วันอังคารที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2555

เปลือย ‘ธัญสก’ ผู้กำกับหนังนวมทอง: หลักไมล์ประวัติศาสตร์-ส่วนผสมประหลาดที่ลงตัว



หลายคนอาจได้ยินข่าวการสร้างภาพยนตร์ "นวมทอง" หนังประวัติศาสตร์การเมืองไทยที่กำลังเร่งระดมทุนจากประชาชนผู้สนใจมาบ้างแล้ว แต่สำหรับผู้กำกับผู้ที่จะอยู่เบื้องหลังหนังเรื่องนี้ตลอดการผลิต เขาเปิดตัว เปิดใจ ที่นี่เป็นครั้งแรก
แม้ ธัญสก (อ่านว่า ทัน-สะ-กะ)  พันสิทธิวรกุล จะไม่ใช่ผู้กำกับที่เป็นที่รู้จักสำหรับคนไทยทั่วไป แต่ในวงการหนังสั้น หนังแนว ย่อมรู้จักเขาเป็นอย่างดี เพราะความแรงในหนังของเขาที่ไม่ปิดบังเรื่องเซ็กส์ เกย์ กระทั่งอวัยวะเพศ แน่นอน หนังประเภทนี้ย่อมไม่ได้รับอนุญาตให้ฉายในเมืองไทย แต่กลับได้รับรางวัลมากมายในต่างประเทศ และได้ฉายในเทศกาลสำคัญๆ ของโลกนับร้อยแห่ง ล่าสุดคือเรื่อง The Terrorists ที่ถูกฉายในหลายเทศกาลหนังของหลายประเทศ รวมถึงในเทศกาลหนังที่เบอร์ลินเมื่อปีกลาย (ดูคลิปตัวอย่างด้านล่าง) นอกจากนี้เขายังได้รับรางวัลศิลปาธร สาขาภาพยนตร์ เมื่อปี 2550
การเมืองไทยช่วงไม่กี่ปีนี้ได้เปลี่ยนอะไรไปหลายอย่าง เช่นเดียวกับชีวิตของเขา ธัญสกนิยามตัวเองว่าเป็นสลิ่มตัวแม่ที่เริ่มมาสนใจการเมืองอย่างจริงจังในช่วง 3-5 ปีนี้  โดยเริ่มต้นจาก “ความสงสัย” ในความจริงที่ดำรงอยู่ในสังคมไทย ท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมืองที่เคี่ยวข้น
จาก “นักไต่ลวด” ซึ่งแต่เดิมจะเล่นกับประเด็นทางศีลธรรมและเรื่องต้องห้าม เช่น เรื่องเพศ โดยนับเป็น “การต่อสู้” ชนิดหนึ่ง เวลานี้เขาเริ่มไต่ลวดเส้นใหม่ที่เกี่ยวข้องกับการเมือง ประชาธิปไตย และเสรีภาพ โดยเฉพาะเมื่อเป็นนักไต่ลวดอิสระที่ทำงานศิลปะของตัวเองเป็นหลัก และยังชีพด้วยการ “รับจ้าง” (เฉพาะงานที่อยากรับ) ไม่ใช่คนในระบบ จึงยิ่งขับเน้นความพร้อม (ระดับหนึ่ง) ในการลงสู่สนามแห่งความขัดแย้งและแรงเสียดทาน
อย่างไรก็ตาม มันคงไม่มากเกินไป หากจะกล่าวว่านี่เป็นส่วนผสมที่น่าสนใจ เมื่อผู้กำกับแนวนี้รับกำกับหนังซึ่งเขียนโครงเรื่องและบทโดยนักเขียนใหญ่อย่างวัฒน์ วรรลยางกูร อดีตนักศึกษาที่เคยหนีเข้าป่า และโด่งดังจากการเขียนนิยาย เรื่องสั้น เพื่อชีวิตที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายลูกทุ่ง ร่วมกับ ทองขาว ทวีปรังสีนุกูล ที่เคยเขียนบทละครดังหลายเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องสามหนุ่ม สามมุม
ธัญสกยืนยันว่า แม้จะคนละสไตล์ แต่ทั้งสามรวมกันได้อย่างดีภายใต้ความรู้สึกร่วมบางอย่าง และ “ความฝัน” ที่คล้ายคลึงกัน และหนังเรื่องนี้จะเป็น “หลักไมล์ทางประวัติศาสตร์” ทั้งในแง่การเล่าประวัติศาสตร์การเมืองไทยในแบบที่ไม่มีในบทเรียน และทั้งในแง่ความพยายามจะขยับเพดานของการพูดเรื่องสังคมการเมืองไทยครั้งสำคัญ
ที่สำคัญ มันยังเป็นหนังที่มีส่วนร่วมจากประชาชนอย่างยิ่งยวด โดยเฉพาะในแง่(หา)ทุน 3 ล้านแบบหืดขึ้นคอ
ดูรายละเอียดในไฟล์แนบด้านล่าง หรือ https://www.facebook.com/pages/Redmovie-Team/274811049262920
 000000

เข้าไปมีส่วนร่วมในโปรเจ็กต์นี้ได้ยังไง
โปรเจ็กต์นี้เริ่มก่อนเรา มีการติดต่ออีกหลายคนที่เป็นคนทำหนังในฝั่งนี้ เคยคุยกันแล้วก็หายกันไปนานมาก จนประมาณปลายปีที่แล้วก็มีการติดต่อมาใหม่ บอกว่าเขาสนใจเรา ขอนัดเจอกันหน่อย มันเป็นหนังฝั่งประชาธิปไตย ก็ลองไปคุยดู พอคุยกันแล้วหลายๆ อย่างมันค่อนข้างลงตัว ถูกใจกันพอสมควรในหลายเรื่อง จึงประชุมกันเรื่อยมา จนเริ่มทำงบ
ตอนแรกทุกคนต่าง blank มากว่างบมันควรจะเท่าไหร่ ซึ่งว่ากันจริงๆ สเกลที่ใหญ่พอสมควรแบบนี้มันน่าจะอยู่ที่ 5-10 ล้าน นี่เรียกว่าถูกแล้วนะสำหรับสเกลขนาดนี้ มีคนเยอะ เรื่องเยอะแยะมากมาย กองถ่ายมันใหญ่มาก เมื่อก่อนถูกสุดน่าจะอยู่ที่ 15-30 ล้าน แต่นั่นมันหนัง commercial แต่ยุคนี้ ยุคดิจิตอลอะไรหลายๆ อย่างมันก็ถูกลง แต่สุดท้ายแล้วมันจะฉายโรงหรือไม่ แค่ไหนนี่ก็ยังไม่มีใครแน่ใจ เราพยายามคิดงบโปรดักชั่นเท่านั้น และใช้วิธีถัวๆ กัน ก็ต้องยอมรับว่าเรากำลังทำหนังส่วนตัวเราด้วย ได้งบจากเยอรมัน โปรดิวเซอร์คนเดิมกับเรื่องที่แล้ว แล้วเราใช้วิธีดีลสองโปรเจ็กต์พร้อมกัน คือ เราใช้ทีมงานเกือบจะร่วมกัน เพื่อให้ cost มันถูกลง ไม่อย่างนั้นทำไม่ได้หรอกใน 3 ล้าน

อะไรทำให้ตัดสินใจเข้ามาร่วมทำหนังเรื่องนี้

มันหลายๆ อย่าง ตอนที่เราอ่านบท เราชอบนะ มันมีความแฟนตาซีบางอย่างที่ฉลาด แล้วก็ตลก แล้วก็ชาวบ้าน เราไม่รู้จะพูดว่าอะไร มันมีความซื่อ ตรงไปตรงมา และฉลาดในการที่จะเล่า ตอนเราอ่านเราก็ชอบแหละ แต่มันก็มีส่วนที่ไม่แน่ใจว่าที่สุดแล้วมันจะฉายได้จริงๆ ไหม เพราะเรื่องมันเปรียบเปรยอย่างตรงไปตรงมามาก แต่นั่นเป็นขั้นตอนต่อไปที่ต้องคุยกัน
แน่นอนว่า คนทำหนังมันก็มีอีโก้ของตัวเองอยู่แล้ว เราก็เลยใช้วิธีดีลว่า หนังนี่ถือว่าเป็นหนังของเขา พี่วัฒน์ พี่ทองขาว เป็นคนเขียนบท แล้วก็มีสิ่งที่เขาอยากได้เต็มไปหมด ขณะเดียวกันถ้าเป็นเราต้องยอมรับว่าเรามีอีโก้บางอย่าง เราอาจไม่ใช้วิธีเล่าเรื่องแบบนี้ ฉะนั้น ถ้าให้สบายใจทั้งสองฝ่าย ก็ถือว่าเราเป็นแขนขาแล้วกัน เขาต้องการอะไร เราก็จะคิดให้เพื่อให้มันได้ในสิ่งที่เขาต้องการ เราจะไม่ไปยุ่งกับเรื่องบท ไม่อย่างนั้นมันจะยาวนานมาก แต่ก็ไม่ใช่เราจะเสนอความคิดเห็นไม่ได้
อีกด้านหนึ่งคือ เรากึ่งๆ จะเป็น line producer  ประมาณว่าจัดการนั่น นู่น นี่ ควบคุมการผลิต ขณะเดียวกันหน้าที่ของเราคือ เราอาจต้องคอย fight ว่า เฮ้ย ตรงนี้มันแรงไปปะ ตอนแรกเรามีการเถียงกันขนาดว่าตัวละครจะใส่หน้ากากเล่นเลยมั้ย ให้เซอร์แดกกันไปเลย เราแค่กำลังนึกถึงว่า ละครคาบูกิ ละครงิ้ว ที่เราไม่ได้เห็นหน้าตัวละครจริงจัง หรือใช้หน้ากาก คนก็ยังอินได้ ถ้าเราจะทำแบบนั้นบ้าง แล้วเรื่องมันก็รองรับความเป็นแฟนตาซีอยู่แล้ว แต่ตอนนี้คงเลือกแล้วว่าต้องการให้คนเห็นหน้า ก็เอาตามนั้น แล้วค่อยไปแก้ปัญหากันทีหลัง

ขอโฟกัสที่บท ถ้าไอเดียหลักๆ มาจากวัฒน์ และทองขาว โดยสไตล์วัฒน์ คนก็จะนึกถึงแนวเพื่อชีวิต ผสมกลิ่นอายลูกทุ่ง

เราก็เพื่อชีวิตนะ (หัวเราะ)

ถ้ามาผสมกับธัญสกมันจะไปกันได้หรือ

ได้ เราถึงได้บอกไงว่า หนังเรื่องนี้แทบจะเป็นของพี่วัฒน์กับพี่ทองขาวเลย ถ้าเป็นเราทำเราคงไม่ทำแนวนี้ ไม่ใช่เราไม่ชอบ เราชอบ แต่นึกออกหรือเปล่าว่ามันไม่ใช่สไตล์เรา เรามีงานแบบของเรา แต่แม้เป็นหนังเขา เราก็ทำเต็มที่ เพราะว่า สิ่งหนึ่งที่ทำให้เราอยากทำ มันคือ เรารู้สึกว่าเวลาที่คุยกับพวกเขาแล้ว เขามีความฝันบางอย่างที่เรารู้สึกได้ว่า เวลาช่วงวัยหนึ่ง (หัวเราะ) พูดยังกับว่าเราแก่นักหนา เรากำลังนึกถึงว่าเรามีความรู้สึกร่วมกันมากกว่าว่ามันมีฝันที่อยากทำ แต่จะทำได้แค่ไหนในสถานการณ์จริง
วิธีการเล่าเรื่องดูเหมือนจะแตกต่างกันมาก
จริงๆ ถ้าเป็นหนังยุคทองปาน มันก็จะเล่าเรื่องต่างไป ยุคนั้นเป็นช่วงเวลาที่ทุกคนสนใจเรื่องการเมือง หนังในช่วงเวลานั้นจะพูดภาพกว้างเพื่อจะมองไปยังคนเล็กๆ แต่เมื่อเราอยู่ยุคดิจิตอล เราใช้มือถือก็ได้ คุณภาพชัดพอจะฉายบนจอใหญ่ เทคโนโลยีมันเปลี่ยน คนก็เปลี่ยน วัฒนธรรมเปลี่ยน คนไปคุยกันบนเฟซบุ๊ก หนังในยุคนี้มันจึงพูดเรื่องตัวเอง เราเล่าเรื่องตัวเรา เราเป็นส่วนหนึ่งของสังคมและกำลังเล่าภาพกว้างผ่านตัวเรา เล่าเรื่องตัวเองเพื่อสะท้อนว่าโดนสังคมกระทำอย่างไร หรือสังคมรอบข้างเรามันเป็นอย่างไร

ซึ่งแนวนี้เป็นแนวที่ถนัด

ใช่ ตอนนี้ก็ยังเล่าเรื่องตัวเองอยู่ แต่มันกว้างมากขึ้นว่าเรารู้สึกยังไงกับสังคม
ส่วนกับหนังเรื่องนี้เราเชื่อว่าคนที่ทำงานด้านนี้มีสิ่งที่อยากทำตลอดเวลา แต่อยู่ที่ว่าจะทำมันออกมาได้ยังไง เพราะ ณ เวลานี้ ถ้าเป็นดาราหรือผู้กำกับทำหนังแบบนี้ก็จะต้องโดนเล่น  เรามีความรู้สึกร่วมกันตรงนี้ด้วยเพราะเราก็โดนเหมือนกัน แม้ไม่ได้รับแรงกดดันขนาดเขาเพราะไม่ได้ทำงาน commercial  แต่เราเชื่อว่าโปรเจ็กต์แบบนี้ถ้าหาคนอื่นมากำกับมันก็ยาก (หัวเราะ) มันต้องพร้อมมากที่จะต้องโดนเยอะ
ขนาดที่ผ่านมาก็โดนสาหัสทีเดียว เราพยายามทำตัว low profile พอสมควร ไม่ได้เล่นตัวอะไรเลย แต่เหมือนกับเราต้องอยู่ให้ได้ด้วยในการจะทำงานของเรา เลยต้องทำตัว low profile

ที่ผ่านมาโดนอะไร และกังวลว่าจะโดนอะไรต่อไป

เราโดนให้ออกจากมหาวิทยาลัยที่สอนอยู่ เราโดนเอาชื่อไปลงใน ASTV ช่วงล่าแม่มด แต่เราพยายามไม่ให้เป็นประเด็น ไม่เถียง โชคดีที่มันก็เงียบๆ ไป ส่วนเรื่องย้ายมหาวิทยาลัยนี่เป็นเรื่องงี่เง่าที่สุดในชีวิตแล้วที่เคยเจอมา เราไม่สามารถจะพูดข้อเท็จจริงบางประการได้ ขณะเดียวกันในฐานะที่เราเป็นครู เราค่อนข้าง อะไรดีวะ รู้สึกแย่กับสังคมแบบนี้ เราหลอนให้คนรุ่นต่อจากเราอยู่ในความเชื่อแบบที่มันไม่ถูกแล้วเราไม่มีสิทธิพูดความจริง ตอนนี้เราเลยย้ายไปอยู่หัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ (หัวเราะ) ซึ่งน่าแปลกใจมากเขาไม่ได้มาวุ่นวายอะไรกับเราเลย  เทอมหน้าก็จะสอนที่หอการค้าอีกที่หนึ่ง

ถ้าเปิดตัวมากับหนังเรื่องนี้ คาดการณ์ไหมว่าจะเจอแรงเสียดทานอะไรบ้าง
ไม่รู้ เราก็ไม่รู้ คือมันมีอีกเรื่องหนึ่งไม่รู้เกี่ยวกันไหม บางอย่างเองเราก็อยู่ในภาวะที่ไม่ฉลาดพอในช่วงเวลาหนึ่งเหมือนกัน จะพูดยังไงดี เราเป็นคนที่อะไรก็ตามที่เรารู้สึกไม่ยุติธรรม เราก็จะพูดมันตรงไปตรงมาเลย สองปีที่แล้ว ที่เขาเอาเงินมาให้คนทำหนังทั่ววงการในยุทธจักร พอดีช่วงนั้นเราได้รางวัลศิลปาธร กระทรวงวัฒนธรรมก็เอ็นดูเราอยู่พักหนึ่ง เขาก็เลยยื่นโปรเจ็กต์มาให้ว่าเขาต้องการให้ทำหนังโดยการใช้แนวคิดของในหลวง เขาส่งให้คนทั่ววงการ และเน้นที่ศิลปาธรเสียส่วนใหญ่ก่อน เขาก็โทรมาว่าจะทำไหม ให้เอาเศรษฐกิจพอเพียงมา adapt ให้เวลา 10 นาที ให้ 1 ล้านบาทจากเงินไทยเข้มแข็ง แต่เราจะทำได้ไง ในเมื่อเราไม่เชื่อในแนวคิดนี้ เราก็เลยบอกว่าเราไม่ว่าง แล้วเขาก็ต้องการจดหมายยืนยันว่าเราไม่ว่างเพราะอะไร เราเลยอีเมลบอกไปตรงๆ หลังจากนั้นกระทรวงก็ไม่ติดต่ออะไรเราอีกเลย

