วันพฤหัสบดีที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2555

โทษของการเป็นคนลวงโลก


๑)    ทุกข์ทางใจจิตที่เป็น ปกติสุขไม่อาจคิดพูดโกหกมดเท็จ การจะโกหกมดเท็จได้ต้องใช้จิตที่เป็นทุกข์เท่านั้น เพราะไหนจะต้องพยายามแต่งเรื่องขึ้นใหม่ ไหนจะต้องออกแรงบิดความจริงอันเป็นสิ่งยิ่งใหญ่ด้วยปากอันเล็กกระจ้อยร่อย แม้แต่การกลับซ้ายให้กลายเป็นขวาเพียงนิดเดียว ก็อาจพาคนหลงตามคำหลอกของเราไปลงเหวได้แล้ว ทุกคำมุสาที่นึกว่าเล็กน้อย จึงอาจก่อมหันตภัยใหญ่หลวงเกินกว่าจะคาดเดาได้

การรู้ตัวว่าโดนหลอก เป็นความทุกข์ของผู้ถูกหลอก ถ้าเราเป็นคนหลอกเขา ใจเราจะเป็นสุขไปได้อย่างไร การสังเกตเข้ามาในตนเองจะทำให้เห็นทุกข์เป็นขณะ ๆ อย่างชัดเจน

ทุกข์ เริ่มต้นตั้งแต่เมื่ออยากหลอกลวงให้คนอื่นหลงเชื่อ สังเกตเข้ามาในตนเอง จะรู้สึกถึงความฝืดฝืน นั่นเพราะธรรมชาติของความจริงมีเหตุมีผล การอยากโกหกก็คือการอยากทำลายเหตุผล ซึ่งค้านกันกับสำนึกแบบมนุษย์ที่ต้องการเหตุผลตามจริง

ทุกข์จะทวีตัว ขึ้นเมื่อตัดสินใจหลอกลวงให้คนอื่นหลงเชื่อ สังเกตเข้ามาในตนเอง จะเห็นเหมือนใจถูกคลุมไว้ด้วยฝ้าหมอกมายา นั่นเพราะการตั้งใจแต่งเรื่องหลอกคนอื่น ก็คือการพลิกเอาตัวเองออกจากความจริงอันสว่างไปสู่ความเท็จอันมืด จึงไม่มีทางที่ใจจะสดใสโปร่งโล่งไปได้

 ทุกข์จะทวีตัวขึ้นอีกเมื่อ พยายามคิดคำลวงให้คนอื่นหลงเชื่อ สังเกตเข้ามาในตนเอง จะเห็นคล้ายมีตัวเราที่รูปร่างหน้าตาแตกต่างไปจากเดิมกำลังดิ้นพล่าน พยายามจินตนาการจับต้นชนปลายความจริงกับความเท็จให้ต่อกันติด ที่มโนภาพของตัวเราแตกต่างจากเดิม ราวกับแปลกไปไม่ใช่ตัวเรา ก็เพราะขณะจิตนั้นเราไม่เป็นตัวของตัวเอง ไม่ใช่ตัวจริงตามที่กำลังเป็น

ทุกข์ จะทวีตัวขึ้นถึงขีดสุดเมื่อต้องฝืนขยับปากหลอกลวงคนอื่นให้หลงเชื่อ สังเกตเข้ามาในตนเอง จะเห็นการออกแรงเค้นคำ แตกต่างจากเมื่อพูดความจริงอย่างสบายอารมณ์ นั่นเพราะเรารู้ว่าความจริงเป็นเส้นตรง แต่จะอาศัยปากของเราเข้าไปดัดเส้นตรงนั้นให้เบี้ยวบิดผิดรูป แน่นอนว่าจิตใจและปากคอของเราย่อมเบี้ยวบิดผิดตามไปด้วย ไม่อาจตรงอยู่ได้

ทุกข์ จะไม่จบโดยง่ายแม้เมื่อหลอกลวงให้คนอื่นหลงเชื่อได้สำเร็จ สังเกตเข้ามาในตนเอง จะเห็นเป็นความรู้สึกเหมือนมีสองภาค ภาคหนึ่งรู้ความจริง อีกภาคหนึ่งรู้ว่ามีความลวงซ้อนความจริงขึ้นมา อีกทั้งต้องคอยปกปิดให้ดี ยิ่งภาคแห่งความลวงหนาขึ้นกลบภาคแห่งความจริงมากขึ้นเท่าใด เราจะยิ่งรู้สึกคล้ายเกิดหน้ากากปิดบังหน้าตาของตนมากขึ้นเท่านั้น จนวันหนึ่งส่องกระจกเงาแล้วอาจรู้สึกครึ่งจริงครึ่งฝัน ถามตัวเองว่านี่ใบหน้าของเราแน่หรือ?

ในทางปฏิบัติแล้ว การหลอกคนได้มักทำให้ภูมิใจ เพราะหลงนึกว่าตัวเองฉลาด และเห็นว่าคนอื่นโง่ ดังนั้น ทุกข์ที่เกิดจากการฝึกเป็นนักแต่งเรื่องจึงไม่ปรากฏชัดในช่วงต้นวัย ต่อเมื่อหลอกคนอื่นจนกระทั่งจิตทำงานเป็นอัตโนมัติ คล้ายหลอกได้แม้กระทั่งตัวเองให้เชื่ออะไรผิด ๆ หลงตัดสินใจโง่ ๆ และด้วยเหตุนี้เอง เราจึงตระหนักว่าที่สุดของการเป็นคนลวงโลก ก็คือการพาตัวเองไปอยู่ในอีกโลกหนึ่ง ที่เต็มไปด้วยความทุกข์ร้อนจากการไม่รู้จักตนเองเสียแล้ว




 

๒) การสั่งสมบาป


เมื่อ ทราบแล้วว่าความมืดเป็นเครื่องหมายของบาป เราก็สามารถสำรวจใจตนเองแล้วทราบได้ว่าการโกหกเป็นบาป เพราะไม่มีการโกหกครั้งใดที่ทำให้จิตของเราสว่างขึ้น มีแต่จะหม่นหมองลง กับทั้งไม่มีแก่ใจคิดอะไรในทางดี ในทางที่เจริญเอาเลย

แรงผลักดันให้ โกหกได้เต็มปากเต็มคำคือโลภะ โลภะต้องชนะความอยากสบายใจ จึงขับให้เราก่อบาปด้วยการหลอกลวง แท้จริงมนุษย์เราต้องการความสบายใจเหนือสิ่งอื่นใด แต่เพราะอยากได้สิ่งที่ต้องการมากเกินไป หรือจำต้องเห็นแก่สิ่งอื่นยิ่งไปกว่าใจตน จึงยอมทำลายความสบายใจด้วยการพูดคำเท็จ

ที่น่ากลัวก็คือบาปสามารถ สั่งสมตัวได้ นั่นหมายความว่ายิ่งโกหกมากขึ้นเท่าไร ใจก็ยิ่งอึดอัดทรมานมากขึ้นเท่านั้น มองไปทางไหนความจริงทั้งหลายดูน่าบิดเบือนให้ผิดจากเดิมไปหมด

แม้ ขยับปากเอาตัวรอดหรือสร้างภาพให้ดูดี เช่น คนที่บ้านถามว่าไปไหนมา ความจริงเราไปสังสรรค์เฮฮากับเพื่อนฝูง แต่เราไพล่พูดโกหกว่าไปช่วยงานสำคัญที่นั่นที่นี่ ปากของเราก็ได้ชื่อว่าเป็นเครื่องดัดจิตให้เบี้ยวบิดผิดรูปแล้ว เพียงคำลวงเล็ก ๆ ก็จุดชนวนความคิดไม่ตรงไปตรงมาได้ ต่อไปเมื่อต้องตอบแบบเสียภาพลักษณ์นิดเดียว ระบบความคิดของเราจะพยายามสร้างคำพูดไปในทางรักษาภาพทันที โดยไม่คำนึงว่าภาพดี ๆ จะมีความจริงปนอยู่ด้วยมากน้อยเพียงใด

ความ คิดในทางปั้นน้ำเป็นตัวจะลดความฉลาดในการอธิบายให้คนเข้าใจความจริง ทั้งที่พูดความจริงโดยไม่ต้องให้คนฟังเสียความรู้สึกก็ได้ แต่เพราะมัวไปเชื่ออยู่ว่าขืนพูดความจริงก็พังเท่านั้น เลยเท่ากับปิดโอกาสฝึกใจให้ซื่อ ฝึกคิดให้ฉลาด น้อยคนจึงสามารถพูดแบบให้เกิดเรื่องดี ๆ โดยไม่ต้องแต่งเรื่องหลอก ๆ ขึ้นมา

ฉะนั้น เพียงไม่ตั้งใจไว้ก่อนว่าจะเว้นขาดจากการโกหก ก็นับว่ามีโทษแล้ว เพราะเมื่อถูกตั้งเงื่อนไขให้เกิดโลภะอย่างแรงกล้า ความอยากสบายใจก็ลดระดับแทบไม่เหลือ ยังผลให้สติพร่าเลือนลง เปิดช่องให้โลภะเข้าครอบงำจนโง่เขลา หลงนึกว่าบาปแห่งการโกหกเป็นสิ่งสมควรทำยิ่งกว่าบุญแห่งการพูดความจริงให้ เกิดประโยชน์






 

                                                     ผังล้มเจ้าฉบับจัดทำโดย ศอฉ.



๓) ความเป็นอยู่ที่เลวร้าย
ไม่มีความ รู้สึกอึดอัดอันใดย่ำแย่ไปกว่าความรู้สึกอึดอัดอันเกิดจากการโกหก เพราะบาปข้ออื่นยังทำลงไปแบบมีเหตุผลให้โล่งใจกันได้ เช่น เราอาจฆ่าโจรโฉดตามหน้าที่ของตำรวจ เราอาจโกงใครเพราะเขาโกงก่อน เราอาจกินเหล้าเพื่อไม่ให้คนรินเสียใจ แต่ถ้าต้องฝืนใจโกหกครั้งหนึ่ง เราก็ต้องฝืนทำตัวเป็นปฏิปักษ์กับความจริงอันเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่หนึ่งครั้ง เมื่อสั่งสมมากแล้ว ในที่สุดทั้งอกทั้งใจก็เต็มแน่นไปด้วยความอึดอัดครัดเครียด และสับสนอยู่กับตนเองว่าอันไหนจริงอันไหนเท็จ อันไหนตื่นอันไหนฝัน เห็นความจริงเป็นสิ่งไม่น่าเชื่อ กับทั้งมีนิสัยดื้อด้าน ไม่ยอมรับความจริงอย่างน่าสลดสังเวชได้

เมื่อบาปจากการการโกหกถูก สั่งสมมากแล้ว คนโกหกย่อมเลื่อนฐานะเป็นคนลวงโลก ดูเผิน ๆ เหมือนโกหกได้หน้าตาย คิดแต่งเรื่องได้เป็นตุเป็นตะในเวลาอันรวดเร็ว หลอกได้แม้กระทั่งเครื่องจับเท็จ ซึ่งสะท้อนว่าสามารถสะกดจิตตัวเองให้สำคัญไปว่ากำลังพูดเรื่องจริงอย่างเป็น ธรรมชาติ แต่นั่นแหละคือความผิดธรรมชาติอย่างใหญ่หลวง จนก่อให้เกิดกระแสในตัวที่น่าระแวง ไม่ชวนให้อยากคบ อยู่ใกล้แล้วอึดอัด เหมือนอีกาที่ซื่อกับใครไม่เป็น หรือเหมือนลิงที่พร้อมจะล้อเลียนเราทั้งต่อหน้าและลับหลัง

การโกหก หลอกลวงแต่ละครั้งคือการบิดเบือนความจริง ซึ่งก็มีผลสะท้อนให้ความจริงของเราบิดเบี้ยวไปด้วย อาจจะในรูปของการโดนใส่ไคล้ หรืออาจจะในรูปของการถูกเข้าใจผิด คิดให้ดีก็สมกันแล้ว ไม่มีทางที่เราจะบังคับใครต่อใครให้พูดถึงเราตรงตามความจริงไปทั้งหมด เท่า ๆ กับที่เราเองก็ไม่ได้พูดถึงตัวเองตรงตามจริงทุกครั้ง เช่นที่เป็นกันมากคือโกหกเพื่อรักษาหน้า ไม่ยอมรับผิด เป็นต้น

จิต ของคนลวงโลกย่อมมีความบิดเบี้ยว กลับกลอกไปมา แม้แต่เจ้าตัวเองก็ควบคุมไม่ได้ว่าจะให้ชอบอะไรหรือรักใคร คล้ายตกอยู่ในห้วงฝันหลอนที่โยกเยกไหวเอนอยู่เกือบตลอดเวลา

จิตที่ บิดเบี้ยวย่อมเหมาะกับภพใหม่ที่เบี้ยวบิด เต็มไปด้วยความหลอกหลอนให้ผิดหวัง วันนี้นึกว่าดี พรุ่งนี้กลายเป็นร้ายให้ช้ำใจ น่าอึดอัดระอา ถ้ายังมีวาสนาพอจะเกิดใหม่ในโลกมนุษย์ ก็ย่อมตกอยู่ในภาวะผันผวนไม่แน่นอนอย่างรุนแรง

หากตายเยี่ยงคนลวงโลก ผู้ยังไม่อิ่มไม่พอกับการปั้นน้ำเป็นตัว แต่ยังพอมีบุญพยุงไม่ให้ร่วงหล่นถึงนรก ก็อาจไปเสวยภพของพวกหาสัจจะได้ยากในระดับเดรัจฉานภูมิ เช่น อีกา หรือลิงป่าบางจำพวก เป็นต้น

แต่หากตายเยี่ยงคนลวงโลกที่ดีแต่เยาะ หยัน เห็นคนอื่นโง่กว่าตนเสมอ ก็จัดว่ามีความเหมาะกับสภาพความเป็นอยู่ที่ถูกกดขี่อย่างน่าสะพรึงกลัว ดังเช่นนรกภูมิสถานเดียว!




