่อไทย ชนะการเลือกตั้ง 

 .....เวลาล่วงเลยผ่านมาประชาชนก็ได้รู้ได้เห็นว่าเกิดอะไรขึ้น คงไม่ต้องขยายความ เพราะการแสดงออกในตอนนี้ กลุ่ม กวป.ได้ พูดได้อธิบายขยายความ อย่างชัดเจนแล้ว ที่เวที กวป.หน้าศาลรัฐธรรมนูญ  หากแม้ว่าคนในรัฐบาล ส.ส.ของพรรคเพื่อไทย หรือแม้แต่คนแดนไกล และคนที่อยู่ใกล้ๆ ให้ความสนใจติดตามการเคลื่อนไหว รับฟังสิ่งที่ ภาคประชาชนในนาม กวป. ได้พูดได้แสดงเจตนารมณ์ออกไปถึงการลุกขึ้นมาต่อสู้ในครั้งนี้ ด้วยเหตุและผล ผสมผสานกับรูปแบบการดำเนินการและหลักการ ต้องยอมรับครับว่าเกินความคาดหมาย เพราะสิ่งที่ กวป.ทำไป ส.ส.ในสภา หลายคนยังไม่เคยคิดเลยนอกจากมานั่งหายใจทิ้งไปวันๆ ในการเข้าประชุมในสภา รอเวลาแค่การเสียบบัตรแสดงตน และยกมือ

..... แต่ข้อครหาที่เอามาเป็นประเด็นด้วยจุดประสงค์อะไรบางอย่างก็ช่าง แต่มีการออกมาโจมตี แกนนำกลุ่ม กวป. ไปต่างๆนาๆ และสุดท้ายก็สรุปออกมาแบบพอจับใจความได้ ว่าไม่ชอบใครบางคนในกลุ่มนี้ อะไรประมาณนี้

 .....พอดีนึกย้อนหลังไปในอดีต ที่มีคนเสื้อแดงและเสื้อเหลือง ถกเถียงกันเรื่อง พ.ต.ท.ดร. ทักษิณ ชินวัตร เรื่องความผิดต่างๆ แต่คนเสื้อเหลืองหาเหตุมาถกเถียงไม่ได้ ก็สรุปออกมาแบบหน้าด้านๆว่า จะอย่างก็ไม่ชอบตระกูล ชินวัตร เป็นการสรุปแบบใช้เตุผลส่วนตัวคือไม่ชอบขี้หน้า ..ซึ่งตอนนี้ มีคนเสื้อแดงบางคนไปเหยียบน้ำลายไอ้คนเสื้อเหลืองพวกนั้นเข้าหรือเปล่าไม่ทราบได้...หากการนัดชุมนุมในวันที่ 13 มิ.ย. 56  ของกลุ่ม กวป. อาจเป็นการชี้ชะตาฝ่ายรัฐบาลและพรรคเพื่อไทยก็เป็นได้ หากปล่อยให้ กวป. เดินไปโดยลำพัง  ไม่มีคนเสื้อแดงจาก นปช.ส่วนกลาง  นปช.ส่วนภูมิภาค  นปช.ในพรรคเพื่อไทย ให้ความสำคัญในการชุมนุมครั้งนี้ เท่ากับว่า พรรคเพื่อไทยและรัฐบาลนี้ได้ตั้งระเบิดเวลาทำลายตัวเองไว้เรียบร้อยแล้ว   

......อย่าลืมว่าที่พวกคุณมีวันนี้ได้เพราะประชาชนเลือกคุณมา   การไม่ชอบขี้หน้าใครบางคนเป็นการส่วนตัว มันมีทุกที่ทุกองค์กรครับ ในพรรคเพื่อไทย ก็มีนักการเมืองหลายคนที่ประชาชนได้ยินชื่อก็เอียนสุดๆ  แม้แต่แกนนำ นปช. ส่วนกลาง เองก็เถอะ บางคนก็ยัง ไม่เป็นที่ยอมรับ จากแกนนำด้วยกันเอง และยังไม่เป็นที่ยอมรับจากแกนนำกลุ่มเล็กๆบางกลุ่มเลย ขนาดปราศรัยคนฟังยังเลือกที่จะฟัง จนต้ิองมีการจัดคิวสลับช่วงกันปราศรัย ....
...แต่ทุกครั้งที่ผ่านมา คนเหล่านั้นก็ออกมาร่วมชุมนุมเพื่อแสดงจุดยืนและแนวทางการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยร่มอุดมการณ์เดียวกับพวกคุณๆทั้งหลาย...

......วันที่ 13 มิ.ย.56 นี้ ที่หน้ารัฐสภา ผมก็หวังว่าจะเห็นด้วยตัวเองอีกครั้ง ว่า นปช.หรือคนเสื้องแดง ยังเป็นแดงทั้งแผ่นดิน......


..............................................................................