ต้องยอมรับเป็นเรื่องที่ตัดสินใจอยู่นาน ตอนที่จะรับว่าจะทำเรื่องนี้ ถ้าพูดตรงๆ เราอายุ 39 แล้วปีนี้ แล้วคนเราก็อยู่ได้ไม่นานหรอก เราคิดว่ามันไม่มีอะไรเลวร้ายไปกว่าที่เป็นอยู่แล้ว แล้วถึงวันนึงทุกคนก็ต้องตาย ที่ผ่านมาเรื่องนี้มันเป็นเรื่องที่มีผลกระทบกับจิตใจ กับชีวิต ทั้งโดยส่วนตัวเราและหลายๆ คนมากๆ ซึ่งเรารู้สึกว่า มันเหมือนเป็นการต่อสู้อย่างหนึ่ง แล้วมันมีคนที่เขาตายกันอีกมากมาย แม้แต่ในเรื่องนี้เรากำลังเล่าถึงคนที่ตายด้วยความอยุติธรรมอันนี้...ทำไมเราจะพูดไม่ได้วะ ฉะนั้น มันเลยเหมือนกับว่ามันไม่ใช่แค่เราที่ต้องมารับแรงกดดันนี้ และถ้าจะเปรียบเทียบกับคนอื่นแล้วมันน้อยกว่ามากๆ กับคนที่ต้องมาเสียชีวิต ติดคุก หรืออะไรก็ตาม เราเลยแบบ เอาเหอะ ถ้าจะโดนก็โดน (หัวเราะ)
เลยเป็นคำตอบสำหรับเมื่อกี๊ว่ามันจะเข้ากันได้ยังไง เรามีหนังสไตล์เรากับหนังสไตล์เขา มันมีความรู้สึกร่วมกันตรงนี้ เราเลยรู้สึกว่า โอเคพี่ เราทำได้

กลับมาที่บท แสดงว่าหนังเรื่องนี้จะต้องพูดถึงอะไรที่พูดลำบากมากพอสมควร
ตอนมันเป็นบทมันก็เต็มที่แหละ ถึงเวลาเราต้องมาคุยกันอีกเยอะ

เพราะเป้าอยากจะฉายตามโรงทั่วไปด้วย
เป้าแรกสุด ใช่ แต่ตอนนี้มันก็อยู่ที่ดีลว่าเราต้องการแค่ไหน อย่างเช่น ตอนนี้เราเสนอว่า ถ้าจะฉายโรงเราอาจต้องเซ็นเซอร์ตัวเอง อาจต้องตัดบางอย่างออก แต่จะตัดโดยที่เรียลไทม์ คือ เป็นฉากดำ เหมือนเวลาที่เราอ่านหนังสือแล้วขีดคำออก ให้รู้ว่าตัดอะไรออกไปบ้าง แต่วิธีแบบนี้ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทำ หนังพี่เจ้ยเรื่องแสงศตวรรษก็ใช้วิธีแบบนี้อยู่

ต้องผ่านกรรมการเซ็นเซอร์ด้วย
ใช่ ก็ไม่รู้จะได้แค่ไหน แต่เราเชื่อว่าทุกประเทศมีปัญหาอยู่แล้ว อย่างอิหร่านก็มีปัญหาการเมืองของเขาเต็มไปหมด ประเทศใดก็ตามเมื่อมีปัญหาความไม่เป็นธรรม คนมันมีทางออก เราอาจจะพบว่าหลังจากเรื่องนี้ อาจมีหนังอีกหลายๆ ที่กล้าที่จะพูดอะไรแบบนี้มากขึ้นก็ได้ เราก็ไม่รู้ว่า รัฐไทยจะพยายามห้ามไปทำไม ในเมื่อรู้อยู่ว่ายิ่งห้าม ยิ่งเป็นประเด็น ยิ่งห้าม ยิ่งมีคนอยากทำ

ได้ข่าวว่ามันไม่ใช่เฉพาะประเด็นลุงนวมทอง แต่เป็นเรื่องประวัติศาสตร์ตั้งแต่สมัยกบฏหมอเหล็ง ยัดเข้าไปได้ยังไงชั่วโมงครึ่ง จะเครียดนรกเลยไหม

ไม่ เขาเล่าแบบตลก มัน radical แต่ไม่ได้ radical แบบเหยียดหยามนะ อาจจะเหยียดหยามตัวเองมากกว่า เหมือนเย้ยชะตากรรมว่าทำไมชีวิตพวกกูถึงได้ซวยกันแบบนี้วะ แล้วก็รวมเอาคนที่มีชะตากรรมแบบนี้ในอดีตมารวมกัน ลุงนวมทองในเรื่องนี้แทบจะเป็นสมาชิกใหม่ของโลกในเรื่อง เพื่อที่เขาจะต้องเลือกอะไรบางอย่าง ต้องไปดูกันว่าเขาต้องเลือกอะไร แล้วเขาก็ย้อนกลับไปว่าสมาชิกเก่าๆ ที่มาต้อนรับเขาเจออะไรมาบ้าง มันน่าสนใจว่า มันทำให้คนฉุกคิดว่า ความอยุติธรรมไม่ได้เกิดขึ้นมาช่วงไม่กี่ปีนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นมาในช่วงที่มีทักษิณ แต่มันอาจเกิดขึ้นมาตั้งแต่ 80 ปีมาแล้วก็ได้

ดีไม่ย้อนถึงพระเจ้าตาก
ไม่แน่นะ บทยังไม่เสร็จ (หัวเราะ)

หนังเรื่องนี้คนก็จะตีตราว่ามันเป็นหนังเสื้อแดง คิดต่อเรื่องนี้ยังไง
จะพูดว่าไงดี สมมติว่า ตัวเราเอง คนที่เสื้อแดงมากๆ ก็อาจจะมองว่าเราโคตรสลิ่มเลย คนที่เหลืองๆ ก็จะมองว่าเราโคตรแดงเลย แต่เราไม่แคร์อยู่แล้วว่าใครจะมองเรายังไง เรารู้ว่าเรากำลังทำอะไร คนไทยมันชอบสร้างวาทกรรมบางอย่างว่า เสื้อแดงเป็นควาย โง่ เราเชื่อว่าถ้าใช้สมองคิดจะรู้ว่าเขาไม่ได้โง่ คนอายุเยอะขนาดนี้ แล้วมารวมกันมากมายขนาดนี้ แล้วก็มีคนหลายระดับขนาดนี้ จะมาครอบงำกันได้ง่ายๆ หรือ แล้วตัวเราเองก็ไม่ใช่เด็กๆ แล้ว ไม่ใช่เพิ่งจบใหม่แล้วอยากทำหนังถึงจะไปโดนหลอกให้ทำ พูดตรงๆ ถ้ามีคนมาจ้างเราร้อยล้านทำหนังที่เราไม่อยากทำ เราก็ไม่ทำ แต่อันนี้ งบมันต่ำกว่าเกณฑ์มาก แต่ในเมื่อเราอยากทำ เราก็ต้องดิ้นรนทำ

แล้วคิดว่ามันจะเจาะใจ เข้าถึงคนในสังคมที่ไม่ใช่เสื้อแดงได้ไหม หรือว่านั่นไม่ใช่ประเด็นที่แคร์
เราพูดจริงๆ เราไม่รู้หรอก พูดอย่างตรงไปตรงมา เท่าที่เราอ่าน เราคิดว่าคนเสื้อแดงจะชอบ ขณะเดียวกันคนที่สนใจเรื่องประวัติศาสตร์ก็น่าจะชอบ แต่เราไม่แน่ใจเลยว่า คนอีกฝั่งที่เขาไม่ได้สนใจ หรือไม่ได้ศึกษาประวัติศาสตร์จริงจังหรือถูกครอบงำบางอย่าง เขาอาจจะไม่สนใจก็ได้ เขาดูแล้วอาจจะด่าทอก็ได้ แต่ ณ เวลานี้น่ะ เรามีหนังอีกด้านหนึ่งเต็มไปหมด มันเยอะเกินไปแล้ว สองปีที่แล้ว ในรัฐบาลที่แล้วให้เงินงบไทยเข้มแข็งกับคนทำหนังทำหนังออกมาเยอะมากซึ่งไม่ได้เป็นประโยชน์อันใดกับประชาชน เนื้อหายังคงครอบงำแบบเดิมๆ ที่พิสูจน์ไม่ได้ เราไม่ได้ว่าวัฒนธรรมแต่เดิมเราเป็นสิ่งเลวทราม แต่ในโลกนี้มันมีวัฒนธรรมใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา มันมีคนหลายกลุ่มที่เราต้องยอมรับมากขึ้นว่า เขาคิดไม่เหมือนเรา  เอ๊ะ ฉันตอบคำถามไหมนะ

ตอบว่ามันอาจจะไม่สามารถเข้าถึงคนกลุ่มอื่น
จะสรุปอย่างนั้นไม่ได้เหมือนกันนะ เราแค่จะบอกว่า เราไม่รู้ เอางี้ เราเมื่อ 5 ปีที่แล้ว เราอยู่อีกข้างนึง เราไม่สนใจเรื่องการเมือง แล้วเราก็เป็นส่วนหนึ่งของคนที่ไม่ชอบทักษิณ ไม่ได้บอกว่าเราชอบมากขึ้น แต่เรามองอีกมุมนึง เวลานั้นเราไม่ชอบทักษิณเพราะมีการปลุกความคิดให้เกลียดทักษิณ โดยที่เราไม่สนใจด้วยว่าเพราะอะไร ไม่เคยไปอ่านเหี้ยห่าอะไรเลย (หัวเราะ) ก็แค่เขาบอกกันว่าทักษิณมันเลว แต่เอาเข้าจริงเราไม่สนใจการเมืองเลย แล้วเราก็ค่อนข้างซาบซึ้ง จนกระทั่งทุกๆ อย่างมันชัดมากขึ้น
สิ่งแรกที่ทำให้เรารู้สึก “สงสัย” บางอย่างอย่างแรงกล้า หลังจากเริ่มสนใจการเมืองบ้างแล้ว คือ วันหนึ่งเราตื่นเช้ามาก ประมาณตีสี่ ช่วงนั้นคือสงกรานต์เลือด (2552) เปิดทีวีมาดู ทุกช่องเป็นแบบเดียวกัน ถ่ายภาพไกลๆ เห็นอนุสาวรีย์ชัยมีไฟไหม้ แล้วบอกว่าพวกเสื้อแดงมาบุกเมือง เตรียมรถแก๊สจะมาเผาโน่น นั่น นี่ เราก็ เฮ้ย มันเกิดอะไรขึ้นวะ แล้วในเฟซบุ๊กก็มีคลิปผู้หญิงเสื้อแดงที่ถูกกระชากผม (บริเวณถนนราชปรารภ) ก็มีการด่าทอกันไปมาสองฝั่งบนหน้าวอลล์ เราก็ไม่ได้อะไร อาจเข้าไปโต้เถียงบ้างว่าอย่าเพิ่งด่วนสรุปกัน แล้วเราก็ได้เห็นคลิปทั้ง 2 อัน อันที่ตัดต่อแล้วแล้วอยู่ในทีวี ประมาณว่าเสื้อแดงมันก้าวร้าว มันด่า มันถุยน้ำลาย จนเขาทนไม่ไหวต้องกระชากผมมัน แต่คลิปที่ได้ดูเต็มๆ ที่ปรากฏในยูทูปและคนรู้จักเราเองที่เป็นคนถ่าย โดยที่วันหนึ่งมันก็ต้องลบเพราะกลัวโดนล่าแม่มด แต่เราได้ทันดูพอดี คือ ก่อนหน้านั้นมันเป็นภาพของผู้หญิงคนนี้ เขาร้องแบบตกใจมากว่าเมื่อเช้ามันเกิดเรื่องรุนแรงมาก เราเป็นคนทำหนัง โดยเฉพาะหนังสารคดี พูดตรงๆ ไม่ได้อยากจะอวด คนทำหนังสารคดีจะมี sense อย่างหนึ่งว่า เวลามีกล้องอยู่ คนจะมีพฤติกรรมยังไง คนมักจะเข้าใจว่าการสัมภาษณ์หรือการถ่ายทอดเรื่องราวสารคดีหรือข่าวคือการพูดตรงไปตรงมา มันไม่ใช่ ทุกครั้งที่มีอะไรมาจ่อเราแล้วบันทึก เราต้องสร้างภาพเสมอ มันคือความจริงที่เราอยากให้คนอื่นรู้ แต่ว่าภาพที่เราเห็นอันนั้น มันเป็นภาพที่..มันเป็นความรู้สึกที่รุนแรง ไม่สนใจอีกแล้วว่ากล้องจะจับอยู่ แล้วก็รู้สึกมากๆ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นจริงๆ ความรู้สึกแบบนี้มันแสดงกันไม่ได้ คนทำหนังถ้าได้ดูคลิปพวกนี้น่าจะดูออกว่าอะไรที่มันตอแหล อะไรที่มันจริง ตอนนั้นเรารู้สึกเกิดความสงสัยว่า เขาเจออะไรมา เขาถึงพูด แสดงออกมา แล้วทำไมเขาถึงต้องโดนแบบนี้ ประกอบกับคลิปที่เห็นในข่าวมันเป็นอีกเรื่องนึง จุดนี้เป็นตัวที่เราแทบจะกระโดดสู่อีกโลกนึงเลย
ก่อนหน้าเหตุการณ์นี้ก็เริ่มสนใจแล้ว เพราะมีอะไรหลายอย่างไม่ชอบมาพากล แต่ไม่ได้อะไรมาก จนกระทั่งเจอคลิปนี้ และเหตุการณ์สงกรานต์เลือดแล้วมันก็กระโดดไปเลย มันเหมือนจิ๊กซอว์ที่มันหายไป แล้วมันเจอ มันก็เลยหยุดไม่ได้
อีกเรื่องที่ทำให้เราเฮิร์ตหนักมากคือเรื่องพี่เหน่ง (พันธ์ศักดิ์ ศรีเทพ-พ่อน้องเฌอ ที่ถูกยิงเสียชีวิตเมื่อเดือนพฤษภาคม 2553) หลัง 10 เมษาเรายังเจอกันอยู่เลย ลูกพี่เหน่ง ทำกิจกรรมหลายอย่างด้วยกัน ผ่านไปอีกสองอาทิตย์ เรายังถ่าย Terrorists อีกแบบหนึ่งอยู่เลย ตอนแรกเราไม่ได้ทำแนวการเมือง เพราะเราเบื่อการเมืองแหละ (หัวเราะ) สลิ่มมั้ย แต่พอหลัง 10 เมษาอะไรหลายอย่างมันบอกเราว่าไม่ทำไม่ได้แล้ว เราเลยเขียนเมลไปบอกแหล่งทุนว่าเราขอเปลี่ยนโปรเจ็กต์แหละ เราไม่อธิบายอะไรด้วย แต่เราขอเปลี่ยนมาพูดเรื่องการเมือง จากนั้นอีกไม่ถึงอาทิตย์ก็มารู้ข่าวว่า น้องเฌอเสียชีวิต ...คือ..เราไม่รู้จะพูดว่าอะไรดี จะบอกว่าการเมืองไม่มีผลกระทบกับเราไม่ได้ ไม่ว่าจะอย่างไรมันล้อมรอบตัวเราไปหมด อะไรก็ตาม เราไม่โกรธเท่าใครก็ตามที่โดนฆ่า มันแย่ มันน่าขายหน้า น่าตลกมาก ที่ประเทศไทยสอนว่าเราเมืองพุทธ ไม่ควรฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เราสงสารเหลือเกินหมาแมวโดนทำร้าย แต่พอเวลาคุณเห็นว่ามีคนเห็นต่างกับคุณ คุณกลับลุกฮือมาบอกว่า “ฆ่ามันๆ” ล่าแม่มดมัน

ในหมู่เสื้อแดงเองก็มีคนหลายเฉด หลายแบบ รสนิยมก็แตกต่างกันพอสมควร เอาง่ายๆ แค่มวลชนส่วนใหญ่ที่เป็นเสื้อแดงรากหญ้ากับพวกคนชั้นกลางในเมืองที่เถียงกันในเฟซบุ๊กก็น่าจะมีความชอบ มีสไตล์ที่ต่างกัน ฉะนั้นหนังเรื่องนี้จะอยู่ตรงไหน
เราเชื่อว่า คนที่เขามีจิตใจประชาธิปไตย ไม่ว่าจะเป็นคนชั้นกลางหรืออะไร เขาค่อนข้างมีใจเปิดกว้าง ตอนเราอ่านบทเรื่องนี้เรารู้สึกว่ามันชาวบ้านมากๆ แต่ไม่ใช่แบบที่ต้อง อี๋ เราจะพูดยังไงดี หลังจากที่เราเริ่มตาสว่าง เรารู้สึกว่า “ชาวบ้าน” ฉลาดกว่าพวกเราอีก เขารับรู้ และเจออะไรแบบนี้มาก่อนเรา แล้วเราเชื่อว่าคนที่ใจประชาธิปไตยเข้าใจได้ไม่ยากหรอกกับเรื่องที่เกิดขึ้นในหนังเรื่องนี้
เท่าที่เราอ่าน มันมีความร่วมสมัยหลายอย่างในวิธีการเล่า ค่อนข้างทันสมัยเลยทีเดียว นี่พอจะรู้ใช่ไหมว่ามันแฟนตาซี