นรกขุมที่ ๙
(โลกันตมหานรก)
บุคคลส่วนใหญ่รู้จักกันแค่อเวจีมหานรก หรือ นรกขุมที่ ๘ จึงมีคนสมัครใจลงนรกขุมนี้กันมาก เพราะไม่เชื่อว่ามีนรก ไม่เชื่อว่ามีสวรรค์ ไม่เชื่อว่ามีเทวดา มีนางฟ้า มีพรหม และมีพระวิสุทธิเทพหรือพระอรหันต์อยู่ที่พระนิพพาน คิดเอาด้วยปัญญาของตนว่าตายแล้วสูญ ตายแล้วไม่เกิด เท่ากับผลของกรรมไม่มี, กฎของกรรมไม่มี, ไม่เชื่อว่าทำดีย่อมได้รับผลดี ทำชั่วย่อมได้รับผลชั่ว แม้แต่นักบวชที่บวชเข้ามาในพุทธศาสนาจำนวนมากก็เชื่อตามความคิดเหล่านี้ เมื่อตายไปจึงพากันไปอยู่นรกขุมนี้เป็นจำนวนมาก มากกว่าอาชีพใด ๆ ในโลกนี้ เพราะเป็นการปรามาสพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งเท่ากับปรามาสพระพุทธเจ้าโดยตรง เพราะธรรมเหล่านี้พระองค์เป็นผู้ตรัสสอนไว้ทั้งสิ้น
          คำสั่งคือศีลหรือพระวินัยมีอยู่ ๒๒๗ ข้อ บางท่านยังไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่ามีอะไรบ้าง ประกอบกับไม่เชื่อว่ามีนรก จึงไม่ค่อยสนใจที่จะรักษาศีล ความเป็นพระจึงไม่เกิดกับจิตของผู้นั้น บวชนานเท่าใดก็ไม่เป็นพระ เป็นแค่นักบวช หรือสมมุติสงฆ์เท่านั้น ตายแล้วจึงลงนรกหมด
          ส่วนคำสอน นั้นมีมากถึง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ หรือ ๘๔,๐๐๐ อุบาย เพราะบุคคลมีจริตนิสัย และมีกรรมไม่เสมอกัน
          พระองค์ทรงตรัส เรื่องโทษของการปรามาสพระรัตนตรัย ไว้ มีความสำคัญย่อ ๆ ดังนี้
          ๑. สิ่งที่พระองค์ทรงตรัสไว้ กลับบอกว่าพระองค์มิได้ตรัส
          ๒. สิ่งที่พระองค์มิได้ตรัสไว้ กลับบอกว่าพระองค์ตรัส
          ๓. ตีความหมายผิด เข้าใจผิด
          ๔. พวกที่เขาไม่ศรัทธาในพระองค์ หรือพวกปทปรมะ หรือคนนอกศาสนา พวกนี้พระองค์ไม่สอนเขาอยู่แล้วเป็นธรรมดา โทษของการปรามาสพระรัตนตรัยมีสถานเดียว คือ ต้องลงนรกขุมที่ ๘
          ในพระไตรปิฎก มีบุคคลบางคนที่สงสัยเรื่องนรก-สวรรค์มีจริงหรือ ไปถามพระองค์ พระองค์ก็ทรงเมตตาแนะนำบุคคลเหล่านั้น มีใจความโดยย่อว่า...
          ก) ถ้าไม่มีนรก ไม่มีสวรรค์ หากตายไปก็เสมอตัว
          ข) ถ้าหากนรกมี สวรรค์มีจริง เมื่อตายไปก็พบกับความทุกข์หรือความสุขอย่างสุดประมาณ เพราะ...
          นรกขุมแรก (สัญชีพนรก) ๑ วันที่นั่นนานเท่ากับเวลาในโลกมนุษย์ถึง ๙ ล้านปี นรกขุมที่ ๒ เวลาก็นานขึ้นอีกเท่าตัว คือ ๑ วันที่นั่นนานเท่ากับเวลาในโลกมนุษย์ถึง ๑๘ ล้านปี ตามลำดับ จนถึงขุมที่ ๘ เธอควรจะยอมเสี่ยงดีหรือไม่ก็ตามใจเธอ พระองค์ไม่เคยบังคับใครให้เชื่อ เพราะศาสนาของพระองค์ ทุกคนต่างเข้ามาด้วยศรัทธาก่อนทั้งสิ้น (ศรัทธา คือ ความเชื่อโดยการยอมปฏิบัติตามคำสั่งคือศีลและคำสอนของพระองค์ด้วย) นอกจากนั้นยังเมตตาสอนวิธีหนีนรกแบบง่าย ๆ ให้กับบุคคลเหล่านั้น โดยเน้นเรื่องการรักษาศีลเป็นหลักสำคัญ (กรุณาอ่านเรื่อง ศีลและปัญญาเท่านั้นเป็นเลิศในโลกประกอบด้วย แล้วจะเข้าใจได้อย่างดี)
          บุคคลและนักบวชที่ไม่เชื่อว่า นรกมี สวรรค์มี จึงประมาท ไม่สนใจที่จะละกรรมชั่ว ไม่สนใจที่จะทำกรรมดี จิตใจเลยเศร้าหมอง ไม่ผ่องใส โดยเฉพาะเรื่องการรักษาศีลหรือพระวินัยอย่างจริงจังในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ ตายแล้วจึงพากันลงนรกมากมายสุดประมาณ ตามที่พระองค์ทรงตรัสไว้ มีความว่า " สัตว์โลกตายแล้วไปสู่สวรรค์ได้ มีปริมาณเพียงเท่าเขาโค แต่ไปสู่อบายภูมิ ๔ มีปริมาณเท่ากับขนโค "นี่คือคำนำเรื่องที่เกี่ยวกับนรกขุมที่ ๘ (อเวจีมหานรก)


........................................................................

วันอังคารที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2555

สัญลักษณ์ เปลี่ยนผ่าน พลันบังเกิด อัตลักษณ์ ทุรลักษณ์...สัญลักษณ์ อัปลักษณ์

ชลเนตร ไหลหลั่ง ดั่งสายน้ำ
อสุชน ครั่นคร้าม ยามสลาย
อัสนี ผ่าฟาด ปราสาททลาย
ปฐพี แตกกลาย ซึ่งหลายองค์

สัญลักษณ์ เปลี่ยนผ่าน พลันบังเกิด
อัตลักษณ์ ทรามกำเนิด จึ่งดับหงส์
อัปลักษณ์ ครุฑรัฐ วับัติธง
ทุรลักษณ์ ยุคไหลหลง บัดเสื่อมมนต์

รุ่งศิลา
๑๗ กันยายน ๒๕๕๕
 

 


  •  โดย  rungsira 








  • คำตอบในคืน 10 เมษาฯ

     คอลัมน์ ชกไม่มีมุม     วงค์ ตาวัน

     วันที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2555 เวลา 00:01 น.  ข่าวสดออนไลน์



    หากย้อนรายละเอียดคืนวันที่ 10 เมษายน 2553 จะได้คำตอบชัดเจนว่า ใครกันแน่ที่จุดชนวนความรุนแรง และชายชุดดำที่ปรากฏในคลิปในคืนวันนั้น ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับม็อบแดงแต่อย่างใด

    10 เมษายน คือคืนแรกของความรุนแรง เสียงปืนระเบิดระงม คนตายเกือบ 30 ศพ

    เนื่องจากศอฉ.สั่งยึดคืนพื้นที่ย่านผ่านฟ้า จนมีการปะทะกับม็อบตั้งแต่ตอนบ่าย

    พอเข้าสู่หัวค่ำ เสียงเตือนดังไปทั่วว่า อย่าสลายม็อบในตอนกลางคืน

    นี่แหละเป็นคำถามถึง 2 ผู้นำรัฐบาลว่า ทำไมจึงสั่งให้สลายม็อบต่อในค่ำคืนนั้น ทั้งที่ผิดหลักอย่างสิ้นเชิง

    อ่อนหัด ไร้เดียงสา หรือว่าจงใจ!?!

    แล้วนั่นแหละคือชนวนที่เกิดการนองเลือด

    ต่อมามีระเบิดเกิดขึ้นในกลุ่มเจ้าหน้าที่ทหาร จนสูญเสียเกือบ 10 ศพ พร้อมๆ กับการปะทะด้วยกระสุนจริงจนทำให้ม็อบตายไปเกือบ 20 ศพ

    ฝ่ายรัฐบาลพยายามเชื่อมโยงการโจมตีเจ้าหน้าที่ทหารเข้ากับการปรากฏตัวของชายชุดดำ ที่มีคลิปเห็นรัวปืนอาก้าอยู่

    พยายามบอกว่า ฝ่ายม็อบมีผู้ก่อการร้ายแฝงอยู่ จงใจฆ่าทหาร และฆ่าพวกเดียวกันเองเพื่อสร้างสถานการณ์

    แต่ข้อเท็จจริงที่ปรากฏชัดในคืนวันที่ 10 เมษายนนั้นคือ

    1.รัฐบาลไม่ฟังเสียงเตือน ยังสั่งเจ้าหน้าที่เข้ายึดคืนพื้นที่ต่อทั้งที่เข้าสู่ช่วงค่ำมืด 

    นี่ส่อแสดงอะไร!?

    2.ฝ่ายม็อบเอง หากวางแผนชั่วร้ายเอาไว้จริง เมื่อสถานการณ์กำลังเข้าทาง มีการปะทะหนัก มีผู้ชุมนุมถูกยิงตายเกือบ 20 ศพ

    มวลชนกำลังเดือดแค้นได้ที่

    แผนกำลังเข้าทางแท้ๆ แต่ทำไมแกนนำม็อบเรียกร้องเจ้าหน้าที่รัฐให้ถอนกำลังออกไป ทั้งเรียกร้องให้ฝ่ายเสื้อแดงถอยมารวมตัวอย่างสงบ

    ถ้าวางแผนแล้ว ทำไม นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ จึงประสานกับผู้นำกองทัพ เพื่อให้ยุติเหตุการณ์!

    ถ้าวางแผนเช่นนั้น มีแต่ต้องรุกต่อ เพื่อนำไปสู่การแตกหัก และจะได้รับชัยชนะด้วยซ้ำ

    ดังนั้นการปรากฏตัวของชายชุดดำ จึงไม่น่าจะเกี่ยวกับฝ่ายม็อบ 

    รวมทั้งคำกล่าวหาว่าม็อบมีแผนสร้างความรุนแรง ก็ไม่เป็นเหตุเป็นผลแต่อย่างใด

    เพราะการกระทำของแกนนำม็อบตรงกันข้าม

    การกระทำของผู้นำรัฐบาลกลับส่อแสดงมากกว่า!




     ..................................................................................................................