สิ่งที่แสดงความคิดเห็นออกมานี้ มิใช่เป็นการแสดงความคิดเห็นในฐานะ กวป. นะครับ เป็นการแสดงความคิดเห็นส่วนตัวของผม แต่ผมยอมรับว่าหลังจากติดตามความเคลื่อนไหว ของคนเสื้อแดง กลุ่มนี้มา ฟังเนื้อหาด้วยเหตุและผลและรูปแบบการดำเนินการยุทธวิธี ผมเชื่อว่านี่ไม่ใช่ม็อบสร้างกระแส หรือม็อบรับจ้าง  อย่างที่ใครหลายคนกังขา  และตัดบทแบบง่ายๆ ท่านทั้งหลายโปรดจำใส่ใจไว้นะครับว่า ทุกวันนี้คนเราจะทำอะไร ก็ต้องมีค่าใช้จ่ายทั้งนั้น แม้แต่เข้าส้วมไปฉี่ไปถ่ายยังต้องเสียเงินเลยครับ สิ่งที่แสดงออกมาก็เป็นเพียงความคิดเห็นของประชาชนคนหนึ่งเท่านั้น


                                                    ยรรยง  ลูกชาวดิน
                                               Yanyong  Lookshawdin 
                                                       11 มิ.ย.56

 วันที่ 13 มิ.ย.56 คงจะอีกหนึ่งวันที่การต่อสู้เรียกร้องความถูกต้องของภาคประชาชน ในนาม กลุ่ม กวป. ที่จะยกระดับการต้องสู้และการแสดงออกทางความคิดว่าประชาชน ไม่ใช่วัว ไม่ใช่ควาย ให้ใครต้องมาจูงไปตามตวามต้องการ การออกมาประท้วงขับไล่ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ที่มีที่มาไม่ถูกต้องและไม่ชอบธรรมตามระบบประชาธิปไตย และยังมีพฤติการที่ไม่ชอบธรรมหลายอย่างทางการแสดงออกทางการเมืองด้วยการใช้อำนาจที่มีอยู่แบบอหังกา ใหญ่คับฟ้า และเมื่อถูกทั้งท้วงทวงถามความถูกต้อง ก็แสดงความคิดเห็นแบบดูถูกเหยียดหยันประชาชนว่าไม่รู้เรื่องไม่เข้าใจ ....กลุ่ม กวป.ที่ออกมาเคลื่อนไหวครั้งนี้ หากพูดกันแบบเต็มปากเต็มคำ ก็คนเสื้อแดงนี้แหละ ถ้าจะย้อนที่มาก็คงจะยาวต่อเนื่องมาตั้งแต่เกิดการรัฐประหารยึดอำนาจ เมื่อ 19 ก.ย.49 จนมาถึงการรวมตัวเป็น แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หลังเหตุการสลายการชุมนุมเมื่อ 19 พ.ค.53 ชัยชนะของฝ่ายประชาชน คนเสื้อแดง ที่ออกมาต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตย เรียกร้องความเป็นธรรม ที่มีหลายเรื่องเกิดขึ้นจากการ กระทำของฝ่ายอธรรม ที่รวมตัวกัน โดน มีคนชั้นสูง ศักดินา องค์กรอิสระ ทั้งหลาย ที่ให้การสนับสนุน พรรคการเมืองเลือดชั่ว อย่างประชาธิปัตย์

....ชัยชนะของประชาชนที่แลกมาด้วยเลือดเนื้อและชีวิต บาดเจ็บกว่า 2000 คน ตายไปร่วม 100 คน สิ่งที่ได้มาคือการยุบสภาแล้วมีการเลือกตั้งใหม่ สิ่งที่แกนนำและนักการเมืองฝ่ายพรรคเพื่อไทย ได้พูดได้นำเสนอ ได้สัญญาไว้ คนเสื้อแดงก็ตอบสนองสนับสนุน ด้วยการลงคะแนนเสียงให้ จน พรรคเพื่อไทย ชนะการเลือกตั้ง

.....เวลาล่วงเลยผ่านมาประชาชนก็ได้รู้ได้เห็นว่าเกิดอะไร ขึ้น คงไม่ต้องขยายความ เพราะการแสดงออกในตอนนี้ กลุ่ม กวป.ได้ พูดได้อธิบายขยายความ อย่างชัดเจนแล้ว ที่เวที กวป.หน้าศาลรัฐธรรมนูญ หากแม้ว่าคนในรัฐบาล ส.ส.ของพรรคเพื่อไทย หรือแม้แต่คนแดนไกล และคนที่อยู่ใกล้ๆ ให้ความสนใจติดตามการเคลื่อนไหว รับฟังสิ่งที่ ภาคประชาชนในนาม กวป. ได้พูดได้แสดงเจตนารมณ์ออกไปถึงการลุกขึ้นมาต่อสู้ในครั้งนี้ ด้วยเหตุและผล ผสมผสานกับรูปแบบการดำเนินการและหลักการ ต้องยอมรับครับว่าเกินความคาดหมาย เพราะสิ่งที่ กวป.ทำไป ส.ส.ในสภา หลายคนยังไม่เคยคิดเลยนอกจากมานั่งหายใจทิ้งไปวันๆ ในการเข้าประชุมในสภา รอเวลาแค่การเสียบบัตรแสดงตน และยกมือ