รู้มาบ้าง แต่ไม่รู้ว่าแฟนตาซียังไง
มันเหมือนการคุยกันในร้านเหล้า แล้วก็ก้มมองใต้หว่างขาแล้วเห็นโลกอีกโลกหนึ่ง มันเป็นภาพเปรียบเทียบด้วยเพราะเมื่อคุณมองลอดใต้หว่างขา มันเป็นความเชื่อว่าคุณจะเห็นผี ขณะเดียวกันในเชิง visual ก็เห็นว่าอนุสาวรีย์มันกลับหัว แล้วเราจะพบว่าความจริงเมื่อย้อนกลับไปมันกลับตาลปัตรอย่างยิ่ง เราเลยรู้สึกว่ามันฉลาดมากที่จะเปรียบเทียบ ขณะเดียวกันเรื่องที่เล่ามันก็ชาวบ้านมากๆ เราเลยคิดว่ามันน่าจะโดนใจหลายกลุ่ม แต่ไม่ว่าอย่างไร มันก็คือหนังเรื่องนึง ก็ย่อมมีคนชอบ และไม่ชอบ แต่อย่างน้อยนี่ก็เป็นหลักไมล์อย่างนึงว่าเรากำลังเริ่มที่จะทำ ไม่ใช่ก่อนหน้านี้มันไม่มี มีแต่มันก็หลบๆ ซ่อนๆ แล้วก็หวังว่าจะมีหนังที่จะสามารถพูดได้มากขึ้น
ประเทศอื่นเขามีหนังเยอะแยะมากมาย บ้านเรายังล้าหลังอยู่มาก ยังคงอยู่กับโลกของตัวละครที่ flat แบนมากๆ ขณะที่โลกมันเปลี่ยนไปแล้ว
ช่วงนี้มันเป็นช่วงการเรียนรู้ของคนไทยเลยแหละว่า อะไรคือประชาธิปไตย อะไรไม่ใช่ แม้แต่เราเองก็ตามที่กำลังเรียนรู้อะไรมากขึ้น แม้ว่าอายุขนาดนี้ จะตายห่าอยู่แล้วเนี่ย (หัวเราะ) มันน่าเศร้าเหมือนกันที่เราอยู่ในประเทศที่หลอนคนกันมาชั่วชีวิต

โดยเฉพาะพวกทำงานศิลปะด้วยใช่ไหมที่จะ sensitive กับเรื่องนี้
คนทำงานศิลปะประเทศนี้น่ารังเกียจที่สุดในโลกแล้ว คนทำงานศิลปะประเทศอื่น รับเงินรัฐ เพื่อจะมาด่ารัฐ แต่คนทำงานศิลปะประเทศนี้รับเงินรัฐเพื่อเลียแข้งเลียขารัฐ ไม่เคยเห็นประเทศไหนน่ารังเกียจเท่าศิลปินประเทศนี้ อันนี้ขอลง

คิดว่าเรื่องนี้เป็น propaganda ของเสื้อแดงไหม
เป็นคำถามที่ตอบยากมาก คำว่า propaganda ในที่นี้มันขึ้นอยู่กับว่าคนเชื่อว่าอะไร โฆษณาชวนเชื่อเนี่ยมันเกิดขึ้นเพื่อทำให้เชื่อเรื่องๆ หนึ่งอย่างมากๆ ทำทุกอย่างให้คนเชื่อ ในด้านหนึ่งทุกวันนี้ทั้งสองฝั่งมันถูกทำให้เป็นความเชื่ออยู่แล้ว ฝั่งเราแทบจะดูเหมือนไม่มีหลักฐาน หรือพิสูจน์ไม่ได้ ทั้งที่มีหลักฐาน อยากพูด แต่พูดไม่ได้ เพราะกฎหมายหรืออะไรก็ตามมากดไว้ ดังนั้น มันก็อาจจะยังเป็นโฆษณาชวนเชื่อสำหรับใครอยู่ดี แต่ไม่ว่ามันจะเป็นโฆษณาชวนเชื่อหรือเปล่า มันเป็นการเริ่มที่จะทำ แค่เริ่มทำ เพราะอีกฝั่งมี propaganda เป็นร้อยเป็นพันเรื่อง อย่างน้อยมันก็พยามยามสร้างทางเลือก
แล้วยิ่งน่ารังเกียจใหญ่ ตอนเงินไทยเข้มแข็งเมื่อสองปีที่แล้ว รัฐบาลให้เงินส่วนหนึ่งมาทำหนัง propaganda ด้วยซ้ำ กฎแรกๆ ที่กระทรวงวัฒนธรรมเขียน มันเข้าข่าย propaganda ทั้งนั้น ห้ามทำโปรเจ็กต์ที่เกี่ยวกับศาสนา การเมือง และเป็นภัยต่อความมั่นคง ห้ามพูดอะไรก็ตามที่ล่อแหลมต่อความมั่นคงของชาติ  คือคุณมี agenda อยู่แล้วว่าอะไรคือความมั่นคงของชาติ แล้วคุณให้เงินจำนวนนี้ เยอะมาก ถ้าจำไม่ผิด 250 ล้านให้กับพระนเรศวร ส่วนงบที่เหลืออีก 250 ล้านให้ถัวเฉลี่ยไปกับหนังเล็กหนังน้อย ทีวี และเกมส์ ซึ่งทั้งหมดล้วนต้องอยู่ในหลักคุณงามความดีอันดีงามที่ทึกทักเอาเองว่าสิ่งนี้ดี ลองมองประเทศอื่นที่เขาให้ทุนทำหนัง มันท้าทายมาก เพราะสิ่งที่เขาทำคือเขาสามารถวิจารณ์ประเทศตัวเองได้
ยกตัวอย่างเกาหลีใต้ เราแทบไม่รู้จักมาก่อนเลยในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมา เราเพิ่งมารู้จักหลังปี 1993 เพราะก่อนหน้านั้นเกาหลีใต้ตกอยู่ภายใต้เผด็จการทหารอยู่ 40 ปี พัฒนาการของเกาหลีไม่มีอะไรคืบหน้าเลย แต่เดี๋ยวนี้ทุกคนรู้จักดี แล้วเราเพิ่งไปเทศกาลหนังของเกาหลี ฉายที่หมู่บ้านรอยต่อระหว่างเกาหลีเหนือและใต้ โดยที่เรื่องทั้งหมดต้องเกี่ยวกับประชาธิปไตย เราก็ไปฉายเรื่อง Terrorists เขาเปิดกว้างมากในการให้ทำหนังที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐ ในปี 93 สาเหตุที่มันเริ่มเป็นประชาธิปไตย เพราะมีประธานาธิบดีที่มาจากพลเรือนเป็นครั้งแรก แม้ว่าจะเป็นพลเรือนฝ่ายขวาอยู่ดี แต่ว่าก็ค่อนข้างจะรับฟัง เช่น ในวงการหนัง มันระดมคนในวงการทั้งหมดมาร่วมคุยกันว่าจะเอายังไงกับวงการภาพยนตร์ ตอนนั้นเกาหลีมีเรื่องขายหน้าอยู่เรื่องนึงคือเทศกาลหนังปูซาน ซึ่งเพิ่งจัดมาสิบกว่าปี แต่ตีตลาดมาก ใหญ่สุดในภูมิภาคเอเชีย แต่เกาหลีก็มีเรื่องขายหน้า เพราะแบนหนัง 3 เรื่อง เป็นหนังเกย์ล้วนๆ จบเทศกาล นักข่าวก็เขียนโจมตีกันใหญ่ว่าล้าหลัง สุดท้ายต้องระดมคนในวงการหนังมาเขียนกฎหมายใหม่ ไม่ให้อายชาวโลก หลังจากนั้นก็เปลี่ยนไปทันที เปิดกว้างมาก ขนาดมีฉายหนังเกย์โดยเฉพาะเลย ถามว่ามีคนต่อต้านไหม มีอยู่ตลอดเวลา มันก็มีคนประท้วงไม่เห็นด้วย แต่เขามีการประชุมแล้วรับฟังกัน แต่บ้านเรามันพูดไม่ได้เลย แม้แต่หนังที่เคยทำซึ่งด่าทักษิณด้วยซ้ำเรื่องตากใบแต่ก็ถูกห้ามฉาย เพราะไปแตะทหาร (This Area is under Quarantine)
เราเป็นศิลปาธร เคยเข้าประชุมหลายหน ประเด็นที่ได้ยินบ่อยมากคือ ทำยังไงถึงจะสู้เกาหลีได้ มองแค่ว่าจะขายของสู้เขายังไง แต่ไม่เคยมองเลยว่าเพราะเขาเป็นประชาธิปไตยไงเขาถึงทำได้ ถ้าแก้ให้เป็นประชาธิปไตย สามารถรับฟังคนได้ทั้งหมดทั้งมวล พูดคุยกันได้ คุณทำได้ไปตั้งนานแล้ว แต่ดันเสือกมาหมกมุ่นเรื่องโง่ๆ และมองว่าจะขายของยังไงซึ่งเป็นปลายเหตุ มองว่าคนมาเมืองไทยเพราะเป็น land of smile มีผ้าไหม อะไรแบบนี้
หรืออย่างพม่า ตอนนี้เขาก็ก้าวไปเร็วมาก น่าสนใจมาก โอเค ในด้านหนึ่งเราก็พอจะรู้ว่าพม่าเพิ่งเปิดประเทศก็ต้องเอาใจทุกฝ่าย ต้องแสดงภาพว่าเป็นประชาธิปไตย แต่มันกำลังไปสู่เกาหลีใต้แรกๆ ที่ผ่านมาเพิ่งจะมีเทศกาลหนังที่ค่อนข้างเปิดกว้างจริงๆ พูดเรื่องประชาธิปไตย เมื่อต้นปีที่ผ่านมา จัดโดยนักแสดงตลกคนหนึ่งที่โดนขังคุกตั้งแต่ช่วง 8888 เพิ่งถูกปล่อยตัวเมื่อปีที่แล้ว คนให้รางวัลคือ ออง ซาน ซู จี แถมหนังในเทศกาลก็ไม่ต้องส่งให้เซ็นเซอร์ด้วย มันน่าสนใจไหมล่ะ ประเทศเราด่าว่าพม่าล้าหลังไม่ได้แล้ว ขนาดที่มึงกำลังเซ็นเซอร์หนังตลอดเวลา แล้วเสแสร้างเป็นประชาธิปไตย  อีกหน่อยจะสู้พม่าไม่ได้ หนังเขาก็น่าสนใจมาก อันหนึ่งคือพูดถึงกระบวนการเซ็นเซอร์ในพม่าว่ามันโง่เง่ายังไง เป็นหนังล้อเลียนตลกๆ หรือเรื่องเกี่ยวกับการประท้วงของพระพม่า สามารถดูได้ในยูทูปทุกเรื่องเลย เพราะรัฐบาลพม่าเพิ่งเลิกบล็อคยูทูป สิ่งเหล่านี้ก็อยู่บนนั้นหมด คนเข้าดูได้หมด มีซับอังกฤษให้คนดูรู้เรื่องด้วย

คำถามเบาๆ  จะเปิด casting-คัดเลือกดาราไหม
เปิดๆ กล้ามั้ยล่ะ (หัวเราะ) ตอนแรกถึงกับเถียงว่าจะใส่หน้ากากไหม เพราะไม่รู้จะมีผลกระทบอะไรไหม แต่สำหรับคนดูเขาย่อมคาดหวังจะเห็นดารา แบบ ดารา เลยอยู่ในหนัง คำถามคือ จะมีใครกล้าเล่นป่าววะ อันนี้ก็ต้องรอดู พิสูจน์ใจ แต่ยังบอกไม่ได้ ยังไงก็ตามเราก็ต้องการคนธรรมดานะ มันเปิดพื้นที่อยู่แล้ว

0000000


หมายเหตุ ต้องการร่วมระดมทุน สามารถโอนเงินเข้าบัญชีชื่อ: นายอภิรักษ์ วรรณสาธพ และนายอานนท์ นำภา และนายปณัท นิตย์แสวงเลขที่บัญชี: 691 – 0 – 10054 – 9 ธนาคารกรุงไทย สาขาห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์


ตัวอย่างบางส่วนของหนังเรื่อง "ก่อการร้าย" (The Terrorists)


AttachmentSize
Proposal-budget-form_Nuamthong(Thai).pdf129.71 KB









วันเสาร์ที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2555

จี้กทม.รับมือโป๊เปลือยช่วงสงกรานต์-พร้อมขอพื้นที่เล่นน้ำปลอดภัยให้เด็ก-ผู้หญิง

เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 23 มี.ค. ผู้สื่อข่าว "ข่าวสด" รายงานว่า ที่ศาลาว่าการกทม. นายจะเด็จ เชาวน์วิไล ผู้อำนวยการมูลนิธิชายหญิงก้าวไกล และสมาชิกมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล มูลนิธิเพื่อนเยาวชนเพื่อการพัฒนา เครือข่ายผู้ได้รับผลกระทบจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เครือข่ายเฝ้าระวังแอลกอฮอล์กรุงเทพ และเครือข่ายเกสรชุมชน กว่า 50 คน เข้ายื่นมาตรการในการป้องกันปัญหาความรุนแรง การคุกคามทางเพศและอุบัติเหตุในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ที่สาเหตุส่วนใหญ่มาจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ต่อ พญ.มาลินี สุขเวชชวรกิจ รองผู้ว่าฯกทม.

โดยนายจะเด็จ กล่าวว่า มาตรการในการป้องกันปัญหาความรุนแรง การคุกคามทางเพศและอุบัติเหตุในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ที่สาเหตุส่วนใหญ่มาจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มีดังนี้ 1. การวางแผนเชิงรุกรับมือกับปัญหาและพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ อาทิ สร้างกลไกระงับเหตุ การประสานงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ การรับแจ้งข่าวร้องทุกข์ และหากพื้นที่ใดที่จัดงานแล้วเกิดเหตุโดยมิได้ดำเนินการป้องกันและแก้ไขพื้นที่นั้นจะต้องรับผิดชอบ

2. มีนโยบายให้แต่ละเขตจัดพื้นที่เล่นน้ำสงกรานต์ปลอดจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพื่อความปลอดภัยกับผู้หญิงและเด็กและเป็นการลดพื้นที่เสี่ยง 3. ขอให้เข้มงวดกับการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้เด็ก คนเมาขาดสติ ขายโดยไม่มีใบอนุญาต รวมถึงการเร่ขายและขอให้เร่งประชาสัมพันธ์ พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 ข้อสำคัญคือกำชับเจ้าหน้าที่ของรัฐต้องไม่เป็นผู้กระทำความผิดเสียเอง

และ 4. ขอให้พึงตระหนักว่าการทำกิจกรรมร่วมกับธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กทม.จะตกเป็นเครื่องมือในการประชาสัมพันธ์ รวมทั้ง CSR ให้ธุรกิจบาป และมีความหมิ่นเหม่ต่อการกระทำความผิดพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 ทั้งมาตรา 30 และมาตรา 32

ด้านพญ. มาลินี กล่าวว่า รู้สึกยินดีที่กลุ่มเครือข่ายและเยาวชนตระหนักและให้ความสำคัญในเรื่องดังกล่าว กทม. โดยสำนักอนามัยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีมาตรการดูแลเรื่องนี้มาโดยตลอด ในทุกๆ เทศกาลได้มีการออกหนังสือเตือน เพื่อป้องกัน ปราบปรามและแนะแนวทางปฏิบัติ เพื่อให้สำนักงานเขตในฐานะเจ้าพนักงานเข้าควบคุมดูแลพื้นที่ที่รับผิดชอบไม่ให้เกิดเหตุอันไม่พึงประสงค์

อีกทั้งมีโครงการต่างๆ ที่ชักชวนให้ประชาชน เยาวชน หันมาให้ความสนใจกับพระพุทธศาสนาและห่างไกลจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในเทศกาลสำคัญๆ อาทิ โครงการสวดมนต์ข้ามปี ในเทศกาลปีใหม่, โครงการรักแท้รักธรรม ในวันวาเลนไทน์, โครงการธรรมะในสวน เป็นต้น

สำหรับการจัดงานสงกรานต์ในปีนี้ ผู้บริหารกทม.มีนโยบายให้สำนักงานเขตเป็นผู้จัดงานในพื้นที่เขต เพื่อให้การดูแล ควบคุมพื้นที่ให้ปลอดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทำได้ง่ายขึ้น เนื่องจากการปล่อยให้ภาคเอกชนเป็นผู้จัดงานจะทำให้การควบคุมการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นไปได้ยาก โดยในทุกพื้นที่ของการจัดงานจะมีการติดป้ายเขตปลอดแอลกอฮอล์ เพื่อเป็นการเตือน ซึ่งหากพบมีการฝ่าฝืน หรือมีพื้นที่ใดจัดงานไม่เหมาะสม ขอให้แจ้งกทม. ที่สายด่วน โทร. 1555 หรือสำนักงานเขต เพื่อกทม. จะได้ประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าดำเนินการพร้อมกับจัดเจ้าหน้าที่เทศกิจสนับสนุนการทำงานด้วย

สนธิ ยัน เปรม ไม่เกี่ยวปฏิวัติ




จากกรณีที่ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) ได้ถามว่า ใครที่อยู่เบื้องหลังจากปฏิวัติ 19 กันยายน 2549 โดยได้พาดพิงถึง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ว่าเป็นคนบงการใช่หรือไม่ เกี่ยวกับเรื่องนี้ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคมาตุภูมิ กล่าวว่า เป็นเรื่องที่มีคนรู้แค่ 2 คน เพราะเป็นเรื่องใหญ่ จะให้คนรู้เกินนี้ไม่ได้
เรื่องที่ พล.อ.เปรม ถึงพาดพิงว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังของการปฏิวัติว่า เป็นไปไม่ได้ ที่ท่านจะทราบเรื่องพวกนี้อย่างแน่นอน ส่วนที่ พล.ต.สนั่น กล่าวถึง อำมาตย์ ตนก็ไม่เข้าใจว่า นิยามคำว่า อำมาตย์ ของ พล.ต.สนั่น นั้นหมายถึงใคร ตน ข้าราชการ หรือใคร ช่วยตอบคำถามตนที
สำหรับกรณีที่ พล.ต.สนั่น อ้างว่า พล.อ.เปรม เคยประสานผ่าน พล.อ.มงคล อัมพรพิสิฏฐ์ อดีต ผบ.สส.ให้บอกความจริงกับประชาชนเรื่องปฏิวัติ ตนขอชี้แจงว่า ตนไม่เคยคุยกับ พล.อ.มงคล ตั้งแต่ตนเป็น ผบ.ทบ.ใหม่ๆ ก็ได้เจอเพียงสองสามครั้ง แต่หลังจากนั้นก็ไม่เคยได้เจออีก และสิ่งที่อ้างว่า พล.อ.เปรม ฝากบอกนั้น ตนก็ไม่ทราบว่า พล.อ.เปรม ท่านได้สั่งอะไรมา ต้องไปถาม พล.ต.สนั่นเอง คำถามเหล่านี้ ถามตนมาตลอด 6-7 ปี และในขณะที่เหตุการณ์บ้านเมืองกำลังจะเกิดความปรองดอง ทำไม พล.ต.สนั่น จะต้องนำมาถามด้วย ตนไม่เข้าใจว่าถามเพื่ออะไร แล้วใครสั่งให้ถาม
เรื่องดังกล่าว ตนคิดว่าเป็นเรื่องของวุฒิภาวะในการใช้คำถาม ที่ตนตอบคำถามไม่ได้ว่าใครสั่ง มันเป็นเรื่องของจรรยาบรรณ และเชื่อว่า ทุกอาชีพก็มีจรรยาบรรณที่จะต้องรักษาเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นแพทย์ ตำรวจ หรือว่า ทหาร


...................................................................................