     
                                                    ภาพจากแฟ้มข่าวอินเตอร์เน็ต


    ภาพนี้จะตามหลอกหลอนนายอภิสิทธิ์  เวชชาชีวะ  นายสุเทพ  เทือกสุบรรณ  นายถวิล  เปลี่ยนสี  และคณะ กก.สิทธิฯ ไปจะชีวิตจะหาไม่ เพราะมันคือตราบาปที่พวกคุณได้ก่อและกระทำกับคนไทยอย่างโหดเหี้ยมที่สุด ชาตินี้คุณจะไม่มีความสุขแน่นอนกับการเดินไปไหนมาไหนบนผืนแผ่นดินนี้ คำสาปแช่งจะรอกรอกใส่หูพวกคุณตลอดเวลา... จงรอรับชะตากรรมที่พวกคุณได้กระทำไว้เสียเถอะ นายอภิสิทธิ์  เวชชาชีวะ  นายสุเทพ  เทือกสุบรรณ  นายถวิล  เปลี่ยนสี  และคณะ กก.สิทธิฯ








    ศาลชี้แล้ว-ทหารยิง คดีจ่อมาร์ค

    ข้อหาฆาตกรรม "เทือก"โดนด้วย ตัดสินพันคำกอง ถูกปืนจนท.ชัด! "ธาริต"ลุยคนสั่ง ฉะคอป.นั่งเทียน เอาแต่เน้นชุดดำ



    ศาลสั่งคดียิง "พัน คำกอง" เหยื่อปืน 15 พ.ค.53 เสียชีวิตจากการกระทำของทหาร ขณะปิดล้อมพื้นที่ตามคำสั่งของ "ศอฉ."ในเหตุการณ์ระดมยิงรถตู้ที่ราชปรารภ เผยขั้นตอนต่อไป จะส่งสำนวนกลับไปยังพนักงานสอบสวน ทำเป็นคดีฆาตกรรม "ธาริต"เดินหน้าต่อทันที จ่อแจ้งข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา กับ "มาร์ค"และ "เทพเทือก"ในฐานะผู้ออกคำสั่ง ส่วนทหารที่เกี่ยวข้องจะกันไว้เป็นพยาน ด้าน "ธิดา"หวังเป็นบรรทัดฐานในคดีอื่นๆ ที่เหลือ "คอป."เปิดรายงานเม.ย.-พ.ค.53 ฉบับเต็ม โยนผิด "ชายชุดดำ"ใช้ระเบิด-ปืนยิงเจ้าหน้าที่ บางคนเกี่ยวพัน "เสธ.แดง"ด้านนักวิชาการรุมจวก โวยทำไมไม่ระบุถึงคนตายก่อนที่ชุดดำจะปรากฏตัว ชี้ผลสรุปของคอป.ยิ่งทำให้สถานการณ์เลวร้าย "ลูกเดียร์"ทวีตเฉ่งนั่งเทียนเขียน



    ลุ้นคำสั่งคดี"พัน คำกอง"

    เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 17 ก.ย. ที่ศาลอาญา ศาลอ่านคำสั่งคดีหมายเลขดำที่ อช.2/2555 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 9 ผู้ร้อง และนาง หนูชิต คำกอง ภรรยาผู้ตาย ผู้ร้องร่วม ยื่นคำร้องขอให้ศาลชันสูตรสาเหตุการเสียชีวิตของนายพัน คำกอง ชาว จ.ยโสธร อาชีพขับรถแท็กซี่ ถูกยิงเสียชีวิตหน้าคอนโดมิเนียม ใกล้สถานีรถไฟแอร์พอร์ตลิงก์ ราชปรารภ เมื่อวันที่ 15 พ.ค.2553 ในเหตุ การณ์กระชับพื้นที่ราชประสงค์ สมัยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี

    ตามคำร้องสรุปว่า เมื่อวันที่ 12 มี.ค. ถึงวันที่ 19 พ.ค.2553 มีการชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่บริเวณสะพานผ่านฟ้าลีลาศ และสี่แยกราชประสงค์ ให้นายอภิสิทธิ์ประกาศยุบสภา ต่อมานายกฯ ออกประกาศพ.ร.ก.บริหารสถานราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อควบคุม ผู้ชุมนุม และตั้งศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) และแต่งตั้งนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ เป็นผอ.ศอฉ.



    ชี้มูลเหตุ-ก่อนถูกยิงตาย

    ต่อมามีการประกาศห้ามใช้ถนนราชปรารภ ตั้งแต่สี่แยกประตูน้ำถึงสี่แยกมักกะสัน โดยมีเจ้าหน้าที่ทหารควบคุมพื้นที่ พร้อมติดป้ายเขตใช้กระสุนจริง เมื่อวันที่ 15 พ.ค.2553 นายสมร ไหม ทอง ขับรถตู้กลับบ้านพักผ่านถนนราชปรารภ เจ้าหน้าที่ทหารประกาศให้หยุดรถ แต่นายสมรขับรถไปต่อถึงสถานีรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงก์ ถูกเจ้าหน้าที่ทหารใช้อาวุธยิงหลายนัด อันเป็นการปฏิบัติหน้าที่ ทำให้นายสมรถูกยิงบาดเจ็บที่ลำตัว และนายพันถูกกระสุนตายหน้าสำนักงานขายคอนโด มิเนียมไอดีโอ อันเป็นการตายที่เกิดจากการกระทำของเจ้าพนักงานที่อ้างว่าปฏิบัติหน้าที่ ขอให้ศาลมีคำสั่งว่า ผู้ตายเป็นใคร ตายที่ไหน เมื่อไหร่ สาเหตุและพฤติการณ์ตายเกิดจากอะไร ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 150

    ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า วันที่ 12 มี.ค. ถึงวันที่ 19 พ.ค.2553 มีการชุมนุมทางการเมืองของประชาชน เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยที่ใช้ชื่อว่า นปช. ให้นายอภิสิทธิ์ นายกฯ ขณะนั้น ประกาศยุบสภา ระหว่างการชุมนุมนายกฯ ประกาศสถาน การณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงเพื่อควบคุมสถาน การณ์ชุมนุม จัดศอฉ. แล้วแต่งตั้งนายสุเทพเป็นผอ.ศอฉ. ต่อมา ศอฉ.ประกาศห้ามใช้เส้นทางคมนาคม หรือใช้ยานพาหนะใดๆ เข้าออกในเส้นทางที่กำหนด เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานเจ้าหน้าที่ บริเวณถนนราชปรารภตั้งแต่สี่แยกประตูน้ำถึงสี่แยกมักกะสัน โดยมีเจ้าพนักงานทหารจากทหารปืนใหญ่ที่ 31 และกองพันทหารราบที่ 3 ควบคุมเส้นทางการคมนาคมในบริเวณดังกล่าว มีการปิดแผ่นป้ายข้อความว่า เขตใช้กระสุนจริง



    รถตู้ขาวฝ่าพื้นที่ควบคุม

    จากพยานหลักฐานของผู้ร้องและผู้ร้องร่วม อันประกอบด้วยประจักษ์พยาน พยานแวดล้อมกรณีเจ้าพนักงานทหารผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้องต่างๆ และพนักงานสอบสวน รวมถึงภาพถ่าย ภาพเคลื่อนไหวเหตุการณ์ได้ความว่า พ.ท.วรกานต์ ฮุ่นตระกูล ผบ.กองพันทหารปืนใหญ่ที่ 31 รักษาพระองค์ เบิกความว่า หลังเวลา 20.00 น. วันที่ 14 พ.ค.2553 มีคนร้ายยิงลูกระเบิดแบบเอ็ม 79 เข้าไปบริเวณที่พ.ท.วรกานต์รับผิดชอบ และมีวิทยุเครือข่ายทหารแจ้งว่าให้ระวังรถตู้สีขาว อาจมีการทำคาร์บอมบ์ หรือขนอาวุธสงครามใช้ทำร้ายทหาร

    ร.อ.เสริมศักดิ์ คำละมูล ผบ.ร้อยทหารปืนใหญ่ที่ 31 รักษาพระองค์ เบิกความว่า ได้รับแจ้งจาก ผู้บังคับบัญชาให้สังเกตรถตู้จะขนอาวุธ และในวันเกิดเหตุเวลาเที่ยงคืนมีรถตู้คันเกิดเหตุขับไปจอดที่หน้าปากซอยราชปรารภ 8 จึงสั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาใช้เครื่องขยายเสียง ประกาศให้รถตู้แล่นกลับไปในทิศทางเดิม หรือเลี้ยวซ้ายไปทางประตูน้ำ และต่อจากนั้นได้ใช้เครื่องขยายเสียงขนาดใหญ่ ที่ติดตั้งอยู่บนรถประชาสัมพันธ์ประกาศให้ทราบอีกครั้ง รวมเวลาที่รถตู้จอดอยู่ประมาณ 30 นาที



    อ้างคาร์บอมบ์-แต่ขัดข้อเท็จจริง

    ขณะที่นายคมสันติ ทองมาก ผู้สื่อข่าวสำนักงานเนชั่นทีวี เบิกความว่า ได้ยินเสียงประกาศของเจ้าพนักงานทหาร และได้ยินเสียงปืนดัง จึงใช้กล้องถ่ายภาพบันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยไม่ตัดต่อ นอกจากนี้ นายอเนก ชาติโกฏิ พนักงานรักษาความปลอดภัยของคอนโดฯ เบิกความว่า ก่อนเกิดเหตุนายพัน ผู้ตายมาขอพักที่สำนักงานขายคอนโดฯ ต่อมาได้ยินเสียงประกาศของเจ้าพนักงานทหาร หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงปืนดังทีละนัด

    ศาลเห็นว่าช่วงระยะเวลาที่ร.อ.เสริมศักดิ์เบิกความว่าเห็นรถตู้จอดอยู่เป็นเวลา 30 นาที เป็นเวลานานพอสมควรที่เจ้าพนักงานทหารที่ควบคุมสถานการณ์ขณะนั้นสามารถดำเนินการบางอย่างเพื่อให้ทราบว่ารถตู้ดังกล่าวมีพฤติการณ์ดังที่ร.อ.เสริมศักดิ์ และพ.ท.วรกานต์ได้ข้อมูลหรือไม่ แต่เจ้าพนักงานทหารก็ไม่ได้ดำเนินการอะไร กลับปล่อยให้รถตู้แล่นเลี้ยวขวาไปทางสถานีรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงก์ ซึ่งเป็นเขตพื้นที่ควบคุม โดยมีคอนโดมิเนียมไอดีโอตั้งอยู่ริมถนนด้านขวาของรถตู้ ร.อ.เสริมศักดิ์, ส.อ.วรกร ผาสุก และส.อ.ชิตณรงค์ สุดชัย ซึ่งอยู่ใกล้ที่เกิดเหตุกลับยืนยันว่าขณะระดมยิงรถตู้ไม่มีใครเห็น และไม่ทราบว่าใครเป็นคนยิง ทั้งไม่ปรากฏในสรุปสถานการณ์ความเคลื่อน ไหวในเอกสารของเจ้าหน้าที่ทหาร ว่าในวันเกิดเหตุจะมีการทำคาร์บอมบ์ หรือขนอาวุธ จึงเห็นว่าพยานดังกล่าวเบิกความขัดแย้งกับข้อเท็จจริงและเหตุผล



    มีแต่ทหาร-ไร้"ชายชุดดำ"

    ส่วน ร.ต.อ.สากล คำยิ่งยง ส.อ.ชิตณรงค์ รวมทั้งนายคมสันติ ทองมาก ผู้สื่อข่าวสำนักงาน เนชั่นทีวี ยืนยันทำนองเดียวกันว่า ช่วงที่เจ้าพนักงาน ทหารเข้าควบคุมพื้นที่ การเข้าออกต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานทหารก่อน แม้แต่เจ้าพนักงานตำรวจก็ไม่สามารถเข้าออกได้เว้นแต่ได้รับอนุญาต ขณะเกิดเหตุบริเวณดังกล่าวไม่มีประชาชนผู้ชุมนุม ไม่มีผู้ใดเห็นชายชุดดำถืออาวุธปืน มีเพียงผู้สื่อข่าวจากสำนักพิมพ์ต่างๆ และ เจ้าพนักงานเท่านั้น นอกจากนี้ ร.อ.เกริกเกียรติเบิกความว่าบริเวณที่เกิดเหตุไม่มีชายชุดดำ และช่วงเกิดเหตุไม่มีใครกล้าเข้ามา แม้นายสมรจะอ้างว่าก่อนถูกระดมยิงไม่ได้ยินเสียงประกาศเตือน และถูกระดมยิงใส่รถตู้จากทางด้านหน้าด้านซ้ายและขวา

    ศาลระบุต่อว่า โดยไม่เห็นคนยิงนั้น ปรากฏว่านายอเนกเบิกความว่า เวลาประมาณ 24.00 น. นั่งเล่นหมากฮอสกับผู้ตายอยู่ในสำนักงานขายคอนโดฯ ได้ยินเสียงประกาศของเจ้าพนักงานทหารให้รถหยุดแล่นเข้าไปในเขตพื้นที่ควบคุม ถ้าไม่หยุดจะยิง ต่อมามีเสียงปืนดังทีละนัด ผู้ตายวิ่งออกไปดูเหตุการณ์ที่หน้าสำนักงานขายคอนโดฯ จากนั้นมีเสียงอาวุธปืนดังแบบการยิงอัตโนมัติติดๆ กันผู้ตายวิ่งกลับเข้าไปบอกนายอเนกว่าถูกยิง แล้วล้มลง และนายคมสันติผู้บันทึกภาพเคลื่อนไหวก็ได้ยินเสียงประกาศเตือนของเจ้าพนักงานทหารให้รถตู้หยุด แล้วได้ยินเสียงปืนทีละนัด หลังจากนั้นจึงบันทึกภาพเคลื่อนไหว ก็ได้ยินเสียงปืนยิงแบบอัตโนมัติ



