วันเสาร์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ใบลาออก และเหตุผล 5 ประการ ผมหมดศรัทธาต่อพรรคประชาธิปัตย์


วันที่ 29  มีนาคม  พรรษิษฐ์ ต่อสุวรรณ  ได้เผยแพร่ "หนังสือลาออกจากสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์" ผ่านสื่อต่างๆ  เนื้อความของหนังสือลาออก มีใจความ ดังนี้



....กราบเรียนท่านหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์



กระผมนายพรรษิษฐ์ ต่อสุวรรณ สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ประเภทสามัญเลขที่ 43414075 โดยผมได้สมัครเป็นสมาชิกตั้งแต่ปีพ.ศ. 2541 ในสมัยที่พรรคประชาธิปัตย์กำลังจะต้องตกเป็นฝ่ายค้านเพราะความนิยมกำลังถาโถมไปที่พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร และในที่สุดพรรคประชาธิปัตย์ก็พ่ายแพ้การเลือกตั้งทั่วไป และพรรคไทยรักไทยของ พ.ต.ท. ทักษิณก็ได้เป็นรัฐบาลสมัยแรก



ตอนนั้นตัวกระผมเองได้หอบหิ้วปริญญาตรีและโทกลับมาจากประเทศสหรัฐอเมริกาภายหลังเหตุการณ์วิกฤติเศรษฐกิจไม่นานนัก พร้อมกับความเชื่อที่ว่าคนเราทุกคนควรมีส่วนร่วมทางการเมืองเพื่อสร้างสังคมที่ดี และการเป็นสมาชิกพรรคการเมืองก็น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีได้
 


 ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมานั้น ผมเฝ้าติดตามความเป็นไปของการเมืองไทยในฐานะประชาชนคนไทยคนหนึ่ง ซึ่งไม่เคยมุ่งหวังที่จะเดินเข้าไปสู่สนามการเมืองแต่อย่างใด เพียงแต่ใช้กำลังกาย สมอง เวลา และโอกาสเท่าที่มีในการตอบแทนสังคมบ้างทั้งในฐานะอาจารย์ในมหาวิทยาลัย หรือนักเขียนมือสมัครเล่นในคอลัมน์หนังสือพิมพ์ฉบับต่าง ๆ ต่อเนื่องกันมาเป็นเวลาหลายปี



 สาเหตุที่ตอนนั้นกระผมตัดสินใจส่งใบสมัครมาที่พรรคประชาธิปัตย์แทนที่จะเป็นพรรคไทยรักไทย ซึ่งสมัยนั้นจะมีภาพลักษณ์ที่ทันสมัยกว่า และกำลังอยู่ในช่วงที่ได้รับความนิยมสูงขึ้นทั้งในสังคมเมืองและสังคมชนบท ก็เพราะว่า ตัวผมเองไม่เคยเชื่อเลยว่าเจ้าของกลุ่มทุนผูกขาดอย่าง พ.ต.ท. ทักษิณจะมีความจริงใจที่จะเสียสละในการเข้ามาช่วยเหลือประเทศชาติได้อย่างแท้จริง



 แต่มีความเชื่อว่าเนื้อแท้ของกลุ่มทุนผูกขาดโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสัมปทานของรัฐมักจะต้องเอารัดเอาเปรียบประชาชนอย่างเป็นธรรมชาติ ในขณะที่พรรคประชาธิปัตย์นั้นเป็นพรรดการเมืองที่เก่าแก่ยาวนาน มีความเป็นสถาบันการเมืองมากที่สุดเท่าที่มีอยู่ในสังคมการเมืองไทย



แต่วันและเวลาสอนให้ผมได้เรียนรู้ถึงธรรมชาติของการเมืองไทยมากขึ้น ซึ่งในความเป็นจริงนั้นมีความลึกซึ้งมากกว่าภาพที่คนทั่ว ๆ ไปเห็นอยู่บนเวทีการเมืองที่เป็นทางการอยู่มากนัก แต่สำหรับผมแล้ว ช่วงเวลาสิบกว่าปีนี้ได้พิสูจน์ให้เห็นเนื้อแท้ของพรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นอย่างดีในระดับหนึ่ง และทำให้ผมได้คำตอบมาระยะหนึ่งแล้วว่าตัวเองนั้นคิดผิด ซึ่งผมขอประมวลเหตุผลมาประกอบดังต่อไปนี้



1. พรรคประชาธิปัตย์จะไม่มีวันชนะใจประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศได้ เพราะขาดความจริงใจมุ่งแต่สร้างภาพจอมปลอม ประโยคนี้เป็นสัจธรรมเสมอ มาตั้งแต่เริ่มก่อตั้งพรรคประชาธิปัตย์และน่าจะเป็นจริงตลอดไปด้วย ตราบใดที่จะยังคงมีพรรคนี้อยู่ในเวทีการเมืองไทย   เพราะประวัติศาสตร์บอกว่าพรรคประชาธิปัตย์มักจะได้อำนาจรัฐหรือได้เป็นรัฐบาลโดยการเพลี่ยงพล้ำของพรรคขั้วตรงข้าม และมีพลังอำนาจพิเศษที่มาหนุนอยู่ตลอด


ดังนั้นลักษณะของพรรคประชาธิปัตย์จะมักจะเชิดคนที่มีภาพลักษณ์ดี(สำหรับสังคมไทย) กล่าวคือมักจะเป็นคนที่มีลักษณะความสุภาพ อ่อนน้อมถ่อมตน หรือมีชาติตระกูลสูง หรือแม้กระทั่งคนมีหน้าตาดี นอกจากนี้อาจจะมีการเชิดชูภาพของความซื่อสัตย์เป็นจุดขาย แต่จะสังเกตได้ว่านั่นมักจะเป็นเพียงหน้าฉากของผู้นำพรรคเท่านั้น



 แต่เบื้องหลังของผู้นำพรรคหรือแม้กระทั่งเบื้องหลังหน้ากากอันสวยหรูของผู้นำพรรค ก็มักจะมีบรรดานักการเมืองสกปรกที่หิวโหยอยู่ข้างหลังอย่างสม่ำเสมอ ดังนั้นพรรคประชาธิปัตย์จึงไม่เคยนำเสนอแนวทางในการบริหารพัฒนาบ้านเมืองอันใดได้เลย ที่ทำอยู่ก็จะมีเพียงนโยบายเฉพาะกิจ หรือเพื่อการประชาสัมพันธ์หาเสียงเท่านั้น มุ่งจะเล่นแต่การเมืองแต่ไม่เคยพัฒนาบ้านเมือง


2.  การมุ่งเล่นแต่การเมือง ทำให้บรรดานโยบายของพรรคที่ออกมา ขาดพื้นฐานด้านข้อมูลที่เป็นจริง ขาดการศึกษาและวิเคาระห์ถึงปัญหาอย่างลึกซึ้ง ซึ่งความจริงแล้วพรรคประชาธิปัตย์ถึงแม้ว่าจะเป็นพรรคการเมืองที่แก่ที่สุด แต่ก็ไม่เคยมีนโยบายเป็นของตัวเองมาก่อน บรรดานโยบายของรัฐบาลอภิสิทธิ์ก็ต้องยอมรับว่าเป็นการคัดลอกและดัดแปลงมาจากนโยบายประชานิยมของพรรคไทยรักไทยในอดีตทั้งสิ้น


แต่น่าเสียใจว่าการคัดลอกดัดแปลงนั้นกลับทำได้ย่ำแย่กว่าสมัยที่พรรคไทยรักไทยเป็นรัฐบาลเสียอีก พรรคประชาธิปัตย์เข้าใจว่าการที่พรรคไทยรักไทยชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลายเป็นเพราะประชาชนหิวโหยในผลประโยชน์ ดังนั้นการเข้ามาของรัฐบาลอภิสิทธิ์จึงเริ่มต้นด้วยการหว่านโปรยผลประโยชน์

ตั้งแต่นโยบายแจกเงินกินเปล่าให้ประชาชนหัวละสองพันบาท แต่จะเห็นได้ว่าการแจกเงินกินเปล่าเหล่านั้นไม่ได้ทำให้คะแนนนิยมของพรรคสูงขึ้น กลับลดลงเสียด้วยซ้ำ เป็นเพราะเหตุใด? ก็เพราะว่าวิธีการแจกเงินสองพันบาทโดยใช้ฐานข้อมมูลประกันสังคมนั้นไม่สามารถจะนำเงินไปสู่คนยากคนจนส่วนใหญ่ของประเทศอย่างแท้จริง ไปได้แค่เพียงคนชั้นกลางซึ่งมีข้อมูลอยู่ในทะเบียนฯเท่านั้น นโยบายนี้เหยียบย่ำหัวใจคนยากคนจนที่ส่วนใหญ่ที่ยากไร้ไม่มีที่ทำกิน ที่อยู่อาศัย จะมีประกันสังคมได้อย่างไร



ในขณะที่นโยบายที่ลอกและสานต่อจากนโยบายไทยรักไทยอย่างโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์หรือที่เรียกกันว่าโอท๊อป ซึ่งภาครัฐเคยจัดงานที่อิมแพคเมืองทองธานีเป็นประจำทุก ๆ ปี เป็นงานกึ่งตลาดนัดกึ่งแสดงสินค้า ซึ่งได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดีทั้งจากผู้ประกอบการขนาดเล็กและขนาดย่อม จากผู้นำเข้าและผู้ส่งออก ตลอดจนจากผู้บริโภคทั่ว ๆ ไป พอรัฐบาลอภิสิทธิ์เข้ามาบริหารก็ได้ย้ายสถานที่จัดงานมาตั้งอยู่ใจกลางเมือง ทั้งตามห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ ทั้งในลานเอนกประสงค์หน้าห้างฯ บริเวณรอบสนามกีฬาแห่งชาติ และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมางานโอท็อปก็ต้องพับฐานลงอย่างน่าเสียดาย



ด้วยเหตุผลหลายอย่าง ทั้งสถานที่จัดงานกระจัดกระจาย สภาพอากาศที่ไม่อำนวย ทำให้จำนวนคนเข้าชมงานลดน้อยลงอย่างมาก ผู้ค้าซึ่งมาจากต่างจังหวัดนอกจากจะขายสินค้าไม่ได้ ยังต้องแบกภาระค่ากินนอนเข้าไปอีกเพราะอดีตที่เคยอาศัยบริเวณจัดงานในอิมแพคฯก็ไม่มีค่าใช้จ่ายอะไร หัวอกคนยากคนจนและคนทำมาหากินซึ่งรัฐบาลประชาธิปัตย์ไม่เคยเข้าใจและคงไม่มีวันจะเข้าใจได้ สิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์ทำได้อย่างเชี่ยงชาญก็คือการใส่ไคล้ทำลายและช่วงชิงโอกาส ซึ่งล้วนเป็นเกมการเมืองทั้งสิ้น



3. บริหารไร้ประสิทธิภาพแต่โกงเป็นมาตรฐาน ด้วยนโยบายหว่านผลประโยชน์กับการสร้างภาพของรัฐบาลชุดนี้ ทำให้รัฐต้องแบกภาระเพิ่มขึ้นมากมาย จะเห็นได้ว่ามีการกู้เงินมหาศาลกว่ารัฐบาลใดในอดีตเสียอีก แต่ลำพังการกู้นั้นมิสามารถทำให้รัฐบาลดำเนินนโยบายไร้ประสิทธิภาพเหล่านั้นต่อไปได้มากนัก



รัฐบาลชุดนี้จึงมีกระบวนการสร้างภาระโดยการรีดภาษีจากคนชั้นกลางในมิติต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง จะเห็นได้ว่าสภาพเศรษฐกิจของประเทศมีความฝืดเคืองมากขึ้นเป็นลำดับ เพราะรัฐบาลนอกจากไม่ส่งเสริมการลงทุนภายในประเทศแล้ว กลับบั่นทอนกำลังการบริโภคของประชาชนไปเสียอีกด้วย



 ในขณะที่รัฐบาลชุดนี้เข้ามาบริหารประเทศ เราก็มักจะได้ยินข่าวการทุจริตมากขึ้นเป็นลำดับ บรรดาข่าวการทุจริตซึ่งส่วนใหญ่มาจากนโยบายจัดซื้อจัดจ้างการรับเหมาก่อสร้างมากมาย ซึ่งมีรูปแบบคลาสสิคโบราณ และน่าจะเป็นสิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์ไม่สามารถพัฒนาก้าวข้ามไปได้เลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องฉาวโฉ่เกี่ยวกับโครงการนมโรงเรียน โครงการรถเมล์ โครงการต้นกล้าอาชีพของรัฐบาล ไปจนถึงโครงการรถเมล์BRT อภิมหาโครงการโมโนเรล โครงการซุปเปอร์สกายวอล์กของกรุงเทพมหานคร และอื่น ๆ อีกมากมาย ในขณะที่กฎเหล็ก 9 ข้อที่นายกอภิสิทธิ์ประกาศไว้เมื่อครั้งรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีกลับไม่เคยถูกกล่าวถึงอีกเลย


4. ไม่สร้างความปรองดองกลับสร้างความแตกแยก ก็ต้องยอมรับว่าในขณะที่รัฐบาลประชาธิปัตย์เข้ามาบริหารประเทศนั้น สังคมไทยอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งอย่างหนัก รัฐบาลประชาธิปัตย์เข้ามาพร้อมกับการต่อต้านของขั้วตรงข้ามในนามกลุ่มคนเสื้อแดง ซึ่งเริ่มก่อรูปมาตั้งแต่หลังเหตุการณ์รัฐประหารรัฐบาลทักษิณ การเคลื่อนไหวของกลุ่มเสื้อแดงนั้นต้องการล้มล้างรัฐบาลประชาธิปัตย์และคืนอำนาจแก่อีกขั้วการเมืองเป็นหลัก