ต่อไปนี้พวกโจรห้าร้อย พวกค้ายาเสพติดและแก้งค์มิจฉาชีพทุกแก้งค์จงตะหนักและเยี่ยงอย่าง หากกระทำผิดไปแล้วโดนจับได้กรณีมีจรรยาบรรณด้วยเวลาที่โดนสอบสวนให้รับสารภ-พซัดทอดผู้ร่วมทำความผิดหรือหัวหน้าผู้บงการจงมีสามัญสำนึกด้วยว่าควรหรือไม่ .....  อ๋อนี่สังคมซังกะบ๊วย หัวกล้วยประเทสนี้ คนที่มีอำนาจมีอิทธิพล เวลาทำผิดแล้ว มันยังมีหน้าออกมาพูดแบบนี้กันอีกหรือครับ  ต้องถามหน่อย อย่าหาว่าก้าวล่วงนะครับท่าน พล.อ.สนธิ พฤติกรรมของท่านนี่สันดานไม่ต่างจากไอ้พวกเด็กวัยรุ่นติดยาที่ทำผิด ก่อเหตุลักทรัพนย์ ฉกชิงวิ่งราว ปล้นจี้ ฆ่า ข่มขืน แล้วสารภาพว่าที่ทำไปเพราะอารมย์ชั่ววูบหรือ เพระมีความจำเป็นต้องหาเงินมาซื้อยาเสพ ...ผมถามจริงครับคนในประเทศนี้สังคมนี้พึงพอใจกับคำตอบนี้ไหมครับ หรือนี่เป็นหลักสูตรที่จะชี้นำสังคมชี้นำคนรุ่นหลังๆให้เห็นว่าการกระทำแบบนี้มำผิดแบบมีเหตุผล ... โดยอ้าง ถึง จรรยาบรรณ นี่ประเทศนี้เขาต้องการแบบนี้กันหรือครับ  ในขณะที่คนจนๆหาเช้ากินค่ำได้แต่ก้มหน้ารับชะตากรรมกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้น แต่คนมีอำนาจยศฐาบรรดาศักดิ์ ที่ทำเลว ทำผิด แล้ว ยังหน้าด้านออกมาพูดเรื่องจรรยาบรรณ 

....






กฎหมายฟลอริดา ฆ่าคนตายไม่ผิด


สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน ว่านายริค สก็อตต์ ผู้ว่าการรัฐฟลอริดา แถลงแต่งตั้งคณะทำงานพิเศษ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา เพื่อสืบสวนคดียิงสังหารนายเทรย์วอน มาร์ติน เด็กหนุ่มผิวดำ วัยเพียง 17 ปี ท่ามกลางกระแสกดดัน และการชุมนุมเรียกร้องจากประชาชนจำนวนมาก ให้มีการดำเนินคดีต่อผู้กระทำผิด
นอกจากนี้ อัยการแห่งรัฐผู้รับผิดชอบการพิจารณาคดีนี้มาตั้งแต่ต้น จะไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง และอำนาจสั่งการในคดีอีกต่อไป ขณะที่ผู้บังคับการตำรวจเมือง แซนฟอร์ด รัฐฟลอริดา ซึ่งเป็นพื้นที่เกิดเหตุ แถลงขอพักงานเป็นการชั่วคราว โดยอ้างว่าการสืบสวนคดีของเขา ทำให้เกิดกระแสต่อต้านจากสังคมอย่างรุนแรง
นายมาร์ตินถูกยิงเสียชีวิต เมื่อคืนวันที่ 26 ก.พ. ที่ผ่านมา ขณะกำลังเดินกลับบ้านจากการออกไปซื้อขนมที่ร้านสะดวกซื้อ โดยผู้ลงมือก่อเหตุ คือนาย จอร์จ ซิมเมอร์แมน วัย 28 ปี ที่ให้การกับตำรวจว่า สังหารผู้ตายเพื่อป้องกันตัวเอง เนื่องจากอีกฝ่ายมีพฤติกรรมน่าสงสัย
หลายฝ่ายเชื่อว่า นายซิมเมอร์แมนมีพฤติกรรมเหยียดสีผิว เหตุการณ์ดังกล่าวกลายเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางในสังคมอเมริกา การที่กฎหมายของรัฐฟลอริดามาตราหนึ่ง ที่ได้รับการบัญญัติในปี 2548 ระบุว่า หากมีเหตุผลอันเชื่อถือได้ว่า กำลังตกอยู่ในสถานการณ์ล่อแหลม หรืออันตราย ที่อาจสร้างภัยคุกคามถึงแก่ชีวิต บุคคลสามารถกระทำการใดๆก็ตาม เพื่อเป็นการ "ป้องกันตนเอง" ได้ โดยไม่ถือเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย


ที่มา..http://news.impaqmsn.com/articles_hn.aspx?id=480139&ch=hn

............................................



วันศุกร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2555

บทลงโทษของผู้ก่อกบฏ (ผู้ละเมิด)


ดูเหมือนคนที่สังคมจับตามองมากอีกคนหนึ่งก็คงจะเป็น พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ว่าจะพูดอะไรออกมาบ้างหลังจากที่มีคำถามพุ่งตรงไปหาแล้วถามตรงแบบดปิดหน้าชกจาก เสธ.หนั่น ที่ถามว่าใครคือผู้สั่งการให้ทำการปฏิวัติ



ฝ่ายคณะรัฐประหาร 19 กันยายน พ.ศ. 2549 ขณะอ่านแถลงการณ์คณะปฏิรูปฯ

นำโดย พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผบ.ทบ.ในฐานะหัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข กล่าวชี้แจงต่อคณะทูตานุทูตจำนวน 43 ประเทศ ที่หอประชุมกิตติขจร ถึงการประกาศยึดอำนาจจากรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า การประกาศยึดอำนาจเพื่อนำไปสู่การปฏิรูปการปกครองประเทศ เป็นไปด้วยความเรียบร้อย และได้รับความร่วมมือจากประชาชน และสังคมเป็นอย่างดี โดยคาดว่าจากนี้ไปอีก 2 สัปดาห์จะสามารถจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ และสรรหานายกรัฐมนตรีขึ้นมารักษาการแทน และจัดตั้งสภานิติบัญญัติ เพื่อนำไปสู่การร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
............................................







บทลงโทษของผู้ก่อกบฏ (ผู้ละเมิด)



﴿حد أهل البغي
] ไทยThai – تايلاندي [

มุหัมมัด บิน อิบรอฮีม อัตตุวัยญิรีย์


แปลโดย : ยูซุฟ อบูบักรฺ
ผู้ตรวจทาน : ฟัยซอล อับดุลฮาดี
ที่มา : หนังสือมุคตะศ็อร อัลฟิกฮิล อิสลามีย์


2010 - 1431



﴿حد أهل البغي
« باللغة التايلاندية »



الشيخ محمد بن إبراهيم التويجري




ترجمة: يوسف أبو بكر
مراجعة: فيصل عبدالهادي
المصدر: كتاب مختصر الفقه الإسلامي


2010 - 1431

ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ผู้ทรงเมตตา ปรานียิ่งเสมอ


บทลงโทษของผู้ก่อกบฏ (ผู้ละเมิด)

ผู้ก่อกบฏ คือ กลุ่มบุคคลที่เป็นภัยอันตรายและไม่ปฏิบัติตาม ซึ่งพวกเขาต่อต้านผู้นำโดยการตีความที่ชอบด้วยกฎหมาย พวกเขาต้องการที่จะถอดถอน ขัดแย้ง ทำลายการเชื่อฟังปฏิบัติตามผู้นำ

 
ลักษณะของผู้ก่อกบฏ

 
บุคคลทุกกลุ่มที่ไม่ปฏิบัติตามหน้าที่หรือได้แยกตัวออกจากผู้นำของมวลมุสลิมหรือได้ถอนตัวออกจากการปฏิบัติตามผู้นำ ดังนั้นพวกเขาถือว่าเป็นกลุ่มกบฏผู้อธรรมและบรรดากบฏก็ยังเป็นมุสลิมไม่ได้เป็นผู้ปฏิเสธแต่อย่างใด

 

 
วิธีการปฏิบัติต่อผู้ที่เป็นกบฏ


 
1. เมื่อผู้เป็นกบฏได้ออกมาต่อต้านผู้นำจำเป็นที่ผู้นำจะต้องส่งคนไปเจรจาแล้วถามพวกเขาในสิ่งที่ต้องการ หากพวกเขาได้บอกถึงสิ่งที่พวกเขาไม่ได้รับความเป็นธรรมก็ให้ผู้นำปรับปรุงแก้ไข และหากพวกเขาได้กล่าวอ้างถึงสิ่งที่คลุมเครือก็ให้นำมาแสดงเปิดเผย ดังนั้นหากพวกเขายอมกลับมาเชื่อฟังปฏิบัติตามและหากพวกเขาไม่ยอมกลับให้กล่าวตักเตือนและขู่ให้พวกเขาหวาดกลัวถึงการปราบปราม หากพวกเขายังยืนกรานให้ลงมือปราบปรามและประชาชนผู้อยู่ภายใต้การปกครองต้องให้การช่วยเหลือผู้นำจนกระทั่งสามารถกำจัดความชั่วร้ายและสกัดความโกลาหลวุ่นวายให้หมดไปได้
2. เมื่อผู้นำต้องการจะปราบปรามกลุ่มกบฏให้ละเว้นการใช้อาวุธที่ร้ายแรง เช่น ลูกกระสุนที่มีประสิทธิภาพทำลายล้าง และไม่เป็นที่อนุญาตให้ฆ่าลูกหลานของพวกเขา หรือผู้ที่ยอมหันกลับมาปฏิบัติตาม หรือผู้ที่บาดเจ็บ และผู้ที่ไม่ได้ลุกขึ้นมาต่อสู้ สำหรับผู้ถูกจับเป็นเชลยให้กักขังไว้จนกระทั่งเหตุการณ์สงบ ส่วนทรัพย์สินของพวกเขาก็ไม่นับว่าเป็นทรัพย์เชลยและลูกหลานของพวกเขาไม่ถือว่าเป็นเชลยศึกแต่อย่างใด
3. หลังจากการปราบปรามและความวุ่นวายได้ยุติลง สิ่งที่เสียหายจากทรัพย์สินของพวกเขาขณะที่ปราบปรามก็ถือว่าสูญเปล่า ผู้ที่ถูกฆ่าก็ไม่ได้รับการชดใช้แต่อย่างใด และพวกเขาก็ไม่ต้องรับผิดชอบในทรัพย์สินและชีวิตที่เสียหายขณะที่ทำการปราบปราม

 

 
สิ่งที่จำเป็นต้องปฏิบัติขณะที่มีการเผชิญหน้ากันสองฝ่าย


 
เมื่อสองกลุ่มได้เผชิญหน้าต่อสู้กันเนื่องจากการเข้าข้างฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดหรือช่วงชิงการเป็นผู้นำทั้งสองกลุ่มต่างก็เป็นผู้อธรรม ทั้งสองฝ่ายจะต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ทำให้อีกฝ่ายเสียหาย และจับเป็นที่จะต้องทำให้เกิดการปรองดองกันระหว่างทั้งสองฝ่าย

1. อัลลอฮฺตะอะลาตรัสว่า


(ﮙﮚ ﮛ ﮜ ﮝ ﮞ ﮟ ﮠ ﮡ ﮢ ﮣ ﮤﮥ ﮦ ﮧ ﮨ ﮩ ﮪ ﮫ ﮬ ﮭ ﮮ ﮯ ﮰ ﮱ ﯓ ﯔ ﯕ ﯖ ﯗ ﯘ ﯙ ﯚ ﯛ) (الحجرات : 9)
ความหมาย “และหากมีสองฝ่ายจากบรรดาผู้ศรัทธาทะเลาะวิวาทกัน ดังนั้นพวกเจ้าก็จงประนีประนอมระหว่างทั้งสองฝ่าย หากฝ่ายหนึ่งในสองฝ่ายนั้นละเมิดอีกฝ่ายหนึ่งพวกเจ้าก็จงปรามฝ่ายที่ละเมิดจนกว่าฝ่ายนั้นจะกลับไปสู่บัญชาของอัลลอฮฺ ฉะนั้นหากฝ่ายนั้น (ฝ่ายกลับสู่บัญชาของอัลลอฮฺ) พวกเจ้าก็จงประนีประนอมระหว่างทั้งสองฝ่ายด้วยความยุติธรรมและพวกเจ้าจงให้ความเที่ยงธรรมแก่ทั้งสองฝ่ายเถิด แท้จริงอัลลอฮฺทรงรักใคร่แก่บรรดาผู้ให้ความเที่ยงธรรม” (อัลหุญุรอต / 9)

 

 
عن عرفجة رضي الله عنه قال: سمعت رسول الله ﷺ يقول: «مَنْ أَتَاكُمْ وَأَمْرُكُمْ جَـمِيْـعٌ، عَلَى رَجُلٍ وَاحِدٍ، يُرِيدُ أَنْ
يَشُقَّ عَصَاكُمْ، أَوْ يُفَرِّقَ جَـمَاعَتَـكُمْ فَاقْتُلُوْهُ». أخرجه مسلم

2. ความหมาย จากอิรฟะญะฮฺ เราะฎิยัลลอฮฺอันฮุ กล่าวว่า

ฉันได้ยินท่านรอสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า “ผู้ใดมาหาพวกท่านในขณะที่กิจการงานพวกท่านเป็นหนึ่งเดียว อยู่ที่บุคคลเพียงคนเดียว ผู้นั้นต้องการทำลายการเชื่อฟังปฏิบัติตามหรือทำให้พวกท่านเกิดความแตกแยก ดังนั้นจงฆ่าเขาเสีย” (บันทึกโดยมุสลิม หมายเลขหะดีษ 1852)

 
บทบัญญัติว่าด้วยการเป็นกบฏต่อผู้นำของมวลมุสลิม

 
1. การแต่งตั้งผู้นำนับเป็นความจำเป็นที่สำคัญอย่างยิ่งของศาสนา

 ห้ามมิให้ฝ่าฝืนและตั้งตัวเป็นกบฏต่อผู้นำถึงแม้ว่าเขาจะเป็นผู้ที่อธรรมก็ตามตราบใดที่เขายังมิได้กระทำในสิ่งที่เป็นการปฏิเสธอย่างชัดเจนและก็ได้รับการชี้แจง ไม่ว่าการเป็นผู้นำของเขามาจากมติของมวลมุสลิม หรือจากการแต่งตั้งของผู้นำคนก่อน หรือโดยการพิจารณาของผู้ทรงคุณวุฒิ หรือโดยการใช้กำลังให้ผู้คนยอมจำนนต่อการเป็นผู้นำของเขาก็ตาม และผู้นำจะไม่ถูกถอดถอนเพราะการกระทำความผิดที่เป็นบาปใหญ่ตราบใดที่เขายังมิได้กระทำในสิ่งที่เป็นการปฏิเสธอย่างชัดเจน