    หลักฐานกระสุนในศพชัดเจน

    นายอเนกและนายคมสันติ พยานทั้ง 2 เป็นประจักษ์พยานที่ไม่มีส่วนได้ส่วนเสีย และไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับใครมาก่อน เชื่อว่าพยานเบิกความตามความเป็นจริง ว่ามีการประกาศแจ้งเตือนล่วงหน้าก่อนแล้วจึงยิงปืนทีละนัด หลังจากนั้น จึงระดมยิงแบบอัตโนมัติ จากการประกาศแจ้งเตือนและการยิงปืนดังกล่าว ทำให้ผู้ตายวิ่งไปหน้าสำนักงานคอนโดฯ เพื่อยืนดูเหตุการณ์จึงทำให้ถูกลูกกระสุนปืนที่หน้าอกซ้ายใต้ราวนม แฉลบทะลุไปถูกต้นแขนซ้าย และเส้นเลือดใหญ่ฉีกขาด เสียเลือดมากถึงแก่ความตาย

    โดย พล.อ.ต.นพ.วิชาญ เปี้ยวนิ่ม ผู้ชันสูตรพลิกศพและผ่าชันสูตรศพ พบลูกกระสุนปืนรูปร่างปลายแหลมหุ้มทองเหลืองที่ต้นแขนซ้าย เป็นสาเหตุแห่งการตาย ส่วน พ.ต.ท.ธนงศักดิ์ บุญมาก ผู้ตรวจลูกกระสุนปืนที่ได้จากศพ เบิกความว่า ลูกกระสุนปืนจากศพเป็นลูกกระสุนปืนขนาดเล็กกลขนาด .223 (5.56 ม.ม.) เป็นกระสุนปืนที่ใช้กับปืนความเร็วสูงชนิดเอ็ม 16 รุ่นเอ 2 แต่อาจนำไปใช้กับปืนเอ็ม 16 รุ่นเอ 1 ได้ เป็นอาวุธปืนที่ใช้ในราชการสงคราม มีอำนาจทะลุทะลวงสูงกว่ากระสุน ปืนแกนเหล็กหุ้มตะกั่ว หากใช้กับอาวุธปืนเอ็ม 16 รุ่นเอ 1 จะทำให้ประสิทธิภาพไม่เท่ากับใช้กับอาวุธปืนเอ็ม 16 รุ่นเอ 2 หรืออาจใช้กับอาวุธปืนทาโวร์ หรืออาจใช้กับอาวุธปืนเอชเค 33 หรืออาวุธปืนไรเฟิล เป็นต้น



    ไม่มีคนร้ายปะทะยิงต่อสู้

    ศาลระบุต่อว่า เมื่อดูภาพถ่ายรถตู้พบว่าบริเวณตัวถังด้านหน้า ซ้าย และขวา มีร่องรอยถูกกระสุนปืนหลายแห่ง และหลายชนิดแตกต่างกัน แสดงว่ามีผู้ร่วมยิงหลายคน ใช้อาวุธปืนยิงจากอาวุธปืนหลายกระบอก และใช้กระสุนปืนต่างชนิดกัน ปรากฏในภาพเคลื่อนไหวมีเจ้าพนักงานทหารบางส่วน กำลังนั่งเล็งอาวุธปืนไปที่รถตู้ พร้อมจะยิงเพื่อช่วยเหลือสนับสนุน เชื่อว่าช่วงเวลาดังกล่าวไม่มีการยิงต่อสู้ระหว่างคนร้ายที่โจมตีด่านจุดตรวจ หรือมีการปะทะกับเจ้าพนักงานทหาร ดังที่นาย สุเทพ เทือกสุบรรณ ได้รับรายงาน

    เพราะถ้ามีการโจมตีจริง ก็น่าจะปรากฏอยู่ในสถานการณ์ความเคลื่อนไหวของเจ้าหน้าที่ทหาร และเชื่อว่าถ้ามีเหตุการณ์ต่อสู้ดังที่อ้างจริง พ.อ. พงศกร อาจสัญจร พ.ท.วรกานต์ และนายทหารอื่นคงไม่นิ่งเฉยปล่อยให้มีคนร้ายโจมตี โดยไม่สั่งการให้ผู้ใต้บังคับบัญชาตอบโต้ หลังเหตุการณ์สงบลงมีเจ้าพนักงานทหารหลายนายถืออาวุธปืนเอ็ม 16 เดินไปดูที่รถตู้ ไม่มีลักษณะของความเกรงกลัว หรือระวังตัวว่าจะถูกคนร้ายลอบยิงหรือทำร้าย ทั้งที่เจ้าพนักงานทหารอ้างว่าถูกระดมยิงระเบิดเอ็ม 79 ใส่ก่อนเกิดเหตุ ส่วนนายสมรยอมรับว่าหลังเสียงปืนสงบ ได้ร้องตะโกนขอความช่วยเหลือ แล้วมีเจ้าพนักงานทหารเข้าไปทุบกระจกรถ เพื่อช่วยนำตัวออกจากรถตู้



    ชี้ตายด้วยลูกปืน"ทหาร"

    จากพฤติการณ์ต่างๆ ดังกล่าวเชื่อว่าวันเกิดเหตุ กลุ่มที่ร่วมระดมยิงอาวุธปืนที่ใช้ในราชการสงคราม ใส่รถตู้คันเกิดเหตุนั้น เป็นเจ้าพนักงานทหาร แม้ไม่มีประจักษ์พยานเห็นว่าผู้ตายถูกลูกกระสุนปืนของผู้ใด แต่บริเวณที่เกิดเหตุเป็นพื้นที่ควบคุมของเจ้าพนักงานทหาร ที่ควบคุมพื้นที่ทั้ง 2 ฝั่งถนนของที่เกิดเหตุ สภาพรถตู้ก็ถูกยิงจากด้านหน้า ซ้าย และขวา ของตัวถังรถ ในช่วงเกิดเหตุไม่มีคนร้ายเข้าไปในที่เกิดเหตุ ในลักษณะเข้าไปยิงปะทะต่อสู้กับ เจ้าพนักงานทหาร ตามที่วินิจฉัยข้างต้น คงมีเพียงเจ้าพนักงานทหารที่สามารถใช้อาวุธปืนยิงรถตู้ เพราะฝ่าฝืนคำสั่งที่ประกาศเตือนไม่ให้แล่นเข้าไปในพื้นที่ควบคุม เป็นเวลาเดียวกับผู้ตายวิ่งออกไปดูเหตุการณ์หน้าสำนักงานขายคอนโดฯ

    นอกจากนี้ ยังปรากฏว่าลูกกระสุนปืนที่พบในศพผู้ตายกับในตับของนายสมร คนขับรถตู้ เป็น กระสุนขนาด .223 (5.56 ม.ม.) เช่นเดียวกัน เมื่อเปรียบเทียบวิถีกระสุนจากศพผู้ตาย กับวิถีกระสุนจากรถยนต์ตู้ อยู่ในแนวเดียวกันกับตำแหน่ง เจ้าพนักงานทหารที่ควบคุมพื้นที่ จึงเชื่อว่าการตายของผู้ตาย เกิดจากถูกลูกกระสุนปืนจากการยิงของเจ้าพนักงานทหารยิงใส่รถตู้ ที่แล่นเข้าไปในพื้นที่ควบคุม ภายหลังเจ้าพนักงานทหารเตือนให้หยุดแล่น



    พลันศาลสั่ง-เมียถึงร่ำไห้

    ศาลจึงมีคำสั่งว่า ผู้ตายชื่อนายพัน คำกอง ตายที่หน้าที่สำนักงานขายคอนโดมิเนียม ชื่อไอดีโอคอนโด ถนนราชปรารภ แขวงมักกะสัน เขตราช เทวี กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 15 พ.ค.2553 เวลากลางคืนก่อนเที่ยง เหตุและพฤติการณ์ที่ตายเกิด จากการถูกลูกกระสุนปืนขนาด .223 (5.56 ม.ม.) จากอาวุธปืนที่ใช้ในราชการสงคราม ที่เจ้าพนักงานทหารร่วมกันยิงไปที่รถตู้หมายเลขทะเบียน ฮค 8561 กรุงเทพมหานคร มีนายสมร ไหมทอง เป็นผู้ขับ แล้วลูกกระสุนปืนไปถูกผู้ตายถึงแก่ความตาย ในขณะเจ้าพนักงานทหารกำลังปฏิบัติหน้าที่รักษาความสงบปิดล้อมพื้นที่ควบคุม ตามคำสั่งของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.)

    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการฟังคำสั่งของศาลครั้งนี้ นอกจากนางหนูชิต และน.ส.นิตยา ภรรยาและลูกสาวของนายพัน พร้อมด้วยญาติพี่น้องอีกจำนวนหนึ่งแล้ว ยังมีนางธิดา โตจิราการ ประธานนปช. และนพ.เหวง โตจิราการ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และแกนนำ นปช. พร้อมด้วยกลุ่มคนเสื้อแดงอีกจำนวนหนึ่งมาให้กำลังใจด้วย โดยนางหนูชิตถึงกับร้องไห้ทันทีที่ศาลสั่งว่าสามีถูกเจ้าหน้าที่ทหารยิงเสียชีวิต



    ส่งสำนวนกลับ"ดีเอสไอ"

    ผู้สื่อข่าวรายงานต่อว่า หลังจากศาลมีคำสั่งในคดีนี้แล้ว ทางพนักงานอัยการผู้ร้องจะนำคำสั่งศาลทั้งหมด ส่งกลับไปให้พนักงานสอบสวนกองบัญชาการตำรวจนครบาล หรือกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ซึ่งเป็นผู้ทำสำนวนการสอบสวนเสียชีวิตในเหตุการณ์สลายชุมนุม เพื่อดำเนินการต่อไป เนื่องจากการยื่นคำร้องขอไต่สวนชันสูตรศพ เป็นเพียงหนึ่งในขั้นตอนกระบวนการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือดีเอสไอ หากรวบรวมพยานหลักฐานได้ชัดเจน จะต้องทำสำนวนคดีฆาตกรรม ยื่นฟ้องเป็นคดีอาญาต่อไป

    นางหนูชิต ภรรยาของนายพัน กล่าวว่า รู้สึกโล่งใจกับคำสั่งศาลที่ออกมาในวันนี้ แสดงให้เห็นแล้วว่าเหตุการณ์ในวันนั้นมีแต่เจ้าหน้าที่ทหาร ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่รัฐอยู่ในที่เกิดเหตุ ตนไม่อยากให้เจ้าหน้าที่รัฐเรียกกลุ่มผู้ชุมนุม นปช.ว่าผู้ก่อการร้าย เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นก็เห็นแล้วว่า เป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ ไม่ใช่กลุ่มผู้ชุมนุมแต่อย่างใด ส่วนการดำเนินการทางคดีจะยังดำเนินการต่อไปแน่นอน แต่ต้องรอเวลาที่เหมาะสม



    เป็นบรรทัดฐานคดีที่เหลือ

    ส่วนนางธิดากล่าวว่า ยินดีกับผลตัดสินเป็นอย่างยิ่ง รู้สึกว่าความยุติธรรมในเมืองไทยมีเส้น ทางไปต่อ และจะเป็นทางออกของประเทศไทย สำหรับนปช.แล้วต้องการแค่ทำความจริงให้ปรากฏ ถึงแม้ว่าความจริงจะถูกใจใครหรือไม่ก็ตาม แต่ว่าขอให้เป็นความจริง นปช.ยินดียอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นทุกประการ และหวังเป็นอย่างยิ่งหวังว่านับจากนี้คดีความอื่นๆ ที่กำลังอยู่ในการพิจารณา ก็คงจะได้รับคำตัดสินตามมา และคดีอื่นๆ ที่มีจำนวนมากนั้น ด้วยความเชื่อของนปช.เป็นการต่อสู้สันติวิธีแท้จริง ดังนั้น จึงเชื่อมั่นว่าผลการตัดสินจะเป็นเช่นคดีนี้ ที่การเสียชีวิตของนปช.เกือบทั้งหมดมาจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ แต่เราต้องการเพียง แค่คำรับรอง การตรวจสอบอย่างถูกต้อง และการวินิจฉัยที่ถูกต้องจากศาลเท่านั้นเอง

    "เชื่อมั่นว่าคดีความจะดำเนินต่อไป และต้อง การให้คดีความดำเนินการไปตามครรลองที่ควรจะเป็น ไม่ได้เจาะจงว่าใครเป็นผู้ที่กระทำผิด ไม่ได้อาฆาตพยาบาทใคร เพราะถ้าไม่ทำให้ความยุติธรรม และความจริงเกิดขึ้น ประเทศไทยไม่มีอนาคตแน่นอน เเละหากพิจารณาจากคดีของนายพันนั้น ก็ยังมีความหวังที่ประเทศมีทางออก" นางธิดากล่าว



    "มาร์ค-เทือก"จ่อข้อหาฆ่า

    ขณะเดียวกัน นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ แถลงภายหลังศาลอาญามีคำสั่งว่านายพันเสียชีวิตจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ ว่า ศาลมีคำสั่ง ผูกไว้ว่าเป็นการปฏิบัติตามคำสั่งของ ศอฉ. ดังนั้น ดีเอสไอจะทำสำนวน 2 แนวทาง คือ ทหารที่ยิงประชาชนตกเป็นผู้ต้องหา และทหารคนดังกล่าวถูกกันเป็นพยาน เนื่องจากเป็นการกระทำผ่านคำสั่งของผู้บังคับบัญชาขณะนั้น คือนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกฯ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีต ผอ.ศอฉ.