ดังนั้นรัฐบาลชุดนี้จึงต้องเผชิญกับการชุมนุมต่อต้านหลายครั้ง และบ่อยครั้งก็ได้พัฒนาไปถึงการจลาจล ซึ่งครั้งที่รุนแรงมากที่สุดก็คือการเผาเมืองพฤษภาคม2553 ถึงแม้ว่าแก่นแกนของการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงอยู่ที่พ.ต.ท. ทักษิณ โดยมีแนวร่วมหลายส่วนที่เกี่ยวกับขบวนการเรียกร้องความเป็นประชาธิปไตย ความเท่าเทียมทางสังคม ฯลฯ



ดังนั้นขบวนการคนเสื้อแดงจึงกลายเป็นขบวนการที่ใหญ่และใหญ่มากยิ่งขึ้น ในขณะที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ก็เกิดอาการฝ่อ และเลือกที่จะสร้างความปรองดองกับขบวนการเสื้อแดงโดยการย่ำยีหลักการของกฎหมาย ตั้งแต่การที่รัฐบาลไปเป็นแกนเคลื่อนไหวในการประกันตัวบรรดาแกนนำ ตลอดจนการละเว้นการติดตามทางคดีของผู้ก่อการเผาสถานที่ราชการ เอกชน ทำลายและปล้นทรัพย์สินในช่วงเหตุการณ์จลาจล การย่ำยีกฎหมายคือการสร้างความแตกแยกอันบาดลึก แต่เป็นที่สงสัยกันอยู่ว่าทั้งนี้เป็นไปก็เพื่อจะลอยตัว รักษาอำนาจ และสามารถเป็นรัฐบาลต่อไปได้เรื่อย ๆ หรือเปล่า



5.   สิ่งที่เกิดขึ้นกับเหตุการณ์เขาพระวิหารแสดงให้เห็นถึงธาตุแท้ของพรรคประชาธิปัตย์ได้อย่างชัดเจน เพราะสิ่งที่นายกอภิสิทธิ์ได้เคยอภิปรายโจมตีในการยื่นยัตติไม่ไว้วางใจนายนพดล ปัทมะอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศในรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวชเกี่ยวกับบูรณภาพเหนือดินแดนรอบตัวปราสาทเขาพระวิหาร กลับกลายเป็นสิ่งที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ดำเนินการเหมือนกับรัฐบาลพรรคพลังประชาชนและตรงกันข้ามกับสิ่งที่ตัวเองพูดไว้ในสภาอย่างสิ้นเชิง


หมายความว่าพรรคประชาธิปัตย์สามารถที่จะพูดอะไรก็ได้เพื่อให้เกิดโอกาสในการที่ตัวเองจะสามารถพลิกผันขึ้นมาถือครองอำนาจรัฐอย่างนั้นหรือ และผลของการบริหารประเทศเกี่ยวกับเรื่องนี้ยังได้ทำให้ประเทศไทยดูเหมือนไร้เกียรติไร้ศักดิ์ศรี ตกเป็นเบี้ยล่างของบรรดาประเทศเพื่อนบ้าน จนในที่สุดประเทศไทยก็จะต้องสูญเสียอธิปไตยเหนือดินแดนไปด้วยเหตุผลของความโง่เขลาหรือการมีผลประโยชน์ต่างตอบแทนก็สุดแล้วแต่ที่จะคาดเดาได้ ซึ่งความเป็นจริงแล้วถ้าศึกษากันดี ๆ ก็จะเห็นได้ว่าพรรคประชาธิปัตย์ดำเนินการเยี่ยงนี้ทำให้ประเทศชาติและสังคมไทยสูญเสียมาหลายครั้ง



ล่าสุดก็ครั้งที่ประเทศมีวิกฤติเศรษฐกิจ รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์กับกรณี ป.ร.ส. ขายหนี้ของบรรดาไฟแนนซ์ที่รัฐบาลสั่งปิดลงไปให้กับบรรดากองทุนต่างชาติ จนทำให้ต่างชาติสามารถกอบโกยผลกำไรอันมหาศาลไปจากสังคมไทย ทิ้งไว้กับกองศพของคนล้มละลายเป็นจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนชั้นกลาง ผู้ประกอบการขนาดเล็กและขนาดย่อม ผลจากการบริหารเศรษฐกิจของรัฐบาลครั้งนั้น ทำให้ธนาคารเกือบทุกธนาคารในประเทศไทยต้องตกเป็นของต่างชาติในที่สุด หรือที่คนทั่ว ๆ ไปเค้าเรียกว่าเสียเอกราชทางการเงินนั่นเอง


ด้วยเหตุผลเบื้องต้นเพียง 5 ประการนี้ ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยมีอุดมการณ์อะไรเพื่อประโยชน์ของประชาชนและสังคมไทย พรรคจึงเป็นเพียงมายาภาพหลอกลวงคนที่สิ้นหวังกับการเมืองไทยในชั่วขณะหนึ่ง ๆ เท่านั้น


ทุกวันนี้เราจะได้เห็นทั้งนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีแข่งกันขึ้นป้ายประชาสัมพันธ์ผลงานกันอย่างบ้าคลั่ง สมกับเป็นการเชิดปี่กลองสู้ศึกในเทศกาลเลือกตั้ง  แต่กลับไม่เห็นรู้สึกถึงผลงานที่ออกมาอย่างกับในป้ายโฆษณาแต่อย่างใด ป้ายโฆษณาเหล่านี้กลับเป็นสิ่งที่ตอกย้ำให้ผู้คนซึ่งได้รับความลำบากทั้งชาวไร่ชาวนาที่ถูกกดราคาสินค้าเกษตร ทั้งคนชั้นกลางที่ถูกขูดรีดภาษีอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทั้งกับผู้บริโภคทั่วไปที่ถูกตีหัวจากราคาสินค้าที่ปรับขึ้นอย่างไม่เป็นธรรม ได้รู้สึกเจ็บแค้นอย่างเหนือคำบรรยาย ผมเป็นคนไทยคนหนึ่งซึ่งหมดศรัทธาต่อพรรคประชาธิปัตย์ และประสงค์ที่จะลาออกจากสมาชิกพรรคนับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
    
จึงเรียนมาเพื่อทราบ
พรรษิษฐ์ ต่อสุวรรณ
ptorsuwan@yahoo.com

มติชนออนไลน์ วันที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2554 เวลา 12:14:37 น.

วันอาทิตย์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

โรคไตคร่าชีวิต สส.เพื่อไทย สถาพร มณีรัตน์ แกนนำแดงลำพูน





<>
ภาพอดีต - นายสถาพร มณีรัตน์ ส.ส.ลำพูน เขต 2 พรรคเพื่อไทย เสียชีวิตแล้วจากโรคไต เมื่อวันที่ 14 ก.ค. ภาพนี้ถ่ายเมื่อครั้งเดินทางมารายงานตัวที่รัฐสภาหลังได้รับเลือกตั้งเมื่อปี 2554 พร้อมหาบลำไย หัวหอม และกระเทียม
























สิ้นส.ส.สถาพร มณีรัตน์ ส.ส.ลำพูน พรรคเพื่อไทย หลังป่วยด้วยโรคมะเร็งและโรคไตนานนับปี เตรียมเคลื่อนศพจากโรงพยาบาลมหาราชเชียงใหม่ มาบำเพ็ญกุศลที่บ้านเกิด อ.บ้านธิ จ.ลำพูน วันนี้ ด้านกกต.เตรียมจัดเลือกตั้งซ่อมภายใน 45 วันตามกฎหมายกำหนด คาดใช้วันที่ 26 ส.ค. แต่รอที่ประชุมกกต.หารือจันทร์นี้ก่อน เผยประวัติเป็นประธานสหภาพแรงงานกฟผ.ก่อนลงเล่นการเมือง เป็นส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคไทยรักไทย แล้วเป็นส.ส.ลำพูน 3 สมัย รวมทั้งแกนนำเสื้อแดงด้วย



เมื่อวันที่ 14 ก.ค. รายงานข่าวว่า นายสถาพร มณีรัตน์ ส.ส.เขต 2 ลำพูน พรรคเพื่อไทย เสียชีวิตลงแล้วด้วยโรคไตและโรคมะเร็ง เมื่อเวลา 13.00 น. ที่โรงพยาบาลมหาราช เชียงใหม่ หลังจากเข้ารับการรักษาอาการเจ็บป่วยจากโรคไตก่อนหน้านี้ ทั้งนี้ ศพของนายสถาพรยังอยู่ที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ โรงพยาบาลมหาราช เชียงใหม่ มีกำหนดเคลื่อนศพในวันที่ 15 ก.ค. เวลา 08.00 น. เพื่อมาประกอบพิธีกรรมทางศาสนาที่วัดสันทราย หมู่ 5 ต.บ้านธิ อ.บ้านธิ จ.ลำพูน โดยจะมีพิธีรดน้ำศพในเวลา 15.00 น.



สำหรับประวัติของนายสถาพร เกิดเมื่อวันที่ 20 เม.ย. 2505 ที่ จ.ลำพูน จบการศึกษาจากวิทยาลัยเทคนิคลำพูน ปริญญาตรีนิติศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ปริญญาโทรัฐศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์



เรื่องทำงานการเมืองเป็นส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคไทยรักไทย โฆษกกระทรวงพลังงาน และกรรมาธิการสวัสดิการสังคม เมื่อปี 2548 ตัดสินใจลงเลือกตั้งระบบแบ่งเขต เป็นส.ส.ลำพูน เขต 3 พรรคไทยรักไทย ต่อมาเป็นส.ส.ลำพูน พรรคพลังประชาชน และพรรคเพื่อไทยตามลำดับ และยังเป็นแกนนำเสื้อแดงในจ.ลำพูนด้วย



ทั้งนี้ ก่อนเข้ามาทำงานทางการเมืองนายสถาพรเคยดำรงตำแหน่งเป็นประธานสหภาพแรงงานการไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ และเคยรณรงค์ต่อต้านการแปรรูปรัฐวิสาหกิจมาก่อน



ด้านนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า ทราบเรื่องนายสถาพรเสียชีวิตแล้ว โดยเตรียมนำศพไปประกอบพิธีกรรมที่วัดสันทราย อ.บ้านธิ จ.ลำพูน ซึ่งเป็นบ้านเกิด เบื้องต้นน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกฯ และกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทยรับทราบแล้ว ทั้งนี้ นายสถาพรมีอาการป่วยมานานแล้ว ตั้งแต่ลงสมัครรับเลือกตั้ง ส่วนสาเหตุการเสียชีวิตยังไม่ทราบ ต้องรอให้แพทย์เป็นผู้แถลงอีกที อย่างไรก็ตาม เมื่อนายสถาพรเสียชีวิตลงไปแล้วตามกฎหมายการเลือกตั้งจะให้มีการเลือกตั้งใหม่ตามกรอบระยะเวลาที่กำหนด แต่ยังไม่ควรพูดเรื่องดังกล่าว เพราะยังอยู่ในช่วงโศกเศร้าเสียใจของญาติพี่น้องอยู่



นายประพันธ์ นัยโกวิท กกต.ด้านกิจการบริหารงานเลือกตั้ง กล่าวว่า ตามกฎหมายกำหนดว่าหากตำแหน่งส.ส.ว่างลง เนื่องจากส.ส.เสียชีวิต จะต้องเลือกตั้งใหม่ภายใน 45 วัน นับจากวันเสียชีวิต ซึ่ง กกต.จะนัดประชุมพิเศษในวันที่ 16 ก.ค.นี้ เพื่อกำหนดวันเลือกตั้งซ่อมในเขตดังกล่าว และเสนอต่อ ครม.ให้ออกพระราชกฤษฎีกากำหนดวันเลือกตั้ง โดยเบื้องต้นคาดว่าจะเป็นวันที่ 26 ส.ค. ส่วนวันประกาศรับสมัครเลือกตั้งจะต้องรอกำหนดวันเลือกตั้งจริงก่อน ซึ่งจะใช้เวลา 15 วัน
ที่มา..วันที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 22 ฉบับที่ 7899 ข่าวสดรายวัน


.....................................................................................................

ขอแสดงความเสียใจต่อการจากไปของ
ท่าน ส.ส.นักสู้เพื่อประชาชน

วันศุกร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ตลก ของ ตลก



*** ตลก ที่ 1 ***

ศาลบอกบอกว่า ถ้าตั้ง สสร. แก้ทั้งฉบับ สภาจะ ต้อง (หรือ “ควร” ?) ไปถามประชาชนก่อน

ในขั้นแรก รัฐธรรมนูญ มาตรา 165 เองไม่ได้ให้อำนาจรัฐสภา
ไปทำประชามติถามประชาชน
ผู้ที่จะทำประชามติได้ คือ คณะรัฐมนตรี
แล้ว ศาลจะให้ ‘ฝ่ายบริหาร’
ไปก้าวล่วงถามเรื่องแก้รัฐธรรมนูญแทน ‘ฝ่ายนิติบัญญัติ’ กระนั้นหรือ ?

หรือศาลจะให้สภา ไปตรากฎหมายที่ ‘เล็กกว่า’ รัฐธรรมนูญ
มาขอทำประชามติแก้รัฐธรรมนูญ ‘ที่ใหญ่กว่า’ ?