2. ผู้ที่ตั้งตนออกจากการเชื่อฟังปฏิบัติตามผู้นำไม่ว่าจะโดยการปล้นชิงทรัพย์

หรือตั้งตนเป็นกบฏ หรือเป็นพวกนอกรีต (เคาะวาริจญฺ) โดยที่พวกเขาปฏิบัติตนที่เป็นบาปใหญ่ถึงขั้นปฏิเสธ และสำหรับพวกเขาแล้วชีวิตและทรัพย์สินเป็นสิ่งที่อนุมัติ พวกเขาเป็นผู้ที่ฝ่าฝืนอนุญาตให้ต่อสู้เป็นการปราบปรามได้

พวกเขาทั้งสามกลุ่มนั้นคือ กบฏที่ออกจากการเชื่อฟังปฏิบัติตามผู้นำ ผู้ใดที่ตายจากพวกเขาดังนั้นข้อบัญญัติก็คือข้อบัญญัติเดียวกับบรรดามุสลิมที่ฝ่าฝืน (อุศอตุลมุวะฮิดีน)

 
สิ่งที่จำเป็นเหนือผู้นำมวลมุสลิม

 
1. ผู้นำของมวลมุสลิมจำเป็นต้องเป็นผู้ชายไม่ใช่ผู้หญิง เพราะกลุ่มชนหนึ่งกลุ่มชนใดจะไม่ได้รับความสำเร็จหากพวกเขามอบกิจการงานให้กับผู้หญิงเป็นผู้นำ
และภารกิจที่จำเป็นของผู้นำคือ ปกปักษ์ประเทศอิสลาม รักษาศาสนา ดำเนินตามบทบัญญัติของอัลลอฮฺ ดำรงไว้ซึ่งบทลงโทษ รักษาดินแดน จัดเก็บซะกาต ตัดสินปัญหาด้วยความยุติธรรม ต่อสู้กับเหล่าศัตรู เชิญชวนผู้คนสู่อัลลอฮฺ และเผยแผ่อิสลาม

2. จำเป็นต่อผู้นำจะต้องให้คำตักเตือนชี้แจงต่อผู้ที่อยู่ภายใต้การปกครองและไม่ทำให้พวกเขาพบกับความทุกข์ยาก และอยู่ร่วมกับพวกเขาด้วยกับความอ่อนโยนนุ่มนวลในทุกสภาวการณ์ แท้จริงท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า

 
«مَا مِنْ عَبْدٍ يَسْتَرْعِيهِ الله رَعِيَّةً، يَـمُوتُ يَومَ يَـمُوتُ وَهُوَ غَاشٌّ لِرَعِيَّتِـهِ إلَّا حَرَّمَ الله عَلَيْـهِ الجَنَّةَ». متفق عليه

ความหมาย “ไม่มีบ่าวคนใดที่อัลลอฮฺได้ให้เขาทำหน้าที่ปกครอง เขาได้เสียชีวิตในสภาพที่เป็นผู้คดโกงต่อหน้าที่ที่รับผิดชอบนอกจากอัลลอฮฺจะห้ามเขาไม่ให้เข้าสวนสวรรค์” (บันทึกโดยอัลบุคอรียฺ หมายเลขหะดีษ 7151 และมุสลิม หมายเลขหะดีษ 142 สำนวนหะดีษเป็นของท่าน)

 

 
จำเป็นต้องเชื่อฟังปฏิบัติตามผู้นำในสิ่งที่ไม่ฝ่าฝืนต่ออัลลอฮฺ

 
1. อัลลอฮฺตะอะลาตรัสว่า

 
(ﯵﯶ ﯷ ﯸ ﯹ ﯺ ﯻ ﯼ ﯽ ﯾ ﯿ ﰀ ﰁ ﰂ ﰃ ﰄ ﰅ ﰆ ﰇ ﰈ ﰉ ﰊ ﰋ ﰌ ﰍ ﰎ ﰏ ﰐ ﰑ ﰒﯗ) [النساء/59].
ความหมาย “โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย จงเชื่อฟังอัลลอฮฺและเชื่อฟังรอสูลของพระองค์และผู้ปกครองในกลุ่มของพวกเจ้า แต่ถ้าหากพวกเจ้าขัดแย้งกันในเรื่องใดก็จงนำเรื่องนั้นกลับไปหาอัลลอฮฺและรอสูล หากพวกเจ้าเป็นผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮฺและวันอาคิเราะฮฺ ดังกล่าวเป็นสิ่งที่ดียิ่งและเป็นการกลับไปที่สวยงามยิ่ง” (อัลนิสาอ์ : 59)

 
2. ความหมาย จากอิบนุอุมัร เราะฎิยัลลอฮฺอันฮุมา จากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า

 
«عَلَى المَرْءِ المُسْلِـمِ السَّمْعُ وَالطَّاعَةُ فِيْـمَا أَحَبَّ وَكَرِهَ إلَّا أَنْ يُؤْمَـرَ بِمَعْصِيَةٍ، فَإنْ أُمِرَ بِمَعْصِيَةٍ، فَلا سَمْعَ وَلا طَاعَةَ»
ความว่า “จำเป็นต่อมุสลิมต้องเชื่อฟังและปฏิบัติตาม (ผู้นำ) ในสิ่งที่เขารักและรังเกียจ นอกจากเขาถูกสั่งใช้ในสิ่งที่ฝ่าฝืน (อัลลออฮฺ) ดังนั้นหากเขาได้รับคำสั่งใช้ในสิ่งที่ฝ่าฝืนก็ไม่มีการเชื่อฟังและปฏิบัติตาม” (บันทึกโดยอัลบุคอรียฺ หมายเลขหะดีษ 2955 และมุสลิม หมายเลขหะดีษ 1839 สำนวนหะดีษเป็นของท่าน)

 
การกลับตัว (เตาบะฮฺ) ของผู้กระทำความผิดที่มีบทลงโทษ

 
หากการสารภาพผิดของเขาหลังจากถูกจับดำเนินคดี การสารภาพผิดนั้นจะไม่ทำให้บทลงโทษเป็นโมฆะไป และหากการสารภาพผิดก่อนที่ถูกจับดำเนินคดี การสารภาพผิดนั้นจะถูกตอบรับและเขาจะไม่ถูกลงโทษ ทั้งนี้เป็นเพราะความเมตตาจากอัลลอฮฺโดยการยกโทษให้ผู้ที่กระทำความผิดที่กลับตัวกลับตัว

1. อัลลอฮฺตะอะลาตรัสว่า

 
(ﭻﭼ ﭽ ﭾ ﭿ ﮀ ﮁ ﮂ ﮃ ﮄ ﮅ ﮆ ﮇ ﮈ ﮉ ﮊ ﮋ ﮌ ﮍ ﮎ ﮏ ﮐ ﮑ ﮒﮓ ﮔ ﮕ ﮖ ﮗ ﮘ ﮙ ﮚ ﮛ ﮜ ﮝ ﮞ ﮟ ﮠ ﮡ ﮢ ﮣ ﮤ ﮥ ﮦ ﮧ ﮨ ﮩ ﮪ ﮫ ﮬ ﮭ ﮮ) [المائدة/33-34].

 
ความหมาย “แท้จริงการตอบแทนแก่บรรดาผู้ที่ทำสงครามต่ออัลลอฮฺและรอสูลของพระองค์และพยายามสร้างความเสื่อมเสียบนผืนแผ่นดิน นั้นคือการที่พวกเขาจะถูกฆ่า ถูกตรึงบนไม้กางเขน หรือมือและเท้าของพวกเขาจะถูกตัดสลับข้าง หรือถูกเนรเทศออกไปจากแผ่นดิน ดังกล่าวนี้พวกเขาจะได้รับความอัปยศในโลกดุนยานี้และจะได้รับการลงโทษอย่างใหญ่หลวงในโลกอาคิเราะฮฺ นอกจากบรรดาผู้ที่สารภาพผิดก่อนที่พวกเจ้าจะสามารถลงโทษพวกเขา พึงรู้เถิดว่าแท้จริงอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงอภัยโทษ ผู้ทรงเอ็นดูเมตตา” (อัลมาอิดะฮฺ : 33-34)

 
  1. อัลลอฮฺตะอะลาตรัสว่า
(ﮚﮛ ﮜ ﮝ ﮞ ﮟ ﮠ ﮡ ﮢ ﮣ ﮤ ﮥ ﮦ ﮧ ﮨ) [الأعراف/153].

 
ความหมาย “และบรรดาผู้ที่ประกอบความชั่วแล้วหลังจากนั้นสารภาพผิด และศรัทธาแล้วไซร้ แท้จริงพระผู้อภิบาลของเจ้านั้นหลังจากนั้นแล้วแน่นอนย่อมเป็นผู้ทรงอภัยโทษ ทรงเอ็นดูเมตตา”(อัลอะอฺรอฟ : 153)


""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""

ประเด็นถามตรง จากสนั่น ขจรประศาสน์ ถามรัฐประหาร 2549

ประเด็น ถามตรง จาก สนั่น ขจรประศาสน์ ถามรัฐประหาร 2549

 
ปรากฏทั้งจุดแข็ง และจุดอ่อน ภายในคำถามอัน พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ เสนอต่อ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ในที่ประชุมอันเกี่ยวกับการปรองดองแห่งชาติ

เป็นคำถามถึงรากที่มาของการรัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549

จุดแข็งเป็นอย่างมากอยู่ตรงที่การถามตรงไปยัง พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.)

ถามว่า ใครคือผู้อยู่เบื้องหลัง

ถามว่า พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ รู้เห็นกับการรัฐประหารหรือไม่

นี่ย่อมเป็นจุดแข็ง เพราะถ้าหากได้คำตอบจาก พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ย่อมได้ความกระจ่างต่อสถานการณ์อันเกิดขึ้นเมื่อ 6 ปีก่อนได้

กระนั้น ภายในจุดแข็งก็มีจุดอ่อน

จุดอ่อนอันดำรงอยู่ในจุดแข็งแห่งคำถามในลักษณะถามตรงจาก พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ อยู่ตรงข้อ 3

เพราะเป็นคำถามอันดำเนินไปในลักษณะอ้างอิงบุคคลที่ 3

ภายหลังขจัดความขัดแย้งทางการเมืองจนเกิดความวุ่นวายในประเทศแล้ว พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ได้ขอร้องท่านให้ออกมาพูดความจริงกับเหตุการณ์วันที่ 19 กันยายน 2549 ผ่าน พล.อ.มงคล อัมพรพิสิฏฐ์ 2 ครั้งใช่หรือไม่ และท่านได้พูดความจริงตามการร้องขอหรือไม่
Ž
เมื่อบุคคลที่ 2 คือ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ บุคคลที่ 3 ย่อมคือ พล.อ.มงคล อัมพรพิสิฏฐ์

เชื่อได้เลยว่า เป้าหมายต่อไปย่อมเป็น พล.อ.มลคล อัมพรพิสิฏฐ์ ที่จะต้องตอบคำถามต่อสังคมว่าได้รับการร้องขอจาก พล.เปรม ติณสูลานนท์ จริงหรือไม่

เท่ากับลากเอา พล.อ.มงคล อัมพรพิสิฏฐ์ เข้ามารับผิดชอบด้วย

คำตอบของ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน เหมือนกับมิได้เป็นคำตอบ กระนั้น ก็ดำเนินไปเท่ากับเป็นคำตอบ

คำถามบางประการเปิดเผยไม่ได้ แม้ตายแล้วก็เปิดเผยไม่ได้Ž

สมมติว่า พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน เมื่อได้รับคำถามอย่างชนิด ถามตรงŽ ก็แสดงออกอย่างชนิด ตอบตรงŽ ในระนาบเดียวกัน

วงสนทนาที่มีเป้าหมายเพื่อ ปรองดองŽ อาจวงแตก

ต้องยึดหลักการให้อภัย ลืมอดีตบ้าง ไม่เช่นนั้นสังคมไทยจะย้อนยุคสู่ความขัดแย้งกันมากขึ้น ต้องมองข้ามไปบ้างเพื่อความปรองดองอะไรไม่ควรพูดก็อย่าพูดŽ

เป็นการแถลงจากปาก พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน

แท้จริงแล้วคำถามจาก พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ เสมอเป็นเพียงให้ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ยืนยัน

ยืนยันตามความเชื่อ ไม่ว่าจะเป็นความเชื่อของ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ไม่ว่าจะเป็นความเชื่อของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่ว่าจะเป็นความเชื่อของ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน

เพียงแต่ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ไม่ตกหลุมที่ขุดเอาไว้เท่านั้น


ที่มา :: คอลัมน์ วิเคราะห์การเมือง
วันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2555 เวลา 00:01 น.  ข่าวสดออนไลน์


................................................................................................................




ประเภทของการฆ่า





การสรุปเหตุการณ์บ้านเมืองของนายธีรยุทธไม่ครบถ้วน เพราะไม่พูดถึงการใช้กำลังสลายม็อบแดงจนนำไปสู่ความสูญเสีย 91 ศพจริงอยู่ที่ "ต้นตอ" ปัญหามาจากทักษิณ แต่ "คำสั่ง" ที่ก่อให้เกิดความสูญเสียมาจากใคร ? ทำไมนายธีรยุทธถึงข้ามตรงนี้ ตัดตอนประวัติศาสตร์สำคัญหายไป

วิเคราะห์แบบตกหล่นเหตุการณ์ "91ศพ" แม้ว่าไม่มีเจตนาเอนเอียง แต่ "มาร์ค-เมาอู้" ก็ยิ้มแก้มปริไปแล้ว !?
   คลิ๊กอ่านเพิ่มเติม >>> 
ลืม"91ศพ"!? 

จากคอลัมน์ทิ้งหมัดเข้ามุม  โดย สมิงสามผลัด
วันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2555 เวลา 00:01 น.  ข่าวสดออนไลน์
  
..........................................................................

ประเภทของการฆ่า
﴿أقسام القتل﴾
] ไทยThai – تايلاندي [

มุหัมมัด บิน อิบรอ ฮีม อัตตุวัยญิรีย์

แปลโดย : รุสดี การีสา
ผู้ตรวจทาน : ซุฟอัม อุษมาน
ที่มา : หนังสือมุคตะศ็อร อัลฟิกฮิล อิสลามีย์

2010 - 1431


﴿أقسام القتل
« باللغة التايلاندية »


الشيخ محمد بن إبراهيم التويجري



ترجمة: رشدي كاريسا
مراجعة: صافي عثمان
مصدر: كتاب مختصر الفقه الإسلامي


2010 - 1431


ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ผู้ทรงเมตตา ปรานียิ่งเสมอ

ประเภทของการฆ่า
การฆ่าแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้
  1. การฆ่าโดยเจตนา
  2. การฆ่ากึ่งเจตนา
  3. การฆ่าโดยไม่เจตนา

1. การฆ่าโดยเจตนา

คือ การที่ผู้กระทำการฆ่ามีความตั้งใจคร่าชีวิตคนที่เขารู้ดีว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ ด้วยการกระทำที่เขามั่นใจว่าสามารถทำให้คนผู้นั้นเสียชีวิตได้

รูปแบบการเจตนาฆ่า มีหลายรูปแบบ ตัวอย่างเช่น
  1. การทำให้เกิดบาดแผลบนร่างกายด้วยของมีคม อาทิ ด้วยมีด หอก ปืน เป็นต้น ซึ่งทำให้ผู้ที่ถูกกระทำเสียชีวิตเพราะเหตุดังกล่าว
  2. การตี หรือทุบด้วยของหนัก อาทิ ก้อนหินใหญ่ หรือด้ามไม้ที่แข็ง หรือด้วยการชนกับรถยนต์ หรือด้วยการพังกำแพงใส่เขา เป็นต้น ซึ่งทำให้ผู้ถูกกระทำเสียชีวิตเพราะเหตุดังกล่าว
  3. การผลักหรือโยนผู้เคราะห์ร้ายในที่ๆ ไม่สามารถเอาชีวิตให้รอดได้ อาทิ ผลักลงไปในน้ำเพื่อให้จม หรือในกองไฟเพื่อให้ถูกเผา หรือพาไปกักขังโดยมิได้รับอาหารและน้ำกระทั่งเสียชีวิตเพราะเหตุดังกล่าว
  4. การรัดคอด้วยเชือกหรือสายเหล็กเป็นต้น หรือด้วยการปิดปากปิดจมูกกระทั่งเสียชีวิต
  5. การนำไปขังในกรงสัตว์ที่ดุร้ายเช่นสิงโต หรือปล่อยให้งูกัด หรือปล่อยให้กับสุนัขทำร้ายจนกระทั่งเสียชีวิต
  6. การให้เขาดื่มพิษโดยที่ผู้ดื่มมิได้รับรู้กระทั่งเสียชีวิต
  7. การฆ่าด้วยการใช้ไสยศาสตร์ที่สามารถคร่าชีวิตได้
  8. การเป็นพยานของชายสองคนต่อผู้ต้องหาที่บริสุทธิ์เพื่อให้ถูกฆ่า หลังจากนั้นพยานทั้งสองคนก็ได้กล่าวว่าเราได้เจตนาฆ่าเขา(ด้วยการเป็นพยานเท็จ)” หรือ ด้วยการสร้างหลักฐานเท็จจนต้องดำเนินการไปตามนั้น ซึ่งนำไปสู่การสิ้นชีพของผู้ต้องหา เป็นต้น