    อธิบดีดีเอสไอกล่าวว่า ดังนั้น นายอภิสิทธิ์และนายสุเทพจะถูกดำเนินคดีในข่ายฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา เป็นคดีฆาตกรรม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 และ 289 และมาตรา 59 ที่ระบุว่าเป็นการกระทำที่มีเจตนาเล็งเห็นผลว่ามีผู้เสียชีวิตได้ ทั้งนี้ กฎหมายให้ผู้ที่ถูกกล่าวหา สามารถแก้ ข้อกล่าวหาว่าเป็นการกระทำเพื่อป้องกัน หรือระงับเหตุร้าย ซึ่งเรื่องนี้จะไม่ได้อยู่ที่ดุลพินิจของดีเอสไอ ตำรวจ และอัยการ โดยเรื่องจะต้องส่งคดีกลับไปยังศาล เพื่อให้ดำเนินการต่อไป



    ความจริงปรากฏ-ขัดแย้งยุติ

    ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองโฆษกประจำสำนักนายกฯ กล่าวว่า คำสั่งของศาลในคดียิงนายพัน พิสูจน์ให้สังคมเห็นว่าไม่มีชายชุดดำ ตามที่ฝ่ายค้านกล่าวอ้าง หรือถ้าจะมีคงมีแค่ชายตาบอดสีไม่กี่คนที่ไม่กล้าพูดความจริง และประชาชนคนไทยทั่วไปที่ติดตามเหตุการณ์ชุมนุม คงได้รับคำตอบแล้วว่าชายชุดดำมีอยู่จริงหรือไม่ ขั้นตอนจากนี้อัยการจะส่งคำสั่งการไต่สวนของศาลไปยังพนักงานสอบสวน เพื่อทำสำนวนคดีฆาตกรรม จากนั้นจะเข้าสู่ขั้นตอนการพิจารณาตามข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ว่าใครจะต้องเป็นผู้รับผิดในฐานะเป็นผู้สั่งการ และใครจะได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย

    นายอนุสรณ์กล่าวว่า โดยผู้ที่ออกคำสั่งการสูงสุดได้แก่นายกฯ และผอ.ศอฉ.ในขณะนั้น จะต้องถูกดำเนินคดีฐานออกคำสั่งการแล้วทำให้มีคนตายหรือไม่ ทั้งนี้คดีของนายพันจะเป็นบรรทัดฐาน ที่ทำให้การดำเนินงานของดีเอสไอ ที่ยังมีคดีต่างๆ อีกกว่า 30 สำนวน เพื่อส่งฟ้องศาลนั้นจะเป็นไปอย่างรวดเร็ว และเชื่อว่าจากนี้ไปถ้าทุกฝ่ายที่อยู่ในเหตุการณ์พูดความจริง ทำทุกอย่างตรงไปตรงมา จะทำให้ปัญหาที่นำไปสู่ความขัดแย้ง ยุติลงได้



    "เสธ.ไก่อู"เคารพคำสั่งศาล

    ด้าน พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก และอดีตโฆษกศอฉ. กล่าวว่า เรื่องคดีนายพัน คำกอง เป็นจุดเริ่มต้นที่ศาลชี้ เราเคารพในการชี้ของศาล แต่ในขั้นตอนต่อไปก็เป็นเรื่องที่ทางศาลจะต้องส่งสำนวนต่อไปทางอัยการ และอัยการก็จะส่งต่อไปยังพนักงานสอบสวน เพื่อดำเนินการตามขบวนการต่อไป

    โฆษกกองทัพบกกล่าวต่อว่า แต่สิ่งหนึ่งที่กองทัพอยากชี้แจงทำความเข้าใจส่วนหนึ่ง คือต้องย้อนดูถึงสาเหตุในกระบวนการสืบสวนสอบสวนของเจ้าหน้าที่ในขั้นต่อไป ว่าที่เกิดอย่างนั้นมีมูลเหตุมาจากอะไร เจ้าหน้าที่ทำตามกฎหมายอะไร พื้นที่ตรงนั้นเจ้าหน้าที่ประกาศเป็นพื้นที่อันตรายที่ห้ามเข้าไปหรือไม่ เรื่องนี้ต้องระมัดระวังในการนำเสนอ เพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อน มีผลกระทบต่อความรู้สึกของทุกฝ่าย อย่าลืมว่าในเหตุการณ์ที่ว่ามานี้ ไม่มีเจ้าหน้าที่คนไหนอยากให้เกิด ในขณะเดียวกันผู้ที่ได้รับผลกระทบทั้งบาดเจ็บและเสียชีวิต มีด้วยกันทุกฝ่าย



    "มาร์ค"โต้ศอฉ.สั่งให้ฆ่าคน

    ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และอดีตนายกฯ กล่าวถึงเรื่องเดียวกันว่า ได้ติดตามข่าว ยังไม่เห็นคำสั่งศาลฉบับเต็ม แต่ทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม จากขั้นตอนนี้แล้วต้องส่งไปที่พนักงานอัยการ และพนักงานสอบสวน

    ผู้สื่อข่าวถามว่านายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ ระบุว่าจะดำเนินคดีนายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ ในข้อหาฆ่า นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า จะดูว่าการใช้อำนาจของฝ่ายต่างๆ เป็นไปตามกระบวนการแค่ไหน ส่วนที่จะโยงว่าเป็นคำสั่งของศอฉ.นั้น ศาลก็บอกแล้วว่า คำสั่งของศอฉ.เป็นการสั่งให้เข้าควบคุมพื้นที่ เป็นคนละประเด็นกับการที่สั่งให้ไปฆ่าคน หรือทำให้เกิดความสูญเสีย ฉะนั้น ต้องดูสภาวะแวดล้อม พฤติการณ์ต่างๆ เป็นหน้าที่ของอัยการ และพนักงานสอบสวน แต่ถ้าคนสอบสวนมีอยู่และไม่สะท้อนความจริง คงจะไม่ได้



    ซัดกลับธาริต-อ้างการเมือง

    ต่อข้อถามว่านายธาริตระบุจะนำคดีนี้มาเป็นบรรทัดฐานในการตั้งเป็นคดีฆาตกรรม และจะเรียกสำนวนอีก 35 คดีที่จะเข้าสู่การไต่สวนเป็นคดีฆาตกรรม อดีตนายกฯ กล่าวว่า แต่ละคดีจะนำมาผูกโยงกันหมดไม่ได้ เพราะแต่ละเหตุการณ์ไม่ได้เกิดขึ้นในที่เดียวกันและเวลาเดียวกัน อย่างกรณีของนายพัน ศาลก็ระบุว่าเสียชีวิตจากช่วงที่มีการยิงรถตู้ จะไปใช้กับอีก 20-30 คดีไม่ได้

    "ตอนนี้นายธาริตก็พูดในสิ่งที่ฝ่ายการเมืองฝ่ายนู้นเขาพูดมาก่อน ก็ข้องใจว่าเป็นการชี้นำหรือไม่ โดยผมจะดูหนทางในการดำเนินคดี และทุกฝ่ายต้องอยู่ใต้กระบวนการยุติธรรม ทุกคนมีสิทธิ์ตามกฎหมาย ผมจะดูว่าการดำเนินการต่อจากนี้ไป ให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายหรือไม่ คาดว่ากลุ่มที่มีผลประโยชน์ทางการเมืองน่าจะนำเรื่องนี้ไปขยายผล และจะกลายเป็นปัญหาว่าเราไม่พยายามค้นหาความจริงที่นำไปสู่การปรองดอง แต่พยายามสร้างเงื่อนไขให้เกิดความขัดแย้งหรือไม่" นายอภิสิทธิ์กล่าว



    ไต่สวนต่อ-คดียิงหนุ่มเขาดิน

    นอกจากนี้ ที่ศาลอาญา ศาลนัดไต่สวนคำร้องชันสูตรพลิกศพ คดีหมายเลขดำที่ อช.8/2555 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 7 เป็นโจทก์ ยื่นคำร้องขอให้ชันสูตรการเสียชีวิตของนายมานะ อาจราญ อายุ 24 ปี ลูกจ้างสวนสัตว์ดุสิต เพื่อทำคำสั่ง แสดงว่าผู้ตายเป็นใคร ตายที่ไหน เมื่อใด และถึงเหตุ และพฤติการณ์ที่ตาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 150 โดยนายมานะถูกยิงเสียชีวิตเมื่อวันที่ 10 เม.ย.2553 บริเวณสวนสัตว์ดุสิต

    โดยอัยการนำพ.ต.อ.ปรีดา สถาวร โฆษก บช.น. เบิกความสรุปว่า ปฏิบัติหน้าที่กำกับวางแผนกองกำลังของตำรวจนครบาลประจำจุดต่างๆ ตามคำสั่งศอฉ. ระหว่างวันที่ 5-12 เม.ย.2553 ได้รับ คำสั่งให้จัดเจ้าหน้าที่ดูแลรัฐสภา สวนสัตว์ดุสิต และบริเวณรอบๆ ใช้กองกำลัง 4 กองร้อย บางส่วนจะพักกองกำลังที่รัฐสภา บางส่วนพักที่สวนสัตว์ ดุสิต สำหรับอาวุธประจำกายของตำรวจ มีเพียงโล่และกระบองเท่านั้น ไม่มีอาวุธปืน วันเกิดเหตุการณ์ไม่ทราบว่ามีผู้เสียชีวิตถูกยิงในสวนสัตว์ดุสิต เนื่อง จากได้รับคำสั่งให้นำกำลังไปรักษาความปลอดภัยแยกมิสกวันแทน

    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังไต่สวนเสร็จ ศาลนัดไต่สวนพยานปากต่อวันที่ 24 ก.ย. เวลา 09.00 น.