แล้วตอนไปถามประชาชน จะให้ถามว่าอะไรครับ จะให้เลือกระหว่าง

ก. เลือกเก็บ รธน 2550 ทั้งฉบับไว้

กับ

ข. เลือกร่างใหม่ ที่ยังไม่ทันได้ร่าง

แล้วจะให้ประชาชนเลือกอย่างไร ? ในเมื่อตัวเลือกมันยังไม่มีให้เลือก ?

*** ตลก ที่ 2 ***

ศาลบอกว่า แก้ทั้งฉบับ ต้องถามประชาชนก่อน

แต่แก้ทีละมาตรา ไม่ต้องถามประชาชน

สรุปถ้า จะแก้ทีละมาตรา ทั้งหมดซัก 300 มาตรา
สรูป สภาทำได้ ไม่ต้องถามประชาชน ?

ตรรกะนี้ ผิดเพี้ยน มาก เอาคำหรู เช่น
“อำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญ” มาอ้าง ก็ไม่ได้ช่วยให้มีตรรกะแต่อย่างใด

*** ตลก ที่ 3 ***

หลังศาลอ่านคำวินิจฉัย โฆษกศาลแถลงว่า
ข้อกฎหมายที่ศาลวินิจฉัย คือ มาตรา 68
สรุปว่าไม่ได้มีการล้มล้างการปกครองฯ แต่พอถูกนักข่าวถามว่า
ศาลวินิจฉัยเรื่อง มาตรา 291 ว่าห้ามแก้ไขทั้งฉบับ
หรือไม่ โฆษกกลับตอบว่า เป็นข้อเสนอแนะ เป็นความเห็น
หากรัฐสภาดำเนินการต่อ ต้องรับผิดชอบเอง

แล้วสรุป ถ้าจะ ยกคำร้อง แล้ว จะยึกยัก
แสดงความเห็นนอกประเด็นไปเพื่อเหตุใด ?



*** ผมย้ำอีกครั้งว่า ***

ประเด็นของคดีนี้ คือ มาตรา 68 ไม่ใช่ มาตรา 291
ศาลจึงไม่มีอำนาจไปก้าวล่วงว่า มาตรา 291 แก้ไขอย่างไร


ขนาดสมัยประชาธิปัตย์แก้รัฐธรรมนูญทีละมาตรา
แล้วเพื่อไทยนำไปร้องศาลตาม มาตา 154 ศาลยังปฏิเสธคำร้องเพื่อไทย
บอกว่า มาตรา 291 เป็น “เรื่องเฉพาะ”
ที่สภาต้องดำเนินการสามวาระ ศาลไม่เข้าไปก้าวล่วง


มาตรา 291 กำหนดว่า เมื่อพ้น 15 วัน
หลังลงมติวาระ 2 ไปแล้ว สภามี “หน้าที่ตามกฎหมาย” ต้องเดินต่อไปยัง วาระ 3


ดังนั้น เมื่อศาลวินิจฉัยแล้วว่า คดีนี้ไม่ขัด มาตรา 68
รัฐสภาต้องเดินหน้าต่อวาระสามตามที่ มาตรา 291 กำหนดไว้
รัฐสภาจะนำความเห็นหรือข้อเสนอแนะนอกคำวินิจฉัยไม่ได้


และหากประชาชนผู้รักประชาธิปไตยจะหลงตามศาลจนแตกเสียงกันว่า
จะเดินหน้าวาระ 3 หรือไม่ ก็จะน่าเสียดาย

ส่วนถ้าสภาเดินต่อวาระ 3 แล้วมีคนไปฟ้องซ้ำว่าขัดมาตรา 68
ศาลก็ต้องตอบให้ชัดเจนว่า ที่บอกว่า มาตรา 291
แก้ได้อย่างนั้นอย่างนี้ เป็น
“ความเห็น” ของศาล แต่ไม่ใช่ “คำวินิจฉัย”

เพราะคำวินิจฉัย วันศุกร์ที่ 13 นี้
มีผูกพันเพียงประการเดียว คือ “ยกคำร้อง” !




http://www.siamintelligence.com/joke-of-court/


.................................................................................

ที่มา..ไทยฟรีนิวส์..
โดย  ice angel Administrator ตาสว่าง *****

.................................................................................

ตลกจริงๆ
ครับพี่น้อง วันนี้เป็นวันของ
ตลกจริงๆ

๒๔ มิถุนา' ล้มศักดินา สถาปนาการปกครอง ฉลองรัฐธรรมนูญ



ล้มศักดินา สถาปนาการปกครอง ฉลองรัฐธรรมนูญ
     



Posted Image     


























ที่มา  http://rungsira.blogspot.com/


..................................................................



ไม่รู้จะทำอย่างไรดีกับประเทศ ที่มีคนกลุ่มหนึ่งอ้างว่าตนสำคัญที่สุดในประเทศ ใครจะแตะต้องไม่ได้เลย

ผ่าดวงการเมืองหลัง'ศุกร์13'



ซ้าย-กรหริศ บัวสรวง

กลาง-โสรัจจะ นวลอยู่

ขวา-พ.ต.อ.อรรถวิโรจน์ ศรีตุลา
มีความเห็นหลากหลายเกี่ยวกับ 'ศุกร์ที่ 13' ซึ่งตรงกับวันที่ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยคำร้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 291 เป็นการล้มล้างการปกครองหรือไม่



บ้างก็ว่าเป็นศุกร์สยองขวัญ บ้างว่าเป็นวันดี เป็นวันธงชัย



แต่บางคนไม่เชื่อเรื่องอาถรรพ์ตัวเลข บางคนมองว่าไทยเป็นเมืองพุทธเชื่อเรื่องทำดี ได้ดี



ในมุมมองของนักโหราศาสตร์ที่ทำนายจากดวงดาว ซึ่งมีสถิติเป็นตัวชี้วัด



มีคำทำนายเรื่องศุกร์ 13 และสถานการณ์บ้านเมืองจาก นี้ไป





กรหริศ บัวสรวง



วันที่ 13 ก.ค. ที่จะถึงนี้จะเกิดลักษณะพิเศษของดาวมฤตยู เนื่องจากดาวมฤตยูจะโคจรวิปริตในวันนั้นในช่วงเวลา 16.49 น. พอดี โดยเป็นในลักษณะที่ดาวมฤตยูพักรองศาแล้วเล็งมายังดาวเสาร์และดาวอังคาร



ดาวเสาร์และดาวอังคารเป็นคู่ศัตรูที่ร้ายแรงที่สุด ซึ่งจะนำไปสู่การนองเลือด การปะทะกัน ก่อให้เกิดไฟไหม้ แผ่นดินไหว และก่อให้เกิดการติดขัดทางเครื่องบินหรือเครื่องบินตก



ระหว่างนี้ก่อนที่ดาวเสาร์จะย้ายในเดือนก.ย. 2555 จึงถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของรัฐบาลว่าจะอยู่หรือไป



อีกทั้งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ดาวมฤตยูโคจรวิปริต ซึ่งนานๆ จะเกิดขึ้น รวมถึงการวินิจฉัยจะลากยาวมาถึงเวลา 16.49 น. ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เกิดการวิปริตของดวงดาวขึ้น



ถือเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ จึงเชื่อได้ว่าจะเกิดอะไรสักอย่างขึ้น ทั้งเกิดสุญญากาศทางการเมือง หรือการยุบพรรค สรุปว่าผลจากการวินิจฉัยจะนำไปสู่การเปลี่ยนเเปลงครั้งใหญ่ทางการเมือง ซึ่งเหตุการณ์เช่นนี้จะเกิดจากอิทธิพลของมฤตยูที่ว่า



สถานการณ์ทางบ้านเมืองก็ยังอยู่ในสภาวะล่อแหลม ตราบใดที่ดาวมฤตยูยังคงเล็งกับดาวเสาร์ และดาวอังคาร สามารถเกิดการปฏิวัติรัฐประหารได้อย่างแน่นอน และดาวมฤตยูจะอยู่ในลักษณะนี้อีก 5 ปี จึงทำนายได้ว่าดวงเมืองไทยจะอยู่ในลักษณะนี้อีก 5 ปี จะฟื้นอย่างยิ่งใหญ่ในปีพ.ศ.2560



ต่อจากนี้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเชื่อได้เลยว่าเป็นเรื่องที่น่าวิตกกังวลในทุกๆ ด้าน ได้รัฐบาลไหนมาก็จะอ่อนแอ และทำอะไรได้ไม่เต็มที่



หลังเดือนก.ย.ที่ดาวเสาร์จะย้ายมาอยู่ในราศีตุล จะมาอยู่ในภพอริที่เล็งดวงเมือง ซึ่งเรียกว่าดวงแตก จะทำให้ดวงเมืองกับดวงของโลกเจอแต่เรื่องร้ายๆ เกิดทั้งภัยพิบัติ การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง การแตกแยกทางการเมือง



อีกทั้งดูจากดวงดาว เรื่องของการปรองดองไม่สามารถทำได้โดยนักการเมือง แต่ถ้าจะทำได้ต้องเริ่มจากประชาชนและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่ว่ารัฐบาลไหนมาทำเรื่องการปรองดองก็ไม่มีวันเกิดขึ้นได้



ส่วนรัฐบาลถ้าผ่านเรื่องนี้ไปได้ ก็จะมีเรื่องอื่นๆ อีก เพราะดาวเสาร์จะอยู่ในภพอริ ซึ่งดาวเสาร์มาจากตำแหน่งบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล จะทำให้รัฐบาลบริหารราชการแผ่นดินอย่างอยากลำบาก



และถึงแม้รัฐบาลจะใช้วิธีแก้เคล็ดด้วยการที่นายกฯ ไม่ตอบโต้ทางการเมือง ก็จะไม่ช่วยอะไรได้มาก เนื่องจากอิทธิพลของดวงดาวที่ว่าไว้



แต่ถ้าสถานการณ์นำไปสู่การนองเลือดของกลุ่มคนเสื้อแดง เช่น คนเสื้อแดงที่ไม่พอใจคำพิพากษาของศาลจุดชนวนด้วยการเผาศาลจนนำไปสู่การจลาจล ทหารก็ต้องออกมาเพราะตอนนี้ดาวอังคารซึ่งเป็นดาวของทหารเป็นมหาจักร



และจากการที่มองไว้ในวันที่ 24-25 ก.ค. ที่จะถึงนี้ จะเกิดเหตุการณ์จนนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอย่างใดอย่างหนึ่ง



อย่างไรก็ตาม ถ้าผลสุดท้ายเเล้วศาลตัดสินออกมาเป็นประโยชน์กับรัฐบาล รัฐบาลก็อยู่ได้ไม่เกินเดือนส.ค. เพราะพอเดือนก.ย.จะเป็นดวงแตก ซึ่งมี 2 อย่างที่มองจากดวงแล้ว คือรัฐบาลน่าจะยุบสภา หรือลาออก



อย่างไรก็ตามมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างแน่นอน





โสรัจจะ นวลอยู่

ประเทศไทยเวลานี้จะเกิดความแตกร้าวอย่างรุนแรง ทำให้หัวหน้ารัฐบาลต้องเผชิญกับความยุ่งยาก ขณะเดียวกันความยุ่งยากทางการเมืองก็ยิ่งย้ำความร้าวฉานให้มากขึ้น



และยังจะมีเหตุร้ายแรงกับพรรค การเมืองเก่าแก่พรรคหนึ่งของประเทศไทย



ซ้ำร้ายดาวมฤตยูแห่งการปฏิวัติยังคงโคจรอยู่ในภพวินาศกับดวงเมือง เป็นการยืนยันให้เห็นถึงความเสื่อมอำนาจของผู้นำ เรื่องน่าเป็นห่วงในเวลานี้คงหนีไม่พ้นความขัดแย้ง



คดีการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ศาลกำลังจะตัดสินในวันที่ 13 ก.ค. ก็ยังคงเป็นเรื่องที่ยุ่งมาก



ปีนี้ประเทศไทยยังคงพบกับเรื่องร้ายแรงหลายเรื่อง ทั้งความขัดแย้งระหว่างสีต่างๆ นักการเมืองและพรรคต่างๆ และเป็นความขัดแย้งที่หาจุดจบได้ยาก จนอาจเกิดเป็นการนองเลือด จึงอยากแนะนำให้ทุกคนใจเย็นๆ หันหน้าเข้าหากันและทำบุญกันเยอะๆ



อยากฝากเตือนรัฐบาลว่าควรจะฟังประชาชนด้วย ทำการอะไรก็ควรไตร่ตรองให้รอบคอบ เพราะดวงเมืองในปีนี้มีส่วนที่อาจทำให้เกิดความผิดพลาดขึ้นได้



ดาวเสาร์ยังคงเป็นอริกับดวงเมืองให้ระวังไว้ เพราะอาจเกิดอารมณ์ร้อนและมีการจับอาวุธลุกขึ้นสู้กันได้



ต่อจากนี้ไปนอกจากคดีที่ศาลรัฐธรรมนูญกำลังตัดสินนี้ ก็อาจจะมีเรื่องที่เกี่ยวกับกฎหมายและการศาลเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาอีก และอาจมีคดีความใหญ่ๆ ของบุคคลที่สำคัญๆ ตามมาทั้งปีจนถึงสิ้นปี



สิ่งที่น่าเป็นห่วงในปีนี้นอกจากเรื่องความขัดแย้งการเมืองแล้วยังมีเรื่องภัยพิบัติ น้ำท่วมที่จะใหญ่กว่าปีที่แล้ว จึงอยากเตือนให้รัฐบาลสนใจในเรื่องนี้ด้วย



อย่างไรก็ตามประเทศไทยมีพระสยามเทวาธิราชที่ยังคอยปกป้องคุ้มครองที่จะทำให้เราผ่านเรื่องนี้ไปได้ ทั้งนี้ทุกฝ่ายก็ต้องใจเย็นๆ กันด้วย





พ.ต.อ.อรรถวิโรจน์ ศรีตุลา

นายกสมาคมโหราศาสตร์

ดวงการเมืองปีนี้ร้อนแรงเป็นช่วงๆ โดยเฉพาะวันที่ 10 ธ.ค. 2555 ราหูกับดาวเสาร์จะเล็งดวงเมือง มีผลทำให้ดวงเมืองแตก การเมืองจะเกิดเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ อาจจะเริ่มตั้งแต่เดือนก.ย. ด้วยซ้ำ



แสดงว่าถึงเวลาแล้วที่จะต้องมีการปรับปรุง ถ้ารัฐบาลรู้ทันก็จะเอาตัวรอดได้ วิธีการเอาตัวรอดของรัฐบาล ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงภายใน เช่น ปรับครม. ปรับปรุงกฎหมายต่างๆ ปรับการบริหาร รวมไปถึงการแก้ไขปัญหาสังคม ปัญหาชายแดนภาคใต้ และเตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นอีกช่วงเดือน ก.ย.-ต.ค.