  • ผู้ที่มีเจตนาฆ่า และได้ลงมือกระทำการฆ่านั้น ต้องได้รับการลงโทษด้วยการกิศอศ(การประหารตาม) และเป็นสิทธิของบรรดาญาติผู้ตายที่จะตกลงให้มีการประหารหรือให้ทดแทนด้วยการจ่ายดิยะฮฺ(สินไหมชดเชย) หรือจะให้อภัยแก่ผู้ฆ่า ซึ่งแน่นอนว่ามันเป็นการดียิ่งกว่า

1. อัลลอฮฺได้ตรัสว่า
( ﯵﯶ ﯷ ﯸ ﯹ) [البقرة / 237 ].
ความว่าและการที่พวกเจ้ายกให้นั้นเป็นสิ่งที่ใกล้แก่ความยำเกรงมากกว่า(อัล-บะเกาะเราะฮฺ 237)
2. จากอบู ฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ เล่าว่าท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวว่า
«.. وَمَنْ قُتِلَ لَـهُ قَتِيلٌ فَهُوَ بِخَيْرِ النَّظَرَيْنِ إمَّا أَنْ يُفْدَى، وَإمَّا أَنْ يُـقْتَلَ...». متفق عليه
ความว่าและผู้ใดที่ญาติของเขาได้ถูกฆ่า แท้จริงเขาจะเป็นผู้เลือกระหว่างสองสิ่งที่ควรกระทำคือยอมให้จำเลยจ่ายฟิดยะฮฺ หรือตกลงให้ทำการประหารฆาตกรตาม(บันทึกโดยอัล-บุคอรีย์ หมายเลข 6880 และมุสลิม หมายเลข 1355 สำนวนนี้เป็นของท่าน)

3. จากอบู ฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ เล่าว่าท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวว่า
«مَا نَقَصَتْ صَدَقَةٌ مِنْ مَالٍ، وَمَا زَادَ الله عَبْداً بِعَفْوٍ إلا عِزّاً، وَمَا تَوَاضَعَ أَحَدٌ ٬ إلَّا رَفَعَهُ الله». أخرجه مسلم
ความว่าแท้จริงทรัพย์สมบัติมิได้ลดลงเลยจากการบริจาคทาน แท้จริงอัลลอฮฺจะไม่ทรงเพิ่มให้แก่ผู้ให้การอภัยนอกจากความมีเกียรติ และไม่มีผู้ใดที่ถ่อมตนนอกเสียจากพระองค์จะทรงยกย่องเขา(บันทึกโดยมุสลิม หมายเลข 2588)

เงื่อนไขการกิศอศ
1. ผู้ถูกฆ่านั้นไร้ซึ่งความผิด
หากมุสลิมได้กระทำการฆ่ากาฟิรที่เป็นกาฟิรหัรบีหรือผู้เป็นมุรตัด(ออกจากศาสนา) หรือซินา(ผิดประเวณี)ผู้ซึ่งเคยผ่านการแต่งงานแล้ว การกิศอศให้ถือเป็นโมฆะ หากแต่จะต้องได้รับโทษด้วยการ ตะอฺซีร (การดำเนินโทษตามที่เห็นสมควรโดยผู้พิพากษา) เพื่อให้เกิดความหลาบจำแทน เนื่องจากเขาได้กระทำการมองข้ามหากิม (คือการตั้งตนเป็นศาลเตี้ยโดยไม่สนใจต่อระเบียบบ้านเมืองหรือกฎหมาย)

2. ฆาตกรต้องเป็นผู้ที่บรรลุวัยตามศาสนบัญญัติ มีสติปัญญา และเจตนาฆ่า
ดังนั้นการกิศอศถือเป็นโมฆะหากผู้กระทำการฆ่าเป็นเด็กหรือผู้ขาดสติหรือมิได้เจตนา แต่พวกเขาจำเป็นจะต้องจ่ายดิยะฮฺ

3. ผู้ฆ่าและผู้ถูกฆ่าต้องมีความเท่าเทียมกันขณะที่ถูกกระทำ กล่าวคือเท่าเทียมกันในเรื่องศาสนา ดังนั้นการกิศอศ จะไม่ถูกดำเนินการกิศอศต่อมุสลิมที่กระทำการฆ่ากาฟิร(แต่อาจจะได้รับโทษในรูปอื่น-บรรณาธิการ) ในตรงกันข้ามหากกาฟิรกระทำการฆ่ามุสลิมจะถูกกิศอศ และจะไม่มีความแตกต่างระหว่างชายและหญิงคือ หากมุสลิมกระทำการฆ่ามุสลิมะฮฺจะถูกกิศอศ เช่นเดียวหากผู้กระทำเป็นผู้หญิงก็จะถูกลงโทษด้วยการกิศอศ

4. ผู้ถูกฆ่าจะต้องไม่ใช่บุตรของผู้กระทำการฆ่า
ดังนั้นการกิศอศจะถือเป็นโมฆะ หากผู้กระทำการฆ่าเป็นบิดาหรือมารดาของผู้ถูกฆ่า หรือมีฐานะเป็นปู่ย่าตายายหรือสูงกว่า และไม่ว่าผู้ถูกฆ่าจะเป็นบุตรชายหรือบุตรสาว หรือเป็นหลานหรือมีฐานะเป็นเชื้อสายที่ต่ำลงไปกว่านั้น แต่ถ้าหากผู้ฆ่านั้นเป็นบุตรของผู้ถูกฆ่า เขาจะต้องได้รับการลงโทษด้วยการกิศอศ เว้นแต่ว่าญาติที่มีสิทธิในตัวของผู้ถูกฆ่านั้นจะอภัยโทษให้

  • การกิศอศจะถือเป็นโมฆะหากไม่เป็นไปตามเงื่อนไขประการหนึ่งประการใดดังที่ได้กล่าวมา แต่จะถูกให้เปลี่ยนด้วยการจ่ายสินไหมที่หนัก (ดิยะฮฺ มุฆ็อลละเซาะฮฺ) แทน
เงื่อนไขการดำเนินการกิศอศ
1. ญาติของเหยื่อผู้ถูกฆ่าจะต้องเป็นผู้ที่บาลิฆ (บรรลุวัยตามศาสนบัญญัติ) มีสติปัญญา ดังนั้นหากญาติของผู้ถูกฆ่ายังไม่บรรลุวัย ขาดสติ หรือไม่อยู่ จะต้องนำจำเลยไปฝากขังจนกระทั่งบุคคลเหล่านี้ได้บรรลุวัย มีสติกลับคืน หรือได้กลับมาถึงแล้ว จากนั้นให้บรรดาญาติๆ ของเหยื่อเป็นผู้เลือกระหว่างการกิศอศ การจ่ายสินไหม หรือจะยกโทษให้แก่จำเลย ซึ่งแน่นอนว่าเป็นการดีที่สุด

2. บรรดาญาติๆ ของเหยื่อที่มีสิทธิในการตัดสินใจจะต้องเห็นด้วยทั้งหมดในการที่จะกระทำการประหารฆาตกร หากมีผู้ใดผู้หนึ่งในบรรดาญาติๆ ของผู้ตายให้การอภัย ให้ถือว่าการกิศอศ(การประหารให้ตายตาม)เป็นโมฆะทันที และต้องเปลี่ยนการลงโทษด้วยการจ่ายสินไหมที่หนัก(ดิยะฮฺ มุฆ็อลละเซาะฮฺ)แทน

3. ต้องแน่ใจว่าการกระทำการกิศอศผู้ฆ่านั้นจะไม่มีผลกระทบต่อผู้อื่นที่บริสุทธิ์ ดังนั้นหากผู้กระทำการฆ่านั้นเป็นหญิงที่กำลังมีครรภ์ ต้องรอจนกระทั่งเธอคลอดและพ้นจากสภาพการให้นมบุตรเสียก่อน หากสามารถหาผู้ให้นมแก่บุตรแทนได้ก็ให้ทำการกิศอศได้ ไม่เช่นนั้นก็ต้องรอจนกว่าบุตรจะพ้นจากวัยที่ต้องให้นมไปแล้ว
  • ดังนั้นหากเป็นไปตามเงื่อนไขดังกล่าวแล้วก็อนุมัติให้กระทำการกิศอศได้ หาไม่แล้วการกิศอศให้ถือเป็นโมฆะ

ฆาตกรที่เป็นเด็กหรือคนบ้า
กรณีที่ผู้กระทำการฆ่าเป็นเด็กหรือเป็นผู้ขาดสติ ไม่เป็นการอนุมัติให้กระทำการกิศอศ แต่ให้เปลี่ยนเป็นการจ่ายกัฟฟาเราะฮฺแทนซึ่งต้องนำเอาจากทรัพย์สินของพวกเขา และจะต้องจ่ายสินไหมโดยผู้ปกครองของพวกเขา ในกรณีที่มีผู้ว่าจ้างให้เด็กหรือผู้ขาดสติกระทำการฆ่า ให้ทำการกิศอศผู้ว่าจ้างแทนเพราะเด็กหรือผู้ขาดสตินั้นเป็นเพียงเครื่องมือในการกระทำการฆ่าเท่านั้น

การร่วมมือฆ่า
หากมีคนหนึ่งจับเหยื่อไว้แล้วมีคนอีกคนหนึ่งกระทำการฆ่าเหยื่อโดยเจตนา ให้ทำการประหารคนฆ่า ส่วนผู้ที่จับเหยื่อไว้นั้น ถ้าหากเขารู้แก่ใจว่าเหยื่อจะถูกฆ่าก็ต้องโดนโทษประหารด้วย แต่หากเขาไม่รู้ว่าเหยื่อจะถูกฆ่าโดยฆาตกร ก็ให้ลงโทษด้วยการขังไว้ตามที่ผู้พิพากษาวินิจฉัยเห็นควร

การบังคับให้ฆ่า
ผู้ใดก็ตามทำการบังคับให้ผู้อื่นกระทำการฆ่าผู้บริสุทธิ์ ให้ทำการลงโทษด้วยการกิศอศทั้งผู้บังคับและผู้ลงมือ

อัลลอฮฺได้ตรัสว่า
(ﯔﯕ ﯖ ﯗ ﯘ ﯙ ﯚ ﯛﯜ) [البقرة / 179 ].
ความว่า “และในการประหารฆาตกรให้ตายตามนั้น (การกิศอศ) คือการดำรงไว้ซึ่งชีวิตสำหรับพวกเจ้า โอ้ผู้มีจิตศรัทธาทั้งหลาย เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้ยำเกรง” (อัล-บะเกาะเราะฮฺ 179)

การตัดสินแบบญาฮิลียะฮฺที่ไม่ใช่อิสลาม
ในประเทศที่ไม่ใช่มุสลิมส่วนใหญ่ได้กำหนดบทลงโทษแก่ผู้กระทำการฆ่าด้วยการกักขังในเรือนจำ โดยอ้างว่าเป็นอารยธรรมที่ทันสมัยและเป็นการเมตตาต่อฆาตกร แต่พวกเขากลับมองข้ามความเมตตาและความเป็นธรรมแก่เหยื่อผู้ถูกฆ่า และไม่ได้เมตตาบรรดาภรรยาและลูกๆ ของเหยื่อที่ต้องขาดผู้ดูแลและเสาหลักของพวกเขา และไม่ได้เมตตาต่อสังคมที่ล้วนหวงแหนชีวิต เกียรติและทรัพย์สินของพวกเขา จากการก่อกรรมของอาชญากรเหล่านี้ ซึ่งทำให้ความชั่วขยายออกไปเป็นวงกว้างมากยิ่งขึ้น มีการฆ่าฟันกันระบาดไปทั่ว และมีปัญหาอาชญากรรมขยายรูปแบบมากมายเป็นทวีคูณ
อัลลอฮฺได้ตรัสว่า
(ﯾﯿ ﰀ ﰁ ﰂ ﰃ ﰄ ﰅ ﰆ ﰇ ﰈ ﰉ) [المائدة / 50 ]
ความว่าข้อตัดสินสมัยญาฮิลียะฮฺกระนั้นหรือที่พวกเขาปรารถนา และใครเล่าที่จะมีข้อตัดสินดียิ่งกว่าอัลลอฮฺสำหรับกลุ่มชนที่เชื่อมั่น(อัล-มาอิดะฮฺ 50)

การกิศอศจะกระทำได้ต่อเมื่อ
  1. การยอมรับของผู้กระทำการฆ่า
  2. หรือ .. การมีพยานชายสองคนที่มีคุณธรรม ยืนยันในการฆาตกรรมของจำเลย หรือด้วยการกล่าวคำสาบานตน ซึ่งจะได้อธิบายรายละเอียดต่อไป

การดำเนินโทษด้วยการกิศอศ
การกิศอศ(การประหารฆาตกรให้ตายตาม)นั้นเมื่อมีการยืนยันครบตามเงื่อนไข ก็จำเป็นจะต้องดำเนินการโดยผู้ปกครองรัฐหรือผู้แทนเขา เมื่อญาติของเหยื่อผู้ถูกฆ่าได้ร้องให้ผู้ปกครองดำเนินโทษกิศอศต่อฆาตกร และการกิศอศจะต้องไม่ลงมือเว้นแต่ว่าผู้ปกครองหรือผู้แทนจะต้องร่วมอยู่ในพิธีการนั้นด้วย และจะต้องไม่ทำการกิศอศยกเว้นด้วยเครื่องมือที่มีความคม อาทิ ดาบ ด้วยการฟันลงไปที่ลำคอของฆาตกร หรือให้ประหารด้วยเครื่องมือชนิดเดียวกันกับที่ฆาตกรใช้ฆ่าเหยื่อ เช่น ถ้าเหยื่อถูกฆ่าด้วยการทุบหัวด้วยหิน ก็ให้ใช้หินทุบหัวฆาตกรจนเสียชีวิต เป็นต้น

1. จาก ชัดด๊าด บิน เอาส์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ เล่าว่า สองประการที่ฉันจำมาจากท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม คือที่ท่านได้กล่าวว่า
«إِنَّ اللهَ كَتَبَ الْإِحْسَانَ عَلَى كُلِّ شَيْءٍ، فَإِذَا قَتَلْتُمْ فَأَحْسِنُوا الْقِتْلَةَ، وَإِذَا ذَبَحْتُمْ فَأَحْسِنُوا الذَّبْحَ، وَلْيُحِدَّ أَحَدُكُمْ شَفْرَتَهُ فَلْيُرِحْ ذَبِيحَتَهُ». أخرجه مسلم
ความว่า “แท้จริงอัลลอฮฺกำหนดให้ทำดีในทุกๆ สิ่ง ดังนั้น เมื่อพวกเจ้าจะฆ่า(สัตว์)ก็จงฆ่าอย่างดี และเมื่อพวกเจ้าจะเชือดก็จงเชือดอย่างดี และคนหนึ่งคนใดในหมู่พวกท่านจงลับมีดของเขาให้คมเพื่อให้สัตว์เชือดของเขาไม่ต้องทรมาน” (บันทึกโดยมุสลิม 1955)

2. จากอะนัส เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ เล่าว่า
أَنَّ يَهُودِيًّا رَضَّ رَأْسَ جَارِيَةٍ بَيْنَ حَجَرَيْنِ، قِيلَ: مَنْ فَعَلَ هَذَا بِكِ؟ أَفُلَانٌ أَفُلَانٌ! حَتَّى سُمِّيَ الْيَهُودِيُّ، فَأَوْمَأَتْ بِرَأْسِهَا، فَأُخِذَ الْيَهُودِيُّ فَاعْتَرَفَ، فَأَمَرَ بِهِ النَّبِيُّ فَرُضَّ رَأْسُهُ بَيْنَ حَجَرَيْنِ. متفق عليه
ความว่า ยิวผู้หนึ่งได้ตีศรีษะของหญิงคนหนึ่งด้วยการประกบหินสองก้อน ได้มีการสอบถามนางว่าใครเป็นคนทำเธอ คนนี้หรือคนนั้น ? จนกระทั่งเมื่อชื่อของยิวคนนั้นถูกเอ่ยนางก็ผงกศรีษะยอมรับ แล้วชาวยิวคนนั้นก็ถูกนำมาไต่สวนและเขาก็รับผิด ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม จึงสั่งให้ตีศรีษะของเขาด้วยการประกบหินสองก้อนเป็นการลงโทษ” (บันทึกโดย อัล-บุคอรีย์ หมายเลข 2413 สำนวนนี้เป็นของท่าน และ มุสลิม หมายเลข 1672)

วะลีย์ อัด-ดัม
วะลีย์ อัด-ดัม หรือ ญาติของผู้ตายที่มีสิทธิในการฟ้องร้องในดำเนินโทษกิศอศหรือยกโทษให้ ก็คือญาติทั้งหมดที่มีสิทธิในมรดกของเขาไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือคนแก่ ถ้าหากพวกเขาทุกคนเรียกร้องให้มีการกิศอศก็จำเป็นต้องดำเนินการตามที่เรียกร้องนั้น และถ้าหากทุกคนยกโทษให้ การกิศอศก็ตกไป และถ้าหากว่ามีบางคนเท่านั้นที่ยกโทษให้ การกิศอศก็ตกไปเช่นกัน ถึงแม้ว่าคนอื่นๆ จะไม่ยอมยกโทษให้ก็ตาม และถ้าหากว่ามีการพยายามหาช่องทางเพื่อจะหลีกเลี่ยงไม่ให้มีการกิศอศและกลัวว่าจะเกิดผลกระทบต่อความปลอดภัยหากมีการยกโทษให้ฆาตกรแล้วละก็ ให้จำกัดสิทธิในการยกโทษเฉพาะแก่ญาติผู้ชายเท่านั้น โดยไม่รวมญาติที่เป็นผู้หญิง