    ศาลสั่งเลื่อนคดี"ฟาบิโอ"

    ส่วนที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลนัดไต่สวนการชันสูตรพลิกศพ คดีหมายเลขดำ ช.10/2555 ที่พนักงานอัยการคดีอาญากรุงเทพใต้ ยื่นคำร้องขอให้ไต่สวนชันสูตรการเสียชีวิตของนายฟาบิโอ โปเลงกี ช่างภาพชาวอิตาลี เพื่อทำคำสั่งแสดงว่า ผู้ตายเป็นใคร ตายที่ไหน เมื่อใด และถึงเหตุ และพฤติการณ์ที่ตาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 150 โดยนายฟาบิโอถูกยิงเสียชีวิต ช่วงเวลา 10.00-13.00 น. วันที่ 19 พ.ค.2553

    นายคารม พลพรกลาง ทนายความญาติผู้ตาย เปิดเผยว่า เนื่องจากอัยการ ผู้ร้องติดภารกิจ ศาลจึงเลื่อนนัดไต่สวนออกไปก่อน ศาลนัดพร้อมคู่ความวันที่ 10 ต.ค. เวลา 09.00 น. เพื่อให้อัยการผู้ร้อง และทนายความญาติผู้ตาย ร่วมกันพิจารณาที่จะนำพยานมาไต่สวน โดยเน้นเฉพาะพยานเกี่ยวข้องและสำคัญ ก่อนหน้านี้อัยการจะนำสืบพยานประมาณ 30 ปาก ส่วนฝ่ายญาติผู้ตายมี 20 ปาก ที่ผ่านมาอัยการนำพยานเบิกความแล้ว 2 ปาก คือ น.ส.เอลิซาเบ็ตต้า น้องสาวผู้ตาย และเจ้าหน้าที่ตำรวจ



    เล็งเรียก"มาร์ค"ไต่สวนด้วย

    นายคารมกล่าวต่อว่า สำหรับพยานที่จะขอนำ สืบจะเป็นผู้เกี่ยวข้อง อาทิ สื่อต่างประเทศที่อยู่ในที่เกิดเหตุ และกลุ่มผู้ชุมนุม ส่วนญาตินั้นคงมีเพียงแค่น้องสาว เนื่องจากมารดานายฟาบิโอเซ็นมอบอำนาจทนายความเรียบร้อยแล้ว สำหรับการไต่สวนเป็นไปได้ที่จะขอให้นำนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกฯ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรอง นายกฯ และอดีตผอ.ศอฉ. มาไต่สวน เหมือนสำนวน การไต่สวนการเสียชีวิตของนายพัน คำกอง ด้วย

    ผู้สื่อข่าวถามว่า การที่ศาลอาญามีคำสั่งในการไต่สวนศพของนายพัน จะเป็นประโยชน์ต่อการไต่สวนคดีของนายฟาบิโอหรือไม่ นายคารมกล่าวว่า เนื่องจากเหตุที่เกิดเป็นคนละพื้นที่กัน จะต้องไต่สวนให้ได้ความว่า ในพื้นที่ที่นายฟาบิโอเสียชีวิตนั้นมีบุคคลใดที่จะสามารถมีอาวุธได้หรือไม่ มีบุคคลอื่นใดนอกจากเจ้าหน้าที่หรือไม่ และในส่วนของเรายืนยันว่ากลุ่มผู้ชุมนุมไม่มีอาวุธ



    คอป.เปิดรายงานพ.ค.เลือด

    วันเดียวกัน ที่โรงแรมแกรนด์ เมอร์เคียว ฟอร์จูน นายคณิต ณ นคร ประธานคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรอง ดองแห่งชาติ (คอป.) พร้อมด้วยกรรมการคอป.ทั้ง 8 คน แถลงเผยแพร่รายงานเหตุกาณ์เดือนเม.ย.-พ.ค.2553 ฉบับสมบูรณ์ของคอป. โดยมีตัวแทนองค์กรระหว่างประเทศ ผู้แทนสถานทูต ร่วมรับฟังด้วย

    นายสมชาย หอมลออ กรรมการคอป. กล่าวว่า การตรวจสอบของคอป. มุ่งค้นหาความจริง โดยตั้งอนุกรรมการ 5 ชุด เพื่อตรวจสอบความรุนแรงอย่างน้อย 10 กรณี พร้อมศึกษาภาพรวมและภูมิหลังของเหตุการณ์ ยึดหลักสิทธิมนุษยชน และตรวจสอบการดำเนินการของเจ้าหน้าที่รัฐ ว่าเหมาะสมต่อสถานการณ์หรือไม่ รายงานของคอป.จะไม่ใช่รายงานฉบับสุดท้ายของเหตุการณ์เม.ย.-พ.ค.2553 จึงอย่าถือว่าเป็นความจริงที่สุด อย่างไรก็ตาม รายงานสรุปว่าเหตุการณ์เดือนเม.ย.-พ.ค.53 เป็นเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดความขัดแย้ง และความไม่ไว้วางใจต่อกัน



    โยนผิดชุดดำ-โยงการ์ดนปช.

    นายสมชายกล่าวว่า รายงานพบว่าเหตุการณ์ 10 เม.ย.2553 บริเวณสี่แยกคอกวัวและถนนดินสอ เป็นช่วงรุนแรงมากที่สุด พบหลักฐานการปรากฏตัวของชายชุดดำ ใช้อาวุธโจมตีทหารบริเวณถนนตะนาวและถนนข้าวสาร จากการตรวจสอบทั้งจากคอป.และเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน พบการใช้ระเบิดเอ็ม 79 และอาวุธปืนยาวยิงใส่เจ้าหน้าที่ สรุปได้ว่ามีชายชุดดำจริงในเหตุการณ์ต่างๆ และยังพบว่าคนชุดดำที่มีอาวุธสงครามบางคนเกี่ยวพันใกล้ชิดกับพล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก อาจหมายถึงใกล้ชิดไปไหนมาไหนด้วยกัน

    กรรมการคอป.กล่าวต่อว่า จึงเชื่อว่ามีคนชุดดำปะปนอยู่กับผู้ชุมนุม และปฏิบัติการร่วมกับการ์ดนปช.บางส่วน โดยการรู้เห็น หรือสนับสนุนของแกนนำนปช.บางคน โดยเฉพาะเหตุการณ์ 10 เม.ย.2553 เหตุการณ์บนถนนพระราม 4 บ่อนไก่ และถนนราชปรารภ โดยอาศัยสถานการณ์ความวุ่นวายจากการตอบโต้ระหว่างผู้ชุมนุมกับเจ้าหน้าที่ และกลุ่มควันจากการเผายางเป็นกำบังในการใช้อาวุธสงครามโจมตีเจ้าหน้าที่ หลายเหตุการณ์พบว่ามีชายชุดดำอยู่ในเขตการควบคุมของการ์ดนปช. อย่างไรก็ตาม คอป.ไม่มีพยานหลักฐานเพียงพอ ที่ระบุความเชื่อมโยงระหว่างคนชุดดำกับแกนนำนปช.ได้



    ยันจนท.ใช้อาวุธกับผู้ชุมนุม

    กรรมการคอป.กล่าวอีกว่า ส่วนการทำหน้าที่ของศอฉ. พบว่าใช้อาวุธปฏิบัติต่อผู้ชุมนุม แม้ จะมีข้อสงสัยชายชุดดำเข้ามาปะปนกับผู้ชุมนุม เจ้าหน้าที่ก็ไม่มีสิทธิ์ใช้อาวุธจริง อย่างไรก็ตาม ศอฉ.ไม่มีระบบปฏิบัติการตรวจสอบการทำงานของเจ้าหน้าที่ เพียงแต่รับทราบรายงานจากผู้บังคับบัญชาเท่านั้น ทั้งนี้ คอป.ไม่มีสิทธิ์นำใครมาดำเนินคดี หรือกล่าวร้ายให้โทษใครได้ เพียงแต่ต้องการนำเสนอข้อเท็จจริงเท่านั้น

    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า รายงานของคอป.มี 276 หน้า แบ่งเป็น 5 ส่วน คือ 1.ข้อมูลเกี่ยวกับคณะกรรมการ 2.สรุปเหตุการณ์ความรุนแรงและการละเมิดสิทธิ์ 3.สาเหตุและรากเหง้าความขัดแย้ง 4.เหยื่อและการเยียวยาและการฟื้นฟูเหยื่อ และ 5.ข้อเสนอแนะ ทั้งนี้ คอป.ได้ลำดับเหตุการณ์ความรุนแรง โดยเริ่มจากที่สถานีดาวเทียมไทยคม ไปจนถึงการเผาสถานที่สำคัญ ทั้งในกทม.และต่างจังหวัด รวมถึงชายชุดดำที่ใช้ความรุนแรงและอาวุธสงคราม



    แนะ 12 ข้อสร้างปรองดอง

    นอกจากนี้ ยังมีข้อเสนอแนะแนวทางสร้างความปรองดอง ทั้งระยะเร่งด่วน ระยะกลาง และระยะยาว รวม 12 ด้าน อาทิ การสร้างความปรอง ดองที่ยั่งยืน ระยะเร่งด่วน ทุกฝ่ายต้องยุติการดำเนินการที่นำไปสู่ความขัดแย้ง ทำลายบรรยากาศความปรองดอง ไม่นำความจริงที่คอป.เปิดเผยไปขยายผลให้เกิดความขัดแย้งบานปลาย หรือเปิดประเด็นโต้แย้งใหม่ ระยะกลาง ทุกฝ่ายต้องเปิดใจกว้างรับฟังความเห็นแตกต่าง เคารพสิทธิ เสรีภาพ และรัฐต้องเปิดพื้นที่ให้ประชาชนแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ส่วนระยะยาว ต้องส่งเสริมการเรียนรู้ ทำความเข้าใจรากเหง้าความขัดแย้ง เพื่อร่วมหาแนวทางแก้ไข

    รายงานของคอป.ระบุด้วยว่า ส่วนการให้ความยุติธรรมนั้น รัฐต้องนำผู้กระทำผิดเข้าสู่กระบวน การยุติธรรม แต่ต้องให้ความเป็นธรรม เยียวยาอย่างเป็นระบบ ต่อเนื่อง ครอบคลุมความเสียหายทุกด้าน หากจะนิรโทษกรรมต้องกำหนดความผิดและเงื่อนไขชัดเจนและเจาะจง ส่วนการแก้ไขรัฐธรรม นูญนั้น รัฐไม่ควรเร่งรัด ต้องให้ประชาชนมีส่วนร่วม นอกจากนี้ ทุกฝ่ายต้องยุติการกล่าวอ้างสถาบันเพื่อประโยชน์ทางการเมือง ขณะที่กองทัพและทหารต้องไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง และรัฐบาลต้องไม่ใช้ทหารแก้ปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง และการชุมนุมของประชาชน



    "คณิต"เสนอ"แม้ว"ยุติบทบาท

    ผู้สื่อข่าวรายงานต่อว่า นอกจากนี้ นายคณิตยังแจกสารความในใจขณะเป็นประธานคอป. ระบุว่าบ้านเมืองจะสงบและเกิดสันติ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ต้องยุติบทบาททางการเมือง รัฐบาลต้องทำเรื่องการหักดิบกฎหมายให้กระจ่าง โดยใช้กระบวน การยุติธรรม เพื่อลบความเคลือบแคลง และสร้างความเชื่อมั่นว่าอดีตนายกฯ และตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มีความสุจริตในเรื่องดังกล่าว ส่วนการร้องศาลอาญาระหว่างประเทศ เกี่ยวกับเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมือง และการฆ่าตัดตอนจากนโยบายปราบปรามยาเสพติดนั้น หากปล่อยให้ศาลอาญาระหว่างประเทศเข้ามาดำเนินการเอง จะเสียเกียรติภูมิประเทศ อีกทั้งขอให้รัฐบาลตระหนักถึงการดำเนินการกับนักการเมือง และเจ้าหน้าที่รัฐที่หลบหนีคดีทุจริตไปอยู่ต่างประเทศด้วย



    นักวิชาการจวก"คอป."สรุป

    ด้านน.ส.พวงทอง ภวัครพันธุ์ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะผู้ประสานงานศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมเดือนเม.ย.-พ.ค.53 (ศปช.) กล่าวถึงการแถลงของคอป. ว่า ได้อ่านจากตัวรายงานที่ละเอียดกว่าที่แถลง ระบุชัดการ์ดนปช.ช่วยให้คนชุดดำเข้าไปในพื้นที่การชุมนุม พยายามโยงว่า นปช.รู้ดีเกี่ยวกับชายชุดดำ ขณะที่รายงานไม่มีการพูดถึงผู้ชุมนุมที่เสียชีวิตก่อนที่ชายชุดดำจะปรากฏตัว หรือก่อนที่จะมีผู้ยืนยันว่าชายชุดดำใช้อาวุธสงคราม ศปช.ไม่ได้ปฏิเสธว่าไม่มีชายชุดดำ แต่นำเสนอด้วย แต่ที่ต่างจาก คอป.คือมีเรื่องราวของผู้ชุมนุม ผู้เสียชีวิตที่บริเวณสี่แยกคอกวัว ถนนตะนาว ถนนดินสอ ก่อนที่จะมีพยานยืนยันว่าชายชุดดำเริ่มใช้อาวุธยิงใส่ทหาร เป็นประเด็นที่ คอป.ไม่พูด

    น.ส.พวงทองกล่าวว่า คอป.ยังไม่วิจารณ์ถึงการตัดสินใจใช้อาวุธ และทหารจำนวนมาก รวมถึงการใช้กระสุนจริงเข้าสลายการชุมนุม ว่าเป็นความผิดพลาดของรัฐบาลหรือไม่ ที่ไม่ปฏิบัติตามขั้นตอน แต่กลับอ้างแถลงการณ์ของ ศอฉ.และชี้แจง เจ้าหน้าที่ของศอฉ. ได้พยายามปฏิบัติตามขั้นตอน แต่ไม่วิจารณ์ ไม่พูดถึงเหตุผลที่ออกประกาศต่างๆ ยกเว้นกรณียิงที่ถนนดินสอ หน้าโรงเรียนสตรีวิทยา คอป.ระบุมีร่องรอยกระสุนที่ยิงจากฝั่งทหารเข้าใส่ผู้ชุมนุม แต่ก็เป็นการพูดอย่างเข้าอกเข้าใจว่าเป็นเพราะถูกชายชุดดำโจมตีจนผู้บังคับบัญชาเสียชีวิต ทำให้ผู้น้อยสับสนอลหม่าน แต่คอป.ไม่ได้พิสูจน์ว่ามีการเสียชีวิตที่หน้าโรงเรียนสตรีวิทยา ก่อนที่ทหารชายชุดดำจะออกมา