ในระยะใกล้ การเมืองมีการเปลี่ยน แปลงเพียงเล็กน้อย มีการต่อล้อต่อเถียงกัน หรือปรับปรุงกฎหมายเล็กๆ น้อยๆ ขณะที่การเดินขบวนยังมีอยู่ แต่ไม่มีเหตุรุนแรง จนกว่าจะถึงช่วงวันที่ 10 ธ.ค.



การตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ วันที่ 13 ก.ค. นี้ จะมีฝ่ายหนึ่งกะร่อกะแร่ ต้องมีการเปลี่ยนแปลงอะไรอย่างหนึ่ง แต่บอกไม่ได้ว่าเป็นฝ่ายใด



สถานการณ์บ้านเมืองตอนนี้ความรุนแรงจะชัดมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าไม่เปลี่ยนแปลงหรือเตรียมการอะไรไว้ ต่อไปบ้านเมืองจะเข้าสู่วิกฤต ระยะนี้รัฐบาลและฝ่ายค้านต้องเริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเองทีละเล็กละน้อย จะได้ผ่อนหนักเป็นเบา



บ้านเมืองเดินมาถึงขณะนี้แล้วยากที่จะปรองดอง มีจุดบอดที่รัฐบาลต้องแก้ไข ถ้าปล่อยให้ยืดเยื้อขยายวงกว้างออกไปรัฐบาลจะถึงจุดจบ 100 เปอร์เซ็นต์



เพื่อป้องกันความรุนแรง รัฐบาลต้องค่อยๆ ปรับ ค่อยๆ เปลี่ยน เช่น การแก้รัฐธรรมนูญ รัฐบาลควรค่อยๆ ทำไปทีละนิด ถ้าลุยทำไปเลยทีเดียวจะเกิดปัญหา ถ้าไม่ทำตามที่ว่านี้ สุดท้ายจะมีการปฏิวัติล้มล้างรัฐบาลแบบเด็ดขาด



ถ้ารัฐบาลฉลาดและอยากอยู่ในตำแหน่งต่อ ต้องชะลอประเด็นร้อนๆ ไว้ก่อน และเมื่อถึงวันที่ 10 ธ.ค. รัฐบาลอาจชิงปฏิวัติตัวเองก่อนคือ ยุบสภา ก่อนที่จะถูกคนอื่นปฏิวัติ


ที่มาข่าว....วันที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 22 ฉบับที่ 7897 ข่าวสดรายวัน

............................................................................................................................................

ถ้ารัฐบาลฉลาดและอยากอยู่ในตำแหน่งต่อ  ต้องเลิกฟังพวกนั่งทางในนะครับ
เหตุการบ้านเมืองในปัจจุบัน รัฐบาลต้องฉลาดฟังเสียงของประชาชนที่เลือกท่านมาครับ
เพราะถ้าเขาไม่เห็นด้วย ท่านคงไม่มีโอกาสมานั่งเป็นรัฐบาลกันในเวลานี้...

...ถ้าเดือนกันยายนนี้ เป็นเดือนแตก ถึงขั้นรุนแรง อาจจะเร็วกว่าที่คิด รัฐบาลชุดนี้ อาจจะกลับเพราะทุกอย่างอาจจะจบลงด้วยดี....

ผมได้แต่คิด  คิดมานานแล้ว ...อยากจังว่าในอีกไม่กี่เดือนที่หมอดูทั้งหลายทำนายเดาไว้เป็นความจริง แล้วสมมุติว่า.. มีคนของพรรคแมลงสาป หลายคนโดนยิงตายแบบ เสธ.แดง รวมทั้ง พวกชั่วๆที่ออกมาปลุกระดมคนให้ออกมาล้มรัฐบาลนี้ ..... ทั้งหัวขาว หัวงอก หัวดำ หัวเถิก ทั้งหลาย ต้องพบจุดจบด้วยอุบัติเหตุเช่นนี้ ....บ้านเมืองคงจะสงบสุข เสียทีสินะ...ผมได้แต่คิดและจินตนาการไปเองนะครับ และเล่าสู่กันฟัง

ใครเจรจาลับ!?

คอลัมน์ ทิ้งหมัดเข้ามุม    สมิงสามผลัด
วันที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 22 ฉบับที่ 7897 ข่าวสดรายวัน



แค่ขยับตัวก็โดนจับผิดอีกแล้ว k

ตามคิววันนี้ นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร บินไปกล่าวสุนทรพจน์ต่อนักธุรกิจสหรัฐอเมริกาในการประชุมฟอรั่มธุรกิจอาเซียนที่กัมพูชา

ก็โดนฝ่ายตรงข้ามค่อนแคะว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อนบ้าง เจรจาธุรกิจให้พี่ชายบ้าง

ทั้งที่ กระทรวงต่างประ เทศยืนยันแล้วว่าการเยือนกัมพูชาครั้งนี้ นายกฯยิ่งลักษณ์ ได้รับเชิญไปในฐานะ "แขกพิเศษ" นางฮิลลารี คลินตัน รมว.ต่างประเทศ สหรัฐอเมริกา

ไม่ใช่อยู่ๆ ก็บินไปเอง

นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกปชป.แถลงให้จับตาให้ดี

อาจมีการเจรจาลับเรื่องพลังงานในพื้นที่ทับซ้อน

อาจมีการเจรจาลับกับสหรัฐแลกกับวีซ่า 10 ปีของ พ.ต.ท.ทักษิณ

แม้แต่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าปชป.ถึงกับบอกว่า "ไม่ใช่วาระปกติ"

เพราะทักษิณเคยประกาศว่าสนใจลงทุนเรื่องธุรกิจพลังงานในพื้นที่ทับซ้อน

ก้าวไม่พ้นทักษิณเหมือนเดิม!?

ก็ไม่เป็นไร เป็นสิทธิ์ของของปชป.ที่จะตรวจสอบรัฐบาล

แต่ไม่อยากให้มองว่ารัฐบาลนี้ต้องทำอะไรเป็นเรื่องลับๆ เสมอ

เพราะมีตัวอย่างในอดีตกรณีของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ที่แอบบินไปเจรจา "ลับ" ถึง 3 ครั้งที่กัมพูชา-คุนหมิง-ฮ่องกง

โดย สมเด็จฮุนเซน นายกฯ กัมพูชาเป็นคนเปิดโปงเรื่องลับนี้เอง

ระบุว่าสมัยที่นายสุเทพเป็นรองนายกฯ เคยไปกินแกงเลียง ฝีมือภริยาฮุนเซนถึงที่บ้าน

ขอเจรจาลับเกี่ยวกับบล็อกน้ำมันในทะเล

บอกด้วยว่านายอภิสิทธิ์มอบหมายมา และต้องการเจรจาให้จบในสมัยรัฐบาลปชป. แต่นายกฯ ฮุนเซนไม่เจรจาด้วย

เป็นการยืนยันถึงการเจรจาลับในยุคนั้น

ส่วนการออกมาวิพากษ์นายกฯ ปูเตรียมบินไปเจรจาลับครั้งนี้

ลงเอยก็แค่จินตนาการอีกกระมัง

..........................................................................................................


สงสัยจริงครับว่า คนไทยเขาจะรู้เรื่องนี้กันมากมายแค่ไหนนะครับ
แล้วนายอภิสิทธิ์เคยตอบคำถามนี้กับใครหรือยังหนอ

วันเสาร์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2555

เผด็จการผวาบุคคลอันตราย พัลลพ-จตุพร-อภิวันทน์ ตั้งเงื่อนไขขอร้องยิ่งลักษณ์-ทักษิณ อย่าตั้งเป็นรัฐมนตรี


"มาร์ค"เทหมดหน้าตัก "ประชาธิปัตย์"สู้ตาย สัญญาณควัน"รัฐประหาร"

ถึงวันนี้ต้องถือว่าพรรคประชาธิปัตย์ ทุ่มหมดหน้าตักจริงๆ

ไม่ว่าจะเป็น "เกมในสภา" หรือ "เกมนอกสภา"

การขึ้นไปบนที่นั่งประธานสภาผู้แทนราษฎร ดึงแขน นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาของ นายอภิชาติ แพ่งสภา ส.ส.เพชรบุรี ถือเป็นภาพที่น่าตกใจแล้ว

การลากเก้าอี้ประธานสภาของ น.ส.รังสิมา รอดรัศมี ส.ส.สมุทรสงคราม ยิ่งน่าตกใจยิ่งกว่า

ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น หลายคนเชื่อว่าเป็น "อุบัติเหตุ" ที่เกิดจากอารมณ์ของ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์

แต่เมื่อเข้าวันที่ 2 ทันทีที่ นายสมศักดิ์ พยายามตัดบทเข้าสู่การลงมติ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ต่างเดินเข้ามาด้านหน้าและตะโกนประท้วงนายสมศักดิ์

ก่อนที่ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พิษณุโลก จะขว้างระเบียบการประชุมสภาใส่นายสมศักดิ์

และตามด้วยแฟ้มการประชุม

คนในแวดวงการเมืองเริ่มตั้งคำถามขึ้นมาทันที เพราะพรรคประชาธิปัตย์ที่เคยใช้สโลแกนในการหาเสียงว่า "เราเชื่อมั่นในระบบรัฐสภา" ไม่น่าจะเล่นเกมนี้

วันแรกที่ลงมืออาจมาจาก "อารมณ์" แต่เมื่อซ้ำอีกครั้งในวันที่สอง ด้วยท่าทีที่ "เถื่อน" และ "ดิบ" โดยไม่มี "ผู้ใหญ่" ในพรรคตำหนิหรือปรามลูกพรรค

คนจำนวนไม่น้อยจึงตั้งข้อสังเกตว่าพรรคประชาธิปัตย์ตั้งใจ

ตั้งใจทำให้อุณหภูมิสภาเดือด

เพราะเมื่อประสานกับ "ม็อบพันธมิตร" ที่อยู่นอกสภา อุณหภูมิการเมืองก็ร้อนฉ่าขึ้นมาทันที

และเมื่อการประชุมเรื่อง พ.ร.บ.ปรองดอง สิ้นสุดลง หลังจาก "ม็อบพันธมิตร" ล้อมสภา จน ส.ส.พรรคเพื่อไทย ไม่สามารถเข้าประชุมได้

แกนนำพรรคประชาธิปัตย์ประกาศทันที ว่าพร้อมจะสู้ทั้งในสภา และนอกสภา

การเปิดเวทีปราศรัยในวันที่ 2 มิถุนายน ที่ลานคนเมือง หน้ากรุงเทพมหานคร ประชันกับเวที "ความจริงวันนี้" ของ "คนเสื้อแดง" ที่ธันเดอร์โดม เมืองทองธานี

ด้านหนึ่ง คือ การประกาศว่า "ประชาธิปัตย์" เปิดเวทีนอกสภา สู้กับ "คนเสื้อแดง" ของพรรคเพื่อไทยแล้ว

ยิ่งแจกผ้าโพกหัว "สายล่อฟ้า" กับมวลชนที่มาชุมนุม ยิ่งแสดงว่าพรรคประชาธิปัตย์ เอาจริง

แต่อีกด้านหนึ่ง ถูกมองว่าพรรคประชาธิปัตย์เล่นเกมนอกสภา แบบ "แทงกั๊ก" คือ ไม่เล่นแรงเหมือน "คนเสื้อแดง" และ "ม็อบพันธมิตร"

แต่เป็นการสร้างกระแสมวลชนขึ้นมา ก่อนส่งมอบให้ "พันธมิตร" และกลุ่มเสื้อหลากสี

เพราะหลังจากการชุมนุมในวันนั้น "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" ออกมาโพสต์ข้อความแสดงความขอบคุณกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และกลุ่มเสื้อหลากสี

เป็นการเปิดทางสานไมตรีหลังจากเคยเปิดศึกกันแบบสาดเสียเทเสียเมื่อครั้ง "ประชาธิปัตย์" เป็นรัฐบาล

แต่วันนี้ เมื่อมี "ศัตรูร่วม" คือ "ทักษิณ ชินวัตร"

ทุกฝ่ายจึงเดินยุทธศาสตร์ "รักษาจุดร่วม-สงวนจุดต่าง"

กลืนน้ำลายที่เคยด่าประจานกัน มาจับมือร่วมกันอีกครั้งหนึ่ง

เป็นภาพที่ไม่ต่างจาก พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ที่เสนอ พ.ร.บ.ปรองดอง นิรโทษกรรมให้กับ "ทักษิณ"



ด้วยประวัติศาสตร์การเมืองที่ไม่นานจนคนลืม ทำให้คนหวนระลึกถึงประวัติศาสตร์การเมือง 2 ช่วงเวลา