ดิยะฮฺ หรือสินไหมของการฆ่าโดยเจตนา
กรณีที่ญาติของเหยื่อผู้ถูกฆ่ายกโทษให้โดยเปลี่ยนจากการกิศอศเป็นการจ่ายดิยะฮฺหรือสินไหมชดเชย ก็จำเป็นที่จะต้องจ่ายดิยะฮฺจากทรัพย์สินของผู้ฆ่า นั่นคือจ่ายอูฐหนึ่งร้อยตัว ดังปรากฏหลักฐานจากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า
«مَنْ قَتَلَ مُؤْمِناً مُتَعَمِّداً دُفِعَ إلَى أَوْلِيَاءِ المَقْتُولِ، فَإنْ شَاءُوا قَتَلُوا، وَإنْ شَاءُوا أَخَذُوا الدِّيَةَ وَهِيَ ثَلاثُونَ حِقَّةً، وَثَلاثُونَ جَذَعَةً، وَأَرْبَـعُونَ خَلِفَةً، وَمَا صَالَـحُوا عَلَيْـهِ فَهُوَ لَـهُـمْ، وَذَلِكَ لِتَشْدِيدِ العَقْلِ». أخرجه الترمذي وابن ماجه
ความว่าผู้ใดกระทำการฆ่ามุอ์มินโดยเจตนา ดังนั้นเขาจะถูกมอบให้กับญาติของผู้ตายเป็นฝ่ายตัดสิน หากพวกเขาประสงค์ที่จะทำการประหารก็ให้กระทำได้ และหากพวกเขาประสงค์จะรับดิยะฮฺก็ทำได้ คืออูฐหิกเกาะฮฺ(อูฐตัวเมียมีอายุย่างเข้าปีที่สี่) 30 ตัว และอูฐญะซะอะฮฺ(อูฐตัวเมียที่ย่างเข้าปีที่ห้า) 30 ตัว และอูฐเคาะลิฟะฮฺ(อูฐที่กำลังท้อง)อีก 40 ตัว และทุกสิ่งที่พวกเขาตกลงประนีประนอมกันก็ย่อมเป็นของพวกเขา ดังกล่าวนี้เพื่อกำหนดให้เป็นโทษหนักในการจ่ายสินไหมชดใช้(บันทึกโดย อัต-ติรมิซีย์ หมายเลข 1387 สำนวนนี้เป็นของท่าน และอิบนุ มาญะฮฺ หมายเลข 2626)

  • ทรัพย์สินที่บรรดาญาติๆ ของผู้ถูกฆ่าได้รับจากการจ่ายดิยะฮฺเนื่องจากการฆ่าโดยเจตนานั้น ไม่ใช่สินไหมเนื่องเพราะการฆ่า หากแต่เป็นการจ่ายค่าทดแทนจากการประหารกิศอศ ซึ่งเป็นสิทธิของญาติๆ ของเหยื่อผู้ถูกฆ่าที่จะตกลงประนีประนอมรับค่าสินไหมดังกล่าว หรือจะเรียกให้มากกว่านั้น หรือน้อยกว่านั้น หรือจะยกโทษให้ ซึ่งแน่นอนว่าการยกโทษให้นั้นเป็นการดีที่สุด
  • ในประเทศซาอุดิอาระเบียได้กำหนดค่าการจ่ายดิยะฮฺสำหรับเหยื่อผู้ถูกฆ่าที่เป็นชายมุสลิมอยู่ที่หนึ่งแสนหนึ่งหมื่นริยาล ในกรณีที่ฆ่าโดยเจตนาจงใจ และครึ่งหนึ่งสำหรับฆาตกรที่เป็นหญิงมุสลิมะฮฺ หากแต่ยังถือว่าเป็นสิทธิของบรรดาญาติๆ ของเหยื่อผู้ถูกฆ่าที่จะเรียกน้อยกว่าหรือมากกว่าที่กำหนด หรือจะให้การอภัย
  • กำหนดให้ทำการกิศอศทั้งกลุ่มในกรณีที่ร่วมกันกระทำการฆ่าบุคคลผู้หนึ่ง และในกรณีที่บรรดาญาติของเหยื่อยอมให้ลดโทษด้วยการจ่ายดิยะฮฺแทน ให้ร่วมกันจ่ายแค่หนึ่งดิยะฮฺเท่านั้น ในกรณีที่มีผู้สั่งการให้บุคคลที่ยังไม่บาลิฆ(บรรลุวัยตามศาสนบัญญัติ)ฆ่าคนอื่น หรือบาลิฆแล้วแต่มิได้รู้ถึงหุก่มของการฆ่าว่าเป็นสิ่งต้องห้าม แล้วผู้ถูกสั่งการนั้นก็ลงมือฆ่าตามคำสั่งนั้น ให้กำหนดการกิศอศหรือดิยะฮฺเฉพาะผู้สั่งการเท่านั้น และหากผู้ลงมือฆ่าบรรลุวัยบาลิฆและยังรู้ถึงหุก่มของการห้ามฆ่า ก็ให้รับประกันการดำเนินโทษต่อผู้ลงมือมิใช่ผู้สั่งการ
  • ในกรณีที่ร่วมมือกันฆ่าระหว่างฆาตกรสองคน ซึ่งคนใดคนหนึ่งอยู่ในจำพวกที่จะไม่ต้องถูกลงโทษกิศอศถ้าหากว่าเขากระทำเพียงผู้เดียว เช่น การร่วมมือกันระหว่างผู้เป็นบิดากับผู้อื่นในการฆ่าบุตร หรือระหว่างมุสลิมกับกาฟิรในการฆ่ากาฟิร ให้ตัดสินโทษการกิศอศต่อผู้ร่วมมือกับบิดาเท่านั้น หรือลงโทษกิศอศกาฟิรที่ร่วมมือกับมุสลิมเท่านั้น ส่วนบิดาหรือมุสลิมนั้นให้ลงโทษด้วยการตะอฺซีร(การวินิจฉัยโดยความเห็นของผู้พิพากษา) และหากมีการลดโทษจากการกิศอศสู่การจ่ายดิยะฮฺ ให้ผู้ร่วมลงมือนั้นจ่ายครึ่งหนึ่งของดิยะฮฺ ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ร่วมลงมือฆ่ากับผู้เป็นบิดา หรือกาฟิรที่ร่วมลงมือกับมุสลิมก็ให้จ่ายดิยะฮฺเพียงครึ่งหนึ่งเช่นเดียวกัน
  • ในกรณีที่ผู้ฆ่าได้ฆ่าญาติซึ่งเขามีสิทธิในมรดกของเหยื่อผู้ถูกฆ่า สิทธิในมรดกนั้นก็จะถูกห้ามสำหรับเขา

เกาะสามะฮฺ การสาบานในการฟ้องจำเลย
เกาะสามะฮฺ คือ การสาบานตนหลายๆ ครั้งในการฟ้องบุคคลใดบุคคลหนึ่งว่าเป็นผู้กระทำการฆ่าผู้บริสุทธิ์
  • การเกาะสามะฮฺถูกให้มีขึ้นในกรณีที่มีคดีการฆ่าซึ่งไม่สามารถรับรู้ถึงผู้กระทำและเกิดมีการฟ้องบุคคลใดบุคคลหนึ่งซึ่งไม่มีพยานที่ครบถ้วนชี้ชัดว่าเป็นผู้กระทำ แต่อาศัยหลักฐานจากรูปคดีที่บ่งชี้ถึงความสัตย์จริงของผู้ฟ้อง

เงื่อนไขของการเกาะสามะฮฺ
มีบาดหมางเกิดขึ้นระหว่างฝ่ายโจทก์กับจำเลยอยู่แล้ว หรือผู้ถูกฟ้องเป็นที่รู้กันว่าเป็นผู้ฆ่า หรือมีเหตุบ่งชี้ที่ชัดเจน อาทิ การหนีจากเหตุการณ์ฆ่า หรือ การพูดถึงเหยื่อที่ถูกฆ่า และการที่ญาติทั้งหมดของเหยื่อเห็นตรงกันในการฟ้องจำเลย

รูปแบบการเกาะสามะฮฺ
หากเป็นไปตามเงื่อนไขดังกล่าวแล้ว ให้เริ่มต้นการเกาะสามะฮฺจากกลุ่มที่เป็นโจทก์ฟ้องด้วยการกล่าวคำสาบานของชาย 50 คน ด้วยการสาบาน 50 ครั้ง(คนละครั้ง) โดยให้แต่ละคนกล่าวคำสาบานว่าแท้จริงบุคคลผู้นี้ได้กระทำการฆ่าผู้ตายด้วยการนี้แล้วการกิศอศก็จะถูกดำเนินการ ในกรณีที่พวกเขาปฏิเสธที่จะกล่าวคำสาบานหรือทำการสาบานไม่ครบ 50 คน ให้ฝ่ายจำเลยกล่าวสาบานกลับ 50 ครั้งเพื่อลบล้างมลทินของฝ่ายจำเลยถ้าฝ่ายโจทก์ยินยอมให้สาบาน และถ้าฝ่ายจำเลยได้สาบานแล้วจำเลยก็จะพ้นจากข้อกล่าวหา
ในกรณีที่โจทก์ซึ่งเป็นญาติๆ ของผู้ถูกฆ่าไม่ทำการสาบาน และไม่ยอมรับการสาบานของฝ่ายจำเลย ให้ผู้ปกครองรัฐจ่ายสินไหมทดแทนจากคลังของรัฐ เพื่อมิให้เป็นการสูญเสียเลือดที่บริสุทธิ์ขึ้นโดยไร้ค่า

การฆ่าตัวตายโดยเจตนา
เป็นการต้องห้าม(บาป)สำหรับบุคคลผู้หนึ่งที่จะกระทำการฆ่าตัวตายไม่ว่ากรณีใดๆ หรือจะด้วยวิธีการใดก็ตาม และผู้ใดก็ตามที่กระทำการฆ่าตัวตายเขาจะได้รับการลงโทษด้วยการตกขุมนรกชั่วกาลนาน
«مَنْ تَرَدَّى مِنْ جَبَلٍ فَقَتَلَ نَفْسَهُ، فَهُوَ فِي نَارِ جَهَنَّمَ يَتَرَدَّى فِيهِ خَالِداً مُـخَلَّداً فِيهَا أَبَداً، وَمَنْ تَـحَسَّى سُمّاً فَقَتَلَ نَفْسَهُ، فَسُمُّهُ فِي يَدِهِ يَتَـحَسَّاهُ فِي نَارِ جَهَنَّمَ خَالِداً مُـخَلَّداً فِيهَا أَبَداً، وَمَنْ قَتَلَ نَفْسَهُ بِحَدِيدَةٍ، فَحَدِيدَتُـهُ فِي يَدِهِ يَـجَأُ بِـهَا فِي بَطْنِـهِ فِي نَارِ جَهَنَّمَ خَالِداً مُـخَلَّداً فِيهَا أَبَداً». متفق عليه.
ความว่าผู้ใดกระทำการฆ่าตัวตายด้วยการกระโดดลงจากภูเขา ดังนั้นเขาจะคงอยู่ในนรกด้วยสภาพกระโดดลงไปในขุมนรก(จะคงอยู่อย่างนั้น)ชั่วกาลนาน และผู้ใดที่ทำการฆ่าตัวตายด้วยการดื่มยาพิษ ดังนั้นยาพิษจะคงอยู่ในมือของเขาโดยที่เขาจะยังคงลิ้มรสพิษนั้นในขุมนรกชั่วกาลนาน และผู้ใดกระทำการฆ่าตัวตายด้วยการเสียบเหล็กเข้าไปในตัว ดังนั้นเหล็กดังกล่าวจะคงอยู่ในมือของเขาโดยที่เขาจะทำการแทงท้องของตัวเอง(จะคงอยู่อย่างนั้น)ชั่วกาลนาน” (บันทึกโดย อัล-บุคอรีย์ หมายเลข 5778 สำนวนรายงานนี้เป็นของท่าน และมุสลิม หมายเลข 109)

การเตาบะฮฺของผู้จงใจกระทำการฆ่า
ผู้ที่จงใจกระทำการฆ่าหากทำการเตาบะฮฺแท้จริงอัลลอฮฺจะทรงรับการเตาบะฮฺของเขา หากแต่การเตาบะฮฺของเขานั้นมิได้มีผลต่อการกิศอศ เพราะการกิศอศนั้นเป็นสิทธิของมนุษย์ การกระทำการฆ่าที่จงใจนั้นมีความเกี่ยวพันกับสามสิทธิด้วยกันคือ สิทธิของอัลลอฮฺ สิทธิของผู้ถูกฆ่า และสิทธิของญาติๆ ของเหยื่อผู้ถูกฆ่า
ดังนั้นเมื่อผู้กระทำการฆ่าได้ทำการมอบตัวให้กับญาติของผู้ตาย สำนึกในความผิดที่ได้กระทำและเกรงกลัวต่ออัลลอฮฺ แล้วทำการเตาบะฮฺอย่างแท้จริง สิทธิของอัลลอฮฺก็จะตกไปกับการเตาบะฮฺนั้น ส่วนสิทธิของบรรดาญาติๆ ของผู้ตายก็จะตกไปด้วยการยอมรับโทษด้วยการกิศอศ หรือการจ่ายดิยะฮฺ หรือการให้อภัยของญาติๆ ของเหยื่อ เหลือแต่สิทธิของผู้ถูกฆ่าซึ่งในเงื่อนไขของการเตาบะฮฺนั้นจะต้องขอขมาต่อผู้ถูกกระทำ ซึ่งในที่นี้ไม่สามารถที่จะกระทำได้เหลือแต่ต้องปล่อยให้เป็นไปตามความประสงค์ของอัลลอฮฺ และแน่นอนว่าอัลลอฮฺนั้นทรงเมตตาเหนือทุกๆ สิ่ง


2. การฆ่ากึ่งเจตนา
การฆ่ากึ่งเจตนา คือ การที่ผู้กระทำมีความตั้งใจที่จะกระทำอาชญากรรม ซึ่งโดยปกตินั้นการกระทำดังกล่าวจะไม่ถึงกับคร่าชีวิตของเหยื่อผู้ถูกกระทำ หรือทำให้เหยื่อแค่ได้รับบาดแผลที่ฉกรรจ์ แต่แล้วเหยื่อก็ได้เกิดเสียชีวิตขึ้นมาด้วยเหตุดังกล่าว ดังเช่น การทำร้ายตรงจุดที่ไม่ถึงกับเอาชีวิตด้วยสายแซ่ หรือไม้เล็กๆ หรือด้วยการต่อย เป็นต้น
หุก่มหรือข้อตัดสินที่เกี่ยวกับการฆ่าที่เสมือนกับการเจตนา : ถือว่าเป็นบาป เพราะเป็นการรุกรานละเมิดต่อผู้บริสุทธิ์
การฆ่ากึ่งเจตนาจะต้องได้รับโทษด้วยการจ่ายดิยะฮฺ พร้อมกับกัฟฟาเราะฮฺ(การไถ่โทษ) ในขณะที่การฆ่าที่เจตนานั้นจะไม่มีกัฟฟาเราะฮฺหรือการไถ่โทษ เพราะบาปของผู้ที่ฆ่าคนโดยเจตนานั้นใหญ่หลวงและรุนแรงกว่าที่จะให้ไถ่โทษด้วยการกัฟฟาเราะฮฺได้
เป็นการวาญิบ (บังคับ) สำหรับผู้กระทำการฆ่ากึ่งการเจตนาที่จะต้องจ่ายดิยะฮฺ มุฆ็อลละเซาะฮฺ(สินไหมหนัก) และ กัฟฟาเราะฮฺ ซึ่งมีกำหนดดังนี้:
1. ดิยะฮฺ มุฆ็อลละเซาะฮฺ หรือสินไหมที่หนัก คือ การจ่ายด้วยอูฐ 100 ตัวโดยมีเงื่อนไขว่าใน 40 ตัวจะต้องมีครรภ์ ดังหลักฐานจากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวไว้ว่า
«.. أَلا إنَّ دِيَةَ الخَطَأِ شِبْـهِ العَمْدِ، مَا كَانَ بِالسَّوْطِ وَالعَصَا مِائَةً مِنَ الإبلِ: مِنْـهَا أَرْبَـعُونَ فِي بُطُونِـهَا أَوْلادُهَا». أخرجه أبو داود وابن ماجه.
ความว่า...ดังนั้นการจ่ายสินไหมสำหรับผู้ที่กระทำการฆ่ากึ่งเจตนา อันเป็นการทำร้ายด้วย แส้หรือไม้นั้น คือการจ่ายด้วยอูฐทั้งหมด 100 ตัว ซึ่งใน 100 ตัวของบรรดาอูฐทั้งหมดนั้น ต้องมี 40 ตัวที่กำลังตั้งครรภ์(บันทึกโดย อบู ดาวูด หมายเลข 4547 สำนวนนี้เป็นของท่าน และอิบนุ มาญะฮฺ หมายเลข 2628)

  • ญาติของจำเลยต้องเป็นผู้รับผิดชอบจ่ายสินไหมหนักนี้ หรือจ่ายตามค่าของมัน ซึ่งอนุญาตให้ยืดเวลาการจ่ายเป็นระยะเวลาสามปี