    "ลูกเดียร์"เฉ่ง"นั่งเทียน"

    "ความสูญเสียฝ่ายทหาร เป็นไปได้สูงที่จะเกิดจากชายชุดดำ แต่มีการบาดเจ็บและเสียชีวิตก่อนที่ชายชุดดำจะปรากฏ ซึ่งเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ" น.ส.พวงทองกล่าวและว่า ไม่คิดว่าการแถลงของ คอป.จะช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้น และคงไม่ทำให้สถานการณ์เลวร้ายกว่าที่เป็น และผู้ชุมนุมคงไม่ยอมรับ

    ด้านน.ส.ขัตติยา สวัสดิผล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และบุตรสาวพล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง อดีตผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก โพสต์ข้อความในทวิตเตอร์ @Dear_Khattiya ระบุว่า สุดท้ายรายงานของคอป.ที่นั่งเทียนเขียนมาตั้งนาน ก็ออกมาในรูปแบบนี้ เดาไม่ยาก เพราะคอป.เกิดจากการแต่งตั้งของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีนายคณิต ณ นคร กับ นายสมชาย หอมละออ นำ





    ที่มา ข่าวสดรายวัน ::  วันที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2555 ปีที่ 22 ฉบับที่ 7964









     

    วันอาทิตย์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2555

    ม.ล.มิ่งมงคล โสณกุล : 6 ปี 19 กันยา 49 “การทำรัฐประหารคือการขู่ให้ลูกเป็นเด็กไม่มีวันโตตลอดไป”


                     "หม่อมเต่านา" และรอยสัก "นวมทอง" ที่แขนขวา


    ที่มา มติชนออนไลน์

    สัมภาษณ์โดย  ฟ้ารุ่ง ศรีขาว 

    สัปดาห์หน้าจะถึงวันครบรอบ 6 ปี รัฐประหาร 19 กันยายน  2549 “มติชนออนไลน์” สัมภาษณ์  ม.ล.มิ่งมงคล โสณกุล หรือ หม่อมเต่านา  ถึงความเห็นต่อความเปลี่ยนแปลงกว่าครึ่งทศวรรษ ในฐานะผู้สังเกตการณ์และที่มารอยสัก "นวมทอง" ที่แขนข้างขวา  


    @ มอง 6 ปี รัฐประหาร อย่างไร


    พูดอย่างเลวๆก็คือ มองอย่างสะใจที่ตกลง เราสรุปไว้ถูก เพราะตอนนั้นก็เชื่่อมั่นว่าจะเป็นการกระทำที่ล้มเหลว ทุกอย่างผิดที่ผิดทาง มีผลแค่ปลุกระดมความกลัวและเกลียดชังระหว่างคนในชาติให้เพิ่มขึ้น ผ่านมา 6 ปี รัฐประหารปี 49 มีผลดีอย่างเดียวคือทำให้ประชาชนรากหญ้าที่เดิมไม่ค่อยได้สนใจการเมืองระดับประเทศนัก มีความตื่นตัวอย่างมากในการที่จะรักษาไว้ซึ่งอำนาจ ศักดิ์ศรีและสิทธิของเขาเองอย่างที่ไม่เคยปรากฎมาก่อนในประวัติศาสตร์ไทย


    @ สาเหตุ ที่สัก “นวมทอง” ไว้ที่แขน เพราะอะไร จึงต้องเป็นคำนี้


    ตอนที่เกิดรัฐประหาร คนรอบๆ ตัวเราทุกคนมีแต่ความดีใจ ยินดี ปลาบปลื้ม ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกแปลกแยกมากๆ รู้สึกเหมือนว่าเราเองผิดปรกติอย่างมากที่กลับไม่รู้สึกดีเหมือนคนอื่นๆ ซ้ำร้ายยิ่ง ยิ่งรู้สึกเสียใจ สิ้นหวัง เหมือนโดนกระทืบหัวใจจนแหลกละเอียด ในชีวิตเคยรู้สึกเช่นนี้ 2 ครั้งเท่านั้นคือ ตอนที่คุณแม่ป่วยและเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง กับอีกครั้งคือ เมื่อหลังรัฐประหาร 3 วัน ช่วงนั้นเราไปทำงานอยู่ที่ประเทศสิงค์โปร์


    เมื่อกลับมาเพื่อนได้เล่าให้ฟังว่ามีแท็กซี่ใช้สีสเปรย์พ่นตัวถังรถว่า "ไม่เอารัฐประหาร"  แล้วขับรถพุ่งชนรถถังเพื่อเป็นการแสดงออกถึงการประท้วงคณะปฎิวัติ คนขับแท็กซี่รอดชีวิต แต่อาการหนักมาก ต้องเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลเป็นเวลากว่า 3 สัปดาห์ระหว่างที่รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองต่างส่งคนมาเยี่ยม มาบอกเขาว่ารัฐประหารจะทำให้ประเทศไทยดีขึ้น เป็นสิ่งที่เขาในฐานะประชาชนควรจะดีใจ ซึ่งเป็นการปลอบที่ขัดกับความเชื่อ เจตนารมณ์และจุดยืนของเขาอย่าสิ้นเชิง


    เมื่อออกจากโรงพยาบาลเขาได้ทราบว่า ข่าวการขับรถชนรถถังของเขาถูกนำไปบิดเบือนความจริง โดยเขียนทำนองว่า คนขับแท็กซี่ขับรถพุ่งชนรถถังเพราะสายตาไม่ดีบ้าง สติไม่ดีบ้าง ทหารผู้ใหญ่ในคณะรัฐประหารบางท่านถึงกับพูดว่า "ไม่มีใครเขายอมตายเพื่อความเชื่อของตัวเองหรอก " ซึ่งก็เป็นการพูดถึงจิตใจคนได้แปลกมาก เพราะนัยว่าการทำรัฐประหาร นั้นคือการที่ผู้ทำรัฐประหารบอกกับประชาชนว่าจะขอพลีชีพเพื่อรักษาไว้ซึ่งสถาบันและประเทศชาติ เป็นการเอาความเชื่อในความดีงาม และอุดมการณ์มาพุ่งชน แบบยอมตายเพื่อจะทำลาย พ.ต.ท. ทักษิณ และคณะ  แต่คนทำรัฐประหารกลับดูถูกน้ำใจประชาชนเอง ดังนั้น พออาการคุณนวมทองดีขึ้นออกจากโรงพยาบาลได้ เขาจึงเขียนจดหมายอธิบายเจตนารมณ์ที่แน่วแน่ของเขาอีกครั้ง แล้วใส่เสื้อสีดำที่มีข้อความต่อต้านรัฐประหาร แล้วไปผูกคอตายอยู่ใต้สะพานลอย


    เนื่องจากตัวเราเองพื้นฐานเป็นคนขี้เกียจ รักสบาย ไม่ค่อยสนใจคนอื่นนัก แต่เมื่อได้รับรู้ในความแน่วแน่ในสิ่งที่เขาได้ทำลงไป เรารู้สึก สะอึกและตื้นตันใจอย่างบอกไม่ถูก เรียกได้ว่า ณ จุดนั้นเขาคือ คนไทยคนแรกที่เราได้เห็นจะๆ ว่ายอมฆ่าตัวตายเพื่อยืนยันในความเชื่อของตนเอง เป็นการกระทำที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน และทุกครั้งที่เราเล่าเรื่องนี้ให้คนฟัง เพราะตอนนั้นยังไม่มีใครรู้เรื่องนี้มากนัก เพราะรัฐบาลคณะปฎิวัติเหมือนจะพยายามปิดๆข่าว ทุกครั้งที่เราเล่าเรื่องนี้ โดยยังไม่บอกว่าเขาประกอบอาชีพอะไร ทุกคนที่ได้ฟังจะบอกว่า เออ เจ๋งดีหวะคนนี้


    แต่แล้วพอเราบอกว่าเขาเป็นคนขับแท็กซี่ คนเหล่านั้นก็จะพูดประมาณว่าคนขับแท็กซี่ก็งี้หละแม่งบ้า อาจกินยาบ้า เมา หรือมีคนจ้างวานให้มาทำ คือกลายเป็นพยายามลบล้างสิ่งที่เขายืนยันกระทำลงไปจนสำเร็จด้วยวิธีการดูแคลนในอาชีพสุจริตที่เขาเป็น ซึ่งยิ่งทำให้เราหดหู่มาก
     ปีนั้นเราอายุสามสิบหก คือครบสามรอบพอดี เราคิดว่าเราแก่และเห็นทุกอย่างมามากแล้ว แต่เราก็กลับไม่สามารถวางความรู้สึกช้ำใจอันนี้ได้ ในวันรัฐธรรมนูญ 10 ธันวาคม 49 เราจึงไปสักชื่อของคุณ นวมทอง ไว้ที่แขนขวาของเรา เอาให้ทุกคนเห็นกันจะๆ กันไปเลย เราไม่เคยสักหรือคิดจะสักชื่อใครอะไรมาก่อนเลยในชีวิต แต่เราถือว่าการที่ได้สักชื่อของคนที่มีเกียรติและความกล้า พูดจริงทำได้จริง เช่น คุณนวมทองถือเป็นเกียรติแก่ตัวเรา และคือของขวัญที่ดีที่สุดที่เราจะให้ตัวเองได้ ในปีเกิดครบสามรอบของเราค่ะ



    @ ทำไมจึงไม่เชื่อว่า คนขับรถแท็กซี่ ถูก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จ้างมาสร้างสถานการณ์อย่างที่หลายคนเชื่อ ในขณะนั้น


    เพราะเขาทำในสิ่งที่เรารู้สึกอยากทำมากๆ แต่ไม่กล้าทำ และต่อให้ พ.ต.ท. ทักษิณ โอนเงินมาให้เราสักหนึ่งพันล้านบาท  เราก็ยังไม่กล้าทำสิ่งที่คุณนวมทองทำอยู่ดี หรือต่อให้เราจนมากๆ ไม่มีเงินหรือสิ่งที่คนชอบเรียกมันว่าต้นทุนทางสังคม เราก็ไม่กล้าฆ่าตัวตายเพื่อเงินอยู่ดี


    หลังจากนั้นเราก็ส่งเลขาให้ไปพบกับครอบครัวของคุณนวมทอง ไปให้กำลังใจ และแสดงความคารวะ ได้พูดคุยกับครอบครัวของคุณนวมทอง เราไม่กล้าแม้แต่จะไปเองเพราะไม่อยากจะรู้สึกสะเทือนใจไปมากกว่านี้ การกระทำของคุณนวมทองได้ใจเพื่อนๆ เราหลายคน


    บางคนตอนเกิดปฎิวัติยังมึนๆ เฉยๆ นิ่งๆ เซ็งแต่ก็ไม่อยากรู้สึกเหมือนฝืนกระแสสังคม แต่พอคุณนวมทองฆ่าตัวตายอย่างมุ่งมั่น พร้อมทิ้งจดหมายลาตายที่เขียนได้กินใจมากๆ ไว้  คนหลายๆ คน ที่พยายามเก็บความรู้สึกไว้ก็กล้าพูดความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเอง ความไม่พอใจกับการทำรัฐประหารออกมา เรียกได้ว่าความตายของคุณนวมทองคือแรงกระแทกอันแรกที่สำคัญอย่างยิ่งที่ทำให้เราและเพื่อนหลายๆคนรู้สึกกล้าที่จะยอมรับในความโกรธของตัวเองซึ่งความรู้สึกที่รุนแรงและความรู้สึกที่จริงขนาดนั้นไม่สามารถซื้อหรือปลุกได้ด้วยเงินเพียงอย่างเดียวไม่ว่าคุณจะเป็นคนรวยหรือคนจน


    @ ปรากฏการณ์ “ดารุณี กฤตบุญญาลัย” ถูกตั้งคำถามเสียงดังกลางห้างดัง ไม่ว่าจะเข้าใจผิดคิดว่าเป็น “ดารณี ชาญเชิงศิลปกุล” (ดาร์ตอปิโด) หรืออาจจะตั้งใจถามเพราะเห็นว่าเป็นคนเสื้อแดง แต่ข้องใจในประเด็น “รักในหลวง” คุณเต่านา มองเหตุการณ์นี้อย่างไร