ครั้งหนึ่ง คือ ช่วงท้ายรัฐบาล "ทักษิณ"

เมื่อ "ม็อบพันธมิตร" ก่อตัวขึ้น และขยายมวลชนได้อย่างรวดเร็ว จนในที่สุด "ทักษิณ" ตัดสินใจยุบสภา

พรรคประชาธิปัตย์ ประกาศไม่ส่งผู้สมัครรับเลือกตั้ง ทำให้การเมืองเดินมาสู่ "จุดอับ"

ก่อนที่ "ตุลาการภิวัฒน์" จะเริ่มทำงาน

และตามมาด้วยการรัฐประหารในวันที่ 19 กันยายน 2549

ครั้งที่สอง ในช่วงรัฐบาล "สมัคร สุนทรเวช" ต่อเนื่องถึง "สมชาย วงศ์สวัสดิ์"

เมื่อ "ม็อบพันธมิตร" ก่อตัวอีกครั้ง และกระบวนการตุลาการภิวัฒน์จัดการ "สมัคร" พ้นเก้าอี้นายกรัฐมนตรี ด้วยข้อหาทำกับข้าวออกทีวี

และตามมาด้วยการยุบพรรคพลังประชาชน ทำให้นายสมชายหลุดจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรี

เมื่อเกิดสุญญากาศทางการเมือง ทหารก็เดินเกมจัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร

เกมนี้มีพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำในการฟอร์มคณะรัฐมนตรี

การประสานระหว่าง "ม็อบ-พรรคการเมือง-ตุลาการภิวัฒน์" และ "กองทัพ" กลายเป็นเครือข่ายล้มรัฐบาลพรรคไทยรักไทย และพรรคพลังประชาชนถึง 2 ครั้ง

ดังนั้น เมื่อพรรคประชาธิปัตย์ขยับตัวเล่นเกมแรงในสภา และออกมาต่อยอดนอกสภา ทั้งชุมนุมที่ลานคนเมือง ถ่ายทอดสดผ่านสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมช่อง "บลูสกาย"

และติดป้ายโจมตีพรรคเพื่อไทยทั่วกรุง

ในขณะที่ "ม็อบพันธมิตร" กลับมาอีกครั้ง ตามด้วยกระบวนการตุลาการภิวัฒน์ ผ่านตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่พยายามหยุดยั้งการแก้ไขรัฐธรรมนูญในวาระที่ 3

แม้วันนี้ยังไม่มีเงาของ "กองทัพ" ออกมา

แต่สัญญาณควันเช่นนี้เอง จึงทำให้ นายก่อแก้ว พิกุลทอง แกนนำเสื้อแดงออกมาเล่นเกม "โยนก้อนหินถามทาง"

นายก่อแก้ว ปูดข่าวว่ามีการประสานงานมวลชนของกลุ่มพันธมิตร พรรคประชาธิปัตย์ และต่อสายไปยังนายทหารระดับสูงของกองทัพบก แต่ไม่ใช่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก

นอกจากนั้น ยังมีการล็อบบี้พรรคร่วมรัฐบาล และกลุ่ม ส.ว. ให้ร่วมสนับสนุนการตั้งรัฐบาลเทพประทาน ภาค 2 โดยมีคนของพรรคประชาธิปัตย์ อักษรย่อ "ส." เป็นผู้เดินเกม

จริงหรือไม่จริง ไม่รู้

แต่ "จินตนาการ" ดังกล่าว ก็ส่งต่อความรับรู้ไปสู่มวลชนแล้ว

ถ้าเกิดขึ้นจริงเมื่อไร ก็แสดงว่ามีการวางแผนไว้ล่วงหน้า



แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องไม่ลืม ก็คือ ทุกฝ่ายต่างมี "บทเรียน" จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

น.ส.ยิ่งลักษณ์ และแกนนำตัวจริงของพรรคเพื่อไทยส่วนใหญ่ จึงไม่มีใครดำรงตำแหน่ง "กรรมการบริหารพรรค"

เพราะรู้ว่าเกมยุบพรรคอาจเกิดขึ้นได้ผ่านกระบวนการตุลาการภิวัฒน์

ที่สำคัญ กลุ่มคนเสื้อแดงนั้นเติบใหญ่กว่าเดิมมาก ในขณะที่กลุ่มพันธมิตรลดจำนวนลงอย่างเห็นได้ชัด

แม้แต่การชุมนุมหน้ารัฐสภาเมื่อวันก่อน ถึงจะมากกว่าตอนประท้วงเรื่องเขาพระวิหาร แต่ก็ไม่ได้แน่นหนาเหมือนในอดีต

ยิ่งเมื่อเทียบเคียงกับ "คนเสื้อแดง" แล้ว ห่างกันมาก

ในขณะเดียวกัน ต้องไม่ลืมว่าคำว่า "สองมาตรฐาน" จุดติดขึ้นมาแล้ว ปรากฏการณ์นี้ย่อมแสดงว่าความขลังของ "ตุลาการภิวัฒน์" ลดต่ำลงเมื่อเทียบกับ 4-5 ปีที่ผ่านมา

นี่คือ ความเป็นจริงของวันนี้

การเดินเกมของพรรคประชาธิปัตย์ครั้งนี้ แม้จะมี "ตัวช่วย" มากมาย แต่ในมุมหนึ่ง คือการเดิมพันหมดหน้าตักของพรรคการเมืองที่ นายพิชัย รัตตกุล อดีตหัวหน้าพรรค เคยบอกว่ามีจุดขายสำคัญ คือ การต่อต้านเผด็จการทหาร

และมีสโลแกน ว่า "เชื่อมั่นในระบบรัฐสภา"

เดิมพันครั้งนี้สูงจริงๆ



(ที่มา : มติชนสุดสัปดาห์  ฉบับวันที่ 8-14 มิถุนายน 2555)
..............................................................................................................



พล.อ.พัลลพ ปิ่นมณี

จตุพร พรหมพันธุ์

พ.อ.ดร.อภิวันทน์ วิริยชัย


รายงานข่าวแจ้งว่า บุคคลดังต่อไปนี้ คือ พล.อ.พัลลพ ปิ่นมณี จตุพร พรหมพันธุ์ พ.อ.ดร.อภิวันทน์ วิริยชัย เป็นกลุ่มบุคคลที่ฝ่ายสี่เสาเทเวศร์และหมู่คณะ กลัวมาก มักหยิบยกเรื่องการแต่งตั้งรัฐมนตรีในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ขึ้นมาต่อรอง โดยตั้งเงื่อนไขไม่ให้เพื่อไทยตั้งบุคคลทั้งสามนี้มีตำแหน่งรัฐมนตรีในคณะรัฐบาล อย่างไรก็ตาม มีรายงานข่าวว่า เงื่อนไขเหล่านี้กำลังถูกยกเลิก พรรคเพื่อไทยไม่ทำตามเงื่อนไขนี้อีกต่อไป

ที่มา...โดย: อินไซด์ ไทยแลนด์  Facebook.com

.......................................

จริงหรือไม่ก็ติดตามกันต่อไป  แต่มันก็น่ากลัวอยู่นะครับ เพราะว่าคนทั้งสามนี้ประกาศชัดว่าจะรบกับเผด็จการแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน..ลึกๆกว่านั้น ก็ว่าจะไม่มีแผ่นดินซุกหัวด้วยหรือเปล่า เทือกเอ้ย..

วันพฤหัสบดีที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

สส.ปชป.กับบทบาท ถ่อยๆแบบโจรจอมเผด็จการ กร้าวร้าวรุกราน ข่มขู่

ฉาวโฉ่ จนน่าเอือมระอา กิริยาสถุนนักการเมืองไทย


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า
เมื่อเวลา 18.30 น. วันที่ 30 พฤษภาคม บรรยากาศการประชุมสภาผู้แทนราษฎร
เกิดความวุ่นวายขึ้นชนิดถูกค่อนขอดว่าเป็นศึกวันผู้ทรงเกียรติในคอนเซ็ปต์พ.ร.บ.ปรองดอง

ทีมงานขอลำดับเหตุการณ์ตะลุมบอนของส.ส.วุ่นวาย "เก้าอี้ประธานสภาผู้แทนราษฎร" กันอีกครั้ง



ฉาก 1 ระหว่างที่นายประชา ประสพดี ส.ส.สมุทรปราการพรรคเพื่อไทย
กำลังอภิปรายว่า เหตุใดที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์พูดจึงไม่มีเสียงโห่
แต่ทำไมที่คนอื่นพูดจึงมีเสียง “โห่ทำเหี้ยอะไร”

ฉาก 2 นายอภิชาติ สุภาแพ่ง ส.ส.เพชรบุรี พรรคประชาธิปัตย์
ได้ลุกขึ้นประท้วงนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎรทำหน้าที่การประชุมอยู่ในขณะนั้น
และสั่งให้นายประชาถอนคำพูด พร้อมนำเหี้ยออกจากห้องประชุม ซึ่งตนก็รู้แล้วว่าพูดแบบนี้ทำไมถึงถูก

ฉาก 3 นายสมศักดิ์ตัดบทโดยเร่งรัดให้ที่ปะชุมมี
การลงมติว่าจะเลื่อน ร่างพ.ร.บ.ปรองดองขึ้นมาพิจารณาก่อนหรือไม่
จึงทำให้บรรดาส.ส.จากพรรคประชาธิปัตย์เกิดความไม่พอใจและลุกขึ้นมา
และเดินไปยังบัลลังก์ซึ่งเป็นที่นั่งประธาน 

ฉาก 4 นายอภิชาต เดินเข้าไปประชิดตัวนายสมศักดิ์
และยกมือไหว้ 2 ครั้ง ก่อนดึงแขนให้ลุกออกจากเก้าอี้

ฉาก 5 นายพงศ์เวช เวชชาชีวะ ส.ส.จันทบุรี พรรคประชาธิปัตย์
เขย่าเก้าอี้เพื่อให้นายสมศักดิ์ ลุกจากเก้าอี้ด้วยอีกคน

ฉาก 6 เป็นบรรยากาศความวุ่นวาย
เมื่อทั้งส.ส.จากพรรคเพื่อไทยและประชาธิปัตย์ได้เข้ามารุมล้อมนายสมศักดิ์


ฉาก 7 ส.ส.พรรคเพื่อไทย อาทิ
นายพิชิต ชื่นบาน ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย มาโอบตัวเพื่อกันนายสมศักดิ์ไว้


ฉาก 8ส.ส.พรรคเพื่อไทยที่เหลือเป็นจำนวนมาก
ขึ้นมาปกป้องประธานบนบัลลังก์
ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจรัฐสภาต้องเร่งนำตัวนายสมศักดิ์ออกจากห้องประชุมไปอย่างเร่งด่วน
พร้อมสั่งพักการประชุมเป็นเวลา 15 นาที

ฉาก 9 ระหว่างพักการประชุมอยู่นั้น
บรรดาส.ส.พรรคเพื่อไทย และพรรคประชาธิปัตย์
ต่างจับกลุ่มพูดคุยการทำหน้าที่ของประธานสภา

ฉาก 10 ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ นำโดย
นายสาธิต ปิตุเตชะ ส.ส.ระยอง พร้อมด้วยส.ส.พรรค
ได้เดินเข้าไปที่เก้าอี้ของประธานสภา เพื่อไม่ให้ประธานกลับมาทำหน้าที่


ฉาก 11 น.ส.รังสิมา รอดรัศมี ส.ส.สมุทรสงคราม พรรคประชาธิปัตย์
ได้เดินเข้าไปถึงเก้าอี้ประธานและเก้าอี้รองประธานทั้ง 3 ตัว

ฉาก 12 ระหว่างที่ น.ส.รังสิมา กำลังดึงเก้าอี้ตัวที่ 2 นั้น
ปรากฏว่าส.ส.หญิงพรรคเพื่อไทย ที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่ นำโดย
นางเปล่งมณี เร่งสมบูรณ์สุข ส.ส.เลย พรรคเพื่อไทย
ได้เดินเข้ามาเพื่อที่จะแย่งเก้าอี้คืน

ฉาก 13 น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย
ตะโกนก่อนที่จะไปแย่งเก้าอี้ว่า “มากเกินไปหรือเปล่า”

ฉาก 14 มีการยื้อแย่งโดยนางเปล่งมณีและน.ส.ขัตติยา เข้าไปกระชากเก้าอี้
จากน.ส.รังสิมา ก่อน

ฉาก 15 นางกันตวรรณ ตันเถียร กุลจรรยาวิวัฒน์ ส.ส.พังงา พรรคประชาธิปัตย์
ได้เข้าไปช่วยเหลือน.ส.รังสิมา ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจรัฐสภาและส.ส.ชายพรรคประชาธิปัตย์เข้าไปห้าม
ทำให้นางเปล่งมณีหันมาขวางพร้อมโต้เถียงกับนางกันตวรรณ

ฉาก 16 นายพงศ์เวช เวชชาชีวะ ส.ส.จันทบุรี พรรคประชาธิปัตย์
ต้องเข้าไปห้ามนางเปล่งมณี

ฉาก 17 เจ้าหน้าที่ตำรวจสภาและส.ส.พรรคประชาธิปัตย์
พยายามกันกลุ่มบุคคลทั้งหมดออกจากห้องประชุมสภาไปอยู่บริเวณด้านหลังบัลลังก์
ซึ่งเป็นทางออกของประธานสภา ก่อนแยกย้ายไปจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
http://www.go6tv.com/2012/05/blog-post_30.html

ที่มาข่าว http://www.tfn5.info/board/index.php?topic=38597.0

.........................................................................