..... แต่ข้อครหาที่เอามาเป็นประเด็นด้วยจุดประสงค์อะไรบางอย่างก็ช่าง แต่มีการออกมาโจมตี แกนนำกลุ่ม กวป. ไปต่างๆนาๆ และสุดท้ายก็สรุปออกมาแบบพอจับใจความได้ ว่าไม่ชอบใครบางคนในกลุ่มนี้ อะไรประมาณนี้

.....พอดีนึกย้อนหลังไปในอดีต ที่มีคนเสื้อแดงและเสื้อเหลือง ถกเถียงกันเรื่อง พ.ต.ท.ดร. ทักษิณ ชินวัตร เรื่องความผิดต่างๆ แต่คนเสื้อเหลืองหาเหตุมาถกเถียงไม่ได้ ก็สรุปออกมาแบบหน้าด้านๆว่า จะอย่างก็ไม่ชอบตระกูล ชินวัตร เป็นการสรุปแบบใช้เตุผลส่วนตัวคือไม่ชอบขี้หน้า ..ซึ่งตอนนี้ มีคนเสื้อแดงบางคนไปเหยียบน้ำลายไอ้คนเสื้อเหลืองพวกนั้นเข้าหรือเปล่าไม่ทราบได้...หากการนัดชุมนุมในวันที่ 13 มิ.ย. 56 ของกลุ่ม กวป. อาจเป็นการชี้ชะตาฝ่ายรัฐบาลและ พรรคเพื่อไทยก็เป็นได้ หากปล่อยให้ กวป. เดินไปโดยลำพัง ไม่มีคนเสื้อแดงจาก นปช.ส่วนกลาง นปช.ส่วนภูมิภาค นปช.ในพรรคเพื่อไทย ให้ความสำคัญในการชุมนุมครั้งนี้ เท่ากับว่า พรรคเพื่อไทยและรัฐบาลนี้ได้ตั้งระเบิดเวลาทำลายตัวเองไว้เรียบร้อยแล้ว

......อย่าลืมว่าที่พวกคุณมีวันนี้ได้เพราะประชาชนเลือกคุณมา การไม่ชอบขี้หน้าใครบางคนเป็นการส่วนตัว มันมีทุกที่ทุกองค์กรครับ ในพรรคเพื่อไทย ก็มีนักการเมืองหลายคนที่ประชาชนได้ยินชื่อก็เอียนสุดๆ แม้แต่แกนนำ นปช. ส่วนกลาง เองก็เถอะ บางคนก็ยัง ไม่เป็นที่ยอมรับ จากแกนนำด้วยกันเอง และยังไม่เป็นที่ยอมรับจากแกนนำกลุ่มเล็กๆบางกลุ่มเลย ขนาดปราศรัยคนฟังยังเลือกที่จะฟัง จนต้ิองมีการจัดคิวสลับช่วงกันปราศรัย ....
...แต่ทุกครั้งที่ผ่านมา คนเหล่านั้นก็ออกมาร่วมชุมนุมเพื่อแสดงจุดยืนและแนวทางการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยร่มอุดมการณ์เดียวกับพวกคุณๆทั้งหลาย...

......วันที่ 13 มิ.ย.56 นี้ ที่หน้ารัฐสภา ผมก็หวังว่าจะเห็นด้วยตัวเองอีกครั้ง ว่า นปช.หรือคนเสื้องแดง ยังเป็นแดงทั้งแผ่นดิน......


..............................................................................

สิ่งที่แสดงความคิดเห็นออกมานี้ มิใช่เป็นการแสดงความคิดเห็นในฐานะ กวป. นะครับ เป็นการแสดงความคิดเห็นส่วนตัวของผม แต่ผมยอมรับว่าหลังจากติดตามความเคลื่อนไหว ของคนเสื้อแดง กลุ่มนี้มา ฟังเนื้อหาด้วยเหตุและผลและรูปแบบการดำเนินการยุทธวิธี ผมเชื่อว่านี่ไม่ใช่ม็อบสร้างกระแส หรือม็อบรับจ้าง อย่างที่ใครหลายคนกังขา และตัดบทแบบง่ายๆ ท่านทั้งหลายโปรดจำใส่ใจไว้นะครับว่า ทุกวันนี้คนเราจะทำอะไร ก็ต้องมีค่าใช้จ่ายทั้งนั้น แม้แต่เข้าส้วมไปฉี่ไปถ่ายยังต้องเสียเงินเลยครับ สิ่งที่แสดงออกมาก็เป็นเพียงความคิดเห็นของประชาชนคนหนึ่งเท่านั้น


ยรรยง ลูกชาวดิน
Yanyong Lookshawdin
11 มิ.ย.56