    สำหรับเรา เราไม่แน่ใจว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำที่บ่งบอกถึง ความรักในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ อย่างแท้จริงหรือไม่ แต่เราแน่ใจว่าเป็นการกระทำที่บ่งบอกถึงความเกลียดชังและความสับสนอย่างยิ่งกับการต้องมีชีวิตอยู่ด้วยความเกลียดชังนั้นซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเศร้าเพราะมันเป็นการกระทำที่ตรงข้ามกับสิ่งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯเพียรสอนพวกเรามาในเรื่องการมีสติและการกระทำความดีขณะที่ ความเกลียดชังอย่างไร้สติ ไม่สามารถเกิดขึ้นจากความรักและนับว่าเป็นการกระทำความดีได้อย่างแน่นอน


    @ ข้อความทางเฟซบุค “อย่าโหนเจ้า เพราะ เจ้าก็ต้องพึ่งประชาชนค่ะ” สเตตัสนี้ มองความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันต่างๆ กับภาคประชาชนมีความเปลี่ยนแปลงไป หรือไม่


    คนไทยชอบคิด และอยากเชื่อว่าใครหรือองค์กรใดองค์กรหนึ่งมีอำนาจอย่างเด็ดขาดเหนือองค์กรอื่น แต่ในความเป็นจริงไม่ได้เป็นอย่างนั้น ทุกสิ่งอย่างมีความสัมพันธ์ที่จำเป็นต้องพึ่งพิงและให้ความจริงใจกันอยู่ตลอดเวลา พร้อมๆ กับการระมัดระวังตัวไม่ให้ตัวเองเกิดการลุกล้ำล่วงเกินไปในอำนาจหน้าที่คนอื่นทั้งแบบตั้งใจและไม่ตั้งใจจนเกินไปนักเพราะวิธีการใช้กฎหมายกติกาของสังคมไทยเป็นระบบพึ่งพิงแต่ช่วงหลังๆกลับกลายไปเน้นระบบอ้างอิงซะมากกว่า


    @ มองเรื่องนี้อย่างไรต่อความเห็นของฝ่ายต่างๆ ที่คิดแตกต่างกันเรื่องกฎหมายอาญามาตรา 112 


    เรามีความเชื่ออย่างโรแมนติกๆ ในแบบของเราเองว่า วันหนึ่งสถาบันจะเป็นผู้ประกาศยกเลิกกฎหมายอาญา มาตรา 112 นี้ด้วยตนเอง เพราะทุกครั้งที่มีการนำมาตรานี้ไปใช้ เรื่องยิ่งหลุดมือไป สถานการณ์บานปลายออกไป คนที่เสียหายที่สุดก็คือสถาบันเองค่ะ


    @ ความกลัวทางการเมือง ที่แต่ละฝ่ายควรเปิดเผยออกมา จะเป็นไปได้แค่ไหน


    ในที่สุดจะเป็นไปได้หมด และจะมีความจำเป็นที่จะต้องเปิดเผยออกมาเพราะภายในอีก 5 ปีประเทศไทยจะเป็นประเทศที่มีประชาชนสองแบบ แบบที่หนึ่งคือพวกที่ไม่สนใจการเมืองมากนัก แค่รู้ไว้ ใช้จับทิศทางในการทำมาหากินให้สำเร็จ เอาเวลาไปมุ่งมั่นตั้งสติทำงาน ทำตัวเองและครอบครัวให้ดีขึ้นเรื่อยๆ   กับ แบบที่สองคือพวกที่ตั้งหน้าตั้งตาปล่อยข่าวลือ จริงบ้าง ไม่จริงบ้างเพื่อทำลายคนอื่นไปๆมาๆ วนเวียนๆ ดังนั้นในที่สุดคนที่รักและเชื่อในความจริง คนที่เชื่อว่าการยอมรับความจริงจะเป็นทางออกของทุกสิ่ง เขาก็จะตั้งหน้าตั้งตาเผยแพร่ความจริง ที่เขาเองเชื่อว่าจริงออกมาสู่มวลชน ก็คงจะมีกันคนละแบบคนละเล่ม แล้วก็คงจะมีการถกเถียง คัดคาน พยายามพิสูจน์ข้อเท็จจริงของแต่ละฝ่ายกันไปเรื่อยๆ ซึ่งถือว่าเป็นพัฒนาการที่ดีมากกับสังคมไทย เพราะความจริงไม่เคยทำร้ายใคร ในขณะที่อคติและข่าวลือ เมื่อถูกนำมาผสมกับความเกลียดกลัวและใจเสีย สามารถฆ่าคนบริสุทธ์ได้ ทั้งทางตรงและทางอ้อม


    @ มองว่ารูปแบบการยึดอำนาจด้วยรถถัง กำลังทหาร ยังเป็นตัวเลือกของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอยู่หรือไม่


    คงจะมีคนคิดฝันๆ อยู่เรื่อยๆ แต่ในทางปฏิบัติจริงจะเป็นไปได้ยากมากๆ และถ้าหากทำอีกทีหนึ่งก็คงจะได้ล้มล้างกันทุกอย่างเลย ไม่ใช่แค่รัฐบาล


    สังคมไทยชอบโทษว่าเป็นเพราะนักการเมืองเลว โกงกิน จึงต้องมีการทำรัฐประหาร เราอยากให้ลองมองย้อนกลับดูสักนิดว่าพอทำเสร็จแล้ว ซึ่งประเทศไทยก็มีรัฐประหารมาไม่รู้จะกี่หนแล้ว ประเทศชาติดีขึ้นจริงหรือ ถ้าหากการทำรัฐประหารเป็นอะไรที่มีผลดีจริงๆ คงไม่ต้องทำบ่อยขนาดนี้กระมัง ??? นักการเมือง คือตัวแทนของประชาชน ถ้าหากจะพูดว่านักการเมืองส่วนมากเป็นคนเลว ก็หมายความว่าประชาชนส่วนมากก็เลวด้วย เพราะประชาชนจะเลือก ส.ส. ที่เขาเชื่อว่าเป็นตัวแทนในคุณค่าของเขา


    แนวความคิดที่ชอบนำเรื่องการการทำรัฐประหารมาคอยขู่ๆ นักการเมือง ซึ่งจะดีจะเลวอย่างไรก็คือตัวแทนของประชาชน นี่มันคล้ายๆกับ พ่อแม่ที่เลี้ยงลูกมาในแบบหนึ่ง อยากให้ลูกโตขึ้นเป็นคนแบบหนึ่ง แต่พอไม่ได้อย่างใจก็ขู่ว่าจะตัดออกจากกองมรดก ขู่เสร็จก็คิดว่าลูกจะกลัวแล้วก็จ๋อยๆ ยอมทำตามทุกอย่างที่พ่อแม่อยากให้ทำ ทั้งๆ ที่ลูกถึงแม้ว่าต้องมีความกตัญญู รู้คุณ และมีหน้าที่ดูแลตอบแทนคุณบิดามารดา แต่ลูกก็เป็นคนเหมือนกัน มีความต้องการในตัวในการพัฒนาที่จะเป็นในสิ่งที่ตัวเองต้องการให้ดีขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน ซึ่งอาจจะไม่ใช่สิ่งเดียวกับที่พ่อแม่ต้องการร้อยเปอร์เซนต์ เพราะมันฝืนธรรมชาติเขา หลังจากพ่อแม่ขู่และตัดเขาออกจากกองมรดกจริงๆ กลับกลายเป็นว่าเขาก็อยู่ของเขาเองได้ ซ้ำร้ายยังแข็งแกร่งขึ้น มีตัวตนที่ชัดเจน เข้มแข็งกว่าลูกที่พ่อแม่ตั้งหน้าตั้งตาตามใจให้ทุกอย่าง เพียงเพราะเขายอมทำตามความต้องการทุกอย่างของพ่อแม่ จบลงในที่สุดพ่อแม่ก็ต้องหันกลับมาพี่งลูกที่ถูกตัดออกจากกองมรดกออกไป เพราะเขายืนหยัดและแข็งแกร่ง ส่วนลูกที่ยอมทำตามทุกอย่างไม่คิดที่จะสู้ชีวิตด้วยตัวเอง นอกจากพ่อแม่จะพึ่งอะไรไม่ได้แล้ว ยังต้องเป็นภาระทางใจให้พ่อแม่ไปอีกชั่วชีวิต เพราะลูกคนนี้จะไม่สามารถอยู่ด้วยตัวเองได้


    การทำรัฐประหารคือการขู่ให้ลูกเป็นเด็กไม่มีวันโตตลอดไป คอยแต่จะแหงนหน้าขึ้นมองและพร้อมที่จะแบมือขอของ
    ได้ทุกอย่างทางวัตถุที่อยากได้แต่ไม่เคยได้รับความสุขที่แท้จริงเพราะเขาต้องติดอยู่กับกับดักแห่งการแบมือขอในสิ่งที่เขาควรที่จะยืนยันที่จะต้องสร้างและรักษาไว้ด้วยตัวเอง...


    @ มองศักยภาพฝ่ายค้าน กับการตรวจสอบหรือดุลอำนาจรัฐบาล ในปัจจุบันเป็นอย่างไร


    ปัจจุบันประเทศไทยไม่มีฝ่ายค้านอยู่ค่ะ


    @ หมายความว่า พรรคประชาธิปัตย์ มีปัญหาในแง่บทบาทตรวจสอบถ่วงดุลรัฐบาลในยามที่ตัวเองเป็นฝ่ายค้าน หรือไม่


    พรรคการเมืองที่ไม่มี ส.ส. สักคนที่สามารถยืนยืด อกสบตากับประชาชนแล้่วพูดดังๆให้พวกเราฟังได้ว่า พรรคการเมืองของเรามีจุดยืนคือการต่อต้าน ไม่เอา ไม่รับหลักการ ของการทำรัฐประหาร อย่างสิ้นเชิง ถือว่าเป็นสถาบันการเมืองที่ล้มเหลวอย่างหมดความน่าเชื่อถืออยู่แล้วในตัวเองค่ะ ความพยายามที่จะต่อยอดอะไรต่อไป ก็จะไม่มีประสิทธิภาพหรือได้ผลอย่างที่ควรจะเป็น เพราะประชาชนถือว่าท่านไม่มีความจริงใจในหลักของประชาธิปไตยเป็นพื้นฐานในหัวใจ ดังนั้นเมื่อท่านเป็นเช่นนี้แล้ว ท่านจะอ้างตัวว่าท่านจะต่อสู้เคียงข้างประชาชนได้อย่างไร


    @ รัฐบาลปัจจุบัน จะยังคงบริหารต่อไป ได้หรือไม่ ภายใต้เงื่อนไขใด


    ได้อย่างสบายๆ  เพราะผู้นำคือนายกรัฐมนตรี ได้อำนาจมาด้วยการชนะเลือกตั้งอย่างชอบธรรม อย่างขาดลอย และในเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมาท่านก็แสดงออกให้เห็นถึงความนิ่ง ความแมน และการให้เกียรติผู้อื่น แม้กระทั่งกลุ่มคนที่ไม่ได้เลือกท่าน  ตราบใดที่ท่านสามารถทำให้เศรษฐกิจเดินหน้า ประชาชนมีโอกาส มีความหวัง และความเชื่อมั่นในอนาคตที่ดีขึ้นของพวกเขาเองและลูกหลาน  ความก้าวหน้าทางเศรษกิจอาจจะเดินไปช้าๆแต่ต้องทำให้เดินไปข้างหน้า พร้อมๆไปกับการค่อยๆพยายามสร้างพื้นที่ให้คนทุกคนได้มีที่ยืน   ให้การถกเถียงถึงแนวคิดที่แตกต่างกันเป็นเรื่องปกติ ที่ไม่ได้หมายความว่าใครเป็นคนดีกว่าใคร    ถ้าหากทำได้อย่างนี้แล้วเรื่องทางกฎหมายและทางการเมืองก็จะค่อยๆถ่วงดุลกันไป อะไรที่ไม่ยุติธรรมมากๆ จนคนทนไม่ได้ เขาก็จะรวมตัวกันสร้างมวลชนขึ้นมาเพื่อส่งข้อความไปที่ตัวแทนของประชาชน หรือ ส.ส. ให้ นำมาถกเถียง จัดการ ปรับปรุง โดยผ่านระบบรัฐสภา ก็เป็นไปตามกลไกไป ช้าบ้างเร็วบ้าง แต่ทุกสิ่งจะค่อยๆมุ่งหน้ากลับเข้าสู่ระบบกลไกที่มันควรจะเป็น 
    ที่มาข่าว ;; ไทยอีนิวส์ 16 กันยายน 2555