ไปติดตามชมและอ่านกันเองเลยครับแล้ว จะได้คำตอบ ข้างนอกมีม็อบ พธมที่จัดโดย ปชป.เช่นกัน ข้างในสภา ส.ส.ปชป. ทำตัวเป้นพวกก่อม้อบบุกยึดเก้าอี้ประธานสภา นี่หรือครับ พรรคการเมืองที่บอกว่า เป็นประชาธิปไตย ประชาธิปไตยแบบ ควายๆ น่ะสิครับแบบนี้  ต้นตอแห่งความแตกแยกและความรุนแรง เห็นกันชัดๆว่าใครพวกไหน เป็นคนเริ่ม ไอ้พวกพรรคการเมืองสาวกอำมาตย์...ไอ้พวกม้อบมีเส้น... ถ้าเป็นแบบนี้ เห็นด้วยนะครับถ้าจะแบ่งประเทศกันเลยดีกว่า อยู่ไปก็ยิ่งขัดแย้ง

เปิดคำพิพากษา ผอ.ประชาไท: มาตรฐาน ตัวกลาง-เสรีภาพ-ความมั่นคง


..................................................




ย่อคำพิพากษา
คดีหมายเลขดำที่ อ.๑๑๖๗/๒๕๕๓
                                                            ศาลอาญา
            วันที่ ๓๐ เดือน พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๕

ระหว่าง    พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด                                            โจทก์
            นางสาวจีรนุช   เปรมชัยพร                                                                 จำเลย
เรื่อง      ความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นผู้ให้บริการเว็บไซต์โดยเป็นผู้ดูแลเว็บไซต์ (Web master) ชื่อว่า ประชาไท (www.prachatai.com) จำเลยจงใจสนับสนุนหรือยินยอมให้มีการดำเนินการนำข้อความอันเป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์ ที่มีเนื้อหาเป็นการดูหมิ่นพระมหากษัตริย์  พระราชินี  รัชทายาท อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร จำนวน ๑๐ กระทู้ เข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งอยู่ในความควบคุมของจำเลย ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๑๔ , ๑๕ ประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๙๑
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานโจทย์จำเลยแล้วเห็นว่า ข้อความตามกระทู้ทั้งสิบมีลักษณะเป็นการดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร และมีการนำเข้าสู่ในเว็บบอร์ดของเว็บไซต์ประชาไท แต่โจทย์ไม่มีพยานหลักฐานว่าจำเลยจะเป็นผู้นำข้อความตามกระทู้ทั้งสิบดังกล่าวเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ หรือ จงใจ สนับสนุน ให้มีการกระทำความผิดดังกล่าว ในระบบคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในความควบคุมของจำเลย จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำความผิดฐานนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดๆ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.๒๕๕๐ มาตรา ๑๔ (๓) และฟังไม่ได้ว่าจำเลยจงใจ หรือสนับสนุน ให้มีการกระทำความผิดดังกล่าว ในระบบคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในความควบคุมของจำเลย ส่วนจะเป็นการ ยินยอม ให้มีการกระทำความผิดตามมาตรา ๑๔ ในระบบคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในความควบคุมของจำเลยหรือไม่นั้น เนื่องจากพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๑๕ มิได้บัญญัติไว้โดยชัดแจ้งเกี่ยวกับระยะเวลานับแต่เกิดการกระทำความผิดตามมาตรา ๑๔ ในระบบคอมพิวเตอร์ที่อยู่ความควบคุมของผู้ให้บริการว่า ควรมีระยะเวลานานเพียงใด กับมิได้กำหนดระยะเวลาในการแจ้งเตือนให้ผู้ดูแลเว็บไซต์ดำเนินการแก้ไขกรณีที่มีการนำเข้าข้อความที่ไม่เหมาะสมสู่ระบบอินเตอร์เน็ตของผู้ให้บริการ ซึ่งมีฐานะตัวกลางระหว่างผู้ใช้บริการในเครือข่ายอินเตอร์เน็ต เพื่อให้ผู้ให้บริการเว็บไซต์ดำเนินการปรับปรุงแก้ไขข้อมูลที่ไม่เหมาะสมที่ผู้ใช้บริการโพสต์หรือนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่ผู้ใช้บริการรับผิดชอบดูแลอยู่ หรือระงับการเผยแพร่ข้อมูลดังกล่าวไว้เพียงใด กรณีจะถือว่าผู้ให้บริการยินยอมให้มีการกระทำความผิดตามมาตรา ๑๔ ในระบบคอมพิวเตอร์ ที่อยู่ในความควบคุมของตน และต้องรับผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.๒๕๕๐ โดยทันทีหลังจากมีการนำเข้าข้อความที่ไม่เหมาะสมสู่ระบบอินเตอร์เน็ตของตัวกลางนั้นนับว่าไม่เป็นธรรมแก่ผู้ให้บริการในฐานะตัวกลางระหว่างผู้ใช้บริการในเครือข่ายอินเตอร์เน็ต แต่ผู้ให้บริการเองจะอ้างว่าไม่ทราบว่ามีการกระทำความผิดตามมาตรา ๑๔ ในระบบคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในความควบคุมของตนโดยมิได้คำนึงถึงภาระหน้าที่และความรับผิดชอบในฐานะเป็นผู้ดูแลเว็บไซต์ หรือ Web master ของผู้ให้บริการเองเพื่อให้หลุดพ้นจากความผิดดังกล่าว และทำให้บทบัญญัติตามกฎหมายไม่มีสภาพบังคับนั้น ย่อมไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมายที่บัญญัติไว้ดังกล่าว

ศาลเห็นว่าหากจำเลยมีความใส่ใจดูแลและตรวจสอบตามหน้าที่และความรับผิดชอบของจำเลยแล้ว ควรจะใช้เวลาในการตรวจสอบและพบเห็นตลอดจนนำข้อมูลที่ไม่เหมาะสมตามที่บัญญัติในมาตรา ๑๔ ดังกล่าวออกจากระบบคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในความควบคุมของจำเลยภายในระยะเวลาอันสมควรที่อาจจะพึงคาดหมายได้ว่าจำเลยรู้อยู่ว่ามีการนำข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่นำเข้าสู่ระบบโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย เพราะหากปล่อยเวลาให้เนินนานไปกว่านี้อาจมีการนำข้อความที่มีลักษณะเป็นการไม่เหมาะสมเผยแพร่ต่อไปไม่จบสิ้นจนก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ที่เกี่ยวข้องรวมทั้งเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศชาติได้ เมื่อปรากฏว่ากระทู้จำนวน ๙ กระทู้ ตามเอกสารหมาย จ.๒๓ ถึง จ.๓๑ อยู่ในกระดานสนทนาหรือเว็บบอร์ดที่จำเลยเป็นผู้ดูแล เป็นเวลา ๑๑ วัน ๑ วัน ๓ วัน ๒ วัน ๒ วัน ๑วัน ๓ วัน ๒ วัน และ ๑ วัน ตามลำดับ ซึ่งอยู่ภายในกรอบเวลาอันสมควรในการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยในฐานะเป็นผู้ควบคุมเว็บบอร์ด จึงมิอาจฟังได้ว่าจำเลยได้รู้ถึงการนำกระทู้ตามเอกสารหมาย จ.๒๓ ถึง จ.๓๑ ดังกล่าวเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในความควบคุมของจำเลย อันจะถือว่าเป็นการยินยอมให้มีการกระทำความผิดตามมาตรา ๑๔ ในระบบคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในความควบคุมของจำเลย ส่วนกระทู้ตามเอกสารหมาย จ.๓๒ นั้น ปรากฏว่าอยู่ในกระดานสนทนาหรือเว็บบอร์ดที่อยู่ในความควบคุมของจำเลยเป็นเวลาถึง๒๐วัน ซึ่งศาลเห็นว่า  เกินกำหนดเวลาอันควรที่จำเลยจะตรวจสอบพบตลอดจนนำข้อมูลที่ไม่เหมาะสมดังกล่าวออกจากระบบคอมพิวเตอร์ที่จำเลยเป็นผู้ดูแล จึงเป็นการงดเว้นไม่ปฏิบัติหน้าที่ของผู้ให้บริการภายในเวลาอันสมควร กรณีย่อมถือได้ว่าจำเลยให้ความยินยอมโดยปริยาย ในการนำข้อมูลที่ปรากฏในเอกสารหมายเลข จ.๓๒ เข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในความควบคุมของจำเลย เมื่อข้อมูลที่นำเข้าดังกล่าว มีลักษณะเป็นความผิดตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.๒๕๕๐ มาตรา ๑๔(๓) จำเลยในฐานะผู้ให้บริการในการนำเข้าสู่ระบบอินเทอร์เน็ต ย่อมมีความผิดฐานเป็นผู้ยินยอมให้มีการกระทำความผิดตามมาตรา๑๔ ในระบบคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในความควบคุมของจำเลย
ที่จำเลยนำสืบว่าหลังจากรัฐประหารมีผู้เข้าไปแลกเปลี่ยนความคิดเห็นบนเว็บบอร์ดของเว็บประชาไทมากขึ้น จึงได้เพิ่มมาตรการในการควบคุมดูแล โดยให้มีการตรวจสอบข้อมูลโดยเจ้าหน้าที่ของประชาไทกับให้มีอาสาสมัครที่เป็นสมาชิกที่ใช้บริการเว็บบอร์ดประชาไทเข้าไปตรวจสอบข้อมูลที่นำเข้าของเว็บประชาไท เมื่ออาสาสมัครท่านใดตรวจพบว่ามีข้อมูลที่สุ่มเสี่ยงหรือไม่เหมาะสมก็สามารถนำออกได้โดยไม่ต้องได้รับอนุญาตจากจำเลยก่อนนั้น ก็เป็นส่วนหนึ่งของการทำหน้าที่ของจำเลยในฐานะผู้ให้บริการแก่บุคคลอื่นในการเข้าสู่อินเทอร์เน็ท แต่ก็ยังไม่เพียงพอ ภาระหน้าที่ของจำเลยในการควบคุมดูแลมิให้มีการกระทำคงวามผิดตามมาตรา๑๔ ในระบบคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในความควบคุมของจำเลยมีอยู่เช่นใดก็ยังคงมีอยู่เช่นนั้นไม่เปลี่ยนแปลง
และส่วนที่ว่าเว็บไซต์ประชาไทเป็นโครงการหนึ่ง ภายใต้มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน จุดประสงค์เพื่อนำเสนอข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง มุ่งเน้นเรื่องสิทธิมนุษยชนและส่งเสริมประชาธิปไตยนั้น ศาลก็ยอมรับว่า สิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของพลเมืองซึ่งให้การรับรองและคุ้มครองไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกฉบับ เพราะเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นสะท้อนถึงธรรมาภิบาลและความเป็นประชาธิปไตยของประเทศหรือองค์กรนั้นๆ การวิพากษ์วิจารณ์จากประชาชนทั้งด้านบวกและด้านลบแล้ว ย่อมเป็นโอกาสในการนำไปปรับปรุงประเทศ องค์กร และตนเองให้ดียิ่งๆขึ้น แต่เมื่อจำเลยเปิดช่องทางให้มีการแสดงความคิดเห็นในระบบคอมพิวเตอร์ที่จำเลยเป็นผู้ให้บริการและอยู่ในความดูแลของจำเลย จำเลยย่อมมีหน้าที่ในการตรวจสอบข้อคิดเห็นหรือข้อมูลที่อาจกระทบกระเทือนถึงความมั่นคงของประเทศรวมทั้งเสรีภาพของผู้อื่นที่ต้องเคารพเช่นกัน เมื่อปรากฏว่าจำเลยยินยอมให้มีการนำข้อคิดเห็นหรือข้อมูล ตามที่ปรากฏอยู่ในเอกสารหมาย จ.๓๒ ลงในระบบคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในความควบคุมของจำเลยดังที่วินิจฉัยมาข้างต้น จำเลยจึงมิอาจอ้างถึงสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นดังกล่าวเพื่อให้หลุดพ้นจากความรับผิดได้
พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.๒๕๕๐ มาตรา ๑๕ ประกอบมาตรา ๑๔ (๓) ตามฟ้องข้อ ๑.๑๐ ลงโทษจำคุก ๑ ปีและปรับ ๓๐,๐๐๐ บาท ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่ การพิจารณา นับว่ามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ หนึ่งในสาม คงจำคุก ๘ เดือน และปรับ ๒๐,๐๐๐ บาท ไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน เพื่อให้จำเลยมีโอกาสเป็นพลเมืองดีของประเทศชาติ โทษจำคุกจึงให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด ๑ ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๖ ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙, ๓๐ ข้อหาและคำขออื่นให้ยก./
 




อ่านรายละเอียดคดีได้ที่
http://freedom.ilaw.or.th/th/case/112


AttachmentSize
ย่อคำพิพากษาคดีจีรนุช หน้า1.pdf611.65 KB
ย่อคำพิพากษาคดีจีรนุช หน้า2.pdf768.62 KB
ย่อคำพิพากษาคดีจีรนุช หน้า3.pdf807.97 KB
ย่อคำพิพากษาคดีจีรนุช หน้า4.pdf370.33 KB

วันอังคารที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

“เป็น “ฝ่ายค้าน” ไปนานๆ นะ...ไอ้พวกเอ็ง!!!”