2. กัฟฟาเราะฮฺ หรือการไถ่โทษ คือ การปลดปล่อยทาสผู้ศรัทธาหนึ่งคน หากไม่มีความสามารถ ให้ทำการถือศีลอดสองเดือนติดต่อกัน

เคล็ดลับที่กำหนดให้มีการลงโทษหลายรูปแบบ
ไม่เป็นการวาญิบในการทำกิศอศสำหรับผู้กระทำการฆ่ากึ่งเจตนา เนื่องจากผู้กระทำการมิได้มีความตั้งใจที่จะฆ่า หากแต่วาญิบที่จะต้องจ่ายสินไหมเพื่อเป็นการจ่ายทดแทนชีวิตของเหยื่อผู้ถูกฆ่า และได้กำหนดให้เป็นสินไหมที่หนัก(ดิยะฮฺ มุฆ็อลละเซาะฮฺ) เนื่องจากผู้กระทำมีความตั้งใจที่จะทำร้าย และได้กำหนดให้บรรดาญาติเป็นผู้จ่ายนั้นเนื่องจากพวกเขาเป็นกลุ่มชนที่มีเมตตาและคอยช่วยเหลือ และที่เป็นการวาญิบสำหรับผู้กระทำต้องจ่ายกัฟฟาเราะฮฺด้วยการปลดปล่อยทาสหรือถือศีลอดนั้นเพื่อเป็นการลบล้างบาปที่ได้กระทำไว้
  • เป็นการดีสำหรับบรรดาวะลีย์ของเหยื่อผู้ถูกฆ่าที่จะยกเลิกการจ่ายดิยะฮฺโดยไม่เรียกร้องจากจำเลย และถ้าหากพวกเขายกเลิกแล้ว ดิยะฮฺก็ถือว่าตกไป ส่วนกัฟฟาเราะฮฺนั้นยังคงวาญิบที่จะต้องปฏิบัติสำหรับฆาตกร

หุก่มการผ่าศพเพื่อตรวจ
อนุญาตให้ทำการผ่าศพในกรณีที่มีความจำเป็นเพื่อทำการพิสูจน์หลักฐานและสาเหตุการฆาตกรรม เพื่อการปกป้องในสิทธิของเหยื่อและสิทธิของสังคมจากการรุกราน และอนุญาติให้ทำการผ่าศพคนที่เป็นกาฟิรกรณีที่จำเป็นเพื่อการศึกษาวิจัยโรคและเพื่อเป็นการเรียนการสอนในทางการแพทย์

การวางแผนฆ่า
การฆ่าแบบ อัล-ฆีละฮฺ คือการฆ่าที่มีเจตนาและแค้นเคืองด้วยวิธีการวางอุบายและหลอกลวง หรือด้วยวิธีการที่จำเลยไม่คิดว่าตนจะถูกฆ่าโดยฆาตกร ดังเช่น ผู้ที่หลอกคนอื่นเพื่อให้ไปในที่ซึ่งไม่มีผู้คนแล้วทำการฆ่า หรือด้วยการชิงทรัพย์หลังจากนั้นก็ฆ่าเพื่อมิให้ผู้เคราะห์ร้ายทวงหรือเปิดโปงในภายหลังได้ เป็นต้น ดังนั้น การกระทำการฆ่าแบบวางอุบายดังที่กล่าวนี้ ผู้กระทำจะได้รับการลงโทษด้วยการประหารชีวิตไม่ว่าจะเป็นมุสลิมหรือกาฟิร เป็นการลงโทษในรูปแบบ “หัดด์” (การลงโทษทางอาญาโดยปกติ) ซึ่งไม่ใช่อยู่ในข่ายการกิศอศ และจะไม่ได้รับสิทธิการยกโทษจากผู้ใดทั้งสิ้น ทั้งบรรดาวะลีย์และเครือญาติของเหยื่อผู้ถูกฆ่าก็ไม่มีสิทธิในการที่จะเลือกอนุโลมยกโทษให้กับฆาตกรได้

  • ผู้ใดก็ตามที่ทำการป้องกันตัวเองจากการถูกทำร้ายซึ่งนำไปสู่การเสียชีวิตของฆาตกร หรือการพิการส่วนใดส่วนหนึ่งของฆาตกรเพราะเหตุดังกล่าวแล้ว แท้จริงเขาจะไม่ต้องชดใช้ใดๆ ทั้งสิ้น


3. การฆ่าโดยไม่เจตนา

การฆ่าโดยไม่เจตนาคือ การที่ผู้ใดผู้หนึ่งกระทำการใดๆ ที่อนุญาตให้ทำได้ เช่น การที่ผู้หนึ่งได้ทำการขว้างใส่อุปกรณ์ในการล่าสัตว์เพื่อการล่าสัตว์ หากแต่มันกลับไปโดนคนบริสุทธิ์แล้วทำให้เกิดการเสียชีวิตของคนผู้นั้น และถูกจัดไว้ในประเภทเดียวกันนี้ ไม่ว่าจะการฆ่าของเด็ก คนขาดสติ(บ้า) หรือการฆ่าเนื่องด้วยมูลเหตุทางอ้อม (เช่น การจอดรถกลางถนนแล้วเป็นเหตุให้ผู้อื่นเสียชีวิตเพราะการกระทำดังกล่าว เป็นต้น - บรรณาธิการ)

การฆ่าที่ไม่เจตนาแบ่งออกเป็นสองประเภท ดังนี้
ประเภทที่หนึ่ง ผู้กระทำจะต้องชดใช้ด้วยการจ่ายกัฟฟาเราะฮฺ และวะลีย์ที่เป็นญาติของผู้กระทำจะต้องจ่ายดิยะฮฺ นั่นคือในกรณีการฆ่ามุอ์มินผู้ศรัทธาโดยไม่เจตนาในสถานที่ซึ่งมิใช่สนามรบ หรือเหยื่อผู้ถูกฆ่านั้นเป็นบุคคลในกลุ่มคนหรือชนเผ่าที่มีสัญญาต่อกัน
ดังนั้นเป็นการวาญิบที่ญาติของจำเลยต้องจ่ายดิยะฮฺ มุค็อฟฟะฟะฮฺ (สินไหมที่เบา) ส่วนจำเลยก็ต้องจ่ายกัฟฟาเราะฮฺ ซึ่งปรากฏหลักฐานดังนี้
1. สินไหมที่เบา คือการจ่ายอูฐ 100 ตัว ดังรายงานจากท่าน อัมร์ บิน อัล-อาศ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ได้กล่าวว่า
أن رسول الله صلى الله عليه وسلم قَضَى أَنَّ مَنْ قَتَلَ خَطَأً فَدِيَتُـهُ مِائَةٌ مِنَ الإبلِ ثَلاثُونَ بِنْتَ مَـخَاضٍ، وَثَلاثُونَ بِنْتَ لَبُونٍ، وَثَلاثُونَ حِقَّةً، وَعَشْرَةٌ بَنِي لَبُونٍ ذَكرٍ. أخرجه أبو داود وابن ماجه.
ความว่า “แท้จริง ท่านรอซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กำหนดโทษสำหรับผู้ฆ่าที่ไม่เจตนานั้น ด้วยการจ่ายสินไหมเป็นอูฐ 100 ตัว โดยแบ่งเป็นบินตุ มะคอฎ(อูฐตัวเมียอายุครบหนึ่งปีย่างเข้าปีที่สอง) 30 ตัว และบินตุ ละบูน(อูฐตัวเมียอายุครบสองปีเข้าปีที่สาม) 30 ตัว หิกเกาะฮฺ(อูฐตัวเมียมีอายุครบสามปีย่างเข้าปีที่สี่) 30 ตัว และบะนีละบูน(อูฐตัวผู้อายุครบสองปีย่างเข้าปีที่สาม) 10 ตัว” (บันทึกโดย อบู ดาวูด หมายเลข 4541 สำนวนนี้เป็นของท่าน และ อิบนุ มาญะฮฺ หมายเลข 2630)

  • ญาติๆ ที่เป็นอากิละฮฺของจำเลย (หมายถึงญาติผู้ชายทั้งหมดที่สามารถรับมรดกจากจำเลยได้ด้วยการอาเศาะบะฮฺ) ต้องร่วมกันรับผิดชอบรับภาระการจ่ายนี้ตามแต่ยุคสมัยจะกำหนด ซึ่งปัจจุบันในประเทศซาอุดิอาระเบียได้กำหนดการจ่ายนี้อยู่ที่(หนึ่งแสนริยาล) สำหรับการฆ่าโดยไม่เจตนา และให้จ่ายครึ่งหนึ่งสำหรับผู้ตายที่เป็นผู้หญิง โดยที่การจ่ายจะผ่อนปรนให้ในระยะเวลาสามปี

2. กัฟฟาเราะฮฺ คือการปลดปล่อยทาสที่ศรัทธาหนึ่งคน และหากไม่สามารถกระทำได้ ให้ทำการถือศีลอดสองเดือนติดต่อกัน และเป็นการวาญิบในการจ่ายกัฟฟาเราะฮฺนั้นจากทรัพสินของผู้กระทำเท่านั้น เพื่อเป็นการไถ่บาปที่เขาได้ก่อขึ้น

  • เป็นการดีและส่งเสริมให้วะลีย์ของเหยื่อผู้ถูกฆ่ายกเลิกดิยะฮฺ(ไม่รับจากจำเลย) และแน่นอนว่าพวกเขาจะได้รับผลบุญจากอัลลอฮฺ ส่วนกัฟฟาเราะฮฺนั้นเป็นสิ่งที่ต้องจ่ายซึ่งเป็นภาระของจำเลยที่จะต้องจ่ายโดยมิอาจหลีกเลี่ยง

ประเภทที่สอง การชดใช้ด้วยการจ่ายเฉพาะกัฟฟาเราะฮฺเท่านั้น คือการที่มุสลิมฆ่ามุสลิมที่ปะปนอยู่ในพวกกาฟิรในประเทศของพวกเขา ซึ่งเกิดจากการเข้าใจผิดคิดว่าเขาเป็นกาฟิรด้วย ดังนั้นจะไม่มีการจ่ายสินไหม(ดิยะฮฺ)สำหรับเขา หากแต่จะต้องจ่ายกัฟฟาเราะฮฺเท่านั้น ด้วยการปลดปล่อยทาสที่มีความศรัทธาและหากไม่มีความสามารถให้ทำการถือศีลอดสองเดือนติดต่อกันแทน อัลลอฮฺได้ตรัสว่า
(ﭑﭒ ﭓ ﭔ ﭕ ﭖ ﭗ ﭘ ﭙ ﭚ ﭛ ﭜ ﭝ ﭞ ﭟ ﭠ ﭡ ﭢﭣ ﭤ ﭥ ﭦ ﭧ ﭨ ﭩ ﭪ ﭫﭬ ﭭ ﭮ ﭯ ﭰ ﭱ ﭲ ﭳ ﭴ ﭵ ﭶ ﭷ ﭸ ﭹ ﭺ ﭻ ﭼ ﭽﭾ ﭿ ﮀ ﮁ ﮂ ﮃ ﮄﮅ ﮆ ﮇ ﮈ ﮉ ﮊ ﮋ ﮌ ﮍ ﮎ ﮏ ﮐ ﮑ ﮒ) [النساء / 92 ].
ความว่า “และมิใช่วิสัยของผู้ศรัทธาที่จะฆ่าผู้ศรัทธาคนหนึ่งคนใด นอกจากด้วยความผิดพลาดเท่านั้น และผู้ใดที่ฆ่าผู้ศรัทธาด้วยความผิดพลาดแล้ว ก็ให้มีการปล่อยทาสที่ศรัทธาคนหนึ่งให้เป็นไท และให้มีค่าทำขวัญ ซึ่งถูกมอบให้แก่ครอบครัวของเขา นอกจากว่าครอบครัวของพวกเขาจะทำทานให้โดยไม่รับค่าทำขวัญนั้น แต่ถ้าหากเขาอยู่ให้หมู่ชนที่เป็นศัตรูของพวกเจ้าโดยที่เขาเป็นผู้ศรัทธา ก็ให้มีการปล่อยทาสที่ศรัทธาคนหนึ่งให้เป็นไท และหากเขาอยู่ในหมู่ชนที่มีพันธะสัญญาระหว่างพวกเจ้ากับพวกเขาแล้ว ก็ให้มีการทำขวัญซึ่งถูกมอบให้แก่ครอบครัวของเขา และให้มีการปล่อยทาสที่ศรัทธาคนหนึ่ง ผู้ใดที่ไม่มีทาสให้ปล่อย ก็ให้ถือศีลอดสองเดือนต่อเนื่องกัน เป็นการอภัยโทษจากอัลลอฮฺและว่าอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงรอบรู้ ผู้ทรงปรีชาญาน” ( อัน-นิสาอ์ 92)

หุก่มการถือศีลอดแทนผู้ที่เสียชีวิต
ผู้ใดที่ได้เสียชีวิตลงโดยที่เขายังติดค้างในเรื่องของการถือศีลอดที่เป็นวาญิบ อาทิ การถือศีลอดในเดือนเราะมะฎอน หรือ การถือศีลอดเนื่องจากการจ่ายกัฟฟาเราะฮฺเป็นระยะเวลาสองเดือนติดต่อกัน หรือการถือศีลอดเนื่องจากการบนบานนะซัร ทั้งหมดนี้จะมีอยู่สองกรณี คือ
1. กรณีที่ผู้ตายมีความสามารถในการถือศีลอดแต่มิได้กระทำ ดังนั้นบรรดาผู้ปกครอง(วะลีย์)ของเขาจะต้องร่วมกันถือศีลอดแทนเขา ด้วยการแบ่งวันให้เท่าๆ กันโดยมีเงื่อนไขว่าจะต้องถือศีลอดติดต่อกันตั้งแต่คนแรกจนกระทั่งคนสุดท้ายครบวัน
2. กรณีที่ผู้ตายไม่มีความสามารถอันเนื่องมาจากการป่วย เป็นต้น ดังนั้น จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำการถือศีลอดแทน หรือแม้กระทั่งการให้อาหารต่อผู้ยากจน

จากท่านหญิงอาอิชะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮา เล่าว่า ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวว่า
«مَنْ مَاتَ وَعَلَيْـهِ صِيامٌ صَامَ عَنْـهُ وَلِيُّـهُ». متفق عليه
ความว่า: ผู้ใดที่เสียชีวิตโดยที่ยังมียังภาระการถือศีลอดอยู่ ให้เหล่าผู้ปกครองของเขาถือศีลอดแทน” (บันทึกโดยอัล-บุคอรีย์ หมายเลข 1952 และมุสลิม หมายเลข 1147)
บรรดาเครือญาติที่ถือว่าเป็น อากิละฮฺ ของจำเลย
ในการกระทำการฆ่ากึ่งเจตนาและโดยไม่เจตนานั้น จะต้องมีการจ่ายสินไหม(ดิยะฮฺ)ซึ่งในที่นี้เหล่าเครือญาติของผู้กระทำจะรับผิดชอบร่วมกัน และต้องมีการจ่ายกัฟฟาเราะฮฺซึ่งผู้กระทำจะเป็นผู้รับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว ดังนั้น บรรดาเครือญาติที่ได้ชื่อว่าเป็น อากิละฮฺ (ผู้ที่ต้องรับผิดชอบ)ในที่นี้ คือ เครือญาติที่เป็นเพศชายทุกคนที่มีสิทธิในการรับมรดกจากจำเลยด้วยวิธีการอะเศาะบะฮฺ ทั้งที่เป็นญาติใกล้และไกล ที่ยังอยู่และไม่ได้อยู่ด้วย โดยจะเริ่มจากผู้ที่ใกล้ที่สุดตามลำดับ และจะนับรวมไปถึงเครือญาติชายที่นับขึ้นไปยังต้นตระกูล(อุศูล เช่น พ่อ ปู่ ทวด เป็นต้น) แต่ไม่นับรวมเครือญาติที่เป็นทายาทลงไปตามเชื้อสายของตระกูล(ฟุรูอ์ เช่น ลูก หลาน เหลน เป็นต้น) โดยที่พวกเขาจะต้องรับผิดชอบในส่วนที่เกินกว่าหนึ่งส่วนสามของดิยะฮฺ
และพวกเขา(เครือญาติที่เป็นอากิละฮฺ)ไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบดิยะฮฺในกรณีการเจตนาฆ่า เช่นเดียวกับในกรณีที่ผู้กระทำการฆ่าหรือผู้ถูกฆ่านั้นเป็นทาส และไม่ต้องรับผิดชอบในส่วนที่น้อยกว่าหนึ่งส่วนสามของดิยะฮฺ เช่น ดิยะฮฺจากการทำฟันหัก เป็นต้น รวมถึงดิยะฮฺด้วยวิธีการประนีประนอมยอมความ และกรณีที่มีการยอมรับว่าเป็นผู้กระทำ
ส่วนบุคคลที่ไม่ถือว่าเป็นอากิละฮฺ คือ เครือญาติฝ่ายชายที่ยังไม่บรรลุวัยตามศาสนบัญญัต(ไม่บาลิฆ) เครือญาติที่เป็นผู้หญิง ผู้ที่ยากจนขัดสน และเครือญาติที่นับถือต่างศาสนากับจำเลย
..................................................................