วาทตะวัน สุพรรณเภษัช


        มเคยเล่าให้ท่านผู้อ่านฟัง ถึงเรื่องการที่รัฐบาลปัจจุบันแก้ปัญหา ที่เราเคยมีกับเพื่อนบ้านรอบประเทศ จนลุล่วงอย่างมีประสิทธิภาพยิ่ง สามารถคลี่คลายความขัดแย้งชายแดน ซึ่งนาย มาร์ค มุกควาย กับพรรคโลซกได้ก่อไว้ ตั้งแต่ครั้งร่วมมือกับทหาร แย่งอำนาจเข้ามาเป็นรัฐบาล
        จนถึงขั้น...ยิงปืนใหญ่ ถล่มใส่กันแบบไม่ยั้ง!
        เหตุการณ์ร้ายแรงที่ชายแดน ด้านตะวันออกของประเทศ ทำให้พี่น้องชาวไทยเดือดร้อนวุ่นวาย ต้องบาดเจ็บล้มตาย พลัดที่นาคาที่อยู่ แถมบางหมู่บ้านต้องมุดลงรูลงท่อ หลบลูกระเบิดกันวุ่นวาย รัฐต้องจ่ายเงินทำสงครามไป อีกหลายพันล้านบาท
        นี่ยังไม่นับ การสูญเสียเครื่องบินรบ ตระกูล F ซึ่งราคาแพงมากไปอีกสองลำ ท่ามกลางเสียร่ำลือว่า เป็นเพราะ..
        หลบ ป.ต.อ.เขมร จนชนกันเอง ชิบหายไปทั้งสองลำ!
        ใช่แต่แค่นั้นนะ...
        ส.ส.พรรคโลซก ยังยกพวกบุกรุกเข้าไป ในดินแดนกัมพูชา จนถูกจับกุมได้ ซึ่งทำให้ไทยต้องตกเป็นรองเขมร ในการเจรจาความเมืองในเวลาต่อมา เหตุเพราะมีคนไทยไปถูกจับ เป็น “ตัวประกัน” ค้ำอยู่นั่นเอง
        ยิ่งไปกว่านั้น...
        แม้อดีต ส.ส.กลับบ้านได้อย่างสะบักสะบอม โดยทิ้งให้นักเคลื่อนไหวสาย เถนรักษ์ “ผีบุญ” แห่งอาศรมสันติกะโหลก ที่เข้าไปในดินแดนเขมร พร้อมกับไอ้ส.ส.พรรคดักดานตัวแสบ อย่างไม่สนใจใยดี
        มิหนำซ้ำ ยังต้องรับโทษ “จำคุก” อีกด้วย!!
        โชคดีที่ประเทศไทย ได้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี ได้ทันท่วงที เพราะเพียงเธอดำรงตำแหน่งไม่กี่วัน เหตุการณ์ชายแดนด้านเขมร ได้คลี่คลายลงอย่างรวดเร็วอย่างเหลือเชื่อ
       
น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก!         ทหารไทยสามารถถอนกำลัง ออกจากการประจันหน้ากับกองทัพเพื่อนบ้าน ทั้งตัวนายและไพร่พล ได้กลับไปอยู่กับลูกเมียที่บ้านเพราะ สถานการณ์กลับคืนไปเป็นปกติดังเดิมแล้ว
        นี่คือสิ่งที่ไอ้ “รัฐบาลพรรคโลซก” มันไม่มีวัน ทำได้อย่างเด็ดขาด!
        สำหรับชายแดนทางด้านพม่า  ผมได้เขียนบทความ “ไอ้พวก ‘เงี่ยน’ ปฏิวัติ...พวกกู ไม่กลัว พวกมึง!!!”  (http://vattavan.com/detail.php?cont_id=349) เอาไว้ว่า
        ...‘แม่สอด’ ที่ปิดมากว่า 2 ปี ในยุครัฐบาลกาลีนั้น แค่นายกฯปูเข้ารับตำแหน่ง แค่สามเดือนเท่านั้น ด่านเปิดเรียบร้อยแล้ว คนไทยชายแดนหน้าตามีเลือดฝาด แจ่มใสไปตามๆกัน
        การค้าขายระหว่างกันที่ด่านสำคัญนี้ น.ส.พ. “ไทยรัฐ” ประมาณการว่าไม่ต่ำกว่า 1 แสนล้านบาทต่อปี นอกจากนั้น ยังมีการพิจารณาระหว่างสองประเทศ ถึงการเปิดด่านตามช่องทางอื่นๆอีกด้วย

       
ชาวบ้านร้านตลาดตามแนวชายแดน พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ช่างแตกต่างจากตอนไอ้พรรคกาลี มันบริหารบ้านเมืองยิ่งนัก เพราะไอ้รัฐบาลเวรตะไลนั่น มันทำให้บ้านเมืองของเรา         ต้องตกที่นั่งร้อนระอุ มิได้สร่างซาเลยทีเดียว!
        นี่เป็นผลงานชัดเจน ของรัฐบาลนายกปู แต่ก็น่าแปลกที่ผลงานดีมากๆทางด้านต่างประเทศ แต่รัฐบาลของนายกฯปู...         กลับเผยแพร่ความสำเร็จนี้ น้อยเหลือเกิน!         พี่น้องประชาชนคนไทย ไม่ค่อยทราบกัน กลับไปจำความหวาดกลัวนโยบายอัปรีย์ของรัฐบาลพรรคกาลีได้ เพราะเป็นที่รู้กันไปทั่วว่า ไอ้รัฐบาลโลซกนั้น มันเอาแต่...        “ทะเลาะกับเขมร เขม่นพม่า ด่าญวน กวนส้นตีนลาว”        รัฐบาลของนายกฯปู สามารถทำให้ชายแดนของประเทศ ที่รุ่มร้อนมานานหลายปี กลับสู่ความสงบสุขได้ ภายในระยะเวลาแสนสั้น         ผู้คนอนุโมทนา!         เมื่อทำสิ่งดีๆอย่างนั้นแล้ว รัฐบาลเองต้องรู้จักคัดเอาผลงานดีๆ ไปป่าวประกาศให้ผู้คนเขารู้กันให้ทั่ว แต่นี่กลับนิ่งเงียบ ปล่อยให้ไอ้พวกกาลี มันตีกินเอาข้างเดียว
        แค่ให้นายกฯปู ไปเดินตลาดแม่สอด คุยกับพ่อค้าแม่ขาย  ไต่ถามสารทุกข์สุขดิบ เท่านี้สื่อก็ตีข่าวกันกระฉ่อนแล้ว
        แนะนำกันไว้...แค่นี้แหละ!!
        นั่นคือ สิ่งที่ผมเขียนถึงอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก มาหลายสัปดาห์มาแล้ว
        าถึงวันนี้ แม้นายกฯปูยังไม่ทันจะไปเยี่ยมแม่สอด ตามคำแนะนำของผม แต่อานิสงส์ที่เธอทำให้ชายแดนเปิดได้ เป็นผลให้กลางเดือนที่ผ่านมา เมื่อมีการเลือกตั้ง อบจ.จังหวัดตาก ซึ่งเป็นจังหวัดที่พรรคฝ่ายค้านดักดาน มี ส.ส. ยึดครองไว้ถึง 3 คน เต็มตามอัตราศึก นั้น
        ผลการเลือกตั้ง กลับพลิกความคาดหมายไป อย่างน่าตื่นเต้น เพราะ...
        พรรคเจ้าถิ่นกลับเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ คนของพรรค “เพื่อไทย” อย่างราบคาบ ซึ่งเป็นลางร้ายของพรรคประชาธิเปรต ในการเลือกตั้งครั้งหน้า เห็นทีจะต้องสูญเสียฐานกำลังสำคัญ ที่เหลือโด่เด่อยู่เพียงจังหวัดเดียว ทางภาคเหนือตอนล่าง
        ยิ่งไปกว่านั้น ปัญหาความไม่ทุจริตโปร่งใส ของพรรคประชาธิเปรตเริ่มส่งกลิ่นเน่าเหม็นอย่างรุนแรง เพราะโครงการที่พรรคนี้เป็นหัวเรือในการดำเนินการ หรือมีส่วนพัวพัน ทั้งระดับชาติหรือระดับท้องถิ่นอย่าง กทม. กำลังขยายภาพ “ความชั่วร้าย” ออกมา
        ให้ประชาชนเห็นต่อเนื่อง ทีละเรืองสองเรื่อง!
        คนสำคัญของพรรคกาลี ที่มีรายชื่อจะขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคแทน นายมาร์ค มุกควาย อย่าง นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ก็เสียศูนย์ไป เหตุเพราะต้องลาออกจากตำแหน่ง ผู้ว่ากทม.ฯ สมัยที่ 2 เพราะเรื่องทุจริตในหน่วยงานแห่งนี้
     
   คนที่พรรคโลซกจะยกหัวหน้า อย่าง “บัง” อภิรักษ์ฯ ได้เข้าสู่กระบวนการพิจารณา ของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ไปเรียบร้อยแล้ว!         ดูไปแล้ว พรรคประชาธิเปรตนอกจากจะไม่ก้าวหน้าไปในทางดีแล้ว ยังกำลังจะ...
        หล่นไปสู่ “หุบเหว” แห่งความเสื่อมโทรมอีกด้วย!
        อยากจะเรียน ท่านผู้อ่านว่า
        ประชาชนชาวตากนั้น เขาเล็งเห็นแล้วว่า ตลอดระยะเวลาที่พรรคประชาธิเปรตมีอำนาจอยู่นั้น ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
ทรุดโทรมลงในทุกๆด้าน เพราะพรรคดักดานนี้ ใช้นโยบายที่ผมเคยเขียนเอาไว้ว่า
       
...เที่ยวพาลรีพาลขวาง หันไป “โกรธเขมร เขม่นพม่า ด่าญวน กวนส้นตีนลาว” ชวนทะเลาะกับเขา รอบโลก
        จนไม่มีใครอยากคบ!....

        ...ท่านผู้อ่าน คงเห็นภาพชัดเลย!!
        ด้วยเหตุนี้เอง พี่น้องชาวตากเขาได้รับความเดือดร้อน เพราะชายแดนปิด ทำมาค้าขายไม่ได้ แต่พอคุณปูเธอเข้ามาเป็นนายกฯเท่านั้น หนทางที่เคยตีบตัน กลับไหลลื่น เปิดโล่ง ทุกอย่างกลายเป็นทางสะดวกโยธินบูรณะ ไปเสียทั้งหมด
        การทำมาค้าขายชายแดน เจริญรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว นี่เองเป็นเหตุผลให้ ผู้คนในเมืองตาก ที่เป็นฐานสำคัญของพรรคประชาธิเปรต หันมาสนับสนุนพรรคเพื่อไทย จนชนะในการเลือกตั้ง ชนิดหักปากกาเซียนการเมือง ในการเลือกตั้งนายกฯ อบจ.
        ที่ชาวตากเปลี่ยนใจ กลับมามอบ “ชัยชนะ” ให้พรรคเพื่อไทยนั้น แสดงว่า... 
       
เรื่องปากเรื่องท้องนั้น สำคัญขนาดพลิกผลการเลือกตั้งได้เลย!        ยิ่งไปกว่านั้น...
        ที่ผู้คนไม่ค่อยทราบนัก นั่นคือ นอกจากการเปิดด่านชายแดนแล้ว ความมีเสน่ห์ในการเจรจาความเมือง ของนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ยังปักทรวงผู้นำพม่า ถึงกับยกเลิกการกีดกันสินค้าสำคัญ 15 รายการ เช่น
        ผงชูรส น้ำหวาน/เครื่องดื่ม(Soft drink) ขนมปังกรอบทุกชนิด (Biscuits) หมากฝรั่ง ขนมเค้ก ขนมเวเฟอร์ ช็อกโกแลต อาหารกระป๋อง (เนื้อสัตว์ และผลไม้) เส้นหมี่ทุกชนิด เหล้า เบียร์ บุหรี่ ผลไม้ทุกชนิด ผลิตภัณฑ์พลาสติกผงชูรส เครื่องกระป๋อง บะหมี่สำเร็จรูป เครื่องดื่มชูกำลัง เป็นต้น
        สินค้าเหล่านี้ สร้างประโยชน์โพดผลให้แก่พ่อค้าชาวไทย เงินทองจะหลั่งไหลเข้าประเทศอีกมากมาย เพราะมีพลเมืองพม่าอีกหนึ่งประเทศเต็มๆ จะมาเป็นลูกค้าสินค้าเครื่องบริโภค ที่ผลิตโดยบริษัทไทย
        ที่น่าตื่นเต้นมากคือ เพียงประกาศยกเลิกการกีดกันสินค้าสำคัญ แค่วันแรกเท่านั้น
       
สินค้าเกลี้ยงงงงงงงงงง....ตลาดแม่สอดเลย!         ใช่แต่ตลาดแม่สอดเท่านั้น เมืองชายแดนอื่นที่ติดต่อกับพม่า ไม่ว่าจะเป็นแม่สาย เชียงราย สินค้าที่ได้รับการยกเลิกการนำเข้าจากเพื่อนบ้าน เกลี้ยงร้านค้า หมดทั้งตลาด ไม่ได้ต่างจากด้านแม่สอดเลย
        เห็นความสำเร็จของ “นายกฯปู” กันหรือยัง!!!
        เมื่อวันอังคารที่ 22 พ.ค.2555 นายสมเกียรติ อ่อนวิมล ได้ออกมาเล่าในรายการ “เช้าทันโลก” ทาง FM 96.5MHz (คลื่นของ อ.ส.ม.ท. ที่ผมให้ราคา เป็นแค่ “เนชั่ว” สาขา 2) ว่า
        ทางบริษัทสหพัฒน์ฯ ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนหลักของพันธมิตร และพรรคดักดาน ได้ไปต้มบะหมี่มาหมาแจกเด็กๆ หระว่างการแนะนำอาหารอาเซียนในประเทศพม่า
        ฟังแล้ว...ผมอยากจะบอกว่า
        แม้บริษัทสหพัฒน์ฯจะแสดงทีท่า “ไม่เป็นมิตร” กับรัฐบาลพรรคเพื่อไทยและนายกฯปู อีกทั้งผู้บริหารยังถล่มรัฐบาลนายกฯปูทางสื่อเสื้อเหลือง และสื่อตรงข้ามรัฐบาลมาโดยตลอด แต่นายกฯปูก็ไม่ได้ถือสา หรือตอบโต้แต่อย่างใด และหลังจากการยกเลิกการกีดกันสินค้าไทย บริษัทกลับได้รับประโยชน์จากความสามารถของรัฐบาลที่เขาไม่ชอบ อย่างเต็มที่
        นี่ถ้าหากรัฐบาลดักดาน ที่พวกเขาโปรดปราน ยังอยู่ในอำนาจ สินค้าของสหพัฒน์ฯ โดยเฉพาะบะหมี่ที่มีคุณค่าทางอาหารน้อยเต็มที จะไม่มีโอกาสเข้าไปขาย ในดินแดนเมียนมาร์ เป็นอันขาด
        จริงหรือเปล่าล่ะ!?
        ที่คนในวงการค้าขาย ต้อง “ทึ่ง” หนักยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อคราวนายกฯปูบินไปเจรจาทางการค้า กับที่ราชอาณาจักรบาห์เรนและประเทศการ์ตาร์ เสน่ห์ของนายกฯชาวเจียงใหม่
        ก็แผลงฤทธิ์อีกครั้ง!
content/picdata/367/data/photo_10.jpg
        คราวนี้ทำให้ตลาดค้าไก่ของไทยเรา เหมือนได้รับการประพรมด้วยน้ำพระพุทธมนต์ศักดิ์สิทธิ์ จาก สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) เพราะโลกอาหรับได้ยกเลิกข้อห้าม การนำเข้าเนื้อไก่ไทย ไปเรียบร้อยแล้ว...
       
สาธุ...สาธุ...สาธุ!         ต่อจากนี้ไปเราจะได้เห็นคนเลี้ยงไก่ พ่อค้าไก่ ตื่นจากสลบไสล และยิ้มระรื่นกันได้ทั่วหน้า
        เงินทองไหลมาเทมาอีก...เป็นพัน เป็นหมื่นล้าน!!
        ถ้าไอ้พรรคโลซกยังเป็นรัฐบาลอยู่ อย่างดีที่พวกมันจะทำได้ ก็คงแค่คอยจับ “ไก่หลง” บ้าง “ไก่ตาฟาง” บ้าง ที่พลัดเข้ามาค้าขายกับไทยแลนด์เท่านั้น
        เพราะ...
        ไอ้พรรคเวรพรรคกรรมนั่น ค้าขายไม่เป็น แค่ขายกาแฟในพรรคยังเจ๊ง ยิ่งเรื่องค้าขายกับต่างประเทศแล้ว เป็นเรื่องที่อิมพอสสิเบิลเป็นไปไม่ได้เลย
        สันดานไอ้พวกนี้มันเสีย ค้าขายกับใครเขาไม่ได้หรอกครับ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องค้าขายแดนไกล กะอีแค่ค้ากับประเทศบ้านใกล้เรือนเคียง เขาก็ยังเมิน เพราะรำคาญที่มันพาลหาเรื่องทะเลาะกับเพื่อนบ้านเขาร่ำไป นั่นเอง
        ผมถึงย้ำกับท่านผู้อ่าน หลายครั้งหนแล้วว่า...
        ไอ้พรรคเปรตนี่...มัน “ระยำ” สุดๆจริงๆ!!!
        วามสำเร็จของนายกฯปู ทำให้พรรคฝ่ายค้านต้องเจ๊กอั้กอีกครั้ง เมื่อ IMF แถลงชมนโยบายการเงินและการคลังแบบผ่อนคลาย ของรัฐบาลไทยชุดปัจจุบัน ว่า
        มีความเหมาะสมแล้ว สำหรับในภาวะที่เศรษฐกิจโลกอ่อนแอ และแรงกดดันเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ ซึ่งในภาวะเช่นนี้ คณะกรรมการบริหาร IMF สนับสนุนการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ของรัฐบาลนายกฯปูเต็มที่
        เป็นที่น่าตื่นเต้นยินดีเหลือเกิน ที่ IMF ได้ประเมินศักยภาพทางเศรษฐกิจแล้ว เห็นว่าไทยฟื้นตัวเร็วเกินคาด แถมยังคาดว่า
        ปีนี้ พ.ศ.2555 นี้ GDP ของไทย จะโต 5.5% ส่วนปีหน้า พ.ศ.2556 จะโตต่อเนื่อง เพิ่มขึ้นอีกเป็น 7.5% ก้าวหน้ามากกว่าอีกหลายๆชาติ ดูตารางเปรียบเทียบ ที่ผมแสดงเอาไว้ข้างล่างนี้ก็แล้วกันครับ
content/picdata/367/data/photo_11.jpg
        ท่านผู้อ่าน ที่เคารพรักครับ
        บัดนี้ ท่านคงจะเห็นได้ว่า มีหลักฐานยืนยันอย่างแจ้งชัด จากทั้งในและนอกประเทศ ว่า
        ประเทศไทยของเรานั้น กำลังมีความเจริญก้าวหน้า ไปมากกว่าตอนที่รัฐบาลโลซก ปกครองบ้านเมืองของเรามากมายหลายเท่านัก
        ขอเพียงให้พี่น้องประชาชน ให้กำลังใจ พร้อมกับสนับสนุน นายกฯปู และรัฐบาล “พรรคเพื่อไทย” ให้ได้บริหารประเทศนานๆต่อไปเท่านั้น บ้านเมืองของเราก็จะก้าวหน้าต่อไปได้อย่างดี เพราะ
        รัฐบาลนี้เขามีสติปัญญา ไม่เหมือนรัฐบาลของพรรคกาลี!
        ดังนั้น เลือกตั้งคราวหน้าหรือคราวไหนก็ตาม พวกเราผองไทย ต้องร่วมมือร่วมใจ ไม่เลือกไอ้พรรคกาลี ให้มันกลับมามีอำนาจ สร้างความทุกข์ยากให้กับบ้านเมืองของพวกเราอีกต่อไป
        อย่างเด็ดขาด!
        ทิ้งให้มันยืนค้าน นั่งค้าน ตีลังกาค้าน ติดต่อไปอีก สัก 40 ปี ก็แล้วกัน!!
        ช่วยกันตะโกนบอกพวกมันดังๆ ด้วยนะครับ ว่า
        “เป็น “ฝ่ายค้าน” ไปนานๆ นะ...ไอ้พวกเอ็ง!!!”              
...555...
...........
ท้ายบท www.vattavan.com ยังไม่สามารถจัดการนำความเห็น ที่แฟนๆโพส ขึ้นท้ายบทความได้ตามปกติ
        ดังนั้น จึงต้องใช้วิธี นำความเห็นที่ท่านโพส มาขึ้นท้ายบทความสัปดาห์ถัดไปอีกระยะ และที่ท่านเห็นต่อไปนี้ คือความเห็นจากสัปดาห์ก่อนตอน  
       
ลับ-ลวง-เลอะ-เละ-แหล!! (พัชระ สารพิมพา อ่านซะ!!!)        (http://vattavan.com/detail.php?cont_id=365)
ความคิดเห็นที่ 1     แล้วพัชระ อาจจะต้อง "ร้อง ครวญ คราง" ด้วยครับท่านวาทตะวัน  โดยคุณ วาดฝัน ตะวันคลางแคลง  125.24.12.XXX
ความคิดเห็นที่ 2    
อ้าว...ตัว "เต้าข่าว" หน้าตาอย่างนี้เองแฮะ
โดยคุณ จอมเต้า  101.109.210.XXX 
ความคิดเห็นที่ 3     เสียดายที่พัชระเป็นคนอุดร จบ ป.โท แต่ตายังไม่สว่างเหมือนคนส่วนใหญ่ของจังหวัด โดยคุณ suda  110.168.112.XXX  
ความคิดเห็นที่ 4    
ควรปรับเปลี่ยนบุคคลากรที่มีแนวคิดไม่ดีกับรัฐบาลทั้ง ช่อง 9 ช่อง 11 ให้ไปอยู่ที่ช่องเนชั่ว ช่องเหลืองอ๋อย หรือช่องบลูสเกิ๊ต น่าจะดีกว่าครับ  โดยคุณ คนร้อยเอ็ด  1.4.128.XXX
ความคิดเห็นที่ 5    
ได้อ่านคอลัมน์ของท่านวาทตะวันวันนี้แล้ว หายหงุดหงิดใจไปพอสมควร เพราะไม่มีใครจะไปหืออือกับสื่อได้ ถ้าไม่ใช่สื่อด้วยกันเอง พวกทำตัวเป็นเทวดาหรือเป็นอภิสิทธิ์ชนอยู่เสมอ คือสื่อบางพวกบางคนนี่แหละ ผมเคยมีประสบการณ์ทั้งโดยตรงและโดยอ้อมกับบุคคลในคราบสื่อมาพอสมควร ไม่ค่อยพบพวกที่พอจะเชิดชูได้ จึงค่อนข้างมีทัศนคติในทางลบกับสื่อ แด่ก็ยกย่องสื่อที่ทำหน้าที่อย่างเป็นกลาง (แม้ในความเป็นจริงจะไม่มีก็ตาม) เคยเลิกเสพข่าวสารไปพักใหญ่เพราะความบิดเบี้ยวของสื่อ แต่ก็ต้องกลับมาเลือกเสพอีกครั้งเมื่อมีข่าวการตรวจสอบ-การร้องเรียนเพื่อความถูกต้องในกรณีต่าง ๆ ของประเทศ โดยมีสื่อช่วยขุดคุ้ยและกัดไม่ปล่อย ซึ่งจะทำให้ประเทศสะอาดขึ้น นี่เป็นจุดแข็งและอิทธิพลของสื่อที่ใช้แล้วจะมีแต่คนโมทนาสาธุ ส่วนการใช้อิทธิพลเพื่อการอื่น ขอสาปส่ง ท่านวาทฯสะกิดแรง ๆ อย่างนี้คงช่วยให้พวกที่กำลังจะไปไกลสุดกู่ได้หันกลับมามองตัวเองหรือสะดุดหยุดคิดบ้าง
โดยคุณ คิดทางลบกับสื่อมานาน  124.120.189.XXX 
ความคิดเห็นที่ 6    
อ่านแล้วคล้อยตามและมึความสุขมาก อีนายพัชระ สารพิมพม หน้ามันก็คล้ายกับอีนายคางคก ในสภานั่นแหละ เวลาพูดคล้ายกับลิ้นคับปาก ชอบแสดงความโกหกเหมือนกลุ่มเนชั่วทุ ๆ คน แต่แปลกคุณวาสนา ฯ นี่แหละเพราะเหตุใดจึงทำรายการร่วมกับนายคนนี้ได้หรือเพราะเงิน สะใจที่คุณจักรพรรณ ยมจินดา ลาออกจาก อ.ส.ม.ท ไปเสียเถิดถ้าจิตสำนึกหรือความอดทนมีเพียงเท่านี้ อยากให้คุณปลื้ม หรือ คุณ บ.ก ประชาไท(คุณชูวัส ฯ)ก็ได้ มาเป็นผอแทนก็ดี อาจารย์เห็นด้วยกับผมหรือเปล่า 
โดยคุณ
suaksai@thaimail.com  101.108.215.XXX
ความคิดเห็นที่ 7    
"ไอ้หน้าชนเขื่อน สาขา 2" ตัวนี้ มันจอมตีกิน อวดรู้จริงๆ มันคงนึกว่าคนฟังเขาโง่
โดยคุณ X Ray  125.27.51.XXX  
ความคิดเห็นที่ 8     เลิกฟังมานานแล้วตั้งวาสนาเขียนหนังสือเล่มล่าสุด  โดยคุณ Kowfangnasok@hotmail.com 10.49.233.XXX  
ความคิดเห็นที่ 9     ว่างๆก็คอมเมนต์ยัยนังสมจิตต์ นักข่าวสายกองทัพบกช่อง7 สักหน่อยประไร เพราะคำถามเธอนั้นมันเอียงสุดขั้วอย่างเห็นได้ชัด แม้กระทั่งน้ำเสียงที่เธอสัมภาษณ์นายมาร์คสุดหล่อของเธอ
น้นช่างหวาน หยดย้อยเสียนี่กระไร แต่ถ้าเป็นนายกปูหรือซีกรัฐบาล น้ำเสียงดั่งกับว่าไม่รู้พยาบาทมาตั้งแต่ชาติปางไหน
นักข่าวพันธุ์นี้เรียกว่าอะไรดี
โดยคุณ แข้งดำ  110.49.224.XXX 
ความคิดเห็นที่ 10 
พัชระ สารพิมพา ไม่ใช่ guru แต่เป็น "กูรู้" อย่างที่ว่า เป็น "กูรู้" เพราะ "กูอยู่ในรู" ไม่ยอมออกจากรู มามองโลกข้างนอกว่าเปลี่ยนแปลงไปแค่ไหนแล้ว 
โดยคุณ เอียงมิเอียงแล้วแต่จะโปรด  125.24.199.XXX 

        (คอลัมน์ประจำสัปดาห์ “เป็น “ฝ่ายค้าน” ไปนานๆ นะ...ไอ้พวกเอ็ง!!!” ออนไลน์ วันเสาร์ ที่ 26 พฤษภาคม 